Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 88

¨ØÅÊÒäÇÒÁÁÑ蹤§ÈÖ¡ÉÒ

¡Ñ¹ÂÒ¹ 2558 ©ºÑº·Õè 161-162

ÍÔÊÅÒÁ :
¹Ô¡Ò & Êíҹѡ¤Ô´
Islam :
Sects & Schools of Thought

ͳÑÊ ÍÁҵ¡ØÅ
à¢Õ¹
ÊØÃªÒµÔ ºíÒÃاÊØ¢
ºÃóҸԡÒÃ

สนัºสนØนกาþิÁ¾âดย
ส¶าºÑ¹¡าâ‹าÇ¡Ãอ§
สíา¹Ñ¡¢‹าÇ¡Ãอ§áË‹§ªาµิ
อิสลาม :
นิกาย & สำานักคิด 1
จุลสารความมั่นคงศึกษา ฉบับที่ 161-162
อิสลาม : นิกาย & สำ�นักคิด

พิมพ​ครั้งท​ ี่หนึ่ง กันยายน 2558


จำ�นวน​พิมพ 1,000 เล่ม
การพิมพ์ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการข่าวกรอง สำ�นักข่าวกรองแห่งชาติ
เจาของ โครงการความมั่นคงศึกษา
ตู้ ปณ. 2030 ปณฝ. จุฬาลงกรณ์
กรุงเทพฯ 10332
E-mail : newsecproject@yahoo.com
Website : http://www.newsecurity.in.th
โทรศัพท์ 0-2218-7266 โทรสาร 0-2218-7308

บรรณาธิการ ศ. ดร. สุรชาติ บำ�รุงสุข


ผูชวย​บรรณาธิการ นางสาว กุลนันทน์ คันธิก
ประจำ�กอง​บรรณาธิการ นาย ศิบดี นพประเสริฐ
นาย ฉัตรฆพัฒน์ บุนนาค

พิมพท​ ี่ บริษัท สแควร์ ปริ๊นซ์ 93 จำ�กัด
59, 59/1, 59/2 ซ.ปุณณวิถี 30 ถ.สุขุมวิท 101
แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพฯ 10260
โทร. 0-2743-8045 แฟกซ์. 0-2332-5058
สารบัญ

 อิสลาม : นิกาย สำ�นักคิด วัฒนธรรม และอารยธรรม 1


 สำ�นักคิดในโลกอิสลาม 36
 ขบวนการรัฐอิสลามกับภารกิจต่อต้านตะวันตก 70

ที่มาภาพ :
ปกหน้า - http://wanhaziqhilmi-islamicarchitecture.blogspot.
com/2014_07_01_archive.html
ปกในหน้า - https://ayshawazwaz.files.wordpress.com/2010/02/
muslimdistribution3b.jpg
ปกในหลัง - http://www.zonu.com/detail-en/2009-09-17-828/The-
Ottoman-Empire-in-1801.html
ปกหลัง - http://www.tedmontgomery.com/remarks/11.1-6/
Islam/MuslimDistribution--large.html
1
อิสลาม : นิกาย สำ�นักคิด วัฒนธรรม และอารยธรรม

ดร. อณัส อมาตยกุล


คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดล

ï อารยธรรมอิสลาม ï

หนึ่งในอารยธรรมที่สำ�คัญของโลกก็คือ อารยธรรมอิสลาม โดย


อารยธรรมนี้มาจากศรัทธาและโลกทัศน์แบบเซมิติกกลุ่มที่มีความเชื่อในพระ
เป็นเจ้าองค์เดียว ผู้ทรงสร้างอาดัมให้เป็นบรรพบุรุษของมนุษยชาติที่ได้รับ
มาจากการเทศนาเตือนสติของบรรดาศาสดามากมายในสายธารประวัตศิ าสตร์
อันยาวนาน ผ่านการเทศนาจากศาสดาท่านหนึ่งในยุคหนึ่งสมัยหนึ่งไปสู่อีกยุค
สมัยหนึง่ และผูเ้ ป็นมุสลิมหรือศรัทธาชนในอิสลามเชือ่ ว่าได้มศี าสดามาเทศนา
เตือนสติมนุษย์ทงั้ ปวงให้เห็นความจริงของชีวติ ทีว่ า่ พระเป็นเจ้าทีม่ เี พียงองค์
เดียวนี้ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวงขึ้นมาเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์และให้ชีวิต
โลกนี้เป็นที่ทดสอบผลกรรมดีหรือชั่วของมนุษย์ มนุษย์จึงต้องสํารวมตนต่อ
พระองค์ ละวางอัตตาตน จำ�นนตนต่อพระองค์ และนมัสการพระองค์ และ
โลกทัศน์นี้เป็นหนึ่งในสี่โลกทัศน์สำ�คัญเท่าที่มีพบในผู้คนทั่วโลก โลกทัศน์
เหล่านั้นคือโลกทัศน์จีน ซึ่งให้ความสำ�คัญกับธรรมชาติและมนุษย์ เช่นที่อยู่
อาศัย ที่ตั้งร้านค้า และหน้าที่ของมนุษย์แต่ละคนในสังคม เป็นต้น โลกทัศน์
อินเดียให้ความสำ�คัญกับชีวิต การเวียนว่ายตายเกิดและการพ้นทุกข์ ส่วน
โลกทัศน์ตะวันตกให้ความสำ�คัญกับมนุษย์และธรรมชาติแบบวัตถุนิยมที่
ปรากฏออกมาในรูปแบบของวัตถุนิยม การบริโภคนิยม เสรีภาพ สิทธิของ
ผูค้ นแต่ละกลุม่ และความรูส้ กึ ชาตินยิ ม และโลกทัศนข์ องอับราฮัม (อิบรอฮีม)

อิสลาม :
1 นิกาย & สำ�นักคิด
หรือศรัทธาอย่างอับราฮัม (อิบรอฮีม) ผู้นับเป็นปฐมบรมศาสดาแห่งศาสนา
ยูดาห์ คริสตศ์ าสนา และศาสนาอิสลาม และในหัวข้อนีเ้ ราจะพูดถึงศาสนาและ
อารยธรรมอิสลามที่เป็นตัวอย่างเด่นตัวอย่างหนึ่งแห่งโลกทัศน์แบบอับราฮัม
และตลอดประวัติศาสตร์ราว 1,500 ปีที่อารยธรรมอิสลามได้มีส่วนสร้างสรรค์
และนำ�พามนุษยชาติมาถึงปัจจุบัน

การศรัทธาในพระเป็นเจ้าองค์เดียว
อิสลามในฐานะศาสนาที่ประกาศว่าเป็นสายธารแห่งศรัทธาและคำ�
สอนที่สืบทอดมาจากอับราฮัม (อิบรอฮีม) และสืบทอดมาสู่จุดแห่งความ
บริบูรณ์ของมรรคและหลักธรรมนี้มีคำ�สอนที่สำ�คัญว่าพระเป็นเจ้าทรงมีอยู่
เพียงพระองค์เดียว สรณะทีพ่ งึ่ พิงของมนุษย์นนั้ มีอยูเ่ พียงหนึง่ เดียว พระนาม
อันสุนทรของพระองค์นั้นมีมากมายถึง 99 พระนาม เช่น ผู้ทรงกรุณา ผู้ทรง
สร้าง ผูท้ รงประทานชีวติ ผูท้ รงประทานความตาย เป็นต้น แต่พระนามทีส่ �ำ คัญ
ที่สุดนั้นคืออัลเลาะห์ (อ่านเสียงยาว) ซึ่งรากของพระนามนี้ มาจาก อักษร อ
อักษร ล และอักษร ฮ นั้นเป็นพระนามเก่าแก่ที่มีปรากฏอยู่ในหลักธรรม
ต่างๆ มากมาย พระองค์เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงขึ้นมารับใช้มนุษย์ ขณะ
ที่ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาเป็นผู้แทนของพระองค์หรือเป็นคอลีฟะฮ์ (Caliph)
บนหน้าแผ่นดิน และมีหน้าทีห่ ลักในการนมัสการพระองค์และพระองค์จะทรง
ทดสอบมนุษย์ด้วยชีวิตโลกที่มีทงั้ สุขและทุกข์ มีความสมบูรณ์ ความบกพร่อง
ฯลฯ เพื่อดูผลกรรมที่มนุษย์กระทำ� ว่ากระทำ�กรรมดีหรือกรรมชั่ว นอบน้อม
เชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำ�สั่งใช้และคำ�สั่งห้ามของพระองค์ หรือปฏิบัติตาม
อัตตาตนและลุ่มหลงไปกับมายาของชีวิต พร้อมๆ กับที่มารจะคอยล่อลวง
มนุ ษ ย์ มิ ใ ห้ ส ามารถดำ � รงตนเป็ น ผู้ แ ทนหรื อ คอลี ฟ ะฮ์ (Caliph) ของ
อัลเลาะห์ และจะคอยล่อลวงให้มนุษย์เห็นผิดเป็นชอบ ปฏิเสธการมีอยู่ของ
อัลเลาะห์และฝ่าฝืนพระองค์

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 2
มนุษย์คือคอลี
ฟะฮ์ (Caliph) หรือผู้แทนของอั
 ลเลาะห์บนหน้าแผ่นดิน
หนึ่งในเป้าหมายของการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายก็คือ อัลเลาะห์ทรง
ประสงค์ที่จะให้มนุษย์เป็นผู้แทนของพระองค์บนโลกใบนี้ เขาจะดำ�รงความ
เป็นธรรม แผ่ความเมตตา และทุม่ เทเวลาและชีวติ ไปในการนมัสการอัลเลาะห์
หากมนุษย์ทำ�เช่นนั้นได้ก็จะได้เป็นผู้แทนที่สมบูรณ์ของอัลเลาะห์ เป็นการ
ประกาศให้เห็นการสร้างที่เลอเลิศและสมบูรณ์แบบของอัลเลาะห์ คำ�ว่า
คอลีฟะฮ์ (Caliph) นี้ อาจสะกดเป็น เคาะลีฟะฮ์ (Khalifa) และภาษา
อังกฤษใช้คำ�ว่า Caliph

อาระเบียมาตุภูมิของชาวอาหรับแหล่งและกำ�เนิดศาสนาอิสลาม
ผู้ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอาระเบียส่วนใหญ่เป็นชาวเซมิติก ซึ่งสืบ
เชื้อสายมาจากซาม หรือเชม บุตรของโนอาห์สมัยน้ำ�ท่วมโลก และโนอาห์
สืบเชือ้ สายมาจากศาสดาอาดัม บิดาคนแรกของมนุษยชาติ หลังน้ำ�ท่วมโลก ผู้
ทีร่ อดชีวติ มาบนเรือของโนอาห์ได้สบื ทอดอยูบ่ นหน้าแผ่นดินนี้ จนวันหนึง่ ได้มี
ปฐมบรมศาสดาถือกำ�เนิดขึน้ จากลูกหลานของซามทีร่ อดชีวติ มาบนเรือ ศาสดา
ผู้ยิ่งใหญ่นั้นคือ อับราฮัม (อิบรอฮีม) ท่านถือกำ�เนิดที่เมืองอูร์ ในบาบิโลน
และท่านได้อพยพออกจากบาบิโลนไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในปาเลสไตน์ ต่อมาท่าน
ได้รบั บัญชาจากพระเป็นเจ้าให้น�ำ บุตรหัวปีของท่านและผูเ้ ป็นมารดาของทารก
นั้นไปตั้งถิ่นฐานอยู่ที่มักกะฮ์ในอาระเบีย เมื่ออับราฮัม (อิบรอฮีม) พานาง
ฮาญัร (ฮาการ์) และอิสมาอีล (อิชมาเอล) ผู้เป็นบุตรหัวปีมายังมักกะฮ์ ซึ่ง
ในเวลานั้นเป็นเพียงหุบเขาว่างเปล่าปราศจากพืชพรรณและบ้านเมืองของ
ผู้คน ทั้งสองพ่อลูกได้สร้างอาคารกะอ์บะฮ์ขึ้นใหม่ตรงบริเวณเดิมที่เคยเป็น
ที่ตั้งของอาคารที่บรรดาทูตสวรรค์ได้สร้างไว้ให้แก่อาดัมตอนที่ลงมาอยู่ใน
โลกมนุษย์ และอาคารนั้นได้พังทลายไปอย่างไร้ร่องรอยในคราที่น้ำ�ท่วมโลก
เมื่อศาสดาอับราฮัม (อิบรอฮีม) ได้บูรณะอาคารกะอ์บะฮ์ขึ้นมาใหม่ ท่าน
ได้ให้อาคารนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีฮัจญ์ และสำ�หรับการนมัสการพระเป็น
เจ้าองค์เดียวของอาดัมและวงศ์วานของอาดัมและผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งปวง

