Professional Documents
Culture Documents
Copy of วิชาฟิสิกส์
Copy of วิชาฟิสิกส์
สารบัญ
หน้า
บทที่ 1 ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟิสิกส์ 2
บทที่ 2 การเคลื่อนที่แนวตรง 7
บทที่ 3 แรงและกฎการเคลื่อนที่ 12
บทที่ 4 สมดุลกล 18
บทที่ 5 งานและพลังงาน 22
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชน 27
บทที่ 7 การเคลื่อนที่แนวโค้ง 31
บทที่ 8 การเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกอย่างง่าย 38
บทที่ 9 คลื่น 44
บทที่ 10 แสงเชิงคลื่น 52
บทที่ 11 แสงเชิงรังสี 56
บทที่ 12 เสียง 62
บทที่ 13 ไฟฟ้าสถิต 70
บทที่ 14 ไฟฟ้ากระแส 76
บทที่ 15 ไฟฟ้าแม่เหล็ก 83
บทที่ 16 ความร้อนและแก๊ส 94
บทที่ 17 ของแข็งและของไหล 101
บทที่ 18 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า 113
บทที่ 19 ฟิสิกส์อะตอม 121
บทที่ 20 ฟิสิกส์นิวเคลียร์ 131
บทที่ 1 ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟ:สิกส;
1. ปริมาณ (Quantities) ในวิชาฟ9สิกส<อาจแบAงเปDนกลุAมยAอยไดJดังนี้
แบ9งโดยใช?ลักษณะของปริมาณเปIนเกณฑ$ จะแบ9งได?เปIน
1. ปริมาณเวกเตอร$ คือ ปริมาณที่ต?องบอกทั้งขนาดและทิศทางจึงจะสมบูรณ$ เช9น การกระจัด แรง
โมเมนตัม สนามไฟฟXา สนามแม9เหล็ก เปIนต?น
2. ปริมาณสเกลาร$ คือ ปริมาณที่บอกแต9ขนาดอย9างเดียวก็สมบูรณ$ได? เช9น มวล พลังงาน เวลา
ระยะทาง เปIนต?น
แบ9งโดยใช?ที่มาของปริมาณเปIนเกณฑ$ จะแบ9งได?เปIน
ปริมาณมูลฐาน คือ ปริมาณขั้นต?นที่จำเปIนต9อการอธิบายปรากฏการณ$ ทางฟ4สิกส$ มี 7 ปริมาณ
2. คำอุปสรรค (Prefixes)
คำอุปสรรค หมายถึงสัญลักษณ$ที่ใช?แทนเลขสิบยกกำลัง ( 10±" ) ที่ใช?เขียนไว?หน?าหน9วยเอสไอ
เพื่อที่จะทำให?หน9วยนั้นใหญ9ขึ้นหรือเล็กลง มีผลให?เขียนปริมาณที่มีค9ามาก ๆ หรือค9าน?อย ๆ ได?กะทัดรัด เกิด
ความสะดวกและรวดเร็ว ดังตาราง
4. เลขนัยสำคัญ
หลักในการนับจำนวนตัวของเลขนัยสำคัญ
1) เลขที่ไม9ใช9เลข 0 ทุกตัวถือเปIนเลขนัยสำคัญ
2) เลข 0 ที่อยู9หน?าจำนวนทั้งหมด ไม9ถือเปIนเลขนัยสำคัญ เช9น 0.00046 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว คือ 4
และ 6 เท9านั้น
3) เลข 0 ที่อยู9กลางจำนวน ถือเปIนเลขนัยสำคัญ เช9น 7.03 มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว คือ 7 , 0 , 0 และ 3
4) กรณี ที่เขียนจำนวนในรูปทศนิยม 0 ที่อยู9ข?างหลัง ถือเปIนเลขนัยสำคัญ เช9น 8.000 มีเลขนัยสำคัญ
4 ตัว คือ 8 , 0 , 0 และ 0
5) ถ?าเขียนจำนวนในรูปจำนวนเต็มธรรมดาไม9มีทศนิยม เลข 0 ที่อยู9หลังจำนวนไม9ถือเปIนเลข
นัยสำคัญ เช9น 1500 มีเลขนัยสำคัญ 2 ตัว คือ เลข 1 กับ 5 เท9านั้น
6) ถ? า เขี ย นจานวนในรู ป Ax10$ ให? นั บ จำนวนเลขนั ย สำคั ญ ของ A เท9 า นั ้ น เปI น คำตอบเช9 น
5.23 x 10%& มีเลขนัยสำคัญ 3 ตัว คือ 5 , 2 และ 3 เท9านั้น
• การบวกและลบเลขนัยสำคัญ
วิธีการ “ ให? บวก หรือ ลบ ตามปกติ แต9 ผลลัพธ$ ที่ ได?ต?อ มี ตำแหน9งทศนิยม เท9ากับตำแหน9งทศนิยมของ
จานวนในโจทย$ที่มีตำแหน9งทศนิยมน?อยที่สุด ”
• การคูณและหารเลขนัยสำคัญ
วิธีการ “ ให?คูณ หรือ หารตามปกติ แต9ผลลัพธ$ ที่ได?ต?องมีจำนวนตัวของเลขนัยสำคัญเท9ากับจำนวนตัวเลข
นัยสำคัญของโจทย$ที่มีจำนวนตัวเลขนัยสำคัญน?อยที่สุด ”
ตัวอย3างขQอสอบ ธรรมชาติและพัฒนาการทางฟUสิกส1
1) ในการทดลองหนึ่ง นักเรียน A วัดความยาวแท9งวัตถุหนึ่งที่มีความยาวประมาณ 8 เซนติเมตร ด?วยไม?
บรรทัดที่มีการแบ9งช9องสเกลที่มีความละเอียด 0.1 เซนติเมตร โดยทำการวัด 5 ครั้ง ได?ผลดังนี้
ความยาวที่วัดได? (เซนติเมตร) : 7.85 8.00 8.25 7.90 14.15 ถ?านักเรียน A รายงานการวัดเปIนค9าเฉลี่ย
และค9าความคลาดเคลื่อนของค9าเฉลี่ย !"̅ โดยค9าความคลาดเคลื่อนของค9าเฉลี่ย หาได?จาก !"̅ =
!"#$%!"&'
เมื่อ Xmax และ Xmin คือ ค9ามากที่สุดและน?อยที่สุดที่วัดได? ตามลำดับ
)
นักเรียน A ควรรายงานผลการวัดความยาวของแท9งวัตถุนี้อย9างไรจึงเหมาะสมที่สุด (วิชาสามัญ64)
1. 8 ± 0.2 วินาที
2. 8.0 ± 0.2 วินาที
3. 8.00 ± 0.20 วินาที
4. 9.2 ± 3.2 วินาที
5. 9.23 ± 3.15 วินาที
2) นักเรียนทดลองปล9อยวัตถุให?เริ่มเคลื่อนที่จากพื้นเอียงลื่นไปยังพื้นราบที่มีความฝÉด และบันทึกเวลาที่วัตถุ
เริ่มเคลื่อนที่จนหยุดนิ่ง จำนวน 4 ครั้ง ได?ดังนี้ 12.24 12.06 11.98 และ 12.02 วินาที
ข?อใดเปIนการรายงานเวลาที่วัตถุเคลื่อนที่ในรูปค9าเฉลี่ย ( "̅ ) และค9าความคลาดเคลื่อนของค9าเฉลี่ย ( !"̅ )
ที่ถูกต?องตามหลักการรายงานผลการวัด (A-level66)
กำหนดให?
!"#$%!"&'
!"̅ = เมื่อ Xmax และ Xmin คือ ค9ามากที่สุดและน?อยที่สุดที่วัดได? ตามลำดับ
)
บันทึกค9าความคลาดเคลื่อนของค9าเฉลี่ยด?วยเลขนัยสำคัญจำนวน 1 ตัว
1. 12.1 ± 0.1 วินาที
2. 12.08 ± 0.1 วินาที
3. 12.075 ± 0.13 วินาที
4. 12.075 ± 0.1 วินาที
5. 12.0 ± 0.1 วินาที
3) ตัวเลขในข?อใดมีจำนวนเลขนัยสำคัญเท9ากันทั้งหมด
1. 12.0 0.23 2.19 × 10−1
2. 1.00 0.034 789
3. 0.00467 3.5678 48.030 × 10)*
4. 0.0300 1.50× 10+ 341
1. ความเร็ว
2. พลังงาน
3. ความเร9ง
4. รากที่สองของความเร9ง
บทที่ 2 การเคลื่อนที่ในแนวเสCนตรง
1. ปริมาณตAางๆ ของการเคลื่อนที่
ระยะทาง (distance) คือ ความยาวตามแนวที่เคลื่อนที่ได?จริง มีหน9วยเปIนเมตร (m) เปIนปริมาณ
สเกลาร$ เพราะการคิดระยะทางไม9ตองคำนึงถึงทิศทางของการเคลื่อนที่
การกระจัด (displacement) คือ ความยาวที่วัดเปIนเส?นตรงจากจุดเริ่มต?นถึงจุดสุดท?ายของการ
เคลื่อนที่ มีหน9วยเปIนเมตร (m) เปIนปริมาณเวกเตอร$ เพราะการคิดการกระจัดต?องคิดทิศทางจากจุดเริ่มต?นถึง
จุดสุดท?ายด?วย
อัตราเร็วเฉลี่ย คือ อัตราส9วนของระยะทางที่เคลื่อนที่ได?ต9อเวลาที่ใช?ในการเคลื่อนที่ตลอดช9วงนั้น มี
หน9วยเปIน เมตรต9อวินาที เปIนปริมาณสเกลาร$ เขียนเปIนสมการจะได?
s
v=
t
s⃑
v=
t
เมื่อ v = ความเร็ว ( เมตร/วินาที )
s = การกระจัด ( เมตร )
t = เวลา ( วินาที )
อัตราเร3ง คืออัตราส9วนของอัตราเร็วที่เปลี่ยนไปต9อเวลาที่ใช?ในช9วงเปลี่ยนอัตราเร็วนั้นมีหน9วยเปIน
เมตร/วินาที^2 เปIนปริมาณสเกลาร$ เขียนเปIนสมการจะได?
-−/
,=
0
เมื่อ a = อัตราเร9ง (เมตร/วินาที^2) u = อัตราเร็วตอนแรก (เมตร/วินาที)
v = อัตราเร็วตอนหลัง (เมตร/วินาที) t = เวลา (วินาที)
-⃑ − /
1⃑
,=
0
เมื่อ a = ความเร9ง (เมตร/วินาที^2)
u = ความเร็วตอนแรก (เมตร/วินาที)
v = ความเร็วตอนหลัง (เมตร/วินาที)
t = เวลา (วินาที)
ตัวอย3างขQอสอบ บทที่ 2 การเคลื่อนที่ในแนวเสQนตรง
1. (PAT2/2562) พี่ออมขับรถยนต$บนถนนวิภาวดีด?วยอัตราเร็ว 30 กิโลเมตรต9อชั่วโมง เปIนระยะทาง 40
กิโลเมตรแล9น ต9อไปในทิศทางเดิมอีก 20 กิโลเมตร โดยเปลี่ยนอัตราเร็วเปIน 60 กิโลเมตรต9อชั่วโมง จงหา
อัตราเร็ว เฉลี่ยของการเดินทางในช9วงระยะทาง 60 กิโลเมตรนี้
1. 15 กิโลเมตรต9อชั่วโมง
2. 36 กิโลเมตรต9อชั่วโมง
3. 40 กิโลเมตรต9อชั่วโมง
4. 45 กิโลเมตรต9อชั่วโมง
2. (PAT2/2563) รถยนต$ 2 คันแล9นอยู9บนถนนตรงนทิศทางเดียวกัน ถ?าระยะห9างระหว9างรถทั้งสองคันนี้
เพิ่มขึ้นด?วยอัตราคงที่ ข?อใดถูกต?อง
1. รถทั้งสองคันมีความเร็วคงตัวเท9ากัน
2. รถคันหน?ามีความเร9งคงตัว แต9รถคันหลังมีความเร็วคงตัว
3. รถทั้งสองคันมีความเร9งคงตัวเท9ากัน และมีความเร็วเริ่มต?นเท9ากัน
4. รถคันหน?ามีความเร็วคงตัว แต9รถคันหลังมีความเร็วลดลงอย9างสม่ำเสมอ
5. รถทั้งสองคันมีความเร9งคงตัวเท9ากัน แต9รถคันหน?ามีความเร็วเริ่มต?นมากกว9ารถคันหลัง
3. (O-net 2562) พิจารณา รถ A และรถ B กำลังเคลื่อนที่เข?าสู9สี่แยก C ด?วยความเร็วคงที่ตลอด
ข?อใดถูกต?อง
1. รถ B ถึง C ก9อนรถ A
2. รถ A และ B ถึงพร?อมกัน
3. รถทั้งสองไม9ชนกันที่สี่แยก C
4. รถ A ถึง C ในเวลา 10 วินาที
2. การเคลื่อนที่ในแนวราบ
• ถ?าความเร9งเท9ากับศูนย$ ( a = 0 ) หรือ ( ความเร็วคงที่ ) จะใช?สมการ
2 = -0
เมื่อ s = การกระจัด (m) , t = เวลา (s) , V = ความเร็วซึ่งคงที่ ( m/s )
1. 8
2. 12
3. 16
4. 20
กราฟแสดงความสัมพันธ$ระหว9างขนาดของความเร็วยกกำลังสอง(- ) ) และตำแหน9ง(x)ของวัตถุ
เปIนดังนี้
บทที่ 3 แรงและกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
1. แรง ( F )
แรง คืออำนาจที่พยายามจะทำให?มวลเกิดการเคลื่อนที่ด?วยความเร9ง
ควรรูQ 1) แรงเปIนปริมาณเวกเตอร$ เพราะเปIนปริมาณที่มีทั้งขนาดและทิศทาง
2) แรงใช?หน9วยมาตรฐาน S.I. เปIน นิวตัน (N)
2. การหาแรงลัพธ<
แรงลัพธ1 คือแรงซึ่งเกิดจากแรงย9อยๆ หลายแรงเข?ามารวมกัน
• กรณีที่ 1 หากแรงย9อยมีทิศไปทางเดียวกัน
4⃑*
4⃑ลัพธ% = 4⃑* + 4⃑)
ทิศทางแรงลัพธ$ จะเหมือนแรงย9อยนั้น 4⃑)
• กรณีที่ 2 หากแรงย9อยมีทิศตรงกันข?าม
4⃑) 4⃑*
4⃑ลัพธ% = 4⃑* − 4⃑)
ทิศทางแรงลัพธ$ จะเหมือนแรงที่มากกว9า
• กรณีที่ 3 หากแรงย9อยมีทิศเอียงทำมุมต9อกัน
4⃑)
! ! !
"""⃑
4 = """⃑ """⃑ + 2"""⃑
41 + 4 41"""⃑
42 cos 9
ลัพธ% 2
!
