Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 8

ลักษณะสั งคมไทย

สั งคมชนบท ชาวชนบทมกัประกอบอาชี พเกษตรกรรมเป็ นหลกั ขนาดของชุ มชนมีขนาดเล็ก


จึ ง ทา ให้ ค นในชุ ม ชนรู ้ จ ัก มัก คุ ้น กัน ค่ า ครองชี พ ต่ า คื อ สามารถอยู่ห ากิ น ได้ดี ก ว่า ชุ ม ชนเมื อ ง
ยงัสามารถพ่ ึงพาอาศยัทรัพยากรธรรมชาติ ความเจริ ญและเทคโนโลยีสมยัใหม่ยงัไม่ทว่ั ถึ ง มีการ
รวมตวักนัง่ายกวา่ชุมชนเมือง ซ่ ึ งมีกลุ่มอาชีพผลประโยชน์แตกต่างกนั
สั งคมเมื อง มี ความสะดวกสบายในด้านการคมนาคมขนส่ ง การสื่ อสาร มากกว่าชนบท
มีการพ่ ึงพาอาศยักนันอ้ยกวา่ในชนบท เพราะสามารถพ่ ึงตนเองได้ ชาวเมืองมีส่วนร่ วมในกิจกรรม
ทางศาสนา สังคม น้อยกว่าชนบท มี การแบ่งชนช้ันทางสังคมด้วยฐานะทางเศรษฐกิ จ ตาแหน่ ง
หนา้ที่สูงกวา่ชนบท มีสถาบนัทางเศรษฐกิจสังคมต้งัอยมู่ากกวา่ชนบท

สถำบันสั งคมทสี่ำคัญของไทย
1. สถำบันครอบครัว
หมายถึ ง สถาบนัสังคมที่เกี่ ยวขอ้งกบัแบบแผนการสมรส การอบรมเล้ ี ยงดู บุตร และ
แบบแผนความสั ม พนั ธ์ ร ะหว่า งเพศ ซ่ ึ ง เป็ นที่ ย อมรั บ ว่า เป็ นความถู ก ต้อ งทางสั ง คม สถาบัน
ครอบครัวเป็ นสถาบนัพ้ืนฐานของสังคมมนุษย ์ มีองคป์ระกอบสาคญั ดงัน้ ี
- องคก์าร ไดแ้ก่ ครอบครัว ซ่ ึ งประกอบดว้ยสมาชิกที่อยอู่าศยัในครัวเรื อนเดียวกนั เช่น
บิดา มารดา บุตร และวงศาคณาญาติที่สัมพนัธ์เกี่ยวขอ้งโดยสายโลหิ ตหรื อโดยการสมรส หรื อโดยการ
เป็ นบุตรบุญธรรม
- องคม์ติ คือ เล้ ียงดูสมาชิกใหม่ ถ่ายทอดวฒันธรรมของสังคมไปสู่ สมาชิ กใหม่ ซ่ ึ งเป็ น
กระบวนการขดัเกลาทางสังคม เพื่อให้เด็กเติบโตเป็ นสมาชิ กที่ดีของสังคม หนา้ที่อื่นๆ ไดแ้ก่ การสนอง
ความตอ้งการทางจิตใจ ทาหนา้ที่ใหค้วามรัก ความอบอุ่นแก่สมาชิก
- องค์พิธีการ สถาบนัครอบครัวประกอบไปดว้ยแบบแผนพฤติกรรม ซ่ ึ งเป็ นบรรทดัฐาน
ทางสังคม ไดแ้ก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ของสังคมหลายประการ เช่น ประเพณี การหม้นั การสมรส
- องค์วตัถุ สัญลกัษณ์ ของสถาบนัครอบครั วที่สาคญั เช่ น แหวนหม้นั แหวนแต่งงาน
เป็ นตน้
2. สถำบันกำรศึกษำ
หมายถึ ง สถาบนัสังคมซ่ ึ งเกี่ ยวขอ้งกบัแบบแผนการขดัเกลาและการถ่ายทอดวฒันธรรม
การให้ค วามรู ้ และการฝึ กหัดทกั ษะอาชี พ เพื่ อความเป็ นสมาชิ ก ที่ เหมาะสมแก่ สั ง คม สถาบัน
การศึกษามีองคป์ระกอบที่สาคญั ดงัน้ ี
- องค์ก าร ได้แ ก่ องค์ก ารต่ า งๆ ในสถาบันการศึ ก ษา เช่ น โรงเรี ย น มหาวิท ยาลัย