อิสลาม :
3 นิกาย & สำ�นักคิด
ชาวอาหรับหลงลืมแนวทางของอับราฮัม (อิบรอฮีม)
หลายศตวรรษต่อมา ชาวอาหรับต่างพากันหลงลืมแนวทางของอับ-
ราฮัม (อิบรอฮีม) อาคารกะอบ์ ะฮ์ ได้เปลีย่ นจากบ้านทีส่ ร้างขึน้ เพือ่ การนมัส-
การพระเป็นเจ้าองค์เดียวไปสู่อาคารที่เต็มไปด้วยรูปเคารพกว่า 360 รูป แต่
เมืองมักกะฮ์ยังคงเป็นศูนย์รวมทางการเมือง วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของ
ชาวอาหรับทั้งหลาย วิถีและแบบฉบับของอับราฮัม (อิบรอฮีม) ผู้เป็นบิดา
และอิสมาอีล ผูเ้ ป็นบุตร ยังคงเป็นสิง่ ทีช่ าวอาหรับจดจำ�และรำ�ลึกถึงอยูเ่ สมอ

กำ�เนิดศาสดาผู้สืบทอดอับราฮัม (อิบรอฮีม) และเป็นผู้มาเติมเต็มศาสนา


แห่งอับราฮัม (อิบรอฮีม)
ในราว 100 ปีหลังการล่มสลายของอาณาจักรโรมันตะวันตก ได้มี
ศาสดาท่านหนึ่งถือกำ�เนิดจากวงศ์วานของอับราฮัม (อิบรอฮีม) และอิสมา-
อีลขึ้นที่เมืองมักกะฮ์ในอาระเบีย ในปี ค.ศ. 570 ศาสดาท่านนี้มีนามว่า
มูฮัมมัด ท่านได้รับสาส์น (คัมภีร์) เล่มสุดท้ายจากพระเป็นเจ้าสำ�หรับ
มนุษยชาติ เป็นพระคัมภีร์ที่มีเนื้อหาครอบคลุมบริบทต่างๆ ของชีวิตมนุษย์
และเป็นการแจ้งพระประสงคข์ องอัลเลาะหแ์ ก่มนุษยชาติ นัน่ คือพระคัมภีรอ์ ลั -
กุรอาน การศรัทธาในคำ�สอนของพระคัมภีรน์ แี้ ละปฏิบตั ติ ามศาสดาท่านนีเ้ รียก
ว่า อิสลาม ส่วนผู้ที่ศรัทธาต่อคำ�สอนของพระคัมภีร์นี้และปฏิบัติตามศาสดา
ท่านนี้เรียกว่า มุสลิม ท่านศาสดา นบีมูฮัมมัด ถือกำ�เนิดมาจากตระกูลกุรอยช์
ซึ่งสืบเชื้อสายโดยตรงมาจากศาสดา อิสมาอีล (อิชมาเอล) ผู้เป็นบุตรหัวปี
ของศาสดาอับราฮัม (อิบรอฮีม)

สารัตถะของคำ�สอนอิสลาม
สิ่งสำ�คัญที่สุดในบรรดาคำ�สอนของอิสลามก็คือ ความเป็นเอกะของ
พระเป็นเจ้า ที่เรียกว่า “เตาฮีด” หรือ “อัล เตาฮีด” ที่สร้างมาจาก
รากศัพท์ที่แปลว่า การทำ�ให้มีเพียงหนึ่ง นั่นคือคำ�สอนที่ทำ�ให้ผู้นับถือศาสนา
อิสลามหรือมุสลิมคิด เชือ่ และศรัทธาว่าพระเป็นเจ้ามีเพียงหนึง่ เดียว ผูท้ รง

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 4
สัพพัญญู ผูท้ รงอำ�นาจเหนือทุกสิง่ ผูท้ รงเป็นองคอ์ ภิบาลแห่งสากลโลก ฯลฯ
และไม่ว่าผู้คนจะพากันแนะนำ�เทพเจ้ามากมายให้มุสลิมรู้จัก แต่มุสลิมจะมี
สติและลดทอนจำ�นวนของเทพเจ้าและสรณะทัง้ หลายลง เหลือเพียงหนึง่ เดียว
นั่นคือเหลือเพียงอัลเลาะห์ พระเป็นเจ้าของอาดัม ของอับราฮัม (อิบรอฮีม)
และของศาสดานบีมูฮัมมัดเท่านั้น

สารัตถะคำ�สอนของพระคัมภีร์อัลกุรอาน
เพื่อมิให้มารล่อลวงลูกหลานของอาดัมระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลก
นี้ อัลเลาะห์จึงทรงประทานพระคัมภีร์อัลกุรอาน ซึ่งเป็นการรวบรวมสาระ
คำ�สอนที่เคยเทศนาเตือนสติมนุษย์มาในแต่ละยุคแต่ละสมัย จนพัฒนามาถึง
จุดบริบรู ณแ์ ห่งธรรมะในพระคัมภีรเ์ ล่มนี้ โดยเนือ้ หาของพระคัมภีรอ์ ลั กุรอาน
แบ่งเป็น 114 บท ที่เรียกว่า ซูเราะฮ์ และเป็นโองการที่เรียกว่า อายะฮ์ ทั้ง
สิ้น 6,236 อายะฮ์ มีเนื้อหาโดยรวมเพื่อปกป้องมนุษย์จากการล่อลวงของมาร
คำ�สอนทั้งหมดของพระคัมภีร์อัลกุรอานจึงกระจายไปเตือนสติมนุษย์มิให้
ฝ่าฝืนอัลเลาะห์ และไปละเมิดเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ในเรื่องต่างๆ 5 ด้าน
อันได้แก่ 1) ชีวิต 2) ทรัพย์ 3) สติ 4) วงศ์ตระกูลและศักดิ์ศรีมนุษย์ และ
5) ธรรมะหรือศาสนา
เมื่อเราเห็นธนาคารอิสลาม เราจะเข้าใจได้ทันทีหลังการเรียนรู้
อารยธรรมอิสลามแล้วว่า เป็นการนำ�คำ�สอนของพระคัมภีร์อัลกุรอานในข้อ
ที่เกี่ยวกับการป้องกันการเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ในธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับ
ทรัพย์สนิ ไม่วา่ การออมเงิน การให้สนิ เชือ่ การลงทุน ไปประยุกตใ์ ช้เป็นระบบ
ธุรกรรมการเงินสมัยใหม่ และมรรคหรือวิถีของธรรมะในอิสลามนี้สามารถ
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ชะรีอะฮ์ (Shariah)” หรือกฎหมายอิสลาม ตามที่รู้จัก
กันในธุรกรรมสมัยใหม่

ฮะลาล (สิ่งที่ศาสนาอนุมัติ) และฮะรอม (สิ่งที่ศาสนาห้าม)


การยอมจำ�นนต่ออัลเลาะห์เป็นการละวางอัตตาตน และการยอมจำ�นน

อิสลาม :
5 นิกาย & สำ�นักคิด
นีย้ งั หมายถึงท่าทีของมนุษยต์ อ่ สิง่ ทีอ่ ลั เลาะหอ์ นุมตั ิ (Halal) และทีอ่ ลั เลาะห์
ห้าม (Haram) อีกด้วย เรื่องราวที่อาดัมได้รับพรให้ใช้ชีวิตในสวนสวรรค์
และกินดืม่ ทุกอย่างทีม่ ใี นสวนนัน้ ถือเป็นสิง่ ทีอ่ ลั เลาะหท์ รงฮะลาลหรืออนุญาต
แก่อาดัม ส่วนต้นไม้ที่อยู่กลางสวรรค์นั้นเป็นที่ต้องห้ามหรือฮะรอมที่อาดัมจะ
เข้าไปใกล้และกินผลไม้นนั้ เป็นต้น และในสมัยของอาดัมนัน้ ทุกสิง่ อย่างรอบ
ตัวของท่านล้วนเป็นที่อนุมัติ (ฮะลาล) ยกเว้นต้นไม้กลางสวรรค์ที่ต้องห้าม
(ฮะรอม) แต่วันเวลาที่ยาวนานจากสมัยของอาดัมมาถึงเรานั้น สิ่งที่ต้องห้าม
หรือฮะรอมได้เพิ่มจำ�นวนขึ้นบ้าง เช่น สิ่งที่ศาสนาไม่อนุมัติให้บริโภค (ฮะ-
รอม) ในส่วนของสัตว์เลือดอุ่น เช่น สัตว์ที่ตายเอง สัตว์ที่ขวิดกันตาย สัตว์ที่
ตกจากที่สูงตาย สัตว์ที่ถูกสัตว์ร้ายกัดกินจนตาย (แต่หากมุสลิมเชือดทันก่อน
ตายก็เป็นที่อนุมัติ) สุกร สุนัข เลือด เป็นต้น

ฮะลาลและฮะรอมในวิถีชีวิตปัจจุบัน
เรื่องของฮะลาลหรือสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ และฮะรอมหรือสิ่งที่ศาสนา
ห้ามนัน้ มิได้จ�ำ กัดอยูเ่ ฉพาะในอาหารการกินเท่านัน้ แต่ได้ครอบคลุมประเด็น
ต่างๆ ทางชะรีอะฮ์ที่ครอบคลุมชีวิตมนุษย์ทั้ง 5 ด้าน เช่น การอุตสาหกรรม
การแปรรูปอาหารจะเกีย่ วข้องกับชีวติ การเงินการธนาคาร การประกันภัย การ
ลงทุน การขอสินเชื่อ การค้าขาย การรับมรดกจะเกี่ยวกับทรัพย์ การโรงแรม
การท่องเทีย่ วเชิงฮะลาล จะมีประเด็นทีเ่ ป็นฮะลาลและฮะรอม เช่น การปะปน
ของหญิงชาย การบริการสุรา และการร้องรำ�ทำ�เพลงระหว่างชายหนุม่ หญิงสาว
การแต่งกายไม่ถูกต้องตามหลักชะรีอะฮ์ในการว่ายน้ำ�ตามสระและชายหาด
การรักษาพยาบาล การผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะ การบริการอาหารในโรงพยาบาล
จะเกีย่ วกับชีวติ การแปลงเพศและการทำ�ศัลยกรรมความงามจะเกีย่ วกับชีวติ
วงศ์ตระกูลและทรัพย์ เป็นต้น การแต่งกายหญิงแต่งเลียนแบบชาย ชายแต่ง
กายเลียนแบบหญิงจะเกี่ยวกับประเด็นวงศ์ตระกูล เป็นต้น

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 6
หลักของศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลามมีหลักของศาสนาอยู่ 3 ประการ คือ 1) หลั ก ความ
เชื่อหรือหลักศรัทธา 2) หลักปฏิบัติ และ 3) หลักคุณธรรม

- หลักศรัทธา
มุสลิมต้องศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ 6 ประการ ดังนี้
1) ศรัทธาต่ออัลเลาะห์
2) ศรัทธาต่อมลาอิกะฮ์
3) ศรัทธาต่อบรรดาคัมภีร์ของอัลเลาะห์
4) ศรัทธาต่อบรรดาศาสดาของพระองค์
5) ศรัทธาต่อวันฟื้นคืนชีพ
6) ศรัทธาว่าสิง่ ทีด่ แี ละไม่ดที ปี่ ระสบกับตัวเรานัน้ มาจากการกาํ หนด
ของอัลเลาะห์

- หลักปฏิบัติ
มุสลิมมีหลักปฏิบัติ 5 ประการ ได้แก่
1) การปฏิญาณตน
2) การนมัสการหรือการละหมาดวันละ 5 เวลา
3) การถือศีลอดในเดือนที่ 9 หรือเดือนรอมฎอน
4) การจ่ายซะกาตจากทรัพย์ที่สะสมไว้
5) การไปประกอบพิธีฮัจญ์ หนึ่งครั้งในชีวิต