4⃑*
3. การแตกแรง
หากมีแรง 1 แรง สมมุติเปIนแรง F ดังรูป เราสามารถ
แตกแรงนั้นออกเปIน 2 แรงย9อย ซึ่งตั้งฉากกันได? และเมื่อ
แตกแรงแล?วจะได?วา
4. กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน
กฎขQอที่ 1 กล9าวว9า “ วัตถุจะคงสภาพอยูนิ่งหรือสภาพเคลื่อนที่ดQวยความเร็วคงตัวหรือ(a=0)
ในแนวเส?นตรง นอกจากจะมีแรงลัพธ$ซึ่งมีค9าไม9เปIนศูนย$มากระทำต9อวัตถุนั้น
<4 = 0
จากกฎข?อนี้จะได?สมการ
< 4 = >,⃑
5. น้ำหนัก (W)
น้ำหนัก (W) คือ แรงชนิดนึงที่เกิดจากแรงโน?มถ9วงของโลกมีทิศเข?าสู9ศูนย$กลางโลกเสมอ ซึ่งมีหน9วย
เปIน “นิวตัน” โดยเราสามารถหา น้ำหนักได?จากสมการ
? = >@
เมื่อ ? คือ น้ำหนัก (นิวตัน)
A คือ มวลของวัตถุ (กิโลกรัม)
@ คือ ความเร9งเนื่องจากแรงโน?มถ9วงของโลก มีค9าประมาณ 10 เมตร
ต9อวินาทียกกำลังสอง
6. แรงเสียดทาน
“แรงเสียดทาน คือแรงที่เกิดจากการเสียดสีระหว9างผิวสัมผัสมีทิศต?านการเคลื่อนที่”
ประเภทของแรงเสียดทาน
• แรงเสียดทานสถิตย1 (B- ) คือ แรงเสียดทานที่มีตอนวัตถุอยู9นิ่งๆ
ควรทราบ 1. แรงเสียดทานสถิตจะมีค9าไม9คงที่จะเพิ่มขึ้นและลดลงตามแรงที่กระทำต9อวัตถุ
!! = $! %
เมื่อ B- คือแรงเสียดทานสถิตย$ ( นิวตัน )
'. คือสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานสถิตย$
N คือแรงปฏิกิริยาที่พื้นดันวัตถุ (นิวตัน)
• แรงเสียดทานจลน1 ( B/ ) คือแรงเสียดทานที่มีตอนวัตถุกำลังเคลื่อนที่
!" = $" %
เมื่อ B/ คือแรงเสียดทานจลน$ ( นิวตัน )
'0 คือสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานจลน$
N คือแรงที่พื้นดันวัตถุ ( นิวตัน ) ซึ่งปกติแล?วหากไม9มีแรงภายนอกมากระทำต9อวัตถุเพิ่มเติม
แรงดันพื้น ( N ) จะเท9ากับน้ำหนักวัตถุที่กด ( W )
7. กฎแรงดึงดูดระหวAางมวลของนิวตัน
CD2 D3
1111⃑
41 =
E3
เมื่อ 1111⃑
41 คือ แรงดึงดูดระหว9างมวล (นิวตัน)
m# , m! คือขนาดของมวลก?อนที่ 1 และ ก?อนที่ 2 ตามลำดับ (กิโลกรัม)
R คือ ระยะห9างระหว9างใจกลางมวลทั้งสอง (เมตร)
G คือ ค9าคงตัวความโน?มถ9วงสากล คือ 6.67 + 10"## . ∙ 0! ∙ 12"!
ความเร9งของทรงกระบอกมีขนาดเท9าสใดและทิศทางใด (วิชาสามัญ65)
3. 6
4. 46
8. วัตถุเคลื่อนที่ในแนวตรงโดยเริ่มจากหยุดนิ่ง ซึ่งความเร็ว ณ เวลาต9าง ๆ แสดงได?ดังกราฟ
บทที่ 4 สมดุลกล
4.1 สมดุลกล
สมดุลกล (mechanical equilibrium) หมายถึง วัตถุที่รักษาสภาพการเคลื่อนที่ให?คงเดิม หรือ
กล9าวอีกอย9างหนึ่งคือ วัตถุอยู9นิ่ง หรือ เคลื่อนที่ด?วยความเร็วคงที่
สมดุลกลสามารถแยกไดQเปqน 2 แบบ คือ
1. สมดุลสถิต (static equilibrium) หมายถึง วัตถุที่อยู9นิ่งและไม9มีการหมุน เช9น สมุดวางอยู9บนโต¢ะ
2. สมดุลจลน1 (dynamic equilibrium) หมายถึง วัตถุที่มีการเคลื่อนที่ด?วยความเร็วคงตัว หรือมีการ
หมุนด?วยอัตราเร็วคงตัว เช9น ลังไถลลงมาตามพื้นเอียง
***หมายเหตุ คำว9าสมดุลจลน$ นอกจากหมายถึงสมดุลของวัตถุที่เคลื่อนที่แนวตรงด?วยความเร็วคงตัวแล?ว ยัง
หมายถึง สมดุลของวัตถุที่หมุนรอบแกนเดิมด?วยอัตราเร็วคงตัวอีกด?วย
4.2 สมดุลตAอการเลื่อนที่
วัตถุที่อยู9ในสมดุลต9อการเลื่อนที่ หมายถึง วัตถุอยู9ในสภาพหยุดนิ่งหรือเคลื่อนที่ด?วยความเร็วคงตัว
การเกิดสมดุลลักษณะนี้ได?แรงลัพธ$ที่มากระทำต9อวัตถุที่มีค9าเปIนศูนย$ (∑ 3 = 0) ซึ่งเปIนไปตามกฎข?อที่ 1 ของ
นิวตัน นั่นคือ
ผลรวมของแรงที่มีทิศไปทางซ?าย = ผลรวมของแรงที่มีทิศไปทางขวา
5 3ซ"าย = 5 3ขวา
ผลรวมของแรงที่มีทิศขึ้น = ผลรวมของแรงที่มีทิศลง
5 3ขึ้น = 5 3ลง
1. สถานการณ$ใดต9อไปนี้ ถือได?ว9าอยู9ในสภาพสมดุล
ก. รถยนต$แล9นไปตามถนนโค?งด?วยอัตราเร็วคงที่
ข. ลิฟต$เคลื่อนที่ขึ้นด?วยความเร็วคงที่
ค. แท9งไม?ไถลลงตามพื้นเอียงด?วยความเร็วคงที่
ง. รอกเดี่ยวตายตัวหมุนด?วยอัตราเร็วคงที่
ข?อใดถูกต?อง (สมรรถนะ มข. 63)
1. ก และ ข
2. ข และ ค
3. ก และ ง
4. ค และ ง
2. จากรู ป นำเชื อกผู กกั บก? อนน้ ำ หนั ก W จงหาอั ตราส9 วนของขนาดของแรงดึ งในเส? นเชื อก T0 ต9 อ T.
(PAT2/2561)
7
1.
5
7
2.
4
4
3.
5
4
4.
7
1. 30 N W
9:
2. N
√7
3. 60√3 N
4. 120 N
4.3 สมดุลตAอการหมุน
สมดุลต9อการหมุน (rotation equilibrium) คือวัตถุที่ไม9มีการหมุน หรือ หมุนด?วยอัตราเร็วคงตัว
• โมเมนต$ของแรง (moment of force) เมื่อมีแรงกระทำต9อวัตถุ นอกจากจะทำให?วัตถุเกิดการเคลื่อน
ตำแหน9งแล?ว บางครั้งยังทำให?วัตถุเกิดการหมุนด?วยโดยผลการหมุนของวัตถุจะเรียกว9า โมเมนต$
(moment) หรือ ทอร$ค (torque) หาได?จาก
โมเมนต$ของแรง = แรง × ระยะทางที่ลากจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแรง
M =F ×L
4.5 โมเมนต<ของแรงคูAควบ
แรงคู9ควบ เปIนสองแรงที่มีขนาดเท9ากัน แนวแรงขนานกัน แต9มีทิศทางตรงข?าม โดยถ?ามีแรงคู9ควบ
ควบหนึ่งกระทะต9อวัตถุ จะทำให?เกิดโมเมนต$ของแรงคู9ควบที่มีค9าไม9เปIนศูนย$ วัตถุจึงไม9อยู9ในสมดุลต9อการหมุน
ต9อวัตถุจะอยู9ในสมดุลต9อการเลื่อนที่ เนื่องจากแรงลัพธ$มีค9าเปIนศูนย$
5M = 0
1. 155 , 135
2. 115 , 85
3. 135 , 115
4. 85 , 115 (สามัญ64)
6. นาย A และนาย B ช9วยกันหามกล9องหนัก 150 นิวตัน ด?วยท9อนไม?มวลสม่ำเสมอ หนัก 50 นิวตัน ยาว 3.0
เมตร โดยให?ท9อนไม?อยู9ในแนวระดับ ซึ่งตำแหน9งที่แต9ละคนออกแรงกระทำต9อท9อนไม?และตำแหน9งที่ผูกกล9อง
เปXนดังภาพ
บทที่ 5 งานและพลังงาน
1. งาน (W)
งาน เปIนผลอย9างหนึ่งซึ่งเกิดจากการออกแรงกระทำต9อวัตถุแล?วทำให?วัตถุเคลื่อนที่ไปตามแนวแรงนั้น
เราสามารถหาขนาดของงานได?จากผลคูณระหว9างขนาดของแรงกับการกระจัดตามแนวแรงนั้น เขียนเปIน
สมการจะได?
? =4∗2
2. กำลัง (P)
กำลัง คืออัตราการทำงาน หรือปริมาณงานที่ทำได?ในหนึ่งหน9วยเวลา เราสามารถหากำลังได?จาก
? 42
N= = = 4-
0 0
เมื่อ P คือกำลัง ( วัตต$ ) , W คืองาน (จูล )
t คือเวลา ( วินาที ) , F คือแรง ( นิวตัน )
s คือระยะทาง ( เมตร )
3. พลังงานกล
พลังงานกล คือ พลังงานที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของวัตถุและพลังงานที่สะสมในตัววัตถุซึ่งอาจถูก
ปลดปล9อยออกเปIนพลังงานรูปแบบอื่นๆได?
พลังงานกลของวัตถุมี 2 รูปแบบได?แก9 พลังงานจลน$ และ พลังงานศักย$
3.1 พลังงานจลน1 (O0 )
พลังงานจลน$ คือพลังงานกลที่ขึ้นกับความเร็วของวัตถุ วัตถุที่กาลังเคลื่อนที่ด?วยความเร็วจะมีพลังงานจลน$
วัตถุที่อยู9นิ่งจะไม9มีพลังงานจลน$ เราสามารถหาขนาดของพลังงานจลน$ได?จาก
*
O0 = >- )
)
P< = >@ℎ
3.3 พลังงานศักย1ยืดหยุ3น
*
O= = R2 )
)
4. การประยุกต<กฎการอนุรักษ<พลังงาน
การประยุกต1กฎการอนุรักษ1พลังงาน กล3าวว3า “พลังงานเปIนปริมาณที่ไม9สูญหาย แต9อาจเปลี่ยนรูป
หรือเคลื่อนย?ายได? โดยปริมาณพลังงานจะคงที่เสมอ”
การคำนวณโจทย$เกี่ยวกับกฎการอนุรักษ$พลังงาน สามารถทาได?โดยใช?สมการ
O* + ? = O)
เมื่อ O* คือพลังงานรวมตอนแรก
O) คือพลังงานรวมตอนหลัง
? คืองานในระบบ (หากเปIนงานจากแรงเสียดทานจะมีค9าเปIนลบ)
1. นักเรียนที่หนึ่งวิ่งด?วยอัตราเร็วค9าหนึ่งไถลตัวลงบนพื้นฝÉดและหยุดเมื่อไถลไปเปIนระยะทาง d โดยงาน
เนื่องจากแรงเสียดทานเท9ากับ W นักเรียนคนที่สองมีมวลเท9ากับคนแรกวิ่งมาด?วยอัตราเร็วเท9ากันไถลไปบนพื้น
ฝÉดเช9นเดียวกันแต9หยุด เมื่อไถลไปได?ระยะทาง d/2 งานเนื่องจากแรงเสียดทานในกรณีของนักเรียนคนที่สอง
เปIนเท9าใด (PAT2/2561)
1. W
>
2.
)
>
3.
4
4. 2W
5. 4W
/0 เปIนสัมประสิทธิ์ความเสียดทานจลน$ระหว9างวัตถุกับพื้นฝÉด
วัตถุขนาดเล็กมาก จึงไม9พิจารณาขนาดของวัตถุ ระยะทาง s ที่วัตถุเคลื่อนที่ได?มีค9าเท9าใด (A-level65)
0? !
1.
)@" 6
A!
2.
@" 6
A!
3.
)0?
A!
4.
)@" 0
)@# )
5.
0
6. พิจารณาข?อความต9อไปนี้
ก) ถ?าวัตถุตกลงจากที่สูงซึ่งมีความสูงเพิ่มขึ้นจากเดิม 10% พลังงานศักย$จะเพิ่มขึ้น 10% ด?วย
ข) ถ?ามวลลดลง 5% พลังงานจลน$และพลังงานศักย$จะลดลง 5% ด?วย
ค) ถ?าอัตราเร็วเพิ่มขึ้น 15% พลังงานจลน$จะเพิ่มขึ้น 15% ด?วย
ข?อใดต9อไปนี้ถูกต?อง
1. ก และ ข
2. ข และ ค
3. ก และ ค
4. ถูกทุกข?อ
บทที่ 6 โมเมนตัมและการชน
1. โมเมนตัม(P)
โมเมนตัม คือผลคูณระหว9างมวลกับความเร็วของมวลนั้น เปIนปริมาณเวกเตอร$ ซึ่งมีทิศทางไปตามทิศ
ของความเร็วนั้น เขียนเปIนสมการแสดงจะว9า
N = >-
2. การดลและแรงดล
กรณีที่วัตถุถูกแรงกระทำวัตถุจะมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วและโมเมนตัมค9าของโมเมนตัมที่เปลี่ยนไป
เรียกว9า การดล ( ∆P )
∆T = >- − >/
∆N >- − >/
4= หรือ 4 =
0 0
3. การชน
กฎการอนุรักษ1โมเมนตัม กล9าวว9า " เมื่อวัตถุเกิดการชนกัน ผลรวมของโมเมนตัมก9อนชนจะเท9ากับ
ผลรวมของโมเมนตัมหลังชน "
4. การชนแบบยืดหยุAนและไมAยืดหยุAน
การชนกันของวัตถุโดยทั่วไปจะมี 2 แบบ คือ
1) การชนกันแบบยืดหยุ3น เปIนการชนซึ่งพลังงานจลน$และโมเมนตัมมีค9าคงที่ นั่นคือ
Σk ก"อน = Σ(หลัง
Σpก"อน = Σpหลัง
ในกรณี ที่วัตถุสองก?อนเกิดการชนกันแบบยืดหยุ9น จะได?ว9า
/* + -* = /) + -)
2) การชนกันแบบไม3ยืดหยุ3น เปIนการชนซึ่งพลังงานจลน$จะมีค9าไม9คงเดิมแต9โมเมนตัมยังคงเท9าเดิม
นั่นคือ
Σk ก"อน ≠ Σk หลัง
Σpก"อน = Σpหลัง
5. การชนในหนึ่งมิติ
การชนในหนึ่งมิติหรือการชนในแนวตรง คือการชนที่แนวการเคลื่อนที่ของวัตถุทั้งสองอยู9ในแนว
เส?นตรงเดียวกันทั้งก9อนชนและหลังชน การชนแบบนี้จะเกิดขึ้นได?เมื่อแนวการเคลื่อนที่ของจุดศูนย$กลางมวล
ของวัตถุที่เคลื่อนที่เข?าชน มีแนวผ9านจุดศูนย$กลางมวลของวัตถุที่ถูกชน
Σpก"อน = Σpหลัง
>* /* + >) /) = >* -* + >) -)
บทที่ 7 การเคลื่อนที่แนวโคCง
1. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล1
แนวระดับ แนวดิ่ง
โปรเจกไทล1สมมาตร
การเคลื่อนที่แบบวงกลม
อัตราเร็ว 4 ลักษณะ
1. อัตราเร็วเชิงเส?น
2. คาบ
3. ความถี่
4. อัตราเร็วเชิงมุม
การเคลื่อนที่ของวัตถุแบบวงกลมนั้นจะมีแรงลัพธ$ไม9เท9ากับศูนย$โดยแรงลัพธ$จะมีทิศทางเข?าสู9
ศูนย$กลางของวงกลมเสมอ เรียกว9า แรงเข?าสู9ศูนย$กลาง โดยแรงเข?าสู9ศูนย$กลางจะทำให?ความเร็วของวัตถุ
เปลี่ยนทิศทางตลอดเวลา ส9งผลให?วัตถุเคลื่อนที่เปIนวงกลม
การเคลื่อนที่แบบวงกลมแนวราบ
การเคลื่อนที่แบบวงกลมแนวดิ่ง
ตัวอย3างขQอสอบเรื่องการเคลื่อนที่แนวโคQง
1. จะต?องดีดโพรเจกไทล$ m ด?วยความเร็วต?น (ในแนวระดับ) เท9าไรจึงจะลงหลุมพอดี (9 วิชาสามัญ’59)
$
)6 !
1. ] ^ _
B
$
6 !
2. ] ^ _
B
$
6 !
3. ] ^ _
)B
$
6 !
4. ] ^ _
)(BDE)
$
6 !
5. ] ^ ℎ
)E
2. เด็กคนหนึ่งนั่งอยู9บนรถที่เคลื่อนที่บนถนนตรงด?วยอัตราเร็ว v เด็กคนนี้ได?ปาก?อนหินด?วยอัตราเร็ว ' เทียบ
กับรถ ในทิศทำมุม 9 เทียบกับทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ ก?อนหินนี้จะตกห9างจากรถเท9าใด (9 วิชาสามัญ’
60)
1. ตกที่ตำแหน9งเดียวกับรถ
)G! H&' I JKH I
2. นำหน?ารถ,
6
)G H&' I
3. นำหน?ารถ, (' cos 9 + - )
6
)G! H&' I JKH I
4. ตามหลังรถ,
6
)G H&' I
5. ตามหลังรถ, (' cos 9 + -)
6
*
1. tan%*
4
2. tan %* *
)
3. 45o
4. tan%* 2
5. tan%* 4
@!
1. sin 9
)6
@!
2. sin 9
6
@!
3. sin 29
)6
@!
4. sin 29
6
)@!
5. sin 29
6
5√7
7. เจ?าหน?าที่กู?ภัยต?องการโยนอุปกรณ$ให?คนที่อยู9ในตึกซึ่งอยู9ห9าง 5 เมตร และอยู9สูง เมตร ดังภาพ
)
กำหนดให? ไม9คิดแรงต?านอากาศ
เจ?าหน?าที่กู?ภัยต?องโยนอุปกรณ$ด?วยมุมกี่องศาเทียบกับแนวระดับ เพื่อให?อุปกรณ$ขณะรับมีความเร็วแนวดิ่งเปIน
ศูนย$ (วิชาสามัญ 65)
1. 30
2. 37
3. 45
4. 53
5. 60
8. ลูกกลมมวล m1 มีมวลเปIนครึ่งหนึ่งของ m2 ถูกผูกด?วยเชือกที่ยาวไม9เท9ากันไว?ที่จุดตรึงหนึ่ง เมื่อแกว9งลูก
กลมทั้งสองให?เริ่มเคลื่อนที่พร?อมกันเปIนวงกลมในระนาบเดียวกันและมีจุดศูนย$กลางร9วมกัน พบว9า รัศมีการ
เคลื่อนที่ของลูกกลม m2 มีค9าเปIนสองเท9าของรัศมีการเคลื่อนที่ของลูกกลม m1 ดังภาพ
ข?อใดถูกต?อง (วิชาสามัญ 65)
1. คาบของ m1 มีค9าน?อยกว9าคาบของ m2
2. ความถี่เชิงมุมของ m1 มีค9าน?อยกว9าความถี่เชิงมุมของ m2
3. อัตราเร็วเชิงมุมของ m1 มีค9าเท9ากับอัตราเร็วเชิงมุมของ
m2
4. อัตราเร็วเชิงเส?นของ m1 มีค9าเท9ากับอัตราเร็วเชิงเส?นของ
m2
5. แรงสู9ศูนย$กลางของ m1 มีค9ามากกว9าแรงสู9ศูนย$กลางของ m2
เมื่อวัตถุเคลื่อนที่ออกจากตำแหน9งสมดุลจะมีแรงดึงวัตถุกลับมายังตำแหน9งสมดุล ซึ่งเปIนแรงที่ทำให?
วัตถุเคลื่อนที่ไปมาซ้ำทางเดิม เรียกแรงนี้ว9า แรงดึงกลับ (restoring force)
โดย
I )M
ω= = = 2ef หน9วยเปIน rad/s หรือ เรเดียนต9อวินาที
L N
* *
และ g= หรือ f =
O N
• เมื่อวัตถุผ9านตำแหน9งสมดุล (x = 0) จะมีความเร็ว
มากที่สุด หาได?จาก v"#$ = ωA
• เมื่อวัตถุอยู9ที่ตำแหน9งใด ๆ สามารถหาความเร็วได?
จาก - = ω√A) − x )
• เมื่อวัตถุอยู9ห9างจากจุดสมดุลมากที่สุด จะมีความเร็ว
เท9ากับศูนย$ (v = 0)
• เมื่อวัตถุอยู9ที่ตำแหน9งใด ๆ สามารถหาความเร9งที่
ตำแหน9งใด ๆ ได?จาก a = ωA
• เมื่อวัตถุอยู9ห9างจากจุดสมดุลมากที่สุดจะมีความเร9ง
มากที่สุด หาได?จาก a"#$ = ω) A
8.1 การสั่นของมวลติดปลายสปริง
&
ω= 8
'
คาบการเคลือ< นที<ของมวลติดปลายสปริ ง
'
T = 2π 8&
8.2 การแกว3งของลูกตุQมอย3างง3าย
คาบการเคลือ< นที<ของลูกตุ้ม
)
BY TRONGTJAI
= TUTOR
2π 8 ขอนแก่น & เชียงใหม่
(
คอร$ส SUMMER 2024 วิชาฟ4สิกส$ 40
P
ω= k จะได? R = mω)
"
ดังนั้นพลังงานรวม คือ
1 ) 1
E= Rx + >(ωmA) − x ) ))
2 2
*
E= >ω) A)
)
พิจารณาข?อความต9อไปนี้
ก. ที่จุด A และ B ขนาดของความเร็วมีค9าเท9ากันและไม9เท9ากับศูนย$
ข. เมื่อแกว9งลูกตุ?มมวล m ที่ผูกเชือกยาว L คาบการแกว9ง เท9ากับ 0.2, วินาที
ค. เมื่อแกว9งลูกตุ?มมวล 2m ที่ผูกเชือกยาว L ความถี่เชิงมุมมากกว9าเมื่อแกว9งลูกตุ?มมวล m ที่ผูกเชือก
ยาว 2L
ข?อความใดถูกต?อง
1. ก เท9านั้น 2. ข เท9านั้น 3. ค เท9านั้น
4. ก และ ข 5. ข และ ค
9
4) k
5
)5
5)
79
จงหาขนาดของความเร9งเชิงมุมและขนาดของมวล M
√)M
1) และ 3.0
)
2) √2e และ 1.2
3) √2e และ 2.0
4) 2√2e และ 2.0
5) 2√2e และ 3.0
" )M "
4. πk 5. kP
P 5
3) 1
4) √2
5) 2
บทที่ 9 คลื่น
9.1 ชนิดของคลื่น
Ø แบ9งจากการอาศัยตัวกลางในการแผ9คลื่น
• คลื่นกล (mechanical waves) คือ คลื่นที่อาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เช9น คลื่นเสียง คลื่น
น้ำ คลื่นในเส?นเชือก
• คลื่นแม9เหล็กไฟฟXา (electromagnetic waves) คือ คลื่นที่ไม9อาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่
ซึ่งเปIนคลื่นที่สามารถแผ9ไปในบริเวณที่เปIนสุญญากาศได?
Ø แบ9งจากลักษณะการเคลื่อนที่ของอนุภาค
• คลื่นตามยาว (longitudinal waves) คือ คลื่นที่มีทิศทางการถ9ายโอนพลังงาน ทิศเดียวกับ
การสั่นของอนุภาค
• คลื่นตามขวาง (transverse waves) คือ คลื่นที่มีทิศทางการถ9ายโอนพลังงาน ตั้งฉากกับการ
สั่นของอนุภาค
Ø แบ9งจากช9วงเวลาที่รบกวนตัวกลาง
• คลื่นดล (Pulse wave) คือ คลื่นที่เกิดจากการรบกวนตัวกลางแบบไม9ต9อเนื่อง ทำให?เกิดลูก
คลื่นเพียงจำนวนหนึ่ง
• คลื่นต9อเนื่อง (Periodic wave) คือ คลื่นที่เกิดจากการรบกวนตัวกลางแบบต9อเนื่อง ทำให?
เกิดลูกคลื่นสม่ำเสมอ เรียกว9า คลื่นแบบไซน$
9.2 ส3วนประกอบของคลื่น
Ø อัตราเร็วของคลื่น
R T
- = = fλ =
S U
Ø มุมเฟสของคลื่น
∆$
ผลต9างเฟส ∆∅ = 2π ] ^ = 2πf∆t
T
9.3 การซQอนทับของคลื่น
สมบัติการสะท?อน
Ø การหักเห
คลื่นเกิดการหักเหเมื่อเคลื่อนที่ผ9านรอยต9อของตัวกลางที่ต9างกัน ในการหักเหคลื่นจะมีความถี่คงที่ แต9
อัตราเร็ว และความยาวคลื่นเปลี่ยนไปตามกฎของสเนลล$
กฏของสเนลล$
sin θ* v* λ* n)
= = =
sin θ) v) λ) n*
การหักเหของคลื่นผ9านน้ำตื้น น้ำลึก
เมื่อคลื่นเคลื่อนที่ผ9านระหว9างน้ำตื้นและน้ำลึก คลื่นจะมีความยาวคลื่น ความเร็ว และแอมพลิ
จูดในน้ำลึกมากกว3าน้ำตื้น และมีความถี่เท3าเดิม
ถ?าแบ9งลักษณะการหักเหของคลื่นออกเปIน 2 ลักษณะ
1) การหักเหแบบเบนเข?าหาเส?นปกติ เกิดขึ้นเมื่อคลื่น เดินทางเริ่มต?นจากตัวกลางที่มีความเร็ว
มาก หรือความยาวคลื่นมาก ไปสู9ตัวกลางที่มีความเร็วน?อยกว9า หรือความยาวคลื่นสั้นกว9า v* > v)
และ
λ* > λ) จะทำให?มุมหักเหมีค9าน?อยกว9ามุมตกกระทบ θ) < θ*
สําหรับแนวบัพลําดับที< n (N$ )
0
|S# P − S! P| = Nn − O λ
.
0
d sinθ = Nn − O λ
.
Ø การเลี้ยวเบน
เสียงสามารถเคลื่อนที่อ?อมไปยังด?านหลังของสิ่งกีดข?างได? เช9นเดียวกับคลื่นน้ำเมื่อเสียงเคลื่อนที่ผ9าน
ช9องแคบ คลื่นส9วนที่ลอดออกไปหลังช9องแคบจะสร?างคลื่นลูกใหม9หลังช9องนั้น และคลื่นที่เกิดใหม9จะสามารถ
เลี้ยวกระจายออกไปทั้งด?านซ?ายและขวาของแนวคลื่นที่ลอดไป ปรากฏการณ$นี้เรียกว9า การเลี้ยวเบนของเสียง
ซึ่งจะเกิดได?ดีก็ต9อเมื่อช3องมีขนาดเล็กกว3าความยาวคลื่น
9.5 คลื่นนิ่ง
คลื่น 2 ขบวนที่มีความยาวคลื่น อัตราเร็ว และแอมพลิจูดเท9ากัน เคลื่อนที่เข?าหากันในแนวเส?นตรง
จะทำให?เกิดการซ?อนทับกันของคลื่น
ตัวอย3างขQอสอบเรื่องคลื่น
M
ณ เวลาหนึ่งๆ อนุภาคสองอนุภาคใดๆ ในตัวกลาง ที่มีเฟสต9างกัน เรเดียน จะอยู9ห9างกันกี่เมตร
4
1. 0.1 เมตร
2. 0.125 เมตร
3. 0.25 เมตร
4. 0.5 เมตร
5. 1.0 เมตร
จากนั้นนักเรียนวาดภาพหน?าคลื่นใหม9ที่เกิดขึ้นจากหน?าคลื่นเดิมดังภาพที่ 2 และะบุว9ารัศมีของหน?าคลี่น
วงกลมเล็กๆ (เส?นประ) มีขนาดเท9กับความยาวคลื่นของคลื่นผิวน้ำ
ภาพที่ 2 แสดงหน?าคลื่นคลื่นใหม9ของคลื่นผิวน้ำและภาพขยายแสดงจุดตัดระหว9างหน?าคลื่นที่นักเรียน
วาด
คลื่นผิวน้ำนี้ความถี่กี่เฮิรตซ$และภาพหน?าคลื่นใหม9ที่นักเรียนวาดถูกต?องหรือไม9 เพราะเหตุใด (A-level66)
ข?อ ความถี่ (เฮิรตซ$) ความถูกต?องของภาพหน้ำคลื่นใหม9
1. 1 ไม9ถูกต?อง เพราะหน้ำคลื่นใหม9ต?องเกิดจากการลากเส?นสัมผัสทีเ่ ชื่อมหน?าคลื่น
วงกลมเล็ก ๆ
2. 4 ไม9ถูกต?อง เพราะหน?าคลื่นใหม9ต?องเกิดจากการลากเส?นสัมผัสทีเ่ ชื่อมหน?าคลื่น
วงกลมเล็ก ๆ
3. 4 ถูกต?อง เพราะหน?าคลื่นใหม9ต?องเกิดจากการลากเส?นเชือ่ มจุดตัดระหว9างหน?า
คลื่นวงกลมเล็ก ๆ
4. 5 ไม9ถูกต?อง เพราะหน?าคลื่นใหม9ต?องเกิดจากการลากเส?นสัมผัสทีเ่ ชื่อมหน?าคลื่น
วงกลมเล็ก ๆ
5. 5 ถูกต?อง เพราะหน?าคลื่นใหม9ต?องเกิดจากการลากเส?นเชือ่ มจุดตัดระหว9างหน?า
คลื่นวงกลมเล็ก ๆ
4) ข?อใดไม9ใช9สมบัติของคลื่นกล (NETSAT-1/65)
1) คลื่นกลเดินทางบนแท9งเหล็กในสุญญากาศ
2) คลื่นเสียงเกิดการแทรกสอดได?
3) คลื่นเสียงเกิดบีตส$เมื่อแหล9งกำเนิดมีความถี่ต9างกันที่ 20 เฮิร$ต
4) คลื่นน้ำจะเคลื่อนที่เร็วขึ้นเมื่อความลึกลดลง
5) สังเกตคลื่นในเส?นเชือกขบวนหนึ่งพบว9า มีการสั่นขึ้นลงจำนวน 40 รอบในเวลา 30 วินาที และสันคลื่นหนึ่ง
เคลื่อนที่ได?ระยะทาง 4.2 เมตร ใน 10 วินาที คลื่นขบวนนี้มีความยาวคลื่นกี่เมตร
1) 0.11
2) 0.32
3) 0.56
4) 1.8
5) 3.2
6) ถ?าความเร็วคลื่นน้ำมีค9า 60 cm/s นำเอาแท9งไม?สองแห9ง จุ9มปลายไม?ลงแตะผิวน้ำให?แท9งไม?ทั้งสองอยู9ห9าง
กัน 10 cm สั่นแท9งไม?ทั้งคู9ด?วยความถี่ 30 Hz ข?อใดถูก (NETSAT-2/65)
1. ถ?าสั่นแท9งไม?ทั้งคู9พร?อมกัน ( in phase) ที่จุดกึ่งกลางระหว9างแท9งไม?จะเปIนจุดบัพ
2. ถ?าสั่นแท9งไม?ทั้งคู9สลับกัน ( out of phase) ที่จุดห9างจากแท9งไม?แท9งหนึ่งเปIนระยะ 0.5 cm จะ
เปIนจุดปฏิบัพ
3. ที่จุดกึ่งกลางระหว9างแท9งไม?ทั้งสองห9างจากแนวแท9งไม?เปIนระยะ 20 cm จะเปIนจุดบัพตลอดเวลา
ถ?าแท9งไม?สั่นพร?อมกัน
4. เนื่องจากคลื่นมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลาจึงสรุปอะไรไม9ได?
บทที่ 10 แสงเชิงคลื่น
แสง เปIนคลื่นแม9เหล็กไฟฟXาที่ไม9จำเปIนต?องอาศัยตัวกลางในการส9งผ9านพลังงาน อยู9ในช9วงความยาว
คลื่นประมาณ 400 – 700 นาโนเมตร มีอัตราเร็วในสุญญากาศประมาณ 3 × 10% เมตรต9อวินาที
10.1 การแทรกสอดของแสงผ3านสลิตคู3
เมื่อแสงผ9านสลิตคู9ช9องของสลิตจะเปIนเหมือนกับแหล9งกำเนิดอาพันธ$ ทำให?เกิดคลื่น 2 ขบวนที่มี
ลักษณะเหมือนกันทุกประการ เกิดการแทรกสอดของแสง
สูตรการคำนวณ
แถบสว9าง (การแทรกสอดแบบเสริม)
|S# P − S! P| = nλ
d sinθ = nλ
+,
= nλ
-
แถบมืด (การแทรกสอดแบบหักล?าง)
#
|S# P − S! P| = >n − @ λ
!
#
d sinθ = >n − !@ λ
+, 0
= Nn − O λ
- .
10.2 การเลี้ยวเบนของแสงผ3านสลิตเดี่ยว
เมื่อฉายแสงผ9านสลิตเดี่ยว จะเกิดการเลี้ยวเบนและการแทรกสอดของแสง เกิดแถบสว9างและแถบมือ
บนฉาก โดยแถบสว9างตรงกลางจะกว?างที่สุด
สูตรการคำนวณ
ความกว?างของแถบสว9าง = 2x โดยหา x จากสูตร
W$
= nλ
X
แถบมืด ลำดับที่ n
|S* P − S) P| = wx
y2zw9 = wx
W$
= nλ
X
10.3 การเลี้ยวเบนของแสงผ3านเกรตติง
เกรตติงเปIนอุปกรณ$ที่ประกอบด?วยช9องแคบจำนวนมาก เมื่อแสงเลี้ยวเบนผ9านจะทำให?แสงแต9ละสี
แยกออกจากกัน
สูตรการคำนวณ
ความยาวเกรตติง
เนื่องจากเกรตติงมีจำนวนช9องเยอะมาก ดังนั้นระยะห9างระหว9างแหล9งกำเนิด (d) =
จำนวนช"อง
บทที่ 10 แสงเชิงคลื่น
1) ในการทดลองการแทรกสอดของแสงผ9านสลิตคู9 นักเรียนกลุ9มหนึ่งศึกษาความสัมพันธ$ะหว9างตำแหน9ง
กึ่งกลางของแถบสว9างอันดับที่ 1 เทียบกับตำแหน9งกึ่งกลางของแถบสว9างกลาง (x) และะยะห9างระหว9างช9อง
สถิต (d) ดังนี้
(1) เตรียมแผ9นสลิตคู9 3 แผ9น ที่มีค9า d ต9างกัน เลเซอร$พอยเตอร$สีเขียว และฉากให?ฉากห9างจาก
แผ9นสลิตคู9 2.0 เมตร
(2) ฉายแสงเลเซอร$ให?ตกกระทบตั้งฉากกับสลิตคู9แผ9นที่ 1 ซึ่งมีค9า d น?อยที่สุด วัดค9า x บนฉาก
บันทึกค9า x ที่วัดได?
(3) ทำซ้ำโดยเปลี่ยนแผ9นสลิตคู9ให?มีค9า d มากขึ้นตามลำดับ
(4) วิเคราะห$ข?อมูลและสรุปผลการทดลอง
พิจารณาข?อความต9อไปนี้
ก. ข?อมูลค9า x ที่ถูกบันทึกคือ ตำแหน9งที่เกิดการแทรกสอดของแสงแบบหักล?าง
ข. เมื่อใช?แผ9นสลิตคู9ที่มี d = 100 µm. ค9า x จะมากกว9า เมื่อใช?แผ9นสลิตคู9ที่มี d = 250 µm.
ค. ถ?านักเรียนกลุ9มนี้ตั้งสมมติฐานว9า “เมื่อค9า d มากกว9า ค9า x จะมากขึ้นตามไปด?วย” การทดลองนี้
สามารถใช?ทดสอบสมมติฐานดังกล9าวได?
ข?อความใดถูกต?อง (A-level66)
1. ก เท9านั้น
2. ข เท9านั้น
3. ค เท9านั้น
4. ก และ ค เท9านั้น
5. ข และ ค เท9านั้น
พิจารณาข?อความต9อไปนี้
ก. ระยะห9างระหว9างช9องของเกรตติงมีค9าเท9ากับ 5.0 ไมโครเมตร
ข. ถ?าฉายแสงเลเซอร$ที่มีความยาวคลื่นน?อยกว9า 650 นาโนเมตร ระยะห9างระหว9างจุดสว9างจะมีค9า
เพิ่มขึ้น
ค. ถ?าใช?เกรตติงอันใหม9 แล?วพบว9าระยะห9างระหว9างจุดสว9างมีค9าน?อยลง แสดงว9าระยะห9างระหว9าง
ช9องของเกรตติงจะมีค9ามากกว9าเดิม
ข?อใดความใดถูกต?อง
1. ก เท9านั้น 2. ข เท9านั้น 3. ค เท9านั้น
4. ก และ ค 5. ข และ ค
4) ในการทดลองเรื่องสลิตคู9ของยังส$พบว9า เมื่อให?แสงที่ประกอบด?วยสองความยาวคลื่น x* = 750 นาโน
เมตร x) = 900 นาโนเมตร ส9องตั้งฉากไปยังสลิตคู9ที่มีระยะห9างระหว9างช9อง 2 มิลลิเมตร พบว9าแถบสว9าง
จากคลื่นทั้งสองที่ปรากฏบนฉากที่อยู9ห9างออกไป 2 เมตร จะซ?อนกันครั้งแรก ที่ระยะห9างจากแถบสว9างตรง
กลางกี่มิลลิเมตร (โควตา มข.)
1. 3.0
2. 4.5
3. 6.0
4. 9.0
5) ทดลองฉายแสงผ9านสลิตคู9อันหนึ่งในห?องมืด เพื่อศึกษาผลของการแทรกสอดของแสงแล?วสังเกตระยะห9าง
ของจุดกึ่งกลางระหว9างแถบสว9างแถบแรกกับแถบสว9างกลาง
จากการทดลองในครั้งนี้ หากต?องการให?ระยะห9างของจุดกึ่งกลางระหว9างแถบสว9างแรกกับแถบสว9างกลางมีค9า
มากขึ้น จะต?องปรับการทดลองตามข?อใด (PAT2 มี.ค. 64)
1. เลื่อนฉากเข้าใกล้แผ่นสลิต 2. ปรับความถี่ของแสงให้มากขึ้น
3. ปรับความเข้มของแสงให้มากขึ้น 4. ใช้คลื่นแสงที่มีความยาวคลื่นลดลง
5. เปลี่ยนแผ่นสลิตที่มีระยะห่างระหว่างช่องสลิตให้แคบลง
บทที่ 11 แสงเชิงรังสี
11.1 การสะทQอนของแสง
11.2 การหักเหของแสง
คลื่นเกิดการหักเหเมื่อเคลื่อนที่ผ9านรอยต9อของตัวกลางที่ต9างกัน ในการหักเหคลื่นจะมีความถี่คงที่ แต9
อัตราเร็ว และความยาวคลื่นเปลี่ยนไปตามกฎของสเนลล$
Ø กฏของสเนลล$
H&' Y$ Z$ T$ '!
= = =
H&' Y! Z! T! '$
Ø การสะท?อนกลับหมดของแสง
เมื่อแสงเดินทางจากตัวกลางหนึ่งแสงที่ตกกระทบส9วนหนึ่งจะเกิดการสะท?อนและอีกส9วนหนึ่งจะเกิดการหักเห
แต9มีบางกรณีที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีค9าดัชนีหักมากไปยังตัวกลางที่มีดัชนีหักเหน?อย แล?วทำให?มุมหักเห
โตกว9ามุมตกกระทบ และหากมุมหักเหมีค9าเท9ากับ 90 องศา เราจะเรียกมุมตกกระทบที่ทำให?มุมหักเหมีค9าเปIน
90 องศาว9า มุมวิกฤต
11.3 การมองเห็นและการเกิดภาพ
Ø ลึกจริง ลึกปรากฏ
ลึกจริง 'วัตถุ
• มองวัตถุตั้งฉากกับผิวตัวกลาง =
ลึกปรากฏ 'ตา
'วัตถุ
• ระยะร9น ลึกจริง - ลึกปรากฏ = 1 -
'ตา
Ø ภาพจากกระจกราบ
ระยะวัตถุ (S) = ระยะภาพ (S[ )
Ø ภาพจากกระโค?ง
• กระจกนูน
- เปIนกระจกกระจายแสง
- ให?ภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดเล็กกว9าวัตถุเสมอ
• กระจกเว?า
- เปIนกระจกรวมแสง
- ให?ทั้งภาพจริง และภาพเสมือน (ขึ้นอยู9กับระยะที่วาง)
S > C เกิดภาพจริง หัวกลับ ขนาดเล็กกว9าวัตถุ
S = C เกิดภาพจริง หัวกลับ ขนาดเท9ากับวัตถุ
C > S > f เกิดภาพจริง หัวกลับ ขนาดใหญ9กว9าวัตถุ
S = f เกิดภาพจริง ที่ระยะอนันต$ หรือไม9เกิดภาพบนฉากรับภาพ
S < f เกิดภาพเสมือน หัวตั้ง ขนาดเล็กกว9าวัตถุ
สูตรการคำนวณ เกี่ยวกับกระจกและเลนส1
]
• รัศมีความโค?ง f=
)
* * *
• ความยาวโฟกัส = +
^ H H%
H% \% ^ H% %^
• กำลังขยาย m= = = =
H \ H%^ ^
เงื่อนไข
กระจกเว?า เลนส$นูน f เปIน + กระจกนูน เลนส$เว?า f เปIน –
ภาพจริง S& , = & , m เปIน + ภาพเสมือน S& , = & , m เปIน -
Ø แสงสีและการมองเห็น
• การผสมแสงสี
แสงปฐมภูมิ ได?แก9 สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน เนื่องจากสามารถทำให?เซลล$รูปกรวย (ภายใน
ตาของเรา) ตอบสนองในรูปแบบต9าง ๆ กัน และสามารถผสมกันให?เห็นเปIนต9าง ๆ
กำหนดให? - แผ9นกรองแสงสีที่ใช?มีคุณภาพสูง
- การผสมแสงสีปฐมภูมิเปIนดังภาพ
จากข?อมูล ถ?ามองวัตถุ A ภายใต?แสงขาว จะเห็นเปIนสีใด (A-level66)
1. สีแดง
2. สีขาว
3. สีเหลือง
4. สีแดงม9วง
5. สีน้ำเงินเขียว
2) (PAT2 ก.พ. 62) วางวัตถุชิ้นหนึ่งห9างจากกระจกนูนเปIนระยะ 20 cm ถ?ากระจกนูนนี้มีความยาวโฟกัสเท9ากับ
10 cm จะเกิดภาพที่ตำแหน9งใด และระยะห9างจากกระจกเปIนเท9าใด ตามลำดับ
1. หน?ากระจก ที่ระยะห9าง 6.67 cm
2. หน?ากระจก ที่ระยะห9าง 10 cm
3. หน?ากระจก ที่ระยะห9าง 30 cm
4. หลังกระจก ที่ระยะห9าง 6.67 cm
5. หลังกระจก ที่ระยะห9าง 20 cm
4) รุ?งเกิดจากการหักเหของแสงอาทิตย$ผ9านหยดน้ำ โดยแสงขาวจากดวงอาทิตย$ที่ผ9านเข?าสู9หยดน้ำจะถูก
กระจายออกเปIนแสงสีต9างๆ แล?วสะท?อนภายในหยดน้ำ ออกสู9อากาศเข?าสู9ตาผู?สังเกต
พิจารณารุ?งปฐมภูมิที่เกิดจากการสะท?อนของแสงภายในหยดน้ำ 1 ครั้ง แล?วออกสู9อากาศ
ดังภาพอย9างง9ายซึ่งพิจารณาแสงเพียง 2 สี เท9านั้น
5) เมื่อฉายแสงเลเซอร$เข?าสู9แท9งพลาสติกรูปครึ่งวงกลมตามแนวรัศมี แสงเลเซอร$ที่ออกจากด?านระนาบจะมีมุม
วิกฤตมีค9าเท9ากับ 30 องศา ดังภาพ
กำหนดให? อัตราเร็วของแสงในอากาศมีค9าเท9ากับ 3.0 x 108 เมตรต9อวินาที ค9าดรรชนีหักเหของอากาศมีค9า
เท9ากับ 1
อัตราเร็วของแสงในแท9งพลาสติกจะมีค9ากี่เมตรต9อวินาที และถ?าให?แสงเลเซอร$เดิมเคลื่อนที่จากแท9งพลาสติก
ไปยังอากาศด?วยมุมตกกระทบน?อยลงเปIน 20 องศาแสงจะเคลื่อนที่อย9างไร
บทที่ 12 เสียง
12.1 อัตราเร็วเสียง
อัตราเร็วเสียงขึ้นกับความหนาแน9นของตัวกลาง และอุณหภูมิของอากาศ
อัตราเร็วเสียงในอากาศหาได?จาก v = 331 + 0.6t
R T
P = = fλ = = 331 + 0.6T1
S U
12.2 สมบัติของเสียง
Ø การสะท?อน
การสะท?อนของเสียงขึ้นอยู9กับลักษณะของผิวที่สะท?อน โดยพื้นผิวแข็งจะสะท?อนเสียงได?ดีกว9าผิวอ9อนนุ9ม
- เมื่อเสียงไปตกกระทบวัตถุที่มีขนาดใหญ9กว9าความยาวคลื่นเสียง เสียงจะเกิดการสะท?อน
- หากวัตถุมีขนาดเล็กกว1าความยาวคลื่นเสียง เสียงจะไม1เกิดการสะท?อน แต1จะเลี้ยวอ?อมไปทางอื่น
- หากมีเสียงสะท?อนจากหลายแหล9ง มาถึงผู?ฟ©งในช9วงเวลาที่ต9างกันมากกว9า 0.01 วินาที จะทำ
ให?ได?ยินเสียงสะท?อนหลายเสียง เรียกว9าเกิด เสียงก?อง
Ø การหักเห
ขณะเกิดฟXาคะนองบางครั้งเราเห็นฟXาแลบแต9ไม9ได?ยินเสียงฟXาร?อง เนื่องจากอากาศเหนือผิวโลกมีอุณหภูมิไม9
เท9ากัน โดยอากาศบริเวณที่ห9างจากผิวโลกจะมีอุณหภูมิต่ำกว9าอากาศบริเวณใกล?ผิวโลกเสียงฟXาร?องที่เกิดขึ้น
บนท?องฟXาจะเคลื่อนที่ลงมายังพื้นโลกจากอากาศเย็นด?านบนลงมายังอากาศร?อนด?านล9าง ทำให?อัตราเร็ว
เพิ่มขึ้นที่ละน?อย เกิดการหักเหของเสียงฟXาร?องโดยมีมุมหักเหโตขึ้นทีละน?อย เมื่อต่ำถึงระดับหนึ่งจนสะท?อน
กลับหมดขึ้นสู9อากาศด?านบนแทนที่จะเคลื่อนที่ลงมายังพื้นดิน เราจึงไม9ได?ยินเสียงฟXาร?อง
• การหักเหของเสียงในอากาศ
R&'Y$ A$ _$ '! U$
= = = =k
R&'Y! A! _! '$ U!
Ø การแทรกสอด
สูตรการคำนวณ
สำหรับแนวปฏิบัพลำดับที่ n (A' )
|S* P − S) P| = nλ
d sinθ = nλ
สำหรับแนวบัพลำดับที่ n (N' )
*
|S* P − S) P| = ]n − ^ λ
)
*
d sinθ = ]n − ^ λ
)
Ø การเลี้ยวเบน
12.3 ความเข?มเสียง
เสียงที่ออกมาจากจุดกำเนิดจะมีลักษณะแผ9ออกเปIนทรงกลมคล?ายลูกบอล กว?างออกไปเรื่อย ๆ
สูตรการคำนวณ I = 10 = 234
0
'
12.4 ระดับเสียง
การบอกความดังหรือเบาของเสียงด?วยความเข?มเสียงที่ผ9านมานั้นจะเห็นว9าช9วงจากเสียงเบาที่สุด ไปหาดังที่สุด
มีช9วงมากกว9ากันถึง 10#! เท9า จึงไม9เหมาะจะใช?บอกถึงความดังหรือเบา จึงเปลี่ยนมาใช?การบอกความดังหรือ
เบาด?วยค9าระดับเสียง ซึ่งเทียบมาจากความเข?มเสียง โดยใช?ลอการึทึม
8 8
β = 10log = 10log
8()* #9+,'
• ระดับเสียงที่ดังที่สุดที่ทนฟ©งได?เท9ากับ 120 dB
• ระดับเสียงที่เบาที่สุดที่สามารถได?ยินเท9ากับ 0 เดซิเบล
• หากเปIนการหาผลต9างระดับเสียง 2 ค9า สามารถหาได?จากสูตร
8' a! b!$
β! − β# = 10log = 10log ×
8, a$ b!!
12.5 บีตส$
การแทรกสอดของเสียง 2 ขบวนที่มีความถี่ต9างกันเล็กน?อย (ต9างกันไม9เกิน 7 Hz)
สูตรการคำนวณความถี่บีต f2 = |f0 − f. |
• ความดังหรือเบาของเสียง ขึ้นกับแอมพลิจูดของคลื่นเสียง ถ?าคลื่นเสียงมีแอมพลิจูดสูง เสียง
จะดัง ถ?าคลื่นเสียงมีแอมพลิจูดต9าง เสียงจะเบา
• ระดับความสูงต่ำของเสียง จะขึ้นกับความถี่ของคลื่นเสียง ถ?าคลื่นเสียงมีความถี่สูง เสียงจะ
แหลม เรียกระดับเสียงสูง ถ?าคลื่นเสียงมีความถี่ต่ำ เสียงจะทุ?ม เรียกระดับเสียงต่ำ
• ช9วงความถี่ของเสียงที่หูคนปกติจะได?ยินคือช9วง 20 – 20000 เฮิรตซ$ เท9านั้น
12.7 การสั่นพ?องของเสียง
เมื่อวัตถุสั่นอย9างอิสระ วัตถุจะสั่นด?วยความถี่ธรรมชาติค9าหนึ่ง หากวัตถุถูกกระตุ?นด?วยความถี่เท9ากับ หรือ
ใกล?เคียงกับความถี่ธรรมชาติของวัตถุอย9างต9อเนื่อง วัตถุก็จะเกิดการสั่นพ?อง หรือ เรโซแนนซ$ และเรียกว9า
ความถี่ที่ทำให?เกิดการสั่นพ?องนี้ว9า ความถี่เรโซแนนซ$ (Resonant frequency)
Ø ท9อปลายป4ดหนึ่งข?าง หลอดเรโซแนนซ$, หลอดกำทอน, กระบอกสูบ/ลูกสูบ, กระบอกตวง จะได?
(!7<#): 2-
เมื่อได?ยินเสียงครั้งที่ n (เกิดการสั่นพ?องครั้งที่ n) L=
2
ดังนั้น λ=
(!7<#)
(!7<#)>
ดังนั้น ความถี่เรโซแนนซ$ครั้งที่ n หาได?จากสูตร f=
2-
nv
f$ = = nf0
2L
Ø การสั่นพ?องของลวดขึงตรึงทั้ง 2 ข?าง
nv n √T T = แรงดึงในเส?นเชือก มีหน9วยเปIน นิวตัน
f$ = =
2L 2L √µ B = มวลต9อความยาว มีหน9วยเปIน kg/m
12.8 ปรากฏการณ$ดอปเพลอร$
เปIนปรากฏการณ$ที่เราได?ยินเสียงจากแหล9งกำเนิดเสียงที่มีความถี่เปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องจากการ
เคลื่อนที่สัมพัทธ$ระหว9างแหล9งกำเนิดเสียงกับผู?สังเกต มี 3 กรณี คือ
(1) แหล9งกำเนิดเสียงเคลื่อนที่ ผู?สังเกตอยู9นิ่ง
12.9 คลื่นกระแทก
เปIนปรากฏการณ$ที่แหล9งกำเนิดเสียงมีความเร็วมากกว9าความเร็วเสียงในอากาศ
v3 1 h
sinθ = = =
v4 M x
ตัวอย3างขQอสอบที่ใชQความรูQเรื่องเสียง
1. (NETSAT-2/65) ข?อใดถูก
1. การเกิดบีตส$จะเกิดที่ความถี่ไม9เกิน 7 Hz
2. ปรากฏการณ$ดอปเปอร$จะเกิดกับคลื่นเสียงเท9านั้น
3. ถ?าแหล9งกำเนิดเสียงและผู?สังเกตเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน จะไม9เกิดดอปเปอร$
4. คลื่นแม9เหล็กไฟฟXาสามารถเกิดบีตส$ได?
2. (PAT2 ก.พ. 63) การลดระดับความเข?มเสียงลง 3 dB จะทำให?ความเข?มเสียงลดลงประมาณร?อยละเท9าใด
กำหนดให? log2 = 0.30 , log3 = 0.48 , log4 = 0.60 , log 5 = 0.70 , log6 = 0.78
1. 46
2. 48
3. 50
4. 52
5. 54
3. (PAT2 ก.พ. 62) เมื่อเสียงเคลื่อนที่จากแหล9งกำเนิดหนึ่งมีความถี่เพิ่มเปIน 2 เท9าความยาวคลื่นและอัตราเร็ว
คลื่นเสียงเปIนอย9างไร ถ?าเสียงเคลื่อนที่ในตัวกลางเดิม
1. ความยาวคลื่นเท9าเดิม อัตราเร็วเท9าเดิม
2. ความยาวคลื่นเท9าเดิม อัตราเร็วเพิ่มเปIน 2 เท9า
3. ความยาวคลื่นเพิ่มเปIน 2 เท9า อัตราเร็วเท9าเดิม
4. ความยาวคลื่นลดลงครึ่งหนึ่ง อัตราเร็วเท9าเดิม
5. ความยาวคลื่นลดลงหนึ่งในสี่ อัตราเร็วลดลงครึ่งหนึ่ง
4. (PAT2 ก.พ. 61) แหล9งกำเนิดเสียงจากแหล9งกำเนิดเสียงที่มีความยาวคลื่น 0.75 m และ 0.76 m ความถี่บีต
ที่เกิดจากคลื่นสองแหล9งนี้มีค9าประมาณกี่เฮิร$ต ถ?าอัตราเร็วเสียงในอากาศเท9ากับ 340 m/s
1. 0.2 2. 0.3 3. 3 4. 45. 6
5. ในการเตรียมงานจุดพลุใกล?ชุมชนหนึ่ง ผู?จัดงานทำการตรวจสอบระดับเสียง
โดยทดสอบจุดพลุที่ทำให?เกิดเสียงที่มีความถี่ประมาณ 1000 เฮิรตซ$ ในสถานที่เตรียมจัดงาน
พบว9า ที่ระยะห9างจากจุดที่ทดสอบ 15 เมตร วัดระดับเสียงได? 140 เดซิเบล
กำหนดให? ความสัมพันธ$ระหว9างระดับเสียงและความเข?มเสียง กับความถี่ที่คนในชุมชนนี้ได?ยินเปIนดังกราฟ
บทที่ 13 ไฟฟëาสถิต
วัตถุต9าง ๆ ประกอบด?วยโมเลกุล โดยโมเลกุลประกอบด?วยอะตอมของธาตุต9าง ๆ ภายในอะตอมมี
โปรตอนซึ่งมีประจุไฟฟXาบวก และนิวตรอนที่เปIนกลางทางไฟฟXาอยู9รวมกันภายในนิวเคลียส โดยมีอิเล็กตรอน
ซึ่งมีประจุไฟฟXาลบเคลื่อนที่อยู9รอบ ๆ นิวเคลียส
ภาพที่ 1แบบจำลองอะตอม
ที่มา http://www.buzzle.com/images/diagrams/atom-diagram/atom-particles1.jpg
13.1 การทำให?วัตถุที่เปIนกลางเกิดปะจุไฟฟXา
13.2 กฎของคูลอมบ$
เมื่อประจุไฟฟXา 2 ประจุ อยู9ห9างกันขนาดหนึ่งจะมีแรงกระทำซึ่งกันและกันเสมอ หากเปIนประจุชนิด
เดียวจะมีแรงผลักกัน หากเปIนประจุต9างชนิดกันจะมีแรงดึงดูดกัน
ชาร$ล โอกุสแต็ง เดอ กูลง นักฟ4สิกส$ชาวฝรั่งเศส ได?ทำการทดลองเพื่อศึกษาแรงระหว9างประจุไฟฟXา
สามารถสรุปได?ดังนี้
“ขนาดของแรงระหว9างประจุไฟฟXาทั้งสองมีค9าแปรผันตามผลคูณขนาดประจุแต9ละตัว
และแปรผกผันกับกำลังสองของระยะห9างระหว9างประจุทั้งสอง”
kq# q !
F=
r!
- แรงลัพธ$กระทำต9อกันเปIนมุม
13.3 สนามไฟฟXา
ไมเคิล ฟาราเดย$ ได?นำเสนอแนวคิดว9า ประจุไฟฟXาหนึ่งรับรู?ถึงการมีอยู9ของประจุไฟฟXาอื่น และส9งแรง
ทางไฟฟXากระทำต9อประจุนั้นได? เพราะว9าโดยรอบประจุไฟฟXาหนึ่ง ๆ จะมีสนามไฟฟëาที่แผ9ออกไปทั่ว เมื่อ
ประจุไฟฟXาอีกประจุหนึ่งอยู9ในสนามไฟฟXาของประจุดังกล9าวก็จะรับรู?ถึงแรงทางไฟฟXาที่ประจุนั้นกระทำได?
หากต?องการแสดงว9าในบริเวณหนึ่งมีสนามไฟฟXาหรือไม9 สามารถแสดงได?โดยนำประจุบวก q เรียกว9า
ประจุ ทดสอบ (test charge) ไปวาง ณ ตำแหน9 ง ที ่ ต? องการ หากมี แรงไฟฟX า กระทำต9 อประจุ ทดสอบ ณ
ตำแหน9งนั้น แสดงว9าตำแหน9งนั้นมีสนามไฟฟXา (E)
แรงทางไฟฟXาที่กระต9อประจุทดสอบ (q) ในสนามไฟฟXาหาได?จากสูตร F = Eq
Pd
สนามไฟฟXาของประจุ (Q) หาได?จากสูตร E=
b!
Ø จุดสะเทิน คือจุดที่สนามไฟฟXาลัพธ$มีค9าเปIนศูนย$
13.4 ศักย$ไฟฟXา คือ ค9าพลังงานศักย$ไฟฟXาที่กระทำต9อหนึ่งหน9วยประจุ
e) Pf
V= =
d b
• ศักย$ไฟฟXาของประจุบวก มีค9าเปIนบวก
• ศักย$ไฟฟXาของประจุลบ มีค9าเปIนลบ
• ศักย$ไฟฟXาที่ระยะอนันต$
13.5 งานเนื่องจากการย?ายประจุ
เมื่อประจุมีการเคลื่อนที่จากจุด 1 ไปจุด 2 ด?วยแรงทางไฟฟXา จะส9งผลให?เกิดงาน
W = q(V) − V* )
13.6 ความสัมพันธ$ระหว9างสนามไฟฟXาและศักย$ไฟฟXา
บริเวณ A และ B เปIนตำแหน9งที่อยู9ในบริเวณที่มีสนามไฟฟXา E โดยอยู9ห9างกันเปIนระยะ d
และมีศักย$ไฟฟXา V1 และ V2 ตามลำดับ
V)* = Ed
หน9วยของสนามไฟฟXา นอกจากเปIนนิวตัน/คูลอมบ$ (N/C) อาจเขียนใหม9ได?เปIน โวลต$ต9อเมตร (V/m)
13.6 ตัวนำทรงกลม
13.7 ตัวเก็บประจุ และค9าความจุไฟฟXา
Ø ค9าความจุไฟฟXา (C)
ตัวจุทรงกลม R
C=
K
q
C=
V
Q
ตัวจุแผ่นคูข่ นาน C=
Ed
Ø พลังงานสะสมในตัวเก็บประจุ
1 1 Q) 1 )
Eg = QV = = CV
2 2 C 2
Ø การต9อตัวเก็บประจุ
• การต9อแบบอนุกรม
*
1. _
7
2. (√2 − 2)_
3. (2 − √2)_
)
4. _
7
*
5. _
4
)f
2. k
]
f
3. k
]!
4f
4. k
]!
5. 0
6. (PAT2 ก.พ. 63) ตัวเก็บประจุขนาด 6.0 พิโกฟารัด ต9ออนุกรมกับตัวเก็บประจุขนาด 9.0 พิโกฟารัด โดยตัว
เก็บประจุทั้งสองต9อเข?ากับแหล9งจ9ายไฟฟXากระแตรง 15 โวลต$ ประจุไฟฟXาในตัวเก็บประขนาด 9.0 พิโกฟารัด
เท9ากับกี่คูลอมบ$
1. 1.1 x 10-10
2. 2.3 x 10-10
3. 2.7x 10-11
4. 5.4 x 10-11
5. 1.0 x 10-12
บทที่ 14 ไฟฟ้ากระแส
14.1 กระแสไฟฟXา
กระแสไฟฟXา (I) คือ ปริมาณประจุไฟฟXาที่เคลื่อนที่ในหนึ่งหน9วยเวลา
f 'l
I= = เมื่อ I คือ กระแสไฟฟXา หน9วย แอมแปร$ (A)
S S
Q คือ ขนาดประจุ หน9วย คูลอมบ$ (C)
t คือ เวลา หน9วย วินาที (s)
n คือ จำนวนประจุไฟฟXา
e คือ ขนาดประจุ 1 ตัว โดย D = 1.6 × 10"#0 C
Ø กระแสไฟฟXาในลวดตัวนำ
เมื่อลวดตัวนำวางอยู9ในบริเวณที่มีสนามไฟฟXาจะส9งผลให?อิเล็กตรอนอิสระภายในเส?นลวด
เคลื่อนที่เปIนกระแสของประจุไฟฟXา มีทิศทางการเคลื่อนที่สวนทางกับสนามไฟฟXา
ในอดีตนักวิทยาศาสตร$ได?มีการกำหนดให?กระแสไฟฟXามีทิศทางจากตำแหน9งที่มีศักย$ไฟฟXาสูง
ไปยังตำแหน9งที่มีศักย$ไฟฟXาต่ำ ซึ่งเปIนทิศเดียวกับสนามไฟฟXา และตรงข?ามกับกระแสอิเล็กตรอน แม?
ในภายหลังจะพบว9ากระแสไฟฟXาในตัวนำเกิดจากการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน แต9การกำหนดทิศทาง
ของกระแสไฟฟXายังยึดตามแบบเดิม
สูตรการคำนวณ I = Ne-A เมื่อ I คือ กระแสไฟฟXา หน9วย แอมแปร$ (A)
N คือ จำนวนอิเล็กตรอนอิสระต9อลูกบาศก$เมตร
หน9วย ตัวต9อลูกบาศก$เมตร (m)* หรือ 50!")
e คือ ขนาดประจุ 1 ตัว โดย e =
1.6 × 10)0& C
v คือ ความเร็วลอยเลื่อนหน9วย เมตรต9อวินาที
(m/s)
A คือ พื้นที่หน?าตัดของลวด หน9วย ตารางเมตร
(m* )
14.2 กฎของโอห$ม
“เมื่ออุณหภูมิคงตัว กระแสไฟฟXาในตัวนำโลหะจะแปรผันตรงกับความต9างศักย$ระหว9างปลายของตัวนำนั้น”
จากกฏของโอห$มจึงได?สมการว9า
V = IR เมื่อ I คือ กระแสไฟฟXา หน9วย แอมแปร$ (A)
V คือ ความต9างศักย$ระหว9างปลายของตัวนำ หน9วย โวลต$
(V)
R คือ ค9าความต?านทานไฟฟXา หน9วย โอห$ม (Ω)
Ø สภาพต?านทาน และสภาพนำไฟฟXา
สภาพนำไฟฟXา (†) คือ ค9าที่แสดงถึงความสามารถในการนำไฟฟXาของสาร
สภาพต?านทาน (‡) คือ ค9าที่แสดงถึงความสามารถในการต?านทานไฟฟXาของสาร
mX
R=
n
Ø ตัวต?านทาน
ชิ้นส9วนอิเล็กทรอนิกส$ที่มีความต?านทาน เพื่อควบคุมปริมาณกระแสไฟฟXา และความต9างศักย$
• การอ9านค9าความต?านทาน
สี ตัวเลข
R = [AB × 101 ] ± D
ดำ 0
น้ำตาล 1
แดง 2
ส?ม 3
เหลือง 4
เขียว 5
น้ำเงิน 6
ม9วง 7
เทา 8
ขาว 9
ทอง ±5
เงิน ±10
• การต9อตัวต?านทาน
แบบอนุกรม
แบบขนาน
14.3 พลังงานในวงจรไฟฟXากระแสตรง
Ø พลังงานไฟฟXา
แรงเคลื่อนไฟฟXา หรือ อีเอ็มเอฟ (Electromotive force : emf : E : ‰ ) คือ พลังงานจาก
แหล9งกำเนิดไฟฟXาที่ประจุไฟฟXา 1 หน9วยประจุได?รับ
เราสามารถหาขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟXาได?จาก E = I(R + r)
ความต9างศักย$ (V) คือ พลังงานที่ประจุไฟฟXา 1 หน9วยประจุถ9ายโอนให?ส9วนต9าง ๆ ของวงจร
เมื่อประจุเคลื่อนที่ผ9านส9วนต9าง ๆ ของวงจรจะมีความต9างศักย$ระหว9างปลายเปIน ∆V และมี
พลังงานไฟฟXา เท9ากับ Q∆V
o! S
W = QV = ItV = I ) Rt =
]
>
P=
S
Ø การคิดค9าไฟ
ค9าไฟ = unit × ราคาต9อหน9วย
aS
เมื่อ Unit =
*:::
14.4 เซลล$ไฟฟXา
ขนาดของแรงเคลื่อนไฟฟXาของเซลล$ไฟฟXา E = I(R + r)
Ø การต9อเซลล$ไฟฟXา
• แบบอนุกรม
• แบบขนาน
14.5 แกลแวนอมิเตอร$
Ø แอมมิเตอร$
I@ R @ = IA R A
Iรวม = IA + I@
Ø โวลต$มิเตอร$
Vรวม = IA (R A + R ' )
Ø โอห$มมิเตอร$
ตัวอย3างขQอสอบที่ใชQความรูQเรื่องไฟฟëากระแส
1. (PAT2 ก.พ. 62) แกลแวนอมิเตอร$เครื่องใดต9อไปนี้เมื่อนำไปต9อกับตัวต?านทานชันต$ 500 โอห$ม แล?วจะเปIน
แอมมิเตอร$ที่วัดกระแสไฟฟXาได?สูงที่สุด
กระแสไฟฟXาสูงสุด (Ip , ความต?านทานไฟฟXาของแกลแวนอมิเตอร$ (R p ,
mA) Ω)
1. 10 500
2. 10 1,000
3. 10 2,000
4. 20 250
5. 20 500
1. 12 2. 15 3. 18 4. 24 5. 30
บทที่ 15 ไฟฟëาแม3เหล็ก
หากมีกระแสไฟฟXาไหลผ9านเส?นลวดตัวนำ จะเกิดเส?นแรงแม9เหล็กขึ้นรอบ ๆ เส?นลวดตัวนำนั้น แต9
อำนาจแม9เหล็กมีเล็กน?อยจนไม9สามารถนำไปใช?ประโยชน$ได? การจะเพิ่มความเข?มของสนามแม9เหล็กทำได?โดย
การนำเสQนลวดมาพันเปqนขดลวด เส?นแรงที่เกิดในแต9ละส9วนของเส?นลวดตัวนำจะเสริมอำนาจกัน ทำให?มี
ความเข?มของสนามแม9เหล็กเพิ่มขึ้น
แม3เหล็กไฟฟëา (Electromagnets) หมายถึง อำนาจแม9เหล็กที่เกิดจากการที่กระแสไฟฟXาไหลผ9าน
ในวัตถุตัวนำ หมายความว9าหากปล9อยให?กระแสไฟฟXาไหลในวัตถุตัวนำจะทำให?เกิดสนามแม9เหล็กรอบ ๆ
ตัวนำนั้น
คุณสมบัติของแม3เหล็ก
1. หากแขวนแท9งแม9เหล็กแล?วปล9อยให?เคลื่อนที่
อย9างอิสระ เมื่อหยุดนิ่ง แท9งแม9เหล็กจะวางตัวตามแนวทิศ
เหนือใต?ของโลก
2. สามารถดูดสสารแมกเนติกได?
3. แรงแม9เหล็ก มีสองประเภท ได?แก9
- แรงดูด เกิดขึ้นเมื่อวางแท9งแม9เหล็กที่มีขั้วต9างกันไว?ใกล?กัน
- แรงผลัก เกิดขึ้นเมื่อวางแท9งแม9เหล็กที่มีขั้วเหมือนกันไว?ใกล?กัน
4. อำนาจของสนามแม9เหล็กจะมีมากที่สุดที่บริเวณขั้วของแม9เหล็กทั้งสอง
5. เส?นแรงแม9เหล็กมีทิศทางออกจากขั้วเหนือไปยังขั้วใต? และ ณ จุดหนึ่งมี
เส?นแรงแม9เหล็กเพียงเส?นเดียว
การดูทิศทางการเคลื่อนที่ของประจุไฟฟëาในสนามแม3เหล็ก
สนามแม3เหล็กที่เกิดจากกระแสไหลในเสQนลวด
กระแสที่ไหลในขดลวดจะสร?างสนามแม9เหล็กขึ้นมารอบ ๆ
ลวดนั้นโดยจะมีทิศวนตามกฎมือขวา คือใช?มือขวาให?นิ้วหัวแม9มือชี้
ตามทิศกระแสไหล นิ้วทั้งสี่ที่กำวนรอบลวดจะแสดงสนามแม9เหล็กที่
เกิดขึ้นรอบ ๆ สนามแม9เหล็กที่เกิดจากกระแส หาได?จากสมการ
สนามแม3เหล็กที่เกิดจากกระแสไหลในขดลวดโซลินอยด1
เมื่อนําเส?นลวดมาขดเปIนวงเกิดเปIนขดลวดโซลินอยด$ แล?วให?กระแสไหล สนามแม9เหล็กที่เกิดขึ้นจะมี
สภาพเหมือนเปIนแท9งแม9เหล็ก โดยขั้วแม9เหล็กที่เกิดขึ้นจะหาได?จากการใช?มือขวา กําให?นิ้วทั้งสี่วนตามกระแส
ที่ไหลในขดลวด นิ้วหัวแม9มือจะชี้ไปด?านปลายที่เปIนขั้วเหนือของแม9เหล็กที่ถูกสร?างขึ้นมา
แรงที่แม3เหล็กกระทำต3อลวดที่มีกระแสผ3านและอยู3ในสนามแม3เหล็ก
เมื่อประจุเคลื่อนที่ในลวด ก็แสดงว9าลวดนั้นมีกระแสไฟฟXาไหล
ดังนั้น จึงเกิดแรงแม9เหล็กกระทำต9อลวดได?
แรงระหว3างลวดตัวนําสองเสQนที่ขนานกันและมีกระแสไหลผ3าน
การหาขนาดของแรงหาได?จากสูตร
‘* ‘)
4 = 2 × 10%8 •
y
เมื่อ • คือ ความยาวของเส?นลวด
y คือ ระยะห9างระหว9างลวด
4 คือ แรงระหว9างลวดขนาน
‘* และ ‘) คือ กระแสที่ไหลในเส?นลวด
แรงกระทำต3อขดลวดที่มีกระแสไฟฟëาผ3านและอยู3ในสนามแม3เหล็ก
ถ?าหม?อแปลงไม9มีการสูญเสียพลังงาน จะได?
พลังงานไฟฟXาของขดลวดปฐมภูมิ = พลังงานไฟฟXาของขดลวดทุติยภูมิ
ประสิทธิภาพของหมQอแปลง (Eff)
คAาของปริมาณที่เกี่ยวขJองกับไฟฟlากระแสสลับ
ไฟฟëากระแสสลับ คือ เหตุการณ$ที่แหล9งกำเนิดไฟฟXา ให?ค9าแรงเคลื่อนไฟฟXา (e) ค9ากระแสไฟฟXา (i)
และความต9างศักย$ (v) ไม9คงที่ มีค9าแปรผันตามเวลาแบบฟ©งก$ชัน sine คือ
การต3อวงจรไฟฟëากระแสสลับ
1.การต9ออนุกรมทั้งหมด จะมีกระแสเท9ากันทุก ๆ ส9วน (จึงใช?เฟสของ I อ?างอิงในการรวม V)
โดยการรวมความต9างศักย$ V จะเปIนการรวมโดยพิจารณาเฟสของ
แต9 ล ะตั ว โดยเที ย บกั บ I ซึ ่ ง เปI น ตั ว ร9 ว ม (เสมื อ นกั บ การคิ ด รวมแบบ
เวกเตอร$) ซึ่งจะได?ว9า
โปรตอนจะมีแนวการเคลื่อนที่อย9างไร และขนาดของแรงแม9เหล็กที่กระทำต9อโปรตอนมีค9าที่นิวตันกำหนดให?
โปรตอนมีขนาดประจุ e = 1.6 x 10 -19
อุปกรณ$นี้จะสามารถสร?างคลื่นแม9เหล็กไฟฟXาอย9างต9อเนื่องได?หรือไม9 เพราะเหตุใด
1. ไม9ได? เพราะกระแสไฟฟXาจากแบตเตอรี่ไม9เปลี่ยนแปลงตามเวลา
2. ไม9ได? เพราะมีกระแสไฟฟXาคงตัวเคลื่อนที่จะขดลวด X ไปขดลวด Y
3. ไม9ได?เพราะจำนวนขดลวด X ไปขดลวด Y
4. ได? เพราะจะเกิดอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนำที่ Y ขดลวดอย9างต9อเนื่อง
5. ได? เพราะกระแสไฟฟXาที่ผ9านขดลวด X ทำให?เกิดสนามแม9เหล็กที่มีขนาดคงตัว
5. หม?อแปลงลูกหนึ่งมีจำนวนรอบของขดลวดปฐมภูมิต9อจำนวนของลวดทุติยภูมิเปIน 1 : 4 ถ?ามีกระแสและ
ความต9างศักย$ในขดลวดทุติยภูมิเท9ากับ 10 แอมปºแปร$ และ 200 โวลต$ ตามลำดับจงหากระแสและความต9าง
ศักย$ในขดลวดปฐมภูมิ
1. 40 A , 50 V
2. 50 A , 40 V
3. 40 A , 40 V
4. 50 A , 50 V
บทที่ 16 ความรQอนและแกúส
ความรQอน (heat, Q) หมายถึง พลังงานรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถถ9ายทอดจากวัตถุที่มีอุณหภูมิสูงไปสู9
วัตถุที่มีอุณหภูมิต่ำกว9าโดยที่ความร?อนจะถ9ายโอนจนกระทั่งอุณหภูมิของวัตถุทั้งสองเท9ากัน เรียกว9า ................
กฎของแก๊สอุดมคติ
ความดันและพลังงานจลน1เฉลี่ยของแกúส
ปริมาณ เครื่องหมาย
ความร้อนเข้าสู่ระบบ +
R
ความร้อนออกจากระบบ -
พลังงานภายในระบบเพิ่มขึ้น +
∆b
พลังงานภายในระบบลดลง -
งานที่ทําโดยแก๊สส่งผลให้ระบบมีปริมาตร
+
เพิ่มขึ้น
c
งานที่ทําโดยแก๊สส่งผลให้ระบบมีปริมาตร
-
ลดลง
ตัวอย3างขQอสอบเรื่อง ความรQอนและแกúส
กำหนดให?
แก¢สภายในภาชนะมีจำนวนกี่โมล (วิชาสามัญ’65)
หากต?องการทำการทดลองใหม9เพื่อให?อุณหภูมิสุดท?ายหลังผผสมเมื่อน้ำแข็งหลอมเหลวจนหมดมีค9าน?อยลง
ควรทำอย9างไร (PAT2’65)
(1) ลดปริมาณของน้ำผลไม?
(2) เปลี่ยนจากน้ำผลไม?เปIนน้ำ โดยมวลของน้ำเท9ากับมวลของน้ำผลไม?
(3) เปลี่ยนภาชนะให?มีความสูงมากขึ้น โดยมวลและปริมาตรของภาชนะเท9าเดิม
(4) เปลี่ยนวัสดุที่ใช?ในการทำภาชนะจากอะลูมิเนียมเปIนโลหะผสมที่มีมวลเท9ากันโดยความร?อนจำเพาะ
ของโลหะผสมเท9ากับ 920 J/kg K
(5) เปลี่ยนภาชนะให?มีขนาดของเส?นผ9านเส?นผ9านศูนย$กลางใหญ9ขึ้น โดยมวลและปริมาตรของภาชนะเท1า
เดิม
4. บรรจุแก¢สอาร$กอนและแก¢สฮีเลียมจำนวนเท9ากันในภาชนะป4ดใบหนึ่ง โดยแก¢สทั้งสองมีสมบัติใกล?เคียงกับ
แก¢สอุดมคติ และอยู9ในสมดุลความร?อนที่อุณหภูมิ 300 เคลวิน พิจารณาข?อความต9อไปนี้
ก. พลังงานจลน$เฉลี่ยของแก¢สอาร$กอนและแก¢สฮีเลียมในภาชนะมีค9าไม9เท9ากัน
ข. อัตราเร็วเฉลี่ยของแก¢สฮีเลียมมากกว9าอัตราเร็วเฉลี่ยของแก¢สอาร$กอน
ค. ที่สมดุลความร?อน แก¢สอาร$กอนทุกโมเลกุลในภาชนะมีอัตราเร็วเท9ากัน
ข?อความใดถูกต?อง (วิชาสามัญ’64)
(1) ข. เท9านั้น (2) ค. เท9านั้น
(3) ก. และ ข. (4) ก. และ ค.
(5) ข. และ ค.
บทที่ 17 ของแข็งและของไหล
ของไหล (Fluid) หมายถึง สสารที่สามารถไหลจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได?มีรูปร9างไม9แน9นอน
ขึ้นอยู9กับภาชนะที่บรรจุของไหลอยู9 ในที่นี้ก็คือ ของเหลวและแก¢ส ในบทนี้จะกล9าวถึงสมบัติต9าง ๆ
ของของไหล ซึ่งได?แก9 ความหนาแน9น ความดันความตึงผิว ความหนืด และพลศาสตร$ของของไหล
ความหนาแน3น (density)
เปIนสมบัติเฉพาะตัวของสารแต9ละชนิด ใช?สัญลักษณ$เปIน
ภาษากรีกคือ “ρ” (อ9านว9า โรห$) ความหนาแน9นของสารใด ๆ
สามารถหาได?จากอัตราส9วนของมวลต9อปริมาตรของสารนั้น
ความหนาแน3นสัมพัทธ1 (relative density)
เปIนการหาอัตราส9วนระหว9างความหนาแน9นของสารต9อ
ความหนาแน9นของน้ำ หรือสามารถเรียกอีกชื่อว9า ความถ9วงจ?า
เพาะ (specific gravity, S)
ความดัน (pressure)
ภาชนะที่มีของเหลว จะมีแรงที่ของเหลวกระทำต9อภาชนะในทิศตั้งฉากกับผนังที่ของเหลว
สัมผัสเสมอ ขนาดของแรงต9อพื้นที่ เรียกว9า ความดันในของเหลว แรงที่ของเหลวกระท?าต9อวัตถุที่จม
ในของเหลว จะมีทิศตั้งฉากกับวัตถุที่จมเสมอ ถ?าเราลองเจาะรูของภาชนะ จะพบว9า แรงที่ของเหลว
จะดันน้ำให?พุ9งออกมาตั้งฉากกับภาชนะที่ตำแหน9งที่เจาะรูเสมอ
การจำแนกชนิดของความดัน
หลักการเกี่ยวกับความดันในของเหลวในสภาวะอยู3นิ่ง
1. ณ จุดใด ๆ ในของเหลวจะมีแรงกระทำของของเหลวไปในทุกทิศทุกทาง
2. แรงที่ของเหลวกระทำต9อผนังภาชนะหรือผิววัตถุที่อยู9ในของเหลวจะอยู9ในทิศตั้งฉากกับ
ผนัง ภาชนะหรือผิวของวัตถุที่ของเหลวสัมผัส
3. ความดัน ณ จุดใด ๆ ในของเหลวที่อยู9นิ่งแปรผันตรงกับความลึกและความหนาแน9นของ
ของเหลวเมื่ออุณหภูมิคงตัว
4. ความดันในของเหลวชนิดหนึ่งๆ ไม9ขึ้นอยู9กับปริมาตรและรูปร9างของภาชนะที่บรรจุ
ของเหลว และที่ความลึกเท9ากันของเหลวชนิดเดียวกันความดันจะเท9ากันเสมอ
แรงดัน (Force)
แรงดัน (Force) คือ ผลคูณระหว9างความดันกับพื้นที่ที่ถูกแรงกระทำ แรงดันเปIนปริมาณ
เวกเตอร$ มีหน9วยเปIน นิวตัน (“)
กฎของปาสคาล
ถ?ามีของไหลบรรจุอยู9ในภาชนะที่อยู9นิ่ง เมื่อให?ความดันเพิ่มเข?าไปแก9ของไหล ณ ตำแหน9งใด
ๆ ความดันที่เพิ่มขึ้นจะถ9ายทอดไปทุก ๆ จุดในของไหลนั้น
เครื่องอัดไฮโดรลิก (hydraulic press) “เมื่อออกแรงกระทำที่ด?านหนึ่งของของไหล (แรง
พยายาม) จะสามารถยกสิ่งของหรือวัตถุอีกด?านหนึ่งของของไหลได? (แรงต?าน)”
แรงพยุงจากของไหล
แรงพยุง (Buoyant force) หรือแรงลอยตัว เปIนแรงที่เกิดเมื่อของเหลวถูกแทนที่ด?วยวัตถุ
หรือเปIนแรงที่ของเหลวพยายามดันวัตถุให?ลอยอยู9ในของเหลว ซึ่งจะมีขนาดเท9ากับน้ำหนักของ
ของเหลวส9วนที่ถูกวัตถุแทนที่ พิจารณาสมดุลแรงที่กระทำต9อแท9งไม? จะได?ว9า น้ำหนักของวัตถุและ
แรงดันลัพธ$ระหว9างผิวด?านบนและผิวด?านล9างของแท9งไม?เท9ากัน
เนื่องจาก แรงพยุง เปIนแรงที่เกิดจากน้ำหนักของของเหลวถูกแทนที่ ดังนั้น
เพิ่มเติม 1. ค9าความตึงผิวของของเหลวแต9ละชนิดมีค9าไม9เท9ากัน
2. สำหรับของเหลวชนิดเดียวกันค9าความตึงผิวจะเปลี่ยนไปเมื่อมีสารมาเจือ
ปน เช9น น้ำสบู9 น้ำเกลือ จะมีความตึงผิวน?อยกว9าความตึงผิวของน้ำ
3. ค9าความตึงผิวจะลดลงเมื่ออุณหภูมิของของเหลวเพิ่มขึ้น
ของไหลอุดมคติ
สมบัติของไหลอุดมคติ ดังนี้
- การไหลอย9างสม่ำเสมอ (steady flow) ความเร็วที่จุดใดจุดหนึ่งมีค9าคงตัว
- การไหลจะต?องเปIนแบบไม9หมุน (irrotational flow) ตำแหน9งใด ๆ จะต?องไม9มีความเร็วเชิงมุม
- การไหลจะเปIนแบบที่อัดไม9ได? (incompressible flow) ความหนาแน9น ณ จุดต9าง ๆ มีค9าคงตัว
- มีการไหลโดยไม9มีแรงต?านเนื่องจากความหนืด (nonviscous flow) ไม9มีแรงเค?นเฉือนระหว9างชั้น
ของไหลที่ติดกัน
การประยุกต1ของสมการแห3งการต3อเนื่องและสมการของแบร1นูลลี
การไหลของน้ำออกจากถัง
แรงยกที่กระทำกับป¢กเครื่องบิน
ตัวอย3างขQอสอบเรื่อง ของแข็งและของไหล
1. ตัดลวดขนาดเล็กมาก มวล 2.0 กรัมให?เปIนวงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ?า กว?าง 2.4 เซนติเมตร ยาว 2.5 เซนติเมตร
แล?วผูกด?วยเชือกเบาและนำไปวางบนผิวของของเหลวชนิดหนึ่งที่มีความตึงผิว 0.4 นิวตันต9อเมตร จากนั้นออก
แรงดึงเชือก ดังภาพ
หากต้องการลวดโลหะที่ทนต่อแรงภายนอกที่มากระทําได้มากกว่า โดยยังสามารถกลับมามีความยาวเท่าเดิม
ควรเลือกโลหะใด และมอดูลัสของยังของลวดโลหะดังกล่าวมีค่ากี่พาสคัล (วิชาสามัญ’65)
(1) ลวดโลหะ A และ 2.0 x 10-11 พาสคัล
(2) ลวดโลหะ A และ 5.0 x 1010 พาสคัล
(3) ลวดโลหะ B และ 5.0 x 10-12 พาสคัล
(4) ลวดโลหะ B และ 8.0 x 108 พาสคัล
(5) ลวดโลหะ B และ 2.0 x 1011 พาสคัล
4. การยกวัตถุที่จมอยู9ใต?น้ำให?ลอยขึ้นมา ทำได?โดยใช?บอลลูนยางที่สามารถหดหรือขยายได?อิสระผูกติดกับวัตถุ
ที่จมอยู9ใต?น้ำ หากใช?บอลลูนยางชนิดหนึ่งที่มีมวลเท9ากับ 100 กิโลกรัม เมื่ออัดแก¢สเฉื่อยเข?าไปในบอลลูนยางนี้
ทำให?บอลลูนยางมีปริมาตร 1.98 m3 ที่บริเวณผิวน้ำ ถ?านำบอลลูนยางที่มีแก¢สเฉื่อยมวลเท9ากันนี้ไปผูกติดกับ
วัตถุใต?น้ำที่มีปริมาตร 0.50 m3 และตำแหน9งกึ่งกลางของบอลลูนยางอยู9ใต?ผิวน้ำลึก 10 เมตร
กำหนดให? ความดันอากาศที่ระดับผิวน้ำเท9ากับ 1.0 x 105 พาสคัล
ความหนาแน9นของน้ำเท9ากับ 1.0 x 103 กิโลกรัมต9อลูกบาศก$เมตร
ความเร9งโน?มถ9วงเท9ากับ 9.8 เมตรต9อวินาที2
อุณหภูมิที่ผิวน้ำและใต?น้ำที่ระดับความลึก 10 เมตร มีค9าเท9ากัน
จากข?อมูล มวลของวัตถุที่มากที่สุดที่บอลลูนยางลูกนี้สามารถยกให?ลอยขึ้นสู9ผิวน้ำได?คือข?อใด หากไม9คำนึงถึง
ความหนืดของน้ำ (PAT2 มี.ค. 64)
(1) 1.2 ตัน (2) 1.5 ตัน (3) 1.8 ตัน
(4) 2.1 ตัน (5) 2.4 ตัน
5. ในการทดลองหามวลและปริมาตรของพลาสติกทรงกระบอกตันโดยใช้หลักการเรื่องแรงพยุง เป็นดังนี้
6. ในการรดนํ้าต้นไม้ที่อยู่ไกล โดยใช้สายยางที่สามารถปรับขนาด
ของรูปที่ปลายสายยางได้ เมื่อปรับขนาดของรูจะทําให้
พื้นที่หน้าตัดของนํ้าที่ไหลผ่านปลายสายยางมีขนาดเล็กลง
ลักษณะการไหลของนํ้าเป็นดังรูป โดยตําแหน่ง A เป็นตําแหน่ง
ของนํ้าก่อนถึงปลายสายยาง และตําแหน่ง B เป็นตําแหน่งของนํ้าที่ปลายสายยาง
กําหนดให้ 1) → แทนทิศทางการไหลของนํ้า
2) พิจารณาการไหลของนํ้าเป็นการไหลในอุดมคติ (PAT2 มี.ค. 65)
การเปรียบเทียบปริมาณที่เกี่ยวข้องกับการไหลของนํ้าที่ตําแหน่ง A และตําแหน่ง B ในข้อใดถูกต้อง
ความดันของน้ำ อัตราการไหลของน้ำ อัตราเร็วของน้ำ
(1) A น?อยกว9า B A มากกว9า B A มากกว9า B
(2) A น?อยกว9า B A เท9ากับ B A น?อยกว9า B
(3) A มากกว9า B A เท9ากับ B A น?อยกว9า B
(4) A มากกว9า B A มากกว9า B A เท9ากับ B
(5) A มากกว9า B A น?อยกว9า B A มากกว9า B
อัตราเร็วของน้ำที่พุ9งออกจากปลายท9อที่ตำแหน9ง b มีค9า
เท9าใด (วิชาสามัญ เม.ย. 64)
cu* cu*
(1) k2 ] ^−@ (2) k2 ]@™ − ^
t t
cu* u
(3) 2 ök − @™õ (4) 2úm@™ù (5) 6 ök *õ
t t
)6(v%E JKH I)
(1) k
s
)6(v%E H&' I)
(2) k
s
(3) `a2b(c − d)
(4) `a2b(c − d cos e)
(5) `a2b(c − d sin e)
บทที่ 18 คลื่นแม3เหล็กไฟฟëา
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เกิดจากการเหนี่ยวนําอย่างต่อเนื่องระหว่างสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า กล่าวคือ
สนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตามเวลาทําให้เกิดสนามแม่เหล็ก ในขณะเดียวกันสนามแม่เหล็กที่เปลี่ยนแปลงตาม
เวลาก็ทําให้เกิดสนามไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึงประกอบไปด้วย สนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าที่
เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยทั้งสองสนามมีทิศทางตั้งฉากกันและตั้งฉากกับทิศทางของความเร็วในการ
เคลื่อนที่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นคลื่นตามขวางที่ไม่อาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ สามารถแผ่ออกไปได้ใน
สุญญากาศด้วยอัตราเร็วเท่ากับอัตราเร็วแสง หรือประมาณ 3 x 108 m/s และมีอัตราเร็วน้อยลงเมื่อเคลื่อนที่
ผ่านตัวกลาง โดยจะมีอัตราเร็วไม่เท่ากันในตัวกลางต่าง ๆ ขึ้นกับตัวกลางและชนิดของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
เมื่อต่อแหล่งกําเนิดไฟฟ้ากระแสสลับเข้ากับสายอากาศที่ประกอบด้วยท่อนโลหะที่อยู่ในแนวดิ่ง
อิเล็กตรอนในสายอากาศจะเคลื่อนที่กลับไปมาด้วยความเร่งในแนวดิ่ง (สั่นสะเทือน) ทําให้เกิดคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้าแผ่ออกรอบสายอากาศทุกทิศทาง ยกเว้นทิศทางที่อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกับสายอากาศ (แนวที่
ตรงกับการสั่นสะเทือน)
นอกจากนี้ อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ด้วยความเร่งก็สามารถเหนี่ยวนําให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้เช่นกัน
เนื่องจากไมโครเวฟจะสะท้อนกับผิวโลหะได้ดี จึงนําไปใช้ประโยชน์ในการตรวจหาตําแหน่งของ
อากาศยาน เรียกอุปกรณ์ดังกล่าวว่า เรดาร์ โดยส่งสัญญาณไมโครเวฟออกไปกระทบอากาศยาน และรับคลื่นที่
สะท้อนกลับจากอากาศยาน ทําให้ทราบระยะห่างระหว่างอากาศยานกับแหล่งส่งสัญญาณไมโครเวฟได้
สี ความยาวคลื่น (nm)
ม่วง 380 – 420
คราม 420 – 460
นํ้าเงิน 460 – 490
เขียว 490 – 580
เหลือง 580 – 590
ส้ม 590 – 650
แดง 650 - 700
ของธาตุหนักได้ดีกว่าธาตุเบา จึงใช้วิธีฉายรังสีเอกซ์ผ่านร่างกายไปตกลงบนแผ่นฟิล์มซึ่งทําให้เกิดรอยดําบน
แผ่นฟิล์ม เพื่อตรวจดูความผิดปกติของกระดูกและอวัยวะภายใน ในวงการอุตสาหกรรมใช้ในการตรวจหารอย
ร้าวภายในชิ้นส่วนโลหะขนาดใหญ่ ใช้ตรวจหาอาวุธปืนหรือระเบิดในกระเป๋าเดินทาง และศึกษาการจัดเรียงตัว
ของอะตอมในผลึก
โพลาไรเซชันของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ลารอยด์กลายเป็นแสงโพลาไรซ์ คือแสงที่มีการสั่นของสนามไฟฟ้าในทิศทางเดียว
2. พิจารณาข้อความต่อไปนี้
ก. เครื่องรับวิทยุทํางานโดยรับคลื่นเสียงจากสถานีวิทยุแล้วแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า
ข. คลื่นไมโครเวฟถูกนํามาใช้ในระบบระบุตําแหน่งบนพื้นโลกหรือจีพีเอส
ค. สัญญาณที่มีการเปลี่ยนแปลงระหว่าง 2 สถานะ คือ -1 กับ +1 ต่อเนื่องตลอดเวลา
จัดเป็นสัญญาณแอนะล็อก
ข้อความใดถูกต้อง (วิชาสามัญ เม.ย. 64)
(6) ข. เท่านั้น
(7) ค. เท่านั้น
(8) ก. และ ข.
(9) ก. และ ค.
(10)ข. และ ค.
และความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มแสง I ที่ผ่านแว่นตากันแดดและมุมที่หมุนเป็นดังสมการ
‘ = ‘: (cos 9))
เมื่อ ‘: คือ ความเข้มแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนผ่านแว่นตา
จากข้อมูล ข้อใดแสดงความสัมพันธ์ระหว่างความเข้มแสงที่ผ่านแว่นตากันแดดกับมุมที่หมุนได้ถูกต้อง
(PAT2 มี.ค. 65)
(1) (2)
(3) (4)
(5)
6. แสงไม9โพลาไรส$ที่ตกกระทบแผ9นกระจกที่วางอยู9ในอากาศ จะให?แสงสะท?อนที่เปIนแสงโพลาไรส$ก็ต9อเมื่อ
เงื่อนไขใดเปIนจริง (PAT2 ก.พ. 62)
8. นักเรียนคนหนึ่งต?องการสร?างคลื่นแม9เหล็กไฟฟXาด?วยการนำขดลวดทองแดงเคลือบฉนวน 2 ขด มาพัน
รอบแกนเหล็กเพื่อทำหน?าที่เปIนหม?อแปลง โดยให?จำนวนรอบขดลวด Y มากกว9าจำนวนรอบของขดลวด X
มาก ๆ ให?ปลายขดลวด X ต9อกับแบตเตอรี่ และให?ปลายของขดลวด Y ต9อกับตัวนำทรงกลม Z และ Z’ ที่อยู9
ห9างกันเล็กน?อย และมีแผ9นโลหะ L กับ L’ ต9อกับตัวนำทรงกลม ดังภาพ
อุปกรณ$นี้สามารถสร?างคลื่นแม9เหล็กไฟฟXาอย9างต9อเนื่องได?หรือไม9 เพราะเหตุใด
บทที่ 19 ฟUสิกส1อะตอม
แบบจําลองอะตอม ได้มาจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์โดยมีวิวัฒนาการ ดังนี้
โดยกล่าวว่า โปรตอนซึ่งมีประจุบวกรวมกันอยู่อย่างหนาแน่นตรงกลาง
อะตอมมีมวลมากแต่มีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบกับปริมาตรของอะตอม ส่วนรอบ
นอกจะมีอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบมีมวลน้อยมากเมื่อเทียบกับประจุบวก วิ่ง
วนรอบนิวเคลียส จึงทําให้อะตอมมีที่ว่างมากมายระหว่างโปรตอนกับ
อิเล็กตรอน ซึ่งหักล้างกับแบบจําลองอะตอมของทอมสัน
แบบจําลองอะตอมของโบร์ โบร์ได้เสนอแบบจําลองอะตอมของไฮโดรเจนขึ้นมา โดยนําแนวคิดเรื่อง
ควอนตัมของพลังงานของพลังค์มาใช้กับแบบจําลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด พร้อมทั้งเสอนสมมติฐานขึ้น
ใหม่ว่า
1. มีวงโคจรพิเศษเป็นวง ๆ ที่อิเล็กตรอนสามารถโคจรรอบนิวเคลียสอยู่ได้โดยไม่สูญเสียพลังงานและ
ในวงโคจรพิเศษนี้ อิเล็กตรอนจะมีโมเมนตัมเชิงมุมคงที่และจะมีค่าเป็นจํานวนเต็มเท่าของค่าคงตัวมูลฐานค่า
H
หนึ่ง คือ ℎ^ ซึ่งเท่ากับ !I เขียนในรูปความสัมพันธ์ได้ว่า
S!e = 4ℎ^
2. อิเล็กตรอนจะรับหรือคายพลังงานก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนวงโคจรตามข้อ 1 และพลังงานที่รับเข้าไป
หรือคายออกมาจะอยู่ในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า โดยเป็นไปตามความสัมพันธ์ดังนี้
∆] = ]J − ]K
รัศมีวงโคจรอิเล็กตรอนแต่ละวงของอะตอมไฮโดรเจน (4 คือเลขควอนตัมของวงโคจร) สามารถหาได้จาก
สมการ eF = 5.3 × 10<## 4!
ระดับพลังงานของอะตอม
]# ]F คือ พลังงานอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ n ของอะตอมไฮโดรเจน
]F =
4!
]# คือ พลังงานอิเล็กตรอนในวงโคจรที่ 1 ของอะตอมไฮโดรเจน
สเปกตรัมของอะตอม
2. เมื่ออิเล็กตรอนได้รับพลังงานมากพอ จะดูดกลืนพลังงานแล้วเปลี่ยนไปโคจรในระดับพลังงานที่
สูงขึ้น เรียกภาวนี้ว่า สภาวะกระตุ้น (excited state)
3. สภาวะกระตุ้นมีความไม่เสถียร ทําให้อิเล็กตรอนคายพลังงานออกมาในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อ
กลับมาโคจรในสภาวะพื้นดังเดิม พลังงานที่คายออกมามีสเปกตรัมดังนี้
ชื่ออนุกรม nf ni ช่วงของรังสี
ไลมาน (Lyman) 1 2, 3, 4, … อัลตราไวโอเลต
บาล์มเมอร์ (Balmer) 2 3, 4, 5, … แสงขาว
พาสเชน (Paschen) 3 4, 5, 6, …
แบรกเกต (Bracket) 4 5, 6, 7, … อินฟราเรด
ฟุนด์ (Pfund) 5 6, 7, 8, …
รังสีเอกซ์
หลอดรังสีเอกซ์เป็นเครื่องมือผลิตรังสีเอกซ์มี
ส่วนประกอบสําคัญ ดังรูป ขั้วแคโทดจะถูก
ทําให้ร้อนด้วยการผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไป
อิเล็กตรอนจะหลุดจากขั้วแคโทดและถูกเร่ง
ให้มีความเร็วสูง ไปชนเป้าโลหะที่ขั้วแอโนด
ทําให้เกิดรังสีเอกซ์
สเปกตรัมของรังสีเอกซ์มี 2 แบบ
j คือประจุอิเล็กตรอน
Y คือความต่างศักย์ที่ใช้เร่งอิเล็กตรอน jY = ℎC
ℎ คือค่าคงที่ของพลังค์
ℎT
C คือความถี่สูงสุดของรังสีเอกซ์ jY =
D
T คืออัตราเร็วคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
D คือความยาวคลื่นน้อยสุดของรังสีเอกซ์
การแผ่รังสีของวัตถุดํา
ทวิภาวะของคลื่นและอนุภาค
ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กทริก เป็นปรากฎการณ์ที่อิเล็กตรอนของโลหะได้รับพลังงานคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า (แสง) ในความถี่ที่เหมาะสมที่จะหลุดออกมาจากผิวโลหะได้ อิเล็กตรอนที่หลุดออกมาเรียกว่าโฟ
โตอิเล็กตรอน ซึ่งจะมีจํานวนเพิ่มขึ้นตามความเข้มแสงที่ตกกระทบ ไอน์สไตน์ได้เสนอแนวความคิดเพื่ออธิบาย
ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กทริกโดยอาศัยสมมติฐานของพลังค์ว่า แสงมีลักษณะเป็นก้อนพลังงานหรือควอนตัม
ของพลังงาน ซึ่งเรียกว่า โฟตอน มีพลังงาน ℎC และปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กทริกจะเกิดขึ้นได้ จะต้องใช้แสง
ที่มีความถี่มากกว่าหรือเท่ากับความถี่ค่าหนึ่งที่เรียกว่า ความถี่ขีดเริ่ม (C9 ) ซึ่งเป็นความถี่ของโฟตอนที่มี
พลังงานเท่ากับพลังงานที่โลหะยึดอิเล็กตรอนไว้ เรียกว่า ฟังก์ชันงาน (c ) ตามสมการ
c = ℎC9
จากกฎการอนุรักษ์พลังงานจะได้พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนตามสมการ
]CDLM = ℎC − c
พลังงานจลน์สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนหาได้จากการทดลองด้วยการต่อความต่างศักย์ไฟฟ้าต้านโฟโต
อิเล็กตรอน จนกระแสโฟโตอิเล็กตรอนเป็นศูนย์พอดี เรียก ความต่างศักย์หยุดยั้ง (YE ) สัมพันธ์กับพลังงานจลน์
สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนตามสมการ ]CDLM = jYE
ปรากฎการณ์คอมป์ตัน
สมมติฐานของเดอบรอย
BO
(1) − 2.0
w
BO
(2) + 2.0
w
BO
(3) + 5.0
w
(4) ℎf − 2.0ž
(5) ℎf + 2.0ž
2. ตามทฤษฎีอะตอมของโบร์ ถ้าอิเล็กตรอนในอะตอมไฮโดรเจนเปลี่ยนระดับพลังงานจากระดับพลังงานสูงไป
ยังระดับพลังงานตํ่ากว่าที่มีพลังงานเท่ากับ -3.40 eV โดยอิเล็กตรอนปลดปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มี
ควอนตัมของพลังงานเท่ากับ 1.89 eV อิเล็กตรอนดังกล่าวมีการเปลี่ยนระดับพลังงานจากระดับพลังงานจาก
ระดับใดไปยังระดับใด (วิชาสามัญ เม.ย. 64)
(1) จาก n = 4 ไปยัง n = 3 (2) จาก n = 4 ไปยัง n = 2 (3) จาก n = 3 ไปยัง n = 2
(4) จาก n = 3 ไปยัง n = 1 (5) จาก n = 2 ไปยัง n = 1
จากผลการทดลอง พิจารณาข้อสรุปต่อไปนี้
ข้อสรุปที่ 1 แสงที่ฉายลงบนแผ่นโลหะต้องมีค่าความยาวคลื่นมากกว่า 440 นาโนเมตรเท่านั้น เพื่อจะทํา
ให้
วัดค่ากระแสไฟฟ้าได้มากกว่าศูนย์
ข้อสรุปที่ 2 การเกิดโฟโตอิเล็กตรอนไม่ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นของแสง
ข้อสรุปที่ 3 เมื่อวัดกระแสไฟฟ้าได้ 1.6 ไมโครแอมแปร์ ความต่างศักย์ไฟฟ้ามีค่า 1.3 โวลต์เท่านั้น
ข้อสรุปที่ 4 โฟโตอิเล็กตรอนมีค่าพลังงานจลน์สูงสุดเท่ากับ 1.4 อิเล็กตรอนโวลต์
จากข้อมูล ข้อสรุปใดถูกต้อง (PAT2 มี.ค. 64)
(1) ข้อสรุปที่ 2 เท่านั้น (2) ข้อสรุปที่ 4 เท่านั้น (3) ข้อสรุปที่ 1 และ 2
(4) ข้อสรุปที่ 2 และ 3 (5) ข้อสรุปที่ 3 และ 4
4. ในการทดลองเรื่องโฟโตอิเล็กทริก เมื่อฉายแสงที่มีความถี่และความเข้มค่าหนึ่งกระทบแผ่นโลหะชนิดหนึ่ง
ที่มีลักษณะเป็นแผ่นบางที่ขั้วแคโทด ซึ่งอยู่ในหลอดสุญญากาศ พบว่าจะมีประจุไฟฟ้าออกมาจากแผ่นโลหะที่
ขั้วแคโทดและเคลื่อนที่ไปยังขั้วแอโนด ซึ่งมีการต่อแอมมิเตอร์และแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงที่ปรับค่าความ
ต่างศักย์ได้ โดยความต่างศักย์ไฟฟ้าของแหล่งจ่ายไฟฟ้ากระแสตรงมีค่าเป็นศูนย์ ทําให้เกิดกระแสโฟโต
อิเล็กตรอนในวงจร ดังรูป
กำหนดให? ความถี่ของแสงมีค9ามากกว9าความถี่ขีดเริ่ม
เมื่อควบคุมตัวแปรอื่นให?คงตัว การปรับการทดลองในข?อใดจะทำให?กระแสโฟโตอิเล็กตรอนมีค9ามากขึ้น
BY TRONG JAI TUTOR ขอนแก่น & เชียงใหม่
คอร$ส SUMMER 2024 วิชาฟ4สิกส$ 128
9. อะตอมของไฮโดรเจน จะปล9อยโฟตอนพลังงานกี่อิเล็กตรอนโวลต$ออกมาในการลงจากสภาวะกระตุ?น
อันดับที่สอง สู9สภาวะกระตุ?นอันดับที่หนึ่ง
(สภาวะพื้นของอะตอมไฮโดรเจนมีพลังงาน – 13.6 อิเล็กตรอนโวลต$) (วิชาสามัญ มี.ค. 61)
(1) 0.85 (2) 1.51 (3) 1.89 (4) 2.366 (5) 3.40
บทที่ 20 ฟ9สิกส<นิวเคลียร<
ฟUสิกส1นิวเคลียร1 คือ กระบวนการที่นิวเคลียสเปลี่ยนแปลงองค$ประกอบหรือระดับพลังงาน
ทุกสมการปฏิกิริยานิวเคลียร$ ผลบวกของเลขอะตอมและเลขมวลทั้งก9อนและหลังปฏิกิริยาจะต?องเท9ากัน ซึ่ง
แสดงว9าประจุไฟฟXารวมมีค9าคงตัวและจำนวนนิวเคลียสรวมก9อนและหลังปฏิกิริยาจะต?องคงตัว
ธาตุ และสัญลักษณ1ธาตุ
ประจุ +2 -1 0
มวล 4u 0.000549 u 0
การเบี่ยงเบนใน
สนามแม2เหล็ก - เบี่ยงเบน เบี่ยงเบน ไม2เบี่ยงเบน
สนามไฟฟiา
กัมมันตภาพ (Activity)
คือ อัตราการแผ9รังสีของธาตุกัมมันตรังสี เพื่อให?ธาตุมีเสถียรภาพ
โดย A = λN เมื่อ A คือ กัมมันตภาพ (Bq, Ci)
λ คือ ค9าคงที่การสลายตัว
:.9c7
λ=
U
T คือ ค9าครึ่งชีวิต
N คือ จำนวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี
เวลาครึ่งชีวิต
คือ ระยะเวลาที่ทำให?สารกัมมันตรังสีสลายตัวไปครึ่งหนึ่งของปริมาณตอนแรก
L
“ 1 N
=ö õ
“: 2
เมื่อ “ คือ จำนวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสี
N: คือ จำนวนนิวเคลียสของธาตุกัมมันตรังสีเริ่มต?น
0 คือ เวลา
g คือ เวลาครึ่งชีวิต
การอุปมาอุปมัยลูกเต¿าเปรียบเทียบกับการสลายตัวของธาตุกัมมันตรังสีให?ใช?สูตร
N
= (โอกาสที่จะได?หน?าปกติ)'
N:
สมการนิวเคลียร1
คือ สมการที่แสดงการเปลี่ยนแปลงเฉพาะภายในนิวเคลียส
n*
{*X + n)
{)Y =
n7
{7M + n4
{4N
สัญลักษณ1ที่ควรรูQ
โปรตอน ( **H) ดิวเทอรอน ( )*H) ตริทอน ( 7*H) นิวตรอน ( *:n)
ปฏิกิริยานิวเคลียร1
Nuclear Fission คือ นิวเคลียสของธาตุหนักแตกตัวเปIนนิวเคลียสที่เล็กกว9า และปลดปล9อยพลังงาน
กับนิวตรอนออกมา ซึ่งมีลักษณะ ดังนี้
(1) เปIนปฏิกิริยาที่คายพลังงาน
(2) หลังเกิดแล?วจะมีนิวตรอนใหม9 2 – 3 ตัว
(3) สามารถเกิดเปXนปฏิกิริยาต9อเนื่องได? (Chain reaction)
(4) หลังปฏิกิริยาจะเกิดธาตุใหม9 2 ตัว
พลังงานยึดเหนี่ยว
การทำให?นิวเคลียสแตกตัวออกมาจะต?องมีการใส9พลังงานเข?าไป และเมื่อนิวเคลียสสองอันมา
รวมกันเปIนนิวเคลียสเดียวจะมีการเปลี่ยนแปลงมวลบางส9วน (มวลพร9อง) กลายเปIนพลังงานยึด
เหนี่ยว (E) ตามสมการ
E = mc )
จากสูตร สามารถสรุปได?ว9ามวล 1 U เปลี่ยนเปIนพลังงานได? 931 MeV และอิเล็กตรอน 1 ตัว
เปลี่ยนเปIนพลังงานได?ประมาณ 0.5 MeV หากทราบมวลนิวเคลียสแต9ละธาตุจะสามารถหาพลังงาน
ยึดเหนี่ยวได?จากมวลพร9อง
หากทราบพลังงานยึดเหนี่ยวของแต9ละอะตอม จะสามารถคำนวณหาพลังงานของปฏิกิริยา
นิวเคลียร$นั้นว9าดูดหรือคายพลังงาน (ถ?า E เปIนลบ แสดงว9าปฏิกิริยานั้นดูดพลังงาน)
เสถียรภาพของนิวเคลียส
BY TRONG JAI TUTOR ขอนแก่น & เชียงใหม่
คอร$ส SUMMER 2024 วิชาฟ4สิกส$ 134
รัศมีของนิวเคลียส
ขนาดของนิวเคลียสขึ้นอยู9กับจำนวนนิวคลีออน
-
R = 1.2 × 10%*5 √A
ตัวอย3างขQอสอบเรื่อง ฟUสิกส1อะตอม
1. ในปรากฎการณ$หนึ่ง อนุภาค A เคลื่อนที่มาพบกับอนุภาค B แล?วทำให?ได?รังสีแกมมา ดังสมการ
อนุภาค A + อนุภาค B → รังสีแกมมา
โดยที่อนุภาค A และ B เปIนอนุภาคที่ประกอบด?วย ควาร$กและแอนติควาร$ก
พิจารณาข?อความต9อไปนี้
ก. อนุภาค A และอนุภาค B มีขนาดของประจุไฟฟXาไม9เท9ากัน
ข. อนุภาคมูลฐานในอนุภาค B ยึดเหนี่ยวกันด?วยการแลกเปลี่ยนกลูออนระหว9างกัน
ค. ผลรวมมวลของอนุภาค A กับอนุภาค B เท9ากับมวลของโฟตอนของรังสีแกมมาโฟตอนเดียว
ข?อความใดถูกต?อง (วิชาสามัญ 65)
(1) ก. เท9านั้น (2) ข. เท9านั้น (3) ก. และ ข.
(4) ก. และ ค. (5) ข. และ ค.
3. ปฏิกิริยานิวเคลียร$หนึ่ง เขียนแทนได?ด?วยสมการ
*9
r£ + *9r£ → )r
*4¤z + 4)™ž
กำหนดให? มวล 1 u เทียบกับพลังงาน 932 เมกะอิเล็กตรอนโวลต$
>: เปIนมวลของออกซิเจนในหน9วย u
>vw เปIนมวลของฮีเลียมในหน9วย u
O เปIนพลังงานที่ได?จากปฏิกิริยานิวเคลียร$นี้ในหน9วยเมกะอิเล็กตรอนโวลต$
ปฏิกิริยานิวเคลียร$นี้ เปIนปฏิกิริยานิวเคลียร$ชนิดใด และมวลในหน9วย u ของซิลิคอนมีค9าเท9าใด (วิชา
สามัญ’65)
(1) ฟ4ชชัน และ 2>: + >vw − 932O
|
(2) ฟ4ชชัน และ 2>: + >vw −
c7)
6. ข?อมูลของอนุภาคมูลฐานใหม9ในกลุ9มอนุภาคสสารเปIนดังนี้
ชนิดของควาร$ก มวล ประจุ ชนิดของเลปตอน มวล ประจุ
อัพ ≈ 2.2 hij/k . 2 อิเล็กตรอน ≈ 0.51 hij/k . −i
+ i
3
ดาวน$ ≈ 4.7 hij/k . 1 อิเล็กตรอนนิวทริโน < 2.2 hij/k . 0
− i
3
ชาร$ม ≈ 1.28 mij/k . 2 มิวออน ≈ 105.66 hij/k . −i
+ i
3
สเตรนจ$ ≈ 96 hij/k . 1 มิวออนนิวทริโน ≈ 0.17 hij/k . 0
− i
3
ทอป ≈ 173.1 mij/k . 2 ทาว ≈ 1.78 mij/k . −i
+ i
3
บอททอม ≈ 4.18 mij/k . 1 ทาวนิวทริโน ≈ 18.2 mij/k . 0
− i
3
11. *r4 4:
r)N¨ และ *8§• เกิดการสลายตัวแล?วทำให?ได? X และ Y ตามลำดับ ดังสมการ
*r4
r)N¨ → ¦ + 4)™ž
4:
*8§• → — + %*:ž + -̅w
นิวเคลียสใดมีเสถียรภาพน?อยกว9า และนิวเคลียสนั้นมีพลังงานยึดเหนี่ยวกี่จูล
กำหนดให? นิวเคลียสของธาตุ X มีส9วนพร9องมวล เท9ากับ 2.514 x 10-27 กิโลกรัม
นิวเคลียสของธาตุ Y มีส9วนพร9องมวล เท9ากับ 6.129 x 10-28 กิโลกรัม
C เปIนอัตราเร็วแสงในสุญญากาศ
นิวเคลียสที่มีเสถียรภาพน?อยกว9า พลังงานยึดเหนี่ยว (จูล)
(1) X (2.514×10-27 kg)c2
180
(2) X (2.514×10-27 kg)c2