สมาคมทางการศึกษา จะประกอบไปดว้ย ครู อาจารย ์ นกัวจิยั วทิยากรผใู้หก้ารอบรม เป็ นตน้
- องค์มติ ถ่ายทอดความรู ้ วัฒนธรรม และทักษะ อันจาเป็ นในการดารงชี วิตของสมาชิ ก
ในสังคม การผลิตกาลังแรงงานทางเศรษฐกิจ ตามความต้องการทางสังคม
- องค์ พิ ธี ก าร สถาบัน การศึ ก ษาประกอบไปด้ว ยแบบแผนพฤติ ก รรมต่ า งๆ เช่ น
การจัดระบบการศึกษา แบบแผนการเรี ยนการสอน แบบแผนความประพฤติของนักเรี ยน นักศึกษา
เป็ นต้น
- องค์วตั ถุ สถาบันการศึกษาจะปรากฎในองค์การทางการศึกษาต่างๆ เช่น เข็มเครื่ องหมาย
โรงเรี ยน สี ประจาโรงเรี ยน เป็ นต้น
3. สถำบันศำสนำ
หมายถึง สถาบันสังคมที่เกี่ยวข้องกับแบบแผนระบบความเชื่ อ และความศรัทธาต่อสิ่ ง
ที่ควรเคารพบู ชาของสมาชิ กในสังคม สถาบันศาสนามี ความสาคัญต่อการหล่ อหลอมความเป็ น
อันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกในสังคม สถาบันศาสนามีองค์ประกอบที่สาคัญ ดังนี้
- องค์การ ได้แก่ คณะสงฆ์ กลุ่มผูป้ ฏิบตั ิธรรม เป็ นต้น โดยมีตาแหน่งหรื อสถานภาพ
ทางสังคมแตกต่างกัน เช่น พระสังฆราช เจ้าอาวาส ภิกษุ สามเณร ฆราวาส เป็ นต้น
- องค์มติ สร้ า งความเป็ นปึ กแผ่นให้แก่ สัง คม ทาให้เกิ ดความสามัคคี และความเป็ น
อันหนึ่ งอันเดียวกัน สร้างเสริ มและถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่สังคม ศาสนาเป็ นบ่อเกิดแห่ งวัฒนธรรม
ในสังคมอย่างมากมาย โดยเฉพาะวัฒนธรรมทางคติ ธรรม และวัฒนธรรมทางวัตถุ ที่มีคุณค่าแก่
สังคม
- องค์พิธีการ ย่อมเป็ นไปตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถื อ และเป็ นไปตามประเพณี
ทางศาสนานั้นๆ เช่น ประเพณี การบวช ประเพณี การทาบุญในวันสาคัญทางศาสนา เป็ นต้น
- องค์วตั ถุ สัญลักษณ์ ของพระพุทธศาสนา ได้แก่ พระพุทธรู ป ใบเสมา ธรรมจักร เป็ นต้น
สาหรับค่านิ ยมแตกต่างไปตามหลักสถาบันศาสนาของศาสนานั้นๆ เช่ น พระพุทธศาสนามีค่านิ ยม
และความเชื่อในเรื่ องบาปบุญที่แต่ละบุคคลกระทา เป็ นต้น
4. สถำบันเศรษฐกิจ
หมายถึง สถาบันสังคมที่เกี่ยวข้องกับแบบแผนการสนองความต้องการเกี่ ยวกับความ
จาเป็ นทางวัตถุเพื่อการดารงชี วิต เป็ นแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การกระจาย
สิ นค้าและบริ การไปสู่ ผูบ้ ริ โภค ซึ่ งเป็ นปั จจัยสาคัญในการดารงชี วิตของมนุ ษย์ สถาบันเศรษฐกิ จ
มีองค์ประกอบที่สาคัญ ดังนี้
- องค์การ กลุ่มสังคมในสถาบันเศรษฐกิ จมีเป็ นจานวนมาก เช่ น กลุ่มบุคคลในบริ ษทั
ร้านค้า โรงงาน และองค์การทางเศรษฐกิ จต่างๆ แต่ละกลุ่มสังคมประกอบไปด้วยตาแหน่งและบทบาท