- หลักคุณธรรม
คำ�สอนอิสลามที่เกี่ยวกับคุณธรรมนั้นมีมากมาย แต่ที่เป็นหัวใจของ
หลักคุณธรรมก็คือ สิ่งที่ท่านนบีมูฮัมมัดได้กล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงกระทำ�
ความดีประหนึง่ ท่านทัง้ หลายเห็นอัลเลาะหอ์ ยูเ่ บือ้ งหน้า และแม้ทา่ นทัง้ หลาย
มิอาจเห็นอัลเลาะห์ได้แต่จงมีสติเสมอว่า พระองค์ทรงเฝ้าดูท่านทั้งหลายอยู่

อิสลาม :
7 นิกาย & สำ�นักคิด
ตลอดเวลา” อัลฮะดีษ

การขยายตัวของศาสนาอิสลาม
เมือ่ ท่านศาสดามูฮมั มัดสิน้ ชีวติ ชาวอาหรับทัง้ หมดสามารถรวมตัวกัน
ได้เป็นครัง้ แรกภายใต้ศรัทธาใหม่นี้ พวกเขาล้วนเคร่งครัดและมีศรัทธาเปีย่ ม
ล้น ทั้งยังได้สร้างอาณาจักรแห่งธรรมะนี้ขึ้น ชาวอาหรับได้เลือก อบู บักร ผู้
เป็นหนึง่ ในสาวกและสหายของท่านศาสดาขึน้ เป็นประมุขผูส้ บื ทอดท่านศาสดา
ที่เรียกนี้เรียกว่า คอลีฟะฮ์ (Caliph) หรือชาวตะวันตกเรียกว่ากาหลิบ ชาว
อาหรับได้แผ่ขยายศาสนาอิสลามและอาณาจักรอิสลามออกไป และเข้าครอบ
ครองพืน้ ทีข่ องตะวันออกกลางแทนอาณาจักรเก่าๆ ทัง้ หมด เช่น พืน้ ทีใ่ นครอบ
ครองของอาณาจักรโรมันไบแซนไทน์ และพื้นที่ในครอบครองของอาณาจักร
ซัสซานิดแห่งเปอร์เซีย ภายในระยะเวลาเพียง 100 ปีอาณาจักรอิสลามได้
ขยายไปอย่างกว้างขวางในพื้นที่ทั้ง 3 ทวีป ได้แก่ เอเชีย แอฟริกา และ
ยุโรป โดยมีอาณาจักรอิสลามและแม้แต่คอลีฟะฮ์ปกครองอยู่ในสเปน รวม
ระยะเวลาที่มีอาณาจักรและราชวงศ์ต่างๆ ของมุสลิมอยู่ในสเปนยาวนานถึง
700 ปี ขณะที่ในทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ศาสนาอิสลามได้เริ่มขยาย
เข้ามาตั้งแต่อรุณรุ่งของศาสนาอิสลามหรือกว่า 1,400 ปีมาแล้ว ในบางบันทึก
ก็กล่าวว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 674 นักเผยแผ่ศาสนาอิสลามได้เข้ามาเผยแผ่ใน
ดินแดนนี้ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 71 เพียงแต่เป็นการเผยแผ่อยู่ในวงจำ�กัด
เฉพาะเพียงพืน้ ทีท่ ที่ �ำ การค้ากับชาวอาหรับ แต่อสิ ลามได้เริม่ ขยายตัวไปในหมู่
ประชาชนของภูมิภาคและบรรดาเจ้านายและชนชั้นปกครองในราวคริสต์
ศตวรรษที่ 14 และ 15 ทำ�ให้เริ่มมีรัฐอิสลามที่แข็งแกร่งปรากฏขึ้นอย่างรัฐ
สุลต่านแห่งมะละกา จากนั้นจึงขยายตัวไปยังรัฐอื่นๆ ที่เป็นเมืองท่าการค้า
ในคาบสมุทรมาเลย์ ขณะทีร่ ฐั สุลต่านแห่งอาเจะหก์ ไ็ ด้กอ่ ตัง้ ทีช่ ายฝัง่ ทางตะวัน-
1
Max L. Gross, A Muslim Archipelago: Islam and Politics in
Southeast Asia (Washington, D.C.: National Defense Intelligence Col-
lege), p. 5.

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 8
ตกเฉียงเหนือของเกาะสุมาตราตั้งแต่ปี ค.ศ. 1250 หรือก่อนมะละกาเสียอีก
จากนั้นจึงขยายตัวไปยังรัฐของเจ้ามาเลย์ต่างๆ ตามมาในช่วงคริสต์ศตวรรษ
ที่ 15 และ 16 อย่างรัฐสุลต่านปัตตานี ซึ่งปัจจุบันอยู่ในภาคใต้ตอนล่าง
ของประเทศไทย รัฐสุลต่านยะโฮร์และเปรัก ส่วนในเกาะชวาก็มีรัฐสุลต่าน
บันตัม มาตารัม และเดมัก รวมถึงรัฐสุลต่านบรูไนในเกาะบอร์เนียว และ
มากัสสาร์ในเกาะสุลาเวสี2

การขยายตัวของศาสนาและอาณาจักรอิสลาม
ไปเป็นศูนย์กลางของโลกสมัยกลาง

แทรก รูป 1

ที่มา: http://iranpoliticsclub.net/maps/maps06/

2
Ibid.

อิสลาม :
9 นิกาย & สำ�นักคิด
ï กำ�เนิดกลุ่มและนิกายในอิสลาม ï

ที่มาของความแตกต่างในประชาคมมุสลิม
เมือ่ ท่านนบีมฮู มั มัดสิน้ ชีวติ บรรดาสหายและสาวก (ศอฮาบะฮ์) ต่าง
เห็นว่ามีความจำ�เป็นที่จะต้องสรรหาบุคคลที่มีทั้งความประเสริฐและความ
เหมาะสมขึ้นมาเป็นประมุขของประชาคมมุสลิม และบรรดาสหายและสาวก
(ศอฮาบะฮ์) ส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นหรือรับทราบว่าท่านนบีมูฮัมมัดได้เคย
สั่งเสียแต่งตั้งบุคคลใดไว้เลย บรรดาสหายและสาวก (ศอฮาบะฮ์) ส่วนใหญ่
จึงพากันรับรองการเสนอชื่อของท่านอบู บักร ผู้เป็นบุรุษที่รับอิสลามเป็นคน
แรก เป็นผู้เสียสละทั้งทรัพย์สินและแม้แต่ชีวิตเข้าเป็นผู้อยู่เคียงข้างท่าน
นบีมูฮัมมัดในยามคับขันให้ขึ้นเป็นประมุขของประชาคมมุสลิม หลังจากนั้น
บรรดาสหายและสาวก (ศอฮาบะฮ์) ส่วนใหญ่จึงพากันทยอยเข้าให้สัตยาบัน
(บัยอะฮ์) แก่ท่านอบู บักร แต่มีสหายและสาวก (ศอฮาบะฮ์) ส่วนน้อย
เพียงไม่กี่ท่านที่ไม่เห็นด้วยโดยให้เหตุผลว่า ท่านนบีมูฮัมมัดได้เคยสั่งเสีย
ไว้ให้ท่านอาลี ผู้มีศักดิ์เป็นลูกผู้น้องของท่านขึ้นดำ�รงตำ�แหน่งประมุขของ
ประชาคมมุสลิม

กำ�เนิดสุหนี่ (Sunni) และชีอะฮ์ (Shi’a)


จากจุดนี้เองที่ประชาคมมุสลิมได้พัฒนาไปสู่การแตกออกเป็นกลุ่ม
ต่างๆ ที่สำ�คัญสองกลุ่ม นั่นคือประชาคมมุสลิมส่วนใหญ่ หรือร้อยละ 90 เห็น
ว่า ท่านอบู บักร มีความเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะดำ�รงตำ�แหน่งประมุขของ
ประชาคมมุสลิม และทัศนะและความเห็นของบรรดาสหายและสาวกส่วนใหญ่
ที่พากันให้สัตยาบัน (บัยอะฮ์) แก่ท่าน อบู บักร นั้นเป็นที่ชอบแล้ว บรรดา
มุสลิมที่พากันสืบสานความเห็นนี้และปฏิบัติศาสนาตามแนวทางนี้ได้ชื่อว่า
สุหนี่ (Sunni) หรือ Ahlus Sunnah wal Jama’ah ซึ่งมีความหมาย
ว่า บรรดาผู้ปฏิบัติตามจารีตของท่านศาสดาและของบรรดาผู้อยู่ร่วมกับหมู่
คณะของสหายและสาวก (ศอฮาบะฮ)์ ส่วนมุสลิมส่วนน้อยทีพ่ ากันเห็นว่าท่าน

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 10
อาลี เหมาะสมทีส่ ดุ ทีจ่ ะเป็นประมุขของประชาคมนัน้ ได้ชอื่ ว่า ชีอะฮ์ (Shi’ah)
หรือ Shi’ah Ali ที่มีความหมายว่า พลพรรคของท่านอาลี

คอลีฟะฮ์ (Caliph) ผู้เป็นประมุขของสุหนี่


ตำ�แหน่งประมุขของบรรดามุสลิมสุหนีม่ ชี อื่ ว่า “คอลีฟะฮ์ (Caliph)”
ภาษาอังกฤษใช้ค�ำ ว่า Caliph คำ�นีม้ คี วามหมายว่า โดยมีคอลีฟะฮ์ (Caliph)
สืบต่อจากท่านอบู บักรมาอีก 3 ท่านคือ ท่านอุมัร ท่านอุษมาน และท่าน
อาลี รวม 4 ท่าน ประชาคมมุสลิมสุหนี่ถือว่า คอลีฟะฮ์ (Caliph) ทั้ง 4
ท่านนี้เป็นคอลีฟะฮ์ (Caliph) ผู้เที่ยงธรรมหรือ Righteous Caliphs
หรือ Rashidun Caliphs ส่วนดินแดนและอาณาจักรทีค่ อลีฟะฮ์ (Caliph)
ปกครองนั้นเป็นรัฐอิสลาม รู้จักกันในนาม คิลาฟะฮ์ หรือภาษาอังกฤษใช้
คำ�ว่า Caliphate นั่นเอง
หลังจากคอลีฟะฮ์ (Caliph) ผูเ้ ทีย่ งธรรมทัง้ 4 ท่านแล้ว ประชาคม
มุสลิมก็เข้าสู่ยุคราชวงศ์ โดยคอลีฟะฮ์ (Caliph) ที่สืบต่อจากนี้ได้ดำ�รงตน
และสืบทอดอำ�นาจและตำ�แหน่งคอลีฟะฮ์ (Caliph) เฉกเช่นวงศ์กษัตริย์
และจักรพรรดิ มีราชวงศ์ต่างๆ ปกครองจักรวรรดิและอาณาจักรมากมาย
เช่น อาณาจักรอูมัยยะฮ์ (Umayyad Caliphate) ที่ปกครองระหว่างปี
ค.ศ. 661-744 และอาณาจักรอูมัยยะฮ์แห่งสเปน (Umayyad Caliphate
of Cordoba, Spain) ที่ปกครองระหว่างปี ค.ศ. 756-1031 อาณาจักร
อับบาสิยะฮ์ (Abbasid Caliphate) ที่ปกครองระหว่างปี ค.ศ. 750-1258
และอาณาจักรออตโตมัน (Ottoman Caliphate) ที่ปกครองระหว่าง
ปี ค.ศ.1299-1923 และดำ�รงอยู่ในฐานะผู้นำ�ทางศาสนาที่แยกออกจากรัฐใน
สาธารณรัฐตุรกีจนถึงปี ค.ศ. 1924

อิสลาม :
11 นิกาย & สำ�นักคิด
แผนที่แสดงจักรวรรดิอูมัยยัด (Omayyad Caliphate)

แทรก รูป 2

ที่มา : https://en.wikipedia.org/wiki/744#/media/
File:Umayyad750ADloc.png

แผนที่แสดงจักรวรรดิอับบาสิยะฮ์ (Abbasid Caliphate)

แทรก รูป 3

ที่มา : http://glps2.org/wiki/images/thumb/1/18/
Abbasidhist3.gif/500px-Abbasidhist3.gif

อิสลาม :
นิกาย & สำานักคิด 12
อิหม่ามผู้เป็นประมุขของมุสลิมชีอะฮ์
สำ�หรับมุสลิมชีอะฮ์นั้น ต่างถือว่าผู้ที่จะเป็นประมุขของประชาคม
มุสลิมและเป็นผู้สืบทอดท่านนบีมูฮัมมัดนั้น ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้ง
จากอัลเลาะห์ผ่านมาทางท่านนบีมูฮัมมัด ต้องเป็นผู้มีสายเลือดของศาสดานบี
มูฮมั มัด ต้องครอบครองความรูจ้ ากเบือ้ งบนด้วยพระอนุมตั ขิ องอัลเลาะห์ และ
ตำ�แหน่งประมุขนีค้ อื อิหม่าม หรือผูน้ �ำ ทีแ่ ท้จริงของประชาคมมุสลิมและเป็น
คอลีฟะฮ์ (Caliph) หรือผู้สืบทอดนบีมูฮัมมัด ที่ถูกต้อง
ในขณะทีม่ สุ ลิมชีอะฮก์ แ็ ตกออกเป็นกลุม่ และสาขาต่างๆ ทำ�ให้จ�ำ นวน
ของอิหม่ามในหมู่มุสลิมชีอะฮ์แต่ละกลุ่มและแต่ละสาขามีจำ�นวนไม่เท่ากัน
เช่น ชีอะฮ์ ญะฟะรียะฮ์ (Jafari) ซึ่งเป็นชีอะฮ์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีผู้นับถือส่วน
ใหญ่อยู่ในอิหร่านและอิรักนั้น มีอิหม่าม 12 ท่าน โดยท่านที่ 12 นี้ได้ซ่อนตัว
อยูโ่ ดยมีผแู้ ทนปกครองประชาคมแทนท่านจนถึงปัจจุบนั ส่วนชีอะฮ์ อิสมาอี-
ลีย์ (Ismaili) นัน้ หากเป็นกลุม่ อิสมาอิลยี ์ ฏอยยิบยี ์ (Tayyibi Ismailis)
ก็จะมีอหิ ม่ามทัง้ สิน้ 21 ท่าน ซึง่ หลังจากนีอ้ หิ ม่ามได้ซอ่ นตัวจากสาธารณชนและ
ให้ดาอีย์ (Da’i) เป็นผู้ปกครองประชาคมแทนสืบต่อกันมาจนปัจจุบัน

กำ�เนิดกลุ่มควาริจญ์ (Khawarij)
ในช่วงแรกๆ ที่ประชาคมมุสลิมกำ�ลังแตกออกเป็นสุหนี่และชีอะฮ์
นั้น ได้มีมุสลิมอีกกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดเห็นที่เถรตรงและเข้มงวดในประเด็น
ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางศาสนา สังคม การเมือง เป็นต้น ผู้คนเหล่า
นี้มีความเคร่งครัดต่อศาสนาเป็นอย่างยิ่ง แต่ความที่มีจริตไปในทางที่ค่อน
ข้างเถรตรง และไม่ยอมมองสิ่งต่างๆ ให้ยืดหยุ่นไปตามที่ศาสนาอิสลามสอน
และอนุญาต ทำ�ให้มุสลิมกลุ่มนี้เกิดความไม่พอใจต่อสภาพที่ประชาคมมุสลิม
กำ�ลังเผชิญกับการแตกแยกระหว่างกลุ่มสุหนี่ กับกลุ่มที่จงรักภักดีเฉพาะต่อ
ท่านอาลี กอปรกับผูค้ นเหล่านีย้ นื อยูท่ างฝัง่ ของท่านอาลี ในช่วงต้นๆ ของความ
ขัดแย้ง แต่เมือ่ ต้องเผชิญกับการตัดสินใจ และการวิเคราะหป์ ระเด็นทางการ-
เมืองและสังคม ทำ�ให้คนกลุม่ นีซ้ งึ่ มีจริตไปในทางเข้มงวดและไม่ยอมรับการ

อิสลาม :
13 นิกาย & สำ�นักคิด
ยืดหยุ่นต่อประเด็นปัญหาต่างๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มองว่าท่านอาลีไม่อยู่กับ
ร่องกับรอย ไม่ยึดมั่นต่อพระคัมภีร์อัลกุรอานและหลักชะรีอะฮ์ พวกเขาจึง
พากันออกจากกลุ่มก้อนของฟากฝั่งของผู้คนที่สนับสนุนและยืนหยัดอยู่เคียง
ข้างท่านอาลี ซึ่งส่วนใหญ่ได้พัฒนาไปเป็นกลุ่มชีอะฮ์ในตอนหลัง การแยกตัว
ออกมาจากการยืนหยัดเคียงข้างท่านอาลีนั้น เรียกในภาษาอาหรับว่า คูรูจญ์
(Khuruj) หรือคอริญีย์ (Khariji) ที่มีความหมายว่าผู้แยกตัวออกมา และ
พหูพจน์ของคำ�นี้คือ “ควาริจญ์” (Khawarij) ซึ่งมีความหมายว่า บรรดาผู้
แยกตัวออกจากกองทัพของท่านอาลี ไปตัง้ ตัวเป็นกลุม่ ก้อนใหม่ในประชาชาติ
อิสลาม

กลุ่มควาริจญ์ (Khawarij) ในปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มอิบาดีย์ (Ibadi)


ปั จ จุ บั น มี มุ ส ลิ ม ที่ สื บ เชื้ อ สายจากบรรพชนที่ เ ป็ น ควาริ จ ญ์ อ ยู่ ใ น
ประเทศโอมาน ทัง้ ยังเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศนัน้ เพียงแต่ในเวลา
ทีผ่ า่ นมาอย่างยาวนานทำ�ให้พวกควาริจญใ์ นปัจจุบนั ละทิง้ แนวคิดสุดโต่งอย่าง
ในอดีต และยอมอยู่ร่วมกับประชากรสุหนี่ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ในโลก
อิสลาม โดยผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากควาริจญ์ในปัจจุบันเรียกตัวเองว่ากลุ่ม
“อิบาดีย์ (Ibadi)” นอกจากในโอมานแล้ว ยังมีมุสลิมที่เป็นอิบาดีย์อยู่
ประปรายในแถบแอฟริกาเหนือ เช่น แอลจีเรีย ตูนิเซีย ลิเบีย และในบาง
พื้นที่ทางแอฟริกาตะวันออก

ยุคแห่งบรรพชนอิสลามผู้เที่ยงตรง (The Righteous Predecessors


หรือ Salaf Saleh)
เมื่อศาสดานบีมูฮัมมัดสิ้นชีวิต บรรดาสหายและสาวกของท่านได้
กลายเป็นประชาคมอิสลามรุ่นที่หนึ่ง และเมื่อท่านมีลูกหลานหรือได้อบรม
สั่งสอนบรรดาลูกศิษย์ บรรดาชนผู้เป็นชั้นลูกหลานและลูกศิษย์ได้กลายเป็น
ประชาคมรุ่นที่สอง และบรรดาประชาคมรุ่นที่สองได้มีลูกหลานมาสืบศาสนา
และได้อบรมสัง่ สอนศาสนาแก่บรรดาศิษยข์ องพวกท่าน ผูค้ นเหล่านัน้ ได้กลาย

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 14
เป็นประชาคมอิสลามรุ่นที่สาม บรรดาประชาคมทั้งสามรุ่นนี้ถือเป็นบรรพชน
อิสลาม และเนือ่ งจากท่านเหล่านัน้ เกิดมาในยุคอรุณรุง่ ของอิสลาม โดยเฉพาะ
ชนรุน่ ทีห่ นึง่ นัน้ เคยใช้ชวี ติ อยูใ่ นยุคอวิชชา (Jahiliyah) ก่อนการเทศนาของ
นบีมูฮัมมัดได้เคยใช้ชีวิตอยู่ในความหลง และการยึดมั่นถือมั่นในอัตตา
ตน ได้ปรุงแต่งชีวิตและเห็นผิดเป็นชอบ เมื่อมาฟังคำ�เทศนาเตือนสติจาก
ท่านนบีมูฮัมมัด จึงได้มีดวงตาเห็นธรรมและละทิ้งความหลง (Dhalalah/
Zalalah) และอวิชชา (Jahiliyah) เสียสิ้นและรับอิสลาม ส่วนประชาคม
รุน่ ทีส่ องและสามก็เกิดมาท่ามกลางสังคมทีเ่ ป็นอิสลามทีบ่ ริสทุ ธิ์ ศาสนาอิสลาม
และประชาคมมุสลิมยังไม่ได้รับและซึมซับอารยธรรม ประเพณี และความ
เชื่อต่างๆ ที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ในโลก ทำ�ให้บรรพชนอิสลามในสามรุ่นแรก
นี้เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดจากมลทินทางโลก อวิชชา และมายาคติที่ชาวโลกปรุง
แต่งขึ้นมากมาย ประชาคมมุสลิมจึงเรียกชนสามรุ่นแรกนี้ว่า บรรพชนอิสลาม
ผู้เที่ยงตรง หรือสลัฟ ซอลิฮ์ (Salaf Saleh/as Salaf as Saleh) ที่มี
ความหมายว่า The Righteous Predecessors

อิทธิพลของบรรพชนอิสลามผู้เที่ยงตรง (สลัฟ ซอลิฮ์) ต่อแนวคิดสะละฟีย์


(Salafi) ในปัจจุบัน
เมือ่ โลกมุสลิมพัฒนาไปอย่างยาวนานและขยายตัวไปในภูมภิ าคต่างๆ
นั้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับอิทธิพลของแนวคิด ประเพณี วัฒนธรรม
อารยธรรม ฯลฯ ในท้องถิน่ และภูมภิ าคต่างๆ ทีอ่ สิ ลามขยายและเผยแผ่เข้าไป
ดังนั้น เมื่อโลกอิสลามเผชิญกับความอ่อนแอ ความล้าหลังและความพ่ายแพ้
แก่โลกตะวันตกทำ�ให้ขบวนการของคนรุน่ ใหม่ ซึง่ เป็นคนหนุม่ สาวพากันมอง
ว่า การผสมผสานทางความเชื่อ แนวคิด และวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นส่งผลให้
อิสลามแปดเปือ้ น และประชาคมมุสลิมสูญเสียความบริสทุ ธิใ์ นธรรมะของตน
ขบวนการเหล่านีจ้ งึ เห็นว่าเราควรย้อนกลับไปดำ�รงชีวติ และปฏิบตั ศิ าสนาตาม
แบบของบรรพชนผูเ้ ทีย่ งธรรม (Salaf as Saleh) จึงเกิดขบวนการสะละฟีย์
(Salafi Movement) ขึ้นเพื่อฟื้นฟูศาสนาและประชาคมมุสลิม

อิสลาม :
15 นิกาย & สำ�นักคิด
พัฒนาการของสำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์ในมุสลิมสุหนี่
ในทางการเมืองนั้น ประชาคมมุสลิมได้แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเป็นที่
เรียบร้อย แต่ในทางศาสนา ความเชื่อและรายละเอียดในการปฏิบัติศาสนกิจ
นั้น กลุ่มการเมืองมุสลิมทั้งสามยังคงมีการขับเคลื่อนไปสู่การตกผลึกทาง
ความคิด และการปฏิบัติศาสนกิจอยู่ โดยในกลุ่มมุสลิมสุหนี่นั้นได้พัฒนาไป
สู่การตกผลึกของสำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์มากมายหลายสิบสำ�นัก แต่ได้
คงเหลือที่ตกผลึกและได้รับการนำ�ไปปฏิบัติจริงในโลกมุสลิมเพียง 4 สำ�นัก
ด้วยกัน ได้แก่
1) สำ�นักฮานาฟีย์ (Hanafi School of Thought)
2) สำ�นักมาลิกีย์ (Maliki School of Thought)
3) สำ�นักชาฟิอีย์ (Shafi’i School of Thought)
4) สำ�นักฮัมบาลีย์ (Hanbali School of Thought)

อิหม่ามผู้นำ�สำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์
สำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์เหล่านี้เกิดขึ้นจากความจำ�เป็นของ
ประชาคมมุสลิมสุหนี่ในการเข้าใจเป้าหมายของคำ�สอนและแนวทางในการ
ปฏิบัติตามคำ�สอน จึงมีบรรดาผู้รู้ในยุคต้นๆ อันถือเป็นยุคแห่งบรรพชน
ของศาสนาอิสลามได้ออกมาอรรถาธิบายแง่มุมทางคำ�สอนให้เป็นที่กระจ่าง
และง่ายต่อการปฏิบัติ แนวทางและการชี้ขาดของท่านเหล่านั้นได้หลอมรวม
เป็นแนวทางแห่งสำ�นักคิดที่รู้จักกันในโลกมุสลิมว่า “มัซฮับ” (Mazhab)
[Madhhab ซึง่ ในภาษาอังกฤษใช้ค�ำ ว่า School of Thought หรือ School
of Islamic Jurisprudence]
บรรดาผู้รู้และอุลามาอ์ที่เป็นผู้นำ�สำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์เหล่า
นี้ ได้กลายเป็นอิหม่าม (Imam) หรือผู้นำ�ประชาคมมุสลิมในการปฏิบัติ
ศาสนกิจในอิสลาม ซึ่งบุคคลเหล่านี้มีอิทธิพลเป็นอย่างยิ่งต่อประชาคม เนื่อง
จากธรรมะและคำ�สอนอิสลามนั้นมีเนื้อหาครอบคลุมบริบทต่างๆ ที่เกี่ยวกับ
ชีวิต ทรัพย์ สติ วงศ์ตระกูล และอะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับศาสนาและธรรมะ

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 16
ทำ �ให้ อิ ท ธิ พ ลแห่ ง การอรรถาธิ บ ายของอิ ห ม่ า มแห่ ง สำ � นั ก คิ ด และสำ � นั ก
นิตศิ าสตร์เหล่านีท้ รงพลังเป็นอย่างยิง่ ในหมูม่ สุ ลิมสุหนี่ เพียงแต่อทิ ธิพลเหล่า
นีไ้ ม่สง่ ผลต่อประเด็นทางการเมืองใดๆ ไม่วา่ ภายในโลกอิสลามหรือในภูมภิ าค
และในระดับสากล

ซอฮิรีย์ (Zahiri) แนวคิดนอกกรอบสำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์อิสลาม


โดยนอกจากสำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์ทั้งสี่แล้ว ยังมีอีกหนึ่ง
กระแสความคิดที่มีอยู่แต่ไม่ตกผลึกเป็นสำ�นัก เนื่องจากเป็นแนวคิดที่ยึดถือ
ตัวบทและหลักฐานทีเ่ ป็นคำ�สอนจากพระคัมภีรอ์ ลั กุรอานและจารีต (Tradi-
tion of Prophet Muhammad) หรือสุนนะฮ์ (Sunnah) ของท่าน
นบีมูฮัมมัดเป็นหลัก เมื่อใดที่เห็นตัวบทและหลักฐานมาเกี่ยวข้องกับความ-
คิด ความเชื่อ และการปฏิบัติ กระแสแนวคิดนี้ก็จะทำ�ให้บรรดาผู้ยึดถือตาม
แนวคิดนีเ้ ปลีย่ นทีแ่ ละเปลีย่ นรูปแบบการปฏิบตั ทิ นั ที โดยไม่ยดึ ติดกับแนวคิด
ทัศนะของการตีความคำ�สอนทีว่ างไว้เป็นรูปเป็นแบบโดยอิหม่าม (Imam) ผูน้ �ำ
สำ�นักคิด กระแสและแนวคิดดังกล่าวนีม้ มี าพร้อมๆ กับการก่อตัวและตกผลึก
ของสำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์ที่รู้จักกันในนามของแนวคิดแบบซอฮิรีย์
(Zahiri) โดยคำ�ว่า ซอฮิรีย์ (Zahiri) มีรากศัพท์มาจากคำ�ว่า ซอ ฮะ รอ
ทีม่ คี วามหมายว่าปรากฏให้เห็น ดังนัน้ แนวคิดของคนทีอ่ ยูใ่ นกลุม่ นีจ้ ะปฏิบตั ิ
ศาสนกิจเฉพาะเท่าทีม่ คี �ำ สอน หรือมีรปู แบบปรากฏให้เห็นในพระคัมภีรอ์ ลั -
กุรอาน หรือพบในจารีต (Tradition of Prophet Muhammad) หรือ
สุนนะฮ์ (Sunnah)
แนวคิดแบบซอฮิรีย์ (Zahiri) ได้ดำ�รงอยู่ตั้งแต่ยุคต้นของอิสลาม
จนถึงปัจจุบนั โดยแนวความคิดนีร้ จู้ กั ในชือ่ ปัจจุบนั ว่า แนวคิดแบบสะละฟีย์
(Salafi) เพือ่ ใช้ในการนำ�พาผูค้ นออกจากอิทธิพลของมัซฮับหรือของสำ�นัก-
คิดและสำ�นักนิตศิ าสตร์ (Mazhab/Madhhab) อย่างขบวนการฟืน้ ฟูอสิ ลาม
ที่ได้สร้างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียขึ้นมานั้นได้ใช้แนวความคิดแบบ
สะละฟีย์กับบรรดาชาวอาหรับเบดูอินในคาบสมุทรอาระเบีย ที่มีพื้นฐานแบบ

อิสลาม :
17 นิกาย & สำ�นักคิด
มัซฮับ ฮัมบาลีย์มาใช้กับขบวนการสร้างรัฐซาอุดีอาระเบีย

กลุ่มซูฟีย์ (Sufism) และฏอรีเกาะฮ์ (Tariqa/Tarikat)


ในบรรดามุสลิมกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสุหนี่ ชีอะฮ์ และควาริจญ์
ล้วนเป็นกลุ่มที่มีพื้นฐานทางศาสนากับการเมืองเป็นหลัก ในขณะที่กลุ่ม
สุหนี่ได้แบ่งออกเป็นสำ�นักคิดและสำ�นักนิติศาสตร์ (มัซฮับ/mazhab) ทั้ง
สี่ ตามด้วยแนวคิดแบบซอฮิรีย์หรือสะละฟีย์ในปัจจุบัน เราสามารถกล่าวได้
ว่ามุสลิมทุกกลุ่ม ยกเว้นซอฮิรีย์และสะละฟีย์ จะมีความโน้มเอียงไปในเรื่อง
รหัสยนิยม (Mysticism) ซึง่ รหัสยนิยมในอิสลามนัน้ รูจ้ กั กันในนาม แนวคิด
แบบซูฟีย์ (Sufism) หรือตะเซาวุฟ (Tasawwuf) ส่วนแต่ละแนวทาง
แต่ละสายการบังคับบัญชาในกลุ่มซูฟีย์ต่างๆ นั้นจะเรียกว่า ฏอรีเกาะฮ์/ตะ-
รีกัต (Tariqa/Tarikat) ในภาษาอังกฤษเรียกสายบังคับบัญชาและสำ�นัก
ต่างๆ ของซูฟีย์ว่า Sufi Order

ซูฟีย์และตะรีกัตสำ�นักต่างๆ
บรรดามุสลิมจำ�นวนหนึง่ มองว่าการให้ความสำ�คัญกับพระบัญญัตแิ ละ
หลักการชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) เพียงอย่างเดียว จะส่งผลให้ผคู้ นมีความ
แข็งกระด้าง สนใจแต่ประเด็นทางนิติศาสตร์ว่าอะไรผิดอะไรถูก และจะสูญ
เสียบริบทต่างๆ ไม่วา่ จะเป็นความก้าวหน้าทางสติปญ ั ญา หรือแม้แต่การวิจกั ษ์
ในสุนทรียศาสตร์ ขณะเดียวกันมลทินทางโลกได้เข้าเกาะกุมประชาคมมุสลิม
อันเนือ่ งจากการขยายดินแดน สงคราม ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะ
อย่างยิง่ หลังคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นมา ทีโ่ ลกมุสลิมได้เริม่ ตกต่�ำ และถอย
หลัง ขบวนการซูฟีย์ต่างๆ จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อขัดเกลาจิตใจประชาคมมุสลิม
หรือเพื่อการรวมคนเข้าเป็นขบวนการและกลุ่มก้อนทางทหารก็จะปรากฏ
อิทธิพลของแนวคิดซูฟีย์และสำ�นักซูฟีย์ต่างๆ เข้ามามีบทบาท
แนวคิดทางซูฟยี ม์ งุ่ เน้นการขัดเกลาจิตใจ การเข้าใกล้ชดิ พระเป็นเจ้า
ดังนั้น แนวคิดซูฟีย์จึงมุ่งเน้นสอนให้ผู้คนมีความรักอันดื่มด่ำ�ต่อพระเป็นเจ้า

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 18
ในขณะที่เพื่อนมนุษย์ สัตว์โลก และสิ่งแวดล้อมทั้งหมดล้วนเป็นผลงานของ
พระเป็นเจ้า แนวคิดซูฟีย์จึงสอนเรื่องความรักอย่างลึกล้ำ�ต่อเพื่อนมนุษย์โดย
ไม่แบ่งแยกศาสนา ภาษา และเชื้อชาติ ขณะที่เครื่องมือที่จะใช้ทำ�ให้ผู้คน
สามารถดืม่ ด่�ำ ในความรักต่อพระเป็นเจ้า เพือ่ นมนุษย์ สัตว์โลก และสิง่ แวด-
ล้อมได้นั้นก็จะมีบทกวี การร้องรำ�ประกอบดนตรี เป็นต้น ทำ�ให้ขบวนการ
สะละฟีย์ที่ปฏิเสธอิทธิพลต่างๆ ที่มิได้มีรากฐานจากอิสลามพากันต่อต้าน
แนวทางแบบซูฟีย์ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20 เป็นช่วงเวลาของ
ความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างแนวคิดสะละฟีย์และซูฟีย์ที่สำ�คัญยิ่ง และ
ตัวอย่างของความขัดแย้งนี้ก็ได้แก่ การขับไล่ออตโตมันตุรกีออกจากดินแดน
อาหรับโดยขบวนการสะละฟีฮ์ วะฮาบีย์ในซาอุดีอาระเบีย เพราะสุลต่าน
ออตโตมัน แม่ทัพนายกองออตโตมัน และทหารออตโตมันตุรกีนั้น เป็น
ผู้ปฏิบัติตามแนวทางซูฟีย์

อิสลาม :
19 นิกาย & สำ�นักคิด
กลุ่มนิกาย สำ�นักคิด สำ�นักนิติศาสตร์อิสลาม และสำ�นักซูฟีย์ต่างๆ

แทรก รูป 4

นิกาย & สำ�นักคิด


อิสลาม :
ที่มา : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/66/Islam_branches_and_schools.
svg/2000px-Islam_branches_and_schools.svg.png

20
แทรก รูป 5

ที่มา : http://infobeautiful3.s3.amazonaws.com/2014/07/1276_islamic-
sects_jul14-2.png

อิสลาม :
21 นิกาย & สำ�นักคิด
ï การค้าและอารยธรรมของอิสลาม ï
ชาวอาหรับได้พัฒนาอารยธรรมใหม่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกเขา
เป็นพ่อค้า เรือจำ�นวนมากของชาวอาหรับท่องไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
มหาสมุทรอินเดีย จนถึงอินโดนีเซียในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทาง
ตะวันออกของแอฟริกา ในทางบกชาวอาหรับได้ข้ามทะเลทรายขนาดใหญ่
ในเอเชียกลางเข้าไปในประเทศจีน และทะเลทรายซะฮาราในแอฟริกา ผล
กำ�ไรจากการค้าทำ�ให้ประชาชาติมุสลิมมีสินทรัพย์ที่มั่งคั่ง สินทรัพย์เหล่านี้
ทำ�ให้มุสลิมสามารถสร้างอาณาจักรและบ้านเมืองของตนอย่างสวยงาม พวก
เขาพัฒนาการชลประทานเพื่อทำ�กสิกรรม และสวนดอกไม้รื่นรมย์ที่สวยงาม
มีน้ำ�พุและอาคารเป็นระเบียบในสวน นอกจากนั้นอุตสาหกรรมการผลิตใน
โลกอิสลามก็ก้าวหน้ามากมาย พวกเขาผลิตพรม เครื่องใช้โลหะต่างๆ อาวุธ
การแกะสลักหิน และสถาปัตยกรรมต่างๆ ด้วยอำ�นาจทางการค้าและทรัพยส์ นิ
ชาวอาหรับได้ให้กำ�เนิดปราชญ์ในสาขาวิชาต่างๆ นักปราชญ์เหล่านี้บูรณาการ
ความรู้ที่ได้จากอารยธรรมก่อนหน้าพวกเขาไม่ว่าจากชาวกรีก เปอร์เซีย
อินเดีย และแม้แต่จีน

การวางรากฐานทางเศรษฐกิจให้แก่โลกปัจจุบัน
สิง่ ทีอ่ ารยธรรมอิสลามมอบให้แก่ชาวโลก ไม่วา่ จะเป็นสถาปัตยกรรม
ศิลปวิทยาการต่างๆ นั้น มีเศรษฐกิจและการค้าเป็นหนึ่งในบรรทัดฐานที่มา
จากอารยธรรมอิสลาม เมื่อพ่อค้ามุสลิมทำ�การค้ากับชาวโลกโดยล่องกองเรือ
สำ�เภาไปทั่วทุกทะเลสำ�คัญในโลกโบราณ แต่ในบางครั้งเรือบางลำ�ได้อับปาง
ลงสร้างความเสียแก่พ่อค้าผู้ลงทุนสินค้าไปกับเรือ ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วย
เหลือและค้�ำ ประกันความเสียหายอันอาจเกิดอีก ระบบการประกันภัยดังกล่าว
เรียกว่า ตะกาฟุล (Takaful) และอีกสิง่ หนึง่ คือศุกกู (Sukuk) หรือตราสาร
การเงินทีใ่ ห้ผลตอบแทนจากการลงทุนทีไ่ ม่อยูใ่ นรูปของดอกเบีย้ ไม่เกีย่ วพัน
กับธุรกิจฮะรอมทีต่ อ้ งห้ามต่างๆ และผลตอบแทนจากการลงทุนก็มาจากการมี
ส่วนร่วมในธุรกรรมและรับความเสี่ยงร่วมกัน (เช่น การให้เช่าทรัพย์สิน ว่า-

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 22
จ้างทำ�ของ ว่าจ้างให้บริหารจัดการเงินลงทุน ฯลฯ) ซึ่งเป็นไปตามหลักชะรี-
อะห์ (Shariah) ของศาสนาอิสลาม ซึ่งต่อมาชาวตะวันตกได้นำ�ระบบตะ-
กาฟุลไปทำ�เป็นระบบประกันภัยที่ผูกกับระบบดอกเบี้ย ความเสี่ยง และการ
เอารัดเอาเปรียบ เช่นเดียวกับที่นำ�ระบบศุกูกไปเป็นเช็คและตราสารทางการ
เงินที่ผูกโยงไว้กับระบบดอกเบี้ยอย่างเหนียวแน่น

การควบคุมเส้นทางการค้าโลกทั้งทางบกและทางทะเล
ในสมัยกลางของมุสลิม

แทรก รูป 6

ที่มา: http://wps.pearsoncustom.com/wps/media/objects2427/2486120/
chap_assets/maps/atl_map7_2.html

อิสลาม :
23 นิกาย & สำ�นักคิด
อาณาจักรอิสลามขยายมาถึงสเปน
อิทธิพลและความเจริญของอาณาจักรอิสลามขยายมาจนถึงยุโรป
พวกเขาได้เข้ายึดครองสเปน มุสลิมปกครองสเปนยาวนานราว 800 ปีและใน
ระหว่างทีอ่ าณาจักรอิสลามรุง่ เรืองอยูท่ งั้ ในเอเชีย แอฟริกาเหนือ และสเปนนี้
ชาวตะวันตกยังอยู่ในยุคมืดหรือสมัยกลางอยู่ ในอาณาจักรและดินแดนต่างๆ
ของชาวตะวันตกไม่มศี นู ยก์ ารค้า ไม่มสี โมสร และไม่การคมนาคมทีเ่ ชือ่ มโยง
เป็นโครงข่าย ไม่มสี วนสาธารณะ ฯลฯ มีเพียงปราสาทของเจ้าทีด่ นิ ทีร่ ายล้อม
ด้วยไร่นาและหมู่บ้านของไพร่ในระบบศักดินาสวามิภักดิ์เท่านั้น
ชาวอาหรับและมุสลิมพัฒนาดินแดนสเปนให้เป็นศูนยก์ ลางแห่งความ
มัง่ คัง่ ในยุโรป ขณะทีเ่ มืองอืน่ ๆ ในยุโรปยังอยูใ่ นยุคกลางทีล่ า้ หลัง ชาวอาหรับ
นำ�ต้นส้มและต้นอ้อยเข้าไปปลูกในสเปน และเริ่มวางรากฐานอุตสาหกรรม
ต่างๆ เช่น การหลอมเหล็ก ฟอกหนัง ทำ�กระดาษ และทอผ้า เป็นต้น แม้
ชาวมุสลิมจะได้นำ�ความเจริญเข้าไปในสเปน แต่ชาวสเปนที่เป็นคนยุโรปก็
ยังเกลียดชาวอาหรับและศาสนาของชาวอาหรับ ชาวสเปนได้เริ่มขบวนการ
ชิงดินแดนคืนจากชาวอาหรับ โดยใช้เวลายาวนานหลายร้อยปีกว่าจะช่วงชิง
ดินแดนคืนจากชาวอาหรับได้ทงั้ หมดในเดือนมกราคม ค.ศ. 1492 และในอีก
ไม่กเ่ี ดือนต่อมา คือในวันที่ 3 สิงหาคมปีเดียวกันนัน้ เอง ทีส่ เปนได้สง่ คริสโต-
เฟอร์ โคลัมบัสออกสำ�รวจเส้นทางไปอินเดีย เพื่อแย่งชิงการค้ากับโลกมุสลิม

อาณาจักรอิสลามใหม่ภายใต้การนำ�ของพวกเติร์ก
อารยธรรมอิสลามภายใต้การนำ�ของศรัทธาชนชาวอาหรับรุ่งเรือง
จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 11 อาณาจักรของชาวอาหรับจึงได้เริ่มอ่อนแอลง ทั้งนี้
เนือ่ งจากโดนชาวยุโรปโจมตีบอ่ ยครัง้ ขึน้ ชาวอาหรับค่อยๆ สูญเสียดินแดนใน
สเปนไปจนหมด และต้องถอยกลับมาตัง้ หลักอยูใ่ นโมร็อกโก บนฝัง่ แอฟริกา
เหนือทางตอนใต้ประเทศสเปน แม้ทางตะวันตก (สเปน) มุสลิมจะสูญเสีย
ดินแดนในยุโรปให้กับชาวสเปน แต่ในทางยุโรปตะวันออก ได้มีมุสลิมกลุ่ม
ใหม่มาจากเอเชียกลาง นั่นคือพวกเซลจุก เติร์ก และต่อมาพวกออตโตมัน

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 24
เติร์ก (Ottoman Turk) ผู้มาสืบทอดพวกเซลจุก เติร์ก พวกเติร์กมีความ
แข็งแกร่งทางทหารและความก้าวหน้าในศิลปวิทยาการ พวกเติร์กได้บุกเข้า
ยึดยุโรปจากทางตะวันออก ตัง้ แต่พนื้ ทีส่ ว่ นใหญ่ของจักรวรรดิโรมันไบแซน-
ไทน์ไปจนถึงกรุงคอนสแตนติโนเปิล เมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันไบแซน-
ไทน์ที่มุสลิมเติร์ก ภายใต้การนำ�ของสุลต่าน มูฮัมมัด ผู้พิชิต (Fatih) เข้า
ยึดเมืองนี้ได้ใน ค.ศ. 1453 และจากนั้นมาชาวเติร์กได้กลายมาเป็นผู้นำ�โลก
อิสลามแทนชาวอาหรับ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นก็ได้มีอาณาจักรอิสลามที่ยิ่ง
ใหญ่อีกสองอาณาจักรคือ อาณาจักรซาฟาวิดแห่งเปอร์เซีย และอาณาจักร
โมกุล (Mughal) แห่งอินเดีย ในระหว่างที่กองทัพออตโตมันเติร์กบุก
ยุโรปจากทางตะวันออก กษัตริย์แห่งสเปนได้ส่งคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสออก
เดินเรือไปค้นหาเส้นทางไปอินเดีย เพื่อแย่งชิงการค้าจากโลกมุสลิมในวันที่
3 สิงหาคม ค.ศ. 1492 เพียง 7 เดือนหลังเข้ายึดเมืองเกรนาดาที่มั่นสุดท้าย
ของมุสลิมในสเปน

กรุงอิสตันบูล อดีตเมืองหลวงของอาณาจักรออตโตมัน

แทรก รูป 7

ที่มา : http://www.jetsetz.com/uploads/profiles/jetzet-cheap-
flights-to--istanbul-turkey.jpg

อิสลาม :
25 นิกาย & สำ�นักคิด
มัสยิดกลางแห่งเมืองคอร์โดบา อดีตเมืองหลวงอาณาจักรอิสลามในสเปน
ปัจจุบันมัสยิดได้รับการเปลี่ยนเป็นโบสถ์หลังการยึดครองของสเปน

แทรก รูป 8

ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/File:Mezquita_de_C%C3%B3rdoba_
desde_el_aire_(C%C3%B3rdoba,_Espa%C3%B1a).jpg

มัสยิดกลางแห่งเมืองคอร์โดบาในสมัยอิสลามปกครองสเปน

แทรก รูป 9

ที่มา : http://t0.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcTeO8Dxrdho7bvIWm
C5UQX2fUKANumqrj2rlY9-Pe7rRA9CwyUJ

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 26
การล่มสลายของอาณาจักรออตโตมันเติร์ก
การฟืน้ ฟูศลิ ปวิทยาการของชาวยุโรปได้สง่ ผลให้เกิดการปฏิวตั วิ ทิ ยา-
ศาสตร์ จากนัน้ จึงเกิดการรูแ้ จ้งในสรรพวิชาของชาวยุโรป ทำ�ให้เกิดการปฏิ-
วัตอิ ตุ สาหกรรม และการล่าอาณานิคมโดยชาวยุโรปขึน้ ทัว่ โลก สิง่ เหล่านีท้ �ำ ให้
อาณาจักรออตโตมานของมุสลิมไม่อาจแข่งขันกับตะวันตกได้อีกต่อไป และ
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น อาณาจักรออตโตมันจึงพ่ายแพ้แก่สัมพันธ-
มิตร และความเป็นมหาอำ�นาจของโลกมุสลิมก็ถงึ กาลอวสาน ขณะทีโ่ ลกมุสลิม
ส่วนอืน่ ๆ ก็ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกเกือบทัง้ หมด เช่น อาณาจักรโมกุล
(Mughal) แห่งอินเดียที่ค่อยๆ เสื่อม และชาวตะวันตกเช่นอังกฤษและ
ฝรั่งเศสได้เข้าแทรกแซงกิจการของอินเดีย จนในที่สุดอังกฤษได้ยึดครอง
อินเดียไปจากการปกครองของมุสลิมอย่างเบ็ดเสร็จในปี ค.ศ. 1858

ความก้าวหน้าทางวิทยาการ
แม้อาณาจักรอิสลามจะแบ่งกันออกปกครองในทางการเมืองเป็น
อาณาจักรต่างๆ แต่โลกมุสลิมก็ผูกรวมไว้ด้วยกันภายใต้อารยธรรมเดียว นั่น
คืออารยธรรมของคำ�ปฏิญาณที่ว่า “ลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์” ซึ่งแปลว่า ไม่มี
พระเป็นเจ้าและสรณะอืน่ ใดนอกจากอัลเลาะห์ ทุกสิง่ ทีเ่ ป็นวิถชี วี ติ ของมุสลิม
ไม่วา่ การดำ�เนินชีวติ การแต่งกาย การก่อสร้าง งานสถาปัตยกรรม การค้า ฯลฯ
ที่มุสลิมสร้างสรรค์ขึ้นมา ล้วนสอดคล้องไปกับคำ�ปฏิญาณนี้ การแต่งกายของ
สตรีก็เป็นไปตามบัญชาของพระเป็นเจ้าองค์นี้ การค้าและการทำ�ธุรกรรม
ทางการเงินทีป่ ราศจากดอกเบีย้ ก็เป็นไปตามบัญชาของพระเป็นเจ้าองคน์ เี้ ช่น
กัน แม้กระนัน้ ศรัทธานีก้ ม็ ไิ ด้หา้ มมุสลิมจากการรับเอาแนวคิดและศาสตรต์ า่ งๆ
จากผู้คนในอารยธรรมอื่นๆ มาปรับปรุงและพัฒนา บรรดามุสลิมในอดีตได้
นำ�ปรัชญากรีก โรมัน จากเปอร์เซียและอินเดียมาศึกษา
บรรดานักวิทยาศาสตร์มุสลิมได้แต่งตำ�ราและสารานุกรมในศาสตร์
แขนงต่างๆ มุสลิมนับเป็นนักภูมิศาสตร์และนักเดินเรือที่ยอดเยี่ยมที่สุดกลุ่ม
หนึง่ ในโลก พวกเขาได้พฒ ั นาอุปกรณ์การนำ�ทางอย่างแอสโตรเลบ เพือ่ กำ�หนด

อิสลาม :
27 นิกาย & สำ�นักคิด
ที่ตั้งของดวงดาวบนท้องฟ้า มุสลิมเรียนรู้ศิลปะการทำ�กระดาษจากจีน แพทย์
มุสลิมจำ�นวนมากได้พัฒนาการแพทย์ที่ตกทอดมาจากฮิปโปเครติส และกา-
เลนอัล รอซีย์อาจารย์แพทย์ผู้มีชื่อเสียงแห่งกรุงแบกแดดในคริสต์ศักราชที่
900 ได้แต่งตำ�ราการศัลยกรรม ตำ�ราว่าด้วยโรคตา ฝีดาษ และหัดเยอรมัน
ท่านได้เขียนสารานุกรมทางการแพทย์ขนาดใหญ่และได้รับการแปลออกใช้
เรียนตามมหาวิทยาลัยในยุโรปอยู่ยาวนานหลายศตวรรษ เช่นเดียวกับตำ�รา
อัลกอนูน หรือ The Canon of Medicine ของอิบนิ สินาหรือ Avicenna
ที่เขียนขึ้นในปี ค.ศ. 1025 ได้รับการแปลออกเป็นภาษาละตินในชื่อ Canon
medicinae และใช้เป็นตำ�ราเรียนในยุโรปเช่นกัน นอกจากการแพทย์แล้ว
มุสลิมยังมีความก้าวหน้าทางคณิตศาสตร์ และได้ทำ�ให้วิชาพีชคณิตบรรลุสู่
ความสมบูรณ์ คำ�ศัพทท์ เี่ ราใช้เรียกวิชาพีชคณิตว่า algebra ก็มาจากคำ�ภาษา
อาหรับว่า aljabr นักคณิตศาสตร์มุสลิมก็เป็นผู้นำ�ตัวเลขอารบิกไปสู่ชาว
ตะวันตกให้ใช้แทนเลขโรมัน
นักปราชญ์มสุ ลิมมีอทิ ธิพลอย่างมากต่อวิชาภูมศิ าสตร์ พวกเขาได้ผลิต
แผนที่ที่มีความสมบูรณ์แบบขึ้นจากการเฝ้าสังเกตในการเดินทางไปทำ�การ
ค้าทั่วโลกโบราณและจากการคำ�นวณทางดาราศาสตร์ จากองค์ความรู้ทาง
ภูมิศาสตร์ของโลกมุสลิมเหล่านี้ที่คริสโตเฟอร์ โคลัมบัสพยายามขายความคิด
ให้แก่กษัตริย์และราชินีสเปน ในการนำ�ไปสู่การแข่งขันแย่งชิงการค้ากับโลก
มุสลิมที่ทรงประสิทธิภาพ

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 28
ภาพจากตำ�ราของจักษุแพทย์มุสลิม สมัยราชวงศ์อับบาสิยะฮ์
ราวคริสต์ศตวรรษที่ 9-19

ที่มา : http://occident.blogspot.com/2007/05/medicine-anatomy-
optics-lost-legacies.html

อิสลาม :
29 นิกาย & สำ�นักคิด
ภาพจากตำ�ราเรขาคณิตของนักคณิตศาสตร์อิสลามในสมัยกลาง
ราวคริสต์ศตวรรษที่ 8-9

แทรก รูป 11

ที่มา : http://occident.blogspot.com/2007/05/medicine-anatomy-
optics-lost-legacies.html

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 30
A diagram of an anaclastic lens, reproduced from
Ibn Sahl’s manuscript, ‘On Burning Mirrors and
Lenses.’ ของอิบนิ สะฮัล (Ibn Sahl) สมัยอับบาสิยะฮ์ ปี ค.ศ. 984

แทรก รูป 12

ที่มา : https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/
3/3a/Ibn_Sahl_manuscript.jpg/640px-Ibn_Sahl_manuscript.jpg

อิสลาม :
31 นิกาย & สำ�นักคิด
ชาวตะวันตกได้รับภาคผลแห่งความเจริญก้าวหน้าของอารยธรรม
อิสลามจาก 2 ทางคือ จากมุสลิมในสเปน ที่มีอาณาจักรอิสลามอยู่ที่เมือง
คอร์โดบา เมืองโทเลโด และเมืองเซบียา่ และจากการทำ�สงครามครูเสดเพื่อ
ยึดครองดินแดนเยรูซาเล็มในปาเลสไตน์จากมือของมุสลิม ผลของสงครามที่
ยาวนานถึงราว 200 ปี ทำ�ให้ชาวยุโรปได้เห็นความเจริญก้าวหน้าในโลกมุสลิม
และหันกลับไปคิดหาลู่ทางนำ�โลกตะวันตกให้ก้าวออกจากยุคมืดในสมัยกลาง
ด้วยการฟืน้ ฟูศลิ ปวิทยาการกรีกและนำ�ไปสูก่ ารปฏิวตั วิ ทิ ยาศาสตรใ์ นศตวรรษ
ที่ 17 และการรู้แจ้งในโลกวัตถุ (The Enlightenment) ในศตวรรษที่
18 จนถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการล่าอาณานิคมอย่างเต็มรูปแบบใน
ศตวรรษที่ 19

อารยธรรมอิสลามในอรุณรุ่งของโลกสมัยใหม่
ในตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 15 โลกมุสลิมที่อ่อนล้าจากการ
แข่งขันกับโลกตะวันตก ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่นำ�ไปสู่ความก้าวหน้าอย่าง
มากมายในยุโรป พอถึงตอนต้นของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวตะวันตกก็สามารถ
ส่งเรือออกไปค้นหาเส้นทางไปอินเดีย เพือ่ แย่งชิงการค้ากับโลกมุสลิม ผลของ
การลงทุน การกล้าหาญเสี่ยงภัยของชาวตะวันตกในงานนี้ได้รับผลเกินความ
คาดหมาย นัน่ คือชาวตะวันตกได้คน้ พบโลกใหม่ทกี่ ลายเป็นสินทรัพยม์ ลู ค่าเพิม่
จากความต้องการเดิมของพวกเขาทีเ่ พียงต้องการโค่นล้มการค้าของโลกอิสลาม
ด้วยการค้นหาเส้นทางสายใหม่ในการไปอินเดียและจีน ที่สามารถหลีกเลี่ยง
เส้นทางสำ�เภาของมุสลิม และเส้นทางบกหรือทีร่ จู้ กั กันในนามเส้นทางสายไหม
อันเป็นเส้นทางทีบ่ รรดาชาติมสุ ลิมต่างๆ ยังคงมีอทิ ธิพลควบคุมอยู่ และมุสลิม
ยังมีกองทัพภาคพื้นดินหรือกองทัพบกที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ และสามารถสกัด
ความพยายามแย่งชิงของชาวตะวันตกได้ ดังนั้น เมื่อชาวตะวันตกสามารถ
ทำ�การค้ากับโลกตะวันออกทั้งจีน หมู่เกาะเครื่องเทศ และอินเดียได้โดยไม่
ต้องผ่านดินแดนของมุสลิม หรือต้องพึ่งพาการค้าของมุสลิม ชาวตะวันตกจึง
เริม่ กลายเป็นชาติทมี่ งั่ คัง่ พวกเขาสามารถนำ�ความมัง่ คัง่ เหล่านีไ้ ปแปรเปลีย่ น

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 32
เป็นเรือเดินทะเลที่ทันสมัยยิ่งขึ้นไปอย่างไม่หยุดยั้ง พวกเขาพัฒนาปืนที่ทรง
แสนยานุภาพ รวบรวม และสร้างองค์ความรู้ทางภูมิศาสตร์และวิทยาศาสตร์
ใหม่ๆ ที่ก้าวหน้า แม่นยำ� เมื่อสรรพความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และ
การทหารบรรลุถึงความพร้อม ชาวตะวันตกจึงเริ่มไล่ล่าบดขยี้กองเรือของ
มุสลิม และเมื่อโลกมุสลิมไม่อาจทำ�การค้าทางทะเลแข่งขันกับชาวยุโรปได้
รวมถึงเส้นทางการค้าทางบกที่ต้องล่มสลายไปเพราะการเบียดเข้ามาแทนที่
ของการค้าทางทะเลของชาวตะวันตก กองทัพของอาณาจักรมุสลิมต่างๆ
ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกก็เริ่มตกต่ำ�ลง เนื่องจากความยากจนและความ
ขาดแคลนได้แผ่ขยายไปในโลกอิสลาม มาตรฐานทางการศึกษาในศิลปวิทยา-
การต่างๆ หรือแม้แต่มาตรฐานทางศาสนา คุณธรรม และศีลธรรมของบุคคลและ
สังคมก็เริม่ เสือ่ มโทรมลง เมือ่ ชาวตะวันตกฮึกเหิมมากขึน้ ถึงขัน้ ใช้เรือปืนและ
กำ�ลังทางทหารเข้ารุกรานโลกมุสลิม จึงไม่มอี าณาจักรหรือรัฐมุสลิมใดสามารถ
ต้านทานความก้าวร้าวและการรุกรานของชาติตะวันตกได้ ชาวตะวันตกจึงเข้า
ยึดครองโลกมุสลิมอย่างเบ็ดเสร็จเกือบทั้งหมดในคริสต์ศตวรรษที่ 19 จาก
นั้นชาวตะวันตกได้ทยอยแปรเปลี่ยนให้อาณาจักรทั้งหลายของมุสลิมกลาย
เป็นอาณานิคมขึ้นตรงต่อเมืองแม่ในยุโรป ความสำ�เร็จดังกล่าวนี้ทำ�ให้พวก
เขาสามารถเปลี่ยนศูนย์กลางของโลกเสียใหม่ จากโลกมุสลิมในเอเชียและ
แอฟริกาเหนือ ไปเป็นโลกตะวันตกในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิง่ ยุโรปตะวันตก

ผลของการตกเป็นอาณานิคม
การสูญเสียเส้นทางการค้า ทัง้ ทางบกคือเส้นทางสายไหม และเส้นทาง
ทะเลคือการค้าสำ�เภา รวมถึงดินแดนต่างๆ ของมุสลิมให้กับโลกตะวันตก
และกลายเป็นอาณานิคม ส่งผลให้ประชาชาติมุสลิมต้องยากจนลง ลักษณะ
ของมุสลิมเหล่านี้ไม่ต่างจากบรรดาผู้ดีตกยาก มุสลิมล้วนตระหนักในคุณค่า
และคุณูปการของศิลปวิทยาการและคุณธรรมอันสูงส่ง หากแต่ความยากจน
ได้ผลักไสให้มุสลิมไม่อาจไขว่คว้าเอาความเจริญเหล่านี้มาไว้ในความครอบ
ครองได้อีก หรือสิ่งสารพันอันเป็นอารยธรรมที่เคยสืบทอดจากชนรุ่นก่อนๆ

อิสลาม :
33 นิกาย & สำ�นักคิด
ในครอบครองของตน ก็ตอ้ งมลายสูญหายไปกับการแปรเปลีย่ นของเวลา ของ
ยุคสมัย และพากันสูญเสียคุณภาพชีวติ ไปชนิดทีไ่ ม่อาจเทียบชัน้ กับชาวตะวัน-
ตกผู้รุกรานได้เลย

การฟื้นคืนของอารยธรรมอิสลาม
เมื่อดินแดนของมุสลิมตกอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคม
ตะวันตก การค้าและการผลิตของโลกมุสลิมต้องยุติลง บ้านเมืองของมุสลิม
กลายเป็นย่านเมืองเก่าทีเ่ สือ่ มโทรม ขณะทีเ่ จ้าอาณานิคมพากันปลูกสร้างบ้าน
เรือน ทำ�เนียบ กระทรวง ทบวงกรม และย่านการค้าอย่างหรูหรา สะอาด
สะอ้าน และทันสมัย การศึกษาของโลกมุสลิมล้าหลัง ต้องนั่งเรียนกับพื้นใน
อาคารที่เก่าซอมซ่อ ห่างไกลจากสุขลักษณะ ไม่มีการศึกษาวิทยาศาสตร์สมัย
ใหม่ตามแบบอย่างของชาวตะวันตกที่ได้จากการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในคริสต์
ศตวรรษที่ 17 การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในโลกมุสลิมในเวลานั้นเป็นเพียง
การศึกษาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ตกทอดมาจากที่พวกกรีกวางแนวทางไว้
เมื่อ 2,300 กว่าปี โดยไม่มีการทดลองหรือห้องทดลองวิทยาศาสตร์ นอกจาก
เพียงการโต้เถียงด้วยโวหารจากความคิดและเหตุผลที่ห่างไกลจากโลกแห่ง
ความเป็นจริงทีเ่ ปลีย่ นแปลง แตกต่างจากโรงเรียนของเจ้าอาณานิคมตะวันตก
ที่ทยอยเปิดขึ้นเพื่อรองรับกุลบุตรกุลธิดาของเจ้าใหญ่นายโตมุสลิม ซึ่งล้วน
กลายเป็นพลเมืองในอาณานิคมตะวันตก เด็กๆ ในโรงเรียนแบบตะวันตก
สวมใส่เครื่องแบบที่โก้หรู ผูกหูกระต่าย หรือเนคไท และมีสูทตะวันตกทับ
ไว้ภายนอก สรรพวิชาทีเ่ ล่าเรียนก็เต็มไปด้วยวิทยาศาสตรส์ มัยใหม่ทพี่ ฒ
ั นาขึน้
ในยุโรปหลังคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีการเฝ้าสังเกตและทดลองจริงทั้งในห้อง
ทดลองวิทยาศาสตรแ์ ละนอกสถานทีใ่ นโอกาสแห่งการทัศนศึกษาต่างๆ ชนรุน่
ใหม่ในโลกมุสลิมเหล่านี้จึงซึมซับวิถีชีวิตแบบตะวันตก ที่สร้างขึ้นบนปรัชญา
วัตถุนิยมและมนุษยนิยม พร้อมวิธีคิดและวิธีมองโลกที่ห่างไกลจากวิถีของ
ชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) และเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการเลี้ยงดูแบบ
ตะวันตกเหล่านี้ได้กลายเป็นชนชั้นปกครองในประเทศมุสลิม พวกเขาไม่

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 34
แตกต่างทางความคิดไปจากอดีตเจ้าอาณานิคมตะวันตก แต่ในที่สุดบรรดา
มุสลิมรากหญ้าทั้งหลายต่างเรียกร้องให้กอบกู้อารยธรรมอิสลาม และนำ�วิถี
แห่งชะรีอะฮ์กลับมาใช้ในชีวิตสมัยใหม่ จึงเกิดความพยายามในการสร้าง
กระบวนการอิสลามานุวัตรให้กับทุกอย่างที่เป็นวิถีชีวิต เช่น การนำ�ระบบการ
เงินการธนาคารตะวันตกเข้าสู่ระบบการเงินการธนาคารอิสลาม เราจึงได้เริ่ม
เห็นการเงินการธนาคารอิสลามค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็นทางเลือกใหม่ รวมถึง
การประกันภัยแบบอิสลามหรือตะกาฟุล การให้ความสำ�คัญกับเรื่องฮะลาล
และฮะรอมในอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอาหาร เป็นต้น รวมไปถึง
อิสลามานุวัตรการศึกษาและการเมืองการปกครอง ในปัจจุบันนี้เราได้เห็น
การประยุกต์ใช้กฎหมายอิสลามหรือชะรีอะฮ์เพิ่มขึ้นในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
และยังได้เห็นความพยายามในการสถาปนารัฐอิสลามและการกอบกูต้ ำ�แหน่ง
ของกาหลิบหรือคอลีฟะฮ์ (Caliph) อันเป็นประมุขผู้สืบทอดท่านศาสดาใน
ข่าวต่างประเทศ และทั้งหมดนั้นคือพัฒนาการของอารยธรรมอิสลามที่ยังคง
ดำ�เนินอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัตน์

อิสลาม :
35 นิกาย & สำ�นักคิด
2
สำ�นักคิดในโลกอิสลาม

ดร. อณัส อมาตยกุล

เรียบเรียงจากเสวนาความมั่นคง หัวข้อ “สำ�นักคิดในโลกอิสลาม”


จัดโดย สถาบันการข่าวกรอง สำ�นักข่าวกรองแห่งชาติ
ร่วมกับ โครงการความมั่นคงศึกษา
วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์

สำ�หรับศาสนาอิสลาม คำ�สอน การปฏิบัติ นิกาย และสำ�นักคิดต่างๆ


จริงๆ แล้วคำ�ว่านิกายเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก แต่ความเป็นจริงก็เป็น
นิกาย แต่หากท่านทำ�งานกับสังคมมุสลิม สังคมมุสลิมจะไม่คนุ้ กับคำ�นี้ อันดับ
แรกต้องทำ�ความเข้าใจกับจิตวิทยาของมุสลิมทัว่ โลกก่อน นับตัง้ แต่ยทุ ธนาวีที่
เลปันโตเป็นต้นมาก็คอื มุสลิมอยูท่ า่ มกลางความพ่ายแพ้ ความถดถอย ความ
ตกต่ำ� ความยากจน และความล้าหลัง ทั้งหมดที่ถาโถมเข้ามานี้ ทำ�ให้สังคม
มุสลิม รวมถึงภาพพจน์ของโลกอิสลามที่ปรากฏออกไปในสายตาชาวโลกนั้น
ไม่สวยงามมากนัก ส่งผลให้จิตวิทยาของมุสลิมตกอยู่ในพัฒนาการของการ
ฝึกฝนและมีทกั ษะในการปกป้องตนเอง ประการต่อไปก็คอื เวลาตอบคำ�ถาม
อะไร สังคมมุสลิมทัว่ โลกก็จะตอบโดยไม่ได้ตอบจากสิง่ ทีเ่ ป็นความเป็นจริงใน
ปัจจุบัน แต่จะตอบจากสิ่งที่เป็นตัวบทในคำ�สอนของศาสนาอิสลาม เช่นเมื่อ
เกิดเหตุพลีชพี จนทำ�ให้มเี ด็กเสียชีวติ มุสลิมก็จะนำ�เอาคำ�สอนของศาสนามา
อธิบายว่า อิสลามห้ามในกฎเกณฑ์การทำ�สงคราม มารยาทในการทำ�สงคราม

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 36
ว่าห้ามฆ่าเด็ก ห้ามฆ่าผู้หญิง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็เป็นคำ�สอนซึ่งปุถุชนจะต้อง
ปฏิบัติ แต่ปุถุชนก็คือปุถุชน ปุถุชนทั่วโลกไม่ว่าจะนับถือลัทธิหรือศาสนาใด
มีเชื้อชาติ หรืออยู่ในระบอบการเมืองแบบใด จะมีสักกี่คนที่มีดวงตาเห็น
ธรรม ธรรมะก็บริสุทธิ์สมบูรณ์อยู่อย่างนั้น นี่เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้นเวลา
ท่านทำ�งานกับสังคมมุสลิม ท่านต้องเข้าใจส่วนนี้ก่อน เขาก็จะปกป้องตัวเอง
อย่างเช่น ปัญหาสี่จังหวัดภาคใต้ในช่วงแรกๆ เมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว มีคนตั้ง
ข้อสังเกตว่าเป็นไปไม่ได้เลยทีม่ สุ ลิมจะไปยิงใครต่อใคร โต๊ะครูจบั ชอลก์ เป็น
อย่างเดียว แค่ถอื ปืนไปเก็บในตูก้ ม็ อื สัน่ แล้ว ทำ�นองนีเ้ ป็นต้น สังคมมุสลิมจะ
ตอบคำ�ถามแบบนี้ หรือในกรณีเหตุการณ์ 9/11 มุสลิมอาจเป็นผู้ดำ�เนินการ
อยู่เบื้องหลังก็ได้ แต่ประเด็นสำ�คัญก็คือ ผู้ที่ขับเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรด
เซ็นเตอร์มีประเด็น มีเป้าหมาย หรือมีความตั้งใจอย่างไร ตามที่อาจารย์
สุรชาติพูดถึงก่อนหน้านี้ว่า มุสลิมเคยครอบครองเส้นทางการค้ามาก่อน อัน
นี้เป็นเรื่องจริงและเป็นปัญหาของโลก ทั้งยังเป็นเหตุผลอีกส่วนหนึ่งที่มุสลิม
ติดอาวุธลุกขึน้ โจมตีผลประโยชน์ของตะวันตก เนือ่ งด้วยบรรดาขบวนการต่อสู้
ในสำ�นักคิดต่างๆ นี้จะสอนหรือถ่ายทอดกันว่า โลกมุสลิมเคยรุ่งเรือง เฟื่อง
ฟู มั่งคั่ง และยิ่งใหญ่ขนาดที่สามารถครอบครองเส้นทางการค้าทั้งทางบก
และทางทะเล จีนเป็นเพียงผู้ผลิตขนาดใหญ่ของโลก แต่เมื่อพ้นจากกำ�แพง
เมืองจีน พ่อค้าจีนไม่ได้นำ�สินค้าส่งไปยังยุโรป พ่อค้ามุสลิมต่างหากที่เป็น
ผู้นำ�สินค้าที่ออกจากจีนผ่านกองคาราวาน ผ่านทะเลทราย และแวะพักตาม
ที่ต่างๆ เพราะฉะนั้นจากกำ�แพงเมืองจีนไปจนถึงเมืองท่าในตุรกี (จักรวรรดิ
ออตโตมัน) ซีเรีย และอียิปต์ ต้องผ่านนับร้อยๆ เมือง ในโลกยุคกลางของ
ศตวรรษที่ 12-15 นี้ โลกมุสลิมจะเฟื่องฟูอย่างมาก แต่พอล่วงเข้าศตวรรษ
ที่ 16 ชาวตะวันตกได้พฒ ั นาการต่อเรือและก็นำ�ไปสูก่ ารเดินเรือ เพราะฉะนัน้
ในเวลาทีศ่ กึ ษาเรือ่ งของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส คนทัว่ ไปก็จะเรียนแบบโลกียะ
คือเรียนแยกออกจากเรื่องศาสนา แต่จริงๆ แล้ว โคลัมบัสเป็นหนึ่งในผู้
ปวารณาตนเป็นนักรบครูเสดศักดิ์สิทธิ์ (นักรบกางเขนศักดิ์สิทธิ์) ต่อมาเขา
ได้เข้าเฝ้ากษัตริยเ์ ฟอรด์ นิ านดแ์ ละพระนางอิซาเบลลา ซึง่ อยูใ่ นภารกิจในการ

อิสลาม :
37 นิกาย & สำ�นักคิด
ทำ�สงครามครูเสดอันศักดิ์สิทธิ์ขับไล่พวกมัวร์ ซึ่งเป็นมุสลิม ออกไปจากสเปน
โดยสงครามขับไล่แขกมัวร์ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1492 ดังนั้นอาจกล่าