Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 39

วัฏจักรของเซลล์ (Cell Cycle)

คือ วงจรการเจริญเติบโตและการแบ่ งเซลล์ เพื่อสร้ างเซลล์ ร่ ุ นใหม่ ขนึ้ มา


ทดแทนเซลล์ ร่ ุ นเก่ าทีห่ มดอายุขัยหรื อเสี ยหายไป ซึ่งพบในการแบ่ งเซลล์
แบบไมโทซิสเท่ านั้น
วัฏจักรของเซลล์ประกอบด้ วย 3 ระยะใหญ่ ได้ แก่
1. ระยะอินเตอร์ เฟส (Interphase) มี 3 ระยะย่อยตามลาดับ ดังนี้
1.1 G1
1.2 S
1.3 G2
2. ระยะไมโทซิส (Mitosis) มี 4 ระยะย่อยตามลาดับ ดังนี้
2.1 โพรเฟส (Prophase)
2.2 เมทาเฟส (Metaphase)
2.3 แอนาเฟส (Anaphase)
2.4 เทโลเฟส (Telophase)
3. ระยะแบ่ งไซโทพลาซึม (Cytokinesis)
สั ตว์ เลีย้ งลูกด้ วยนม :
วัฎจักรเซลล์กนิ เวลา 24 ชั่วโมง
-Interphase 23 h
-Mitosis 1 h
การแบ่งเซลล์
1. ระยะอินเตอร์ เฟส (Interphase)
- เซลล์ มอี ตั ราเมแทบอลิซึมสู งมาก เพราะมีการสั งเคราะห์ DNA, RNA
และโปรตีน จึงเป็ นช่ วงทีใ่ ช้ เวลานานทีส่ ุ ด
- นิวเคลียสมีขนาดใหญ่ เห็นนิวคลีโอลัสชัดเจน ภายในมีเส้ นใยโครมา
ทิน (Chromatin) ซึ่งติดสี ย้อมได้ เยื่อหุ้มนิวเคลียสยังไม่ สลายตัว
- โครมาทิน (แต่ ละหน่ วย) จาลองตัวเองขึน้ มาอีก 1 Copy ทาให้ โครมา
ทินแต่ ละหน่ วยประกอบด้ วย 2 โครมาทิด
- เซนทริโอล (ในเซลล์สัตว์ ) จาลองตัวเองขึน้ มาอีก 1 คู่
- แบ่ งออกเป็ น 3 ช่ วง คือ
1.1 G1 phase หรื อระยะก่อนสั งเคราะห์ DNA
- มีการสะสมเอนไซม์ ทมี่ ีความจาเป็ นต่ อการสั งเคราะห์ DNA
- มีการสั งเคราะห์ RNA และ โปรตีน
- มีการสร้ างออร์ แกเนลล์ ทจี่ าเป็ นสาหรับกิจกรรมของเซลล์
- ใช้ เวลาประมาณ 30% ของเวลาในหนึ่งวัฏจักรเซลล์

1.2 S phase หรื อระยะสั งเคราะห์ DNA (DNA Synthetic Phase)


- มีการสั งเคราะห์ ท้งั DNA, RNA และโปรตีนมากทีส่ ุ ด
- DNAทีส่ ร้ างขึน้ ใหม่ มสี มบัตเิ หมือนชุ ดเดิมทุกประการจึงเรียกว่ า
“การจาลอง DNA” (DNA Replication)
- ใช้ เวลาประมาณ 40% ของเวลาในหนึ่งวัฏจักรเซลล์
1.3 G2 phase หรื อระยะหลังสั งเคราะห์ DNA
- มีการสั งเคราะห์ RNA และโปรตีนลดน้ อยลง
- เซลล์มีปริมาณ DNA, RNA และโปรตีนมากเพียงพอทีจ่ ะใช้ ในการแบ่ ง
เซลล์ระยะต่ อไป
- ใช้ เวลาประมาณ 20% ของเวลาในหนึ่งวัฏจักรเซลล์

ภาพวัฏจักรของเซลล์
2. ระยะแบ่ งเซลล์ (Cell Division) หรื อระยะไมโทซิส (Mitosis)

การแบ่ งเซลล์แบบไมโทซิส (Mitosis)


- เป็ นการแบ่ งเพื่อเพิม่ จานวนเซลล์ของสิ่ งมีชีวิตหลายเซลล์
แต่ เป็ นการแบ่ งเพื่อการสื บพันธุ์ของสิ่ งมีชีวิตเซลล์ เดียว
- พบในเซลล์ร่างกาย (Somatic Cell) โดยทั่วไป
- จานวนโครโมโซมหลังการแบ่ งเซลล์ ยงั คงเป็ นดิพลอยด์
(Diploid) หรื อ 2n คงเดิม
2.1 ระยะโพรเฟส (Prophase)
- โครมาทินขดตัวบิดเป็ นเกลียวสั้ นลงเห็นเป็ นแท่ งโครโมโซม
(Chromosome) ซึ่งประกอบด้ วย 2 โครมาทิด (Chromatid) เชื่ อมติดกันที่เซนโทร
เมียร์ หรื อ Kinetochore
- นิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มนิวเคลียสค่ อยๆ สลายไป
- ในเซลล์สัตว์ พบว่ าเซนทริโอล (Centriole) มีการสร้ างไมโครทิวบูล
(Microtubule) เรียงเป็ นรัศมีรอบๆ ลักษณะคล้ายดาวเรียกว่ า “แอสเตอร์ (Aster)”
และค่ อยๆ เคลื่อนที่ไปยังขั้วเซลล์แต่ ละข้ าง
- ไมโครทิวบูลในเซลล์ มกี ารต่ อกันเป็ นสายยาว เรียกว่ า “เส้ นใยสปิ นเดิล
(Spindle Fiber)” โยงยึดระหว่ างเซนทริโอลที่ข้วั เซลล์ กบั เซนโทรเมียร์ ของแต่ ละ
โครโมโซม
- เซลล์พืชไม่ มีเซนทริโอลแต่ กม็ ีเส้ นใยสปิ นเดิลโยงระหว่ างขั้วเซลล์ กบั เซน
โทรเมียร์ ของโครโมโซมเช่ นกัน
2.2 ระยะเมทาเฟส (Metaphase)
- โครโมโซมขดพันกันแน่ น เรียงตรงกลางเซลล์ มองเห็นเป็ น 2 โครมาทิดชัดเจนทีส่ ุ ด
ระยะนีจ้ ึงเหมาะสมทีส่ ุ ดในการนับจานวนโครโมโซมและศึกษาความแตกต่ างของลักษณะ
โครโมโซม
- เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสสลายไปหมดแล้ ว
- เซนโทรเมียร์ ในแต่ ละโครโมโซมเริ่มแบ่ งตัว ทาให้ โครมาทิดแต่ ละโครโมโซมเริ่มจะ
แยกกัน
2.3 ระยะแอนาเฟส (Anaphase)
2.3.1 เซนโทรเมียร์ มกี จิ กรรมมากทีส่ ุ ด เมื่อเส้ นใยสปิ นเดิลหดตัวก็จะดึงแต่ ละโครมา
ทิดให้ แยกออกจากกันไปยังขั้วเซลล์ แต่ ละข้ างจึงมองเห็นโครมาทิดมีรูปร่ างต่ างกันหลายแบบ
ขึน้ อยู่กบั ตาแหน่ งเซนโทรเมียร์ คือ
- เซนโทรเมียร์ อยู่ปลายสุ ด รู ปร่ างโครมาทิดเหมือนตัวไอ (I-Shane)
- เซนโทรเมียร์ อยู่ค่อนไปทางปลาย รู ปร่ างโครมาทิดเหมือนตัวเจ (J-Shape)
- เซนโทรเมียร์ อยู่ตรงกลาง รู ปร่ างโครมาทิดเหมือนตัววี (V-Shape)
2.3.2 ระยะนีใ้ ช้ เวลาน้ อยทีส่ ุ ดเมื่อเทียบกับระยะอื่นๆ
2.4 ระยะเทโลเฟส (Telophase)
- โครมาทิดแยกจากกันอยู่ทขี่ ้วั เซลล์ แต่ ละข้ างและคลายตัวออกเป็ นเส้ นใยโครมา
ทินพันกันอยู่เป็ นกลุ่มเหมือนกับระยะอินเตอร์ เฟส
- เส้ นใยสปิ นเดิลสลายตัวไป เยื่อหุ้มนิวเคลียสและนิวคลีโอลัสเริ่มปรากฏให้ เห็น
- เห็นนิวเคลียสใหม่ เป็ น 2 นิวเคลียส แต่ ละนิวเคลียสมีจานวนโครโมโซมเท่ ากัน
และเท่ ากับเซลล์ เริ่มต้ น
3. การแบ่ งไซโทพลาซึม (Cytokinesis)
- เซลล์ สัตว์ เยื่อหุ้มเซลล์ จะคอดเข้ าหากันบริเวณกลางเซลล์ จนแยก
หลุดออกจากกันเป็ นเซลล์ ใหม่ 2 เซลล์ทมี่ ีจานวนโครโมโซมและสาร
พันธุกรรมเหมือนเซลล์ เดิมทุกประการ
- โครโมโซมจะคลายตัวกลายเป็ นเส้ นใยโครมาทินดังเดิม
- เซลล์พืช มีการสร้ าง แผ่นกั้นเซลล์ (Cell Plate) เริ่มจากแนว
กลางเซลล์ ไปยังขอบเซลล์ ท้งั สองข้ างจนจรดกับผนังเซลล์ ทุกด้ าน ต่ อมาเกิด
การสะสมเซลลูโลสบนแผ่ นกั้นเซลล์ นี้ เกิดเป็ นผนังเซลล์ ก้นั กลางเซลล์ ใหม่
ทั้ง2 เซลล์
การแบ่ งเซลล์แบบไมโอซิส (Meiosis)

- เป็ นการแบ่ งเพื่อสร้ างเซลล์ สืบพันธุ์ของสิ่ งมีชีวิตทีม่ กี ารสื บพันธุ์แบบ


อาศัยเพศ
- พบในเซลล์ สืบพันธุ์ (Sex Cell)
- จานวนโครโมโซมหลังการแบ่ งเซลล์ ลดลงครึ่งหนึ่งจากดิพลอยด์
(Diploid) หรื อ 2n กลายเป็ นแฮพลอยด์ (Haploid) หรื อ n
- ในสั ตว์ จะพบการแบ่ งเซลล์แบบไมโอซิสทีอ่ ณ
ั ฑะและรังไข่ ส่ วนในพืช
ดอกจะพบการแบ่ งเซลล์ แบบไมโอซิสทีอ่ บั เรณูและรังไข่
การแบ่ งเซลล์แบบไมโอซิส (Meiosis)
-แบ่ งออกเป็ น 2 ระยะ คือ

1. ระยะอินเตอร์ เฟส (Interphase)


- มีการจาลอง DNA มีการสั งเคราะห์ RNA และโปรตีน เพื่อ
เตรียมพร้ อมทีจ่ ะแบ่ งเซลล์
- โครโมโซมประกอบด้ วย 2 โครมาทิด
- เยื่อหุ้มนิวเคลียสยังไม่ สลายไป
2. ระยะแบ่ งเซลล์ (Cell Division) แบ่ งออกเป็ น 2 ระยะใหญ่ คือ
2.1 ไมโอซิส I (Meiosis I) เป็ นระยะทีท่ าให้ ลดจานวนโครโมโซมลงครึ่งหนึ่ง
แบ่ งเป็ น 4 ระยะ คือ
2.1.1 ระยะโพรเฟส I (Prophase I) เป็ นระยะทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลงภายใน
โครโมโซมมากมาย แบ่ งย่ อยเป็ น 5 ระยะ คือ
เลปโททีน (Leptotene)
ไซโกทีน (Zygotene)
แพคีทนี (Pachytene)
ดิโพลทีน (Diplotene)
ไดอะไคนีซีส (Diakinesis)
Diplotene
2.1.2 ระยะเมทาเฟส I (Metaphase I)
- โครโมโซมหดสั้ นทีส่ ุ ด เซนโทรเมียร์ ของทุกไบเวเลนต์ เรียงตัวกลางเซลล์
- มีเส้ นใยสปิ นเดิลยึดทีเ่ ซนโทรเมียร์ ของทุกไบเวเลนต์ ซึ่งกาลังแยกจากกันไปยังขั้ว
เซลล์ แต่ ละข้ าง
2.1.3 ระยะแอนาเฟส I (Anaphase I)
- เส้ นใยสปิ นเดิลดึงโครโมโซมแต่ ละคู่ของไบเวเลนต์ ไปยังขั้วเซลล์ แต่ ละข้ างมากขึน้
โดยโครโมโซมยังประกอบด้ วย 2 โครมาทิด
- โครมาทิดทีเ่ กิด Crossing Over จะมียนี ทีแ่ ตกต่ างจากโครมาทิดอีกแท่ งหนึ่ง
2.1.4 ระยะเทโลเฟส I (Telophase I)
- โครโมโซมแยกไปถึงขั้วเซลล์ โดยแต่ ละโครโมโซมยังประกอบด้ วย 2 โครมาทิด มี
จานวนโครโมโซมเป็ นแฮพลอยด์ (n)
- ในสิ่ งทีม่ ชี ีวติ บางชนิดมีการสร้ างเยื่อหุ้มนิวเคลียส ทาให้ เห็นเป็ น 2 นิวเคลียส
โครโมโซมคลายตัวเป็ นเส้ นยาวเพื่อเข้ าสู่ ระยะอินเตอร์ เฟสในช่ วงสั้ นๆ ก่ อนเข้ าสู่ ระยะไมโอซิส II
ต่ อไป
- ในสิ่ งมีชีวติ บางชนิดพบว่ าหลังผ่ านระยะแอนาเฟส I ก็จะเข้ าสู่ ระยะเมทาเฟส II เลย
2.2 ไมโอซิส II (Meiosis II) เป็ นระยะทีไ่ ม่ มกี ารสั งเคราะห์ โครโมโซมใหม่ (มีข้นั ตอน
เช่ นเดียวกับการแบ่ งเซลล์ แบบไมโทซิส) ทาให้ จานวนโครโมโซมเป็ นแฮพลอยด์ เหมือนเดิม
แบ่ งเป็ น 4 ระยะ คือ
2.2.1 ระยะโพรเฟส II (Prophase II)
- โครโมโซมติดกันทีเ่ ซนโทรเมียร์ แขนของแต่ ละโครมาทิดแยกกันชัดเจน
- นิวคลีโอลัสและเยื่อหุ้มนิวเคลียสเริ่มสลายไป
2.2.2 ระยะเมทาเฟส II (Metaphase II)
- โครโมโซมเคลื่อนทีม่ าเรียงกันตรงกลางเซลล์ มีเส้ นใยสปิ นเดิลยึดติดกับเซน
โทรเมียร์
- เซนโทรเมียร์ เริ่มแบ่ งตัวทาให้ ซิสเตอร์ โครมาทิดเริ่มแยกออกจากกัน
2.2.3 ระยะแอนาเฟส II (Anaphase II)
- เส้ นใยสปิ นเดิลหดสั้ น ดึงให้ แต่ ละโครมาทิดแยกไปยังขั้วเซลล์ แต่ ละข้ าง
2.2.4 ระยะเทโลเฟส II (Telophase II)
- แต่ ละโครมาทิดทีข่ ้วั เซลล์ เริ่มคลายตัว มีการสร้ างเยื่อหุ้มนิวเคลียสขึน้ มาเกิด
เป็ นนิวเคลียสใหม่
- แต่ ละนิวเคลียสมีโครโมโซมเป็ น แฮพลอยด์ (n) หรื อลดลงครึ่งหนึ่งจากเซลล์
เริ่มต้ น

3. การแบ่ งไซโทพลาซึม
- สิ่ งมีชีวติ บางชนิดมีการแบ่ งไซโทพลาซึมหลังจากผ่ านไมโอซิส I กลายเป็ นเซลล์
ใหม่ 2 เซลล์ จากนั้นจึงแบ่ งอีกครั้งหลัง ไมโอซิส II กลายเป็ นเซลล์ ใหม่ 4 เซลล์
- สิ่ งมีชีวติ บางชนิดจะแบ่ งไซโทพลาซึมหลังจากผ่ านไมโอซิส II แล้ วเกิดเป็ นเซลล์
ใหม่ 4 เซลล์ พร้ อมกัน
ระยะ การเปลี่ยนแปลงสาคัญ

อินเตอร์ เฟส I จาลองโครโมโซมขึน้ มาอีก 1 เท่ าตัว แต่ ละโครโมโซม ประกอบด้ วย 2 โครมาทิด

โฮโมโลกัส โครโมโซม มาจับคู่แนบชิดกัน (synapsis) ทาให้ มีกลุ่มโครโมโซม กลุ่มละ 2 ท่ อน (bivalent) แต่


โปรเฟส I
ละกลุ่ม ประกอบด้ วย 4 โครมาทิด(tetrad) และเกิดการแลกเปลีย่ น ชิ้นส่ วนของโครมาทิด (crossing over)

เมตาเฟส I คู่ของโฮโมโลกัส โครโมโซม เรียงตัวอยู่ตามแนวศูนย์ กลางของเซลล์


แอนาเฟส I โฮโมโลกัส โครโมโซม แยกคู่ออกจากกัน ไปยังแต่ ละข้ างของขั้วเซลล์

ทีโลเฟส I เกิดนิวเคลียสใหม่ 2 นิวเคลียส แต่ ละนิวเคลียส มีจานวนโครโมโซม เป็ นแฮพลอยด์ (n)

อินเตอร์ เฟส II เป็ นระยะพักชั่วครู่ แต่ ไม่ มีการจาลอง โครโมโซมขึน้ มาอีก


โปรเฟส II โครโมโซมหดสั้นมาก ทาให้ เห็นแต่ ละโครโมโซม มี 2 โครมาทิด
เมตาเฟส II โครโมโซมจะมาเรียงตัว อยู่แนวศูนย์ กลางของเซลล์
เกิดการแยกของโครมาทิด ที่อยู่ในโครโมโซมเดียวกัน ไปยังขั้วแต่ ละข้ างของเซลล์ ทาให้ โครโมโซม เพิม่
แอนาเฟส II
จาก n เป็ น 2n
เกิดนิวเคลียสใหม่ เป็ น 4 นิวเคลียส และแบ่ งไซโทพลาสซึม เกิดเป็ น 4 เซลล์ สมบูรณ์ แต่ ละเซลล์ มีจานวน
ทีโลเฟส II
โครโมโซม เป็ นแฮพลอยด์ (n) หรื อ เท่ ากับครึ่งหนึ่ง ของเซลล์เริ่มต้ น
ความรู้ พืน้ ฐานสาคัญทีค่ วรรู้เกีย่ วการแบ่ งเซลล์ แบบไมโทซิส
1. ไมโทซิสจะเกิดขึน้ เมื่อร่ างกายต้ องการซ่ อมแซมเนื้อเยื่อส่ วนที่สึกหรอจากการเกิด
บาดแผลต่ างๆ หรื อจากการสิ้นอายุขยั ของเซลล์
2. อวัยวะสาคัญทีม่ กี ารแบ่ งเซลล์ แบบไมโทซิสอยู่เสมอ ได้ แก่ ผิวหนัง กระเพาะ
อาหาร ไขกระดูก

ความรู้พืน้ ฐานสาคัญทีค่ วรรู้เกีย่ วการแบ่ งเซลล์ แบบไมโอซิส


1. ครอสซิงโอเวอร์ (Crossing Over) เป็ นกระบวนการแลกเปลีย่ นยีน (สารพันธุกรรม)
ระหว่ างโฮโมโลกัสโครโมโซม (Homologous Chromosome) ซึ่งจะเกิดขึน้ ในระยะโพรเฟส I
ของไมโอซิส

ภาพการเกิดครอสซิงโอเวอร์ ของโฮโมโลกัสโครโมโซมและผลทีเ่ กิดขึน้


2. ครอสซิงโอเวอร์ เป็ นกระบวนการทีท่ าให้ เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรมของเซลล์
สื บพันธุ์ ซึ่งจะนาไปสู่ ความหลากหลายของสิ่ งมีชีวติ
การแบ่ งเซลล์แบบไมโทซิสและไมโอซิส

You might also like