หน้าที่ ซึ่ งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กนั
- องค์ม ติ ผลิ ตสิ นค้า เพื่ อสนองความต้องการของสมาชิ ก ในสั ง คมชี พ เช่ น อาหาร
เครื่ องนุ่ ง ห่ ม ยารั ก ษาโรค บ้า นเรื อนที่ อยู่อาศัย และกระจายสิ นค้า ที่ ผ ลิ ตไปสู่ ส มาชิ ก ในสั ง คม
อย่างทัว่ ถึง
- องค์พิธีการ ประกอบด้วย แบบแผนพฤติกรรมที่มีความสาคัญในการดารงชี วิตร่ วมกัน
ของสมาชิ กในสังคม ได้แก่ แบบแผนในการผลิตสิ นค้า แบบแผนการจัดระบบการตลาดและการบริ การ
แบบแผนของการประกอบอาชีพต่างๆ
- องค์วตั ถุ สถาบันเศรษฐกิจส่ วนใหญ่ เป็ นสัญลักษณ์ขององค์การสังคมต่างๆ ของสถาบัน
เศรษฐกิจ เช่น เครื่ องหมายการค้า สัญลักษณ์
5. สถำบันกำรเมืองกำรปกครอง
เป็ นสถาบันสังคมที่เป็ นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับการสนองความต้องการของสมาชิกในการ
ดารงชี วิตตามกฎระเบียบของสังคม ควบคุมกลุ่มคนต่างๆ ในสังคมให้ดารงชี วิตร่ วมกันอย่างมีระเบียบ
และมีความปลอดภัย สถาบันการเมืองการปกครองมีองค์ประกอบที่สาคัญ ดังนี้
- องค์การ ประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่างๆ ที่สาคัญ มีการจัดระเบียบอย่างชัดเจนที่เรี ยกว่า
องค์การ เช่น สภานิติบญั ญัติ คณะรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม พรรคการเมือง เป็ นต้น
- องค์มติ สร้ างระเบียบกฎเกณฑ์ให้แก่สังคม โดยมีองค์การที่ทาหน้าที่สร้ างกฎหมาย
เพื่อคุ ้มครองให้ระบบความสัมพันธ์ ของสถาบันอื่นๆ ในสังคมดาเนิ นไปตามวัตถุ ประสงค์ของ
สถาบันนั้น
- องค์พิธิการ ประกอบไปด้วยแบบแผนพฤติกรรม เพื่อสนองหน้าที่ต่างๆ ของสถาบัน
ให้บรรลุ ผล เช่ น แบบแผนพฤติกรรมในการเลื อกตั้ง แบบแผนพฤติ กรรมในการประชุ มรั ฐสภา
แบบแผนการสอบสวนและพิจารณาคดี เป็ นต้น
- องค์วตั ถุ สัญลักษณ์ ที่สาคัญของสถาบันการเมืองการปกครอง ได้แก่ ธงชาติ เพลงชาติ
เครื่ องหมายสัญลักษณ์ขององค์การราชการแต่ละแห่ ง เป็ นต้น สาหรับค่านิ ยมของสถาบันการเมือง
การปกครอง มีความแตกต่างกันตามวัฒนธรรมของแต่ละสังคม เช่น ค่านิ ยมในการปกครองระบบ
ประชาธิปไตย
ค่ ำนิยมของสั งคมไทย
ค่ ำนิยม (Value) คือ สิ่ งที่กลุ่มสังคมหนึ่ งๆ เห็ นว่าเป็ นสิ่ งที่น่านิ ยม น่ ากระทา น่ ายกย่อง
เป็ นสิ่ งที่ถูกต้องดีงาม เหมาะสมที่จะยึดถือพึงปฏิบตั ิร่วมกันในสังคม
ค่านิยมเป็ นส่ วนหนึ่ งของวัฒนธรรม เนื่ องจากมีการเรี ยนรู ้ปลูกฝังและถ่ายทอดจากสมาชิก
รุ่ นหนึ่งไปสู่ อีกรุ่ นหนึ่ง สังคมแต่ละสังคมจึงมีค่านิ ยมแตกต่างกันไป ค่านิ ยมช่วยให้การดาเนิ นชี วิต
ในสังคมมีความสอดคล้องสัมพันธ์กนั และทาให้การดาเนิ นชี วิตของสมาชิ กมีเป้ าหมายช่ วยสร้ าง
ความปึ กแผ่นให้แก่สังคม ค่านิยมแบ่งเป็ น 2 ประเภท ได้แก่
1. ค่านิ ยมของบุคคล อาจจะแสดงออกได้จากการตัดสิ นใจแต่ละคน ตามความถนัดและ
ความสนใจของแต่ละบุคคล
2. ค่ า นิ ย มของกลุ่ ม หรื อค่ า นิ ย มสั ง คม แสดงถึ ง บุ ค คลในสั ง คมปรารถนาอะไรใน
สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง

ค่ ำนิยมทีค่ วรปลูกฝังในสั งคมไทย ได้ แก่


1. การรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ ย ์
2. ความเอื้อเฟื้ อเผือ่ แผ่
3. ความกตัญญูกตเวที
4. ความซื่อสัตย์สุจริ ต
5. การเคารพผูอ้ าวุโส
6. การนิยมของไทย
7. การประหยัด
ค่ ำนิยมทีค่ วรแก้ไขในสั งคมไทย ได้ แก่
1. การเห็นคุณค่าของเงินตรา สิ่ งของ มากกว่าคุณค่ามนุษย์
2. ยึดถือโชคลาง การเสี่ ยงโชค
3. ขาดระเบียบวินยั
4. ไม่ประมาณตนในการดาเนินชีวติ
5. ชิงดีชิงเด่น
6. ความนิยมวัฒนธรรมตะวันตก
กำรเปลีย่ นแปลงของสั งคมไทยและแนวโน้ มกำรเปลีย่ นแปลงของสั งคมไทย
การเปลี่ยนแปลงเป็ นลักษณะธรรมชาติของสังคมมนุ ษย์และย่อมเกิดขึ้นในทุกสังคม แต่จะ
เร็ วหรื อช้าขึ้นอยูก่ บั กาลเวลา และอาจเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีข้ ึนหรื อเลวลงก็ได้
ประเภทของการเปลี่ยนแปลง เราอาจจาแนกการเปลี่ ยนแปลงที่เกิ ดขึ้นในสังคม ออกเป็ น
2 ประเภท คือ
1. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมและระบบ
ความสัมพันธ์ของกลุ่มคน เช่น ความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างพ่อ แม่ ลูก นายจ้าง ลูกจ้าง เป็ นต้น
2. การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม หมายถึง การเปลี่ยนแปลงวิถีการดาเนิ นชีวิต ความรู ้
ความคิด ค่านิ ยม อุดมการณ์ และบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่ งรวมถึ งขนบธรรมเนี ยมประเพณี ต่างๆ
ของสั ง คม โดยรั บ วัฒ นธรรมตะวัน ตกเข้า มาสู่ ว ฒ ั นธรรมไทย เป็ นเหตุ ใ ห้ล ะเลยหรื อหลงลื ม
วัฒนธรรมไทยบางอย่าง
แนวโน้ มกำรเปลีย่ นแปลงของสั งคมไทย
สังคมไทยปั จจุบนั ผ่านเข้าสู่ ยุคโลกาภิวฒั น์หรื อโลกไร้ พรมแดน ที่มีการรับรู ้ ขอ้ มู ลข่าวสาร
ทัว่ โลกอย่างรวดเร็ ว โดยไม่อาจควบคุมด้วยเครื่ องมือ เทคโนโลยี หรื อกฎหมายของรัฐได้ สังคมไทย
จึงเป็ นสังคมที่สามารถรับวัฒนธรรมจากทุกมุมโลก ทาให้เกิ ดการนาวัฒนธรรมหลายอย่างมาใช้ เช่ น
แฟชัน่ การแต่งกาย การตกแต่งร่ างกาย การใช้คาพูดตามคาโฆษณา การใช้เวลาว่างตามห้างสรรพสิ นค้า
ปัญหำสั งคมของไทยและแนวทำงในกำรแก้ปัญหำ
ปั ญหำสั งคม คื อ ปั ญหาหรื อสภาวการณ์ ที่ เกิ ดขึ้ นในสั งคม และสภาวการณ์ น้ ันกระทบ
กระเทือนต่อคนส่ วนมากในสังคม เป็ นวิถีทางที่ไม่พึงปรารถนา
1. ปัญหำประชำกร ปั จจุบนั ประเทศไทยประสบกับปั ญหาประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ ว
และมีจานวนประชากรมากจนไม่อาจจัดสรรทรัพยากรต่างๆ ให้เพียงพอได้
แนวทำงแก้ปัญหำ การวางแผนครอบครัวและการให้การศึกษาเรื่ องประชากร
2. ปัญหำสิ่ งเสพติด เป็ นปั ญหาสาคัญของชาติในปั จจุบนั เนื่ องจากมีการระบาดอย่างรุ นแรง
ทั้งในเขตเมืองและชนบท โดยเฉพาะกลุ่มของเยาวชน
แนวทำงแก้ ปัญหำ การให้ความรู ้เรื่ องโทษของสิ่ งเสพติด การร่ วมมือระหว่างโรงเรี ยน
กับผูป้ กครองเพื่อดูแลความประพฤติของเด็กอย่างใกล้ชิด การส่ งเสริ มสุ ขภาพจิต
3. ปั ญหำสิ่ งแวดล้ อ มเป็ นพิษ สิ่ ง แวดล้อมเป็ นพิ เศษได้ท วีค วามรุ นแรงขึ้ นเป็ นล าดับ
อากาศเสี ยเต็มไปด้วยควันไอเสี ยจากรถยนต์ ฝุ่ นละอองจากโรงงาน คนสู ดอากาศเป็ นพิษทาให้เกิด
อันตรายต่อสุ ขภาพ น้ าในลาคลองเน่ าเหม็น ใช้อุปโภคบริ โภคไม่ได้ เพราะโรงงานต่างๆ ปล่อยน้ าเสี ย
ลงไปในแม่น้ า ลาคลอง ประชาชนทิ้งเศษขยะเน่าเหม็นลงแม่น้ า ฯลฯ
แนวทำงแก้ ปัญหำ การใช้มาตรการทางกฎหมายควบคุ มแหล่งกาเนิ ดมลพิษที่ เป็ นปั ญหา
สังคม
4. ปัญหำควำมยำกจน สภาพการดารงชี วิตของบุคคลที่มีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ไม่สามารถ
จะหาสิ่ งจาเป็ นมาสนองความต้องการทางร่ างกายและจิตใจได้อย่างเพียงพอ จนทาให้บุคคลนั้นมีสภาพ
ความเป็ นอยู่ที่ต่ า กว่าเกณฑ์ม าตรฐานที่ สังคมวางไว้ ความยากจนขึ้ นอยู่กบั มาตรฐานของแต่ล ะ
สังคม
แนวทำงแก้ปัญหำ พัฒนาด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพของประชากร
5. ปั ญหำอำชญำกรรม เป็ นการกระทาที่มีความผิดทางอาญา อันมีผลกระทบต่อการอยู่
ร่ วมกันของประชาชนในสังคม รัฐจาเป็ นต้องออกกฎหมายเพื่อคุม้ ครองสิ ทธิ เสรี ภาพ ร่ างกาย ชี วิต
และทรัพย์สินของประชาชน
แนวทำงแก้ ปัญหำ รัฐต้องเร่ งแก้ไขปั ญหาความยากจน ปั ญหาการว่างงาน ขาดแคลน
ที่ดินทากิน
6. ปัญหำโรคเอดส์ เป็ นปั ญหาที่สาคัญในระดับชาติ เพราะการแพร่ กระจายของโรคเอดส์
เป็ นไปอย่างรวดเร็ วและอาจลุ กลามเข้าสู่ สถาบันครอบครัวและประชาชนกลุ่มอื่นๆ โดยยากที่จะแก้ไข
จึงถื อเป็ นภารกิ จเร่ งด่วนและสาคัญประการหนึ่ งที่จะต้องดาเนิ นการ เพื่อป้ องกันและควบคุ มการ
ขยายตัว
แนวทำงแก้ปัญหำ ให้ความรู ้เรื่ องโรคเอดส์และเพศศึกษา

สั งคมไทยในอดีต
สังคมไทยโบราณ มีการแบ่งคนเป็ นชนชั้นต่างๆ เพราะความต้องการแรงงานในการผลิ ต
และการสงคราม ลักษณะชนชั้นในสังคมไทย คือ
1. เป็ นระบบอุปถัมถ์ คือ พึ่งพาอาศัยกัน
2. เลื่อนชั้นได้ตามความสามารถ
สมัยสุ โขทัย
มีการแบ่งคนออกเป็ น 2 ชั้น ได้แก่
1. ชนชั้นปกครอง ได้แก่ พระมหากษัตริ ยแ์ ละขุนนาง
2. ชนชั้นผูถ้ ูกปกครอง ได้แก่ ไพร่ และข้า
สมัยอยุธยำ
การควบคุมกาลังคน แบ่งเป็ น 2 ระบบ คือ ระบบไพร่ และระบบศักดินา
สังคมไทยในสมัยอยุธยา แบ่งออกเป็ น 4 ชั้น ได้แก่ เจ้า ขุนนาง ไพร่ ทาส ส่ วนพระสงฆ์
ถือเป็ นชนชั้นพิเศษ
เจ้ ำ หมายถึง พระมหากษัตริ ยแ์ ละเจ้านาย ซึ่ งหมายถึง ผูส้ ื บเชื้ อสายใกล้ชิดพระมหากษัตริ ย ์
ได้แก่ เจ้าฟ้า พระองค์เจ้า และหม่อมเจ้า ถือศักดินาลดหลัน่ กันลงไป และมีสิทธิ พิเศษ คือ ไม่ตอ้ งถูก
เกณฑ์แรงงาน ไม่ ต้องเสี ย ภาษี ได้ผ ลประโยชน์ จากไพร่ ใ นสั ง กัด ได้รับ พระราชทานเบี้ ย หวัด
ประจาปี
ขุนนำง (นำย, มูลนำย) คือ ข้าราชการมีบทบาทสาคัญด้านการปกครอง ถือศักดินา 400 –
10,000 ไร่ ประกอบด้วย ยศศักดิ์ 4 อย่าง คือ ยศ ตาแหน่ง ราชทินนาม ศักดินา
สิ ทธิของขุนนำง ได้ แก่
1. ไม่ตอ้ งถูกเกณฑ์แรงงาน
2. ขุนนางผูใ้ หญ่เข้าเฝ้าพระมหากษัตริ ยใ์ กล้ชิดได้
3. ได้ผลประโยชน์จากไพร่
4. ได้ผลประโยชน์จากตาแหน่งหน้าที่การงาน
ไพร่ คือ ประชาชน ซึ่ งถื อว่าเป็ นคนกลุ่มใหญ่ของสังคม ถื อศักดินา 10 – 25 ไร่ มีหน้าที่รับใช้
ราชการโดยสังกัดมูลนาย เพื่อจะได้รับการคุม้ ครองตามกฎหมาย แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ
1. ไพร่ หลวง คือ คนของทางราชการ มีหน้าที่ทางานให้กบั ทางราชการโดยการเกณฑ์แรงงาน
2. ไพร่ สม คือ คนของขุนนาง มีหน้าที่ทางานกับขุนนาง
กำรเกณฑ์ แรงงำน หมายถึง การทางานให้กบั ทางราชการ โดยไม่ได้ค่าตอบแทน ในสมัยอยุธยา
ความต้องการแรงงานมีมาก เกณฑ์แรงงานไพร่ ปีละ 6 เดือน โดยเกณฑ์เข้าเดือนออกเดือน
สิ ทธิหน้ ำทีข่ องไพร่ คือ
1. เสี ยภาษีอากร
2. มีสิทธิจบั จองเป็ นเจ้าของที่ดินได้
3. ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดมูลนาย
4. ย้ายสังกัด กรมกอง ภูมิลาเนาไม่ได้
ทำส คือ กลุ่มชนชั้นต่าที่สุดของสังคม ถือศักดินา 5 ไร่ ทาสมี 7 ชนิด ได้แก่
- ทาสสิ นไถ่
- ทาสในเรื อนเบี้ย
- ทาสท่านให้
- ทาสได้มาแต่บิดามารดา
- ทาสที่ช่วยไว้ยามเมื่อต้องโทษทัณฑ์
- ท่านที่เลี้ยงไว้ยามข้าวยากหมากแพง
- ทาสเชลย
ทาสที่มีมากที่สุด คือ ทาสสิ นไถ่
ทาสที่ได้รับการปลดปล่อยเป็ นอันดับแรก คือ ทาสในเรื อนเบี้ย
ทาสเป็ นอิสระได้โดย
1. ไถ่ถอนตัวเอง
2. โดยการบวช
3. แต่งงานกับนายเงิน หรื อลูกหลานนายเงิน
4. ไปสงครามถูกจับเป็ นเชลย หนีรอดกลับมาได้
5. ฟ้องร้องนายเงินเป็ นกบฎ สอบสวนแล้วเป็ นความจริ ง

สังคมไทยในสมัยโบราณถึงต้นรัตนโกสิ นทร์ ผูม้ ีฐานะสู งสุ ดของสังคมคือ พระมหากษัตริ ย ์


รองลงมาคือ มู ลนาย (เจ้านายและขุนนาง) ชนชั้นที่มีจานวนมากคือ ไพร่ พระสงฆ์ทาหน้าที่ เป็ น
ตัวกลางระหว่างมูลนายกับไพร่
การเปลี่ ย นแปลงทางสัง คมไทย (ปี พ.ศ. 2394 – 2475) มี ปั จจัย ภายนอกท าให้เกิ ดการ
เปลี่ยนแปลง คือ วัฒนธรรมและวิทยาการต่างๆ ของตะวันตกเข้ามาแพร่ หลายตั้งแต่รัชกาลที่ 3 – 4
โดยมีความเจริ ญก้าวหน้าทางการศึกษาเข้ามาในประเทศไทย ส่ วนปั จจัยภายใน คือ ทางด้านเศรษฐกิ จ
มีการเปลี่ ยนแปลงจากการผลิ ตแบบยังชี พไปเป็ นการผลิ ตแบบการค้า การขยายที่ดินทากิ น การอพยพ
เคลื่อนย้ายแรงงาน
ผลกระทบต่อสังคมไทยที่สาคัญ คือ สนธิ สัญญาบาวริ ง (พ.ศ. 2398) ทาให้ไทยเสี ยดินแดน
ให้กบั ฝรั่งเศส อังกฤษ พม่า จีน
รัชกาลที่ 5 ได้ยกเลิ กระบบไพร่ ปฏิ รูปการบริ หารราชการแผ่นดิ น เปิ ดโอกาสให้ทุกชั้น
ได้รับการศึกษา
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมไทย (ปี พ.ศ. 2475 – ปั จจุบนั ) มีการขยายการศึกษาอย่างกว้างขวาง
มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในส่ วนภูมิภาคต่างๆ ทั้งภาคเหนื อ (มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่) ภาคตะวันออก
เฉี ยงเหนื อ (มหาวิท ยาลัยขอนแก่ น) และภาคใต้ (มหาวิทยาลัยสงขลานคริ นทร์ ) ในแผนพัฒนา
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1, 2 (2504 – 2514)
สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยโบราณมากมาย แต่ลกั ษณะรู ปแบบความสัมพันธ์
บางอย่างในสังคมยังคงได้รับการสื บทอดมากจนถึงปั จจุบนั คือ
1. ความสัมพันธ์ในระบบอุปถัมภ์ ผูน้ อ้ ยมีความจงรักภักดีผใู ้ หญ่
2. การมีโครงสร้ างของสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น โดยพิจารณาจากทรัพย์สิน สถานภาพ
เกียรติยศ อานาจ ระดับการศึกษา อาชี พ ความดี ชาติกาเนิ ด ยกย่องการเป็ นเจ้าคนนายคน การยึดถือ
ตัวบุคคล

You might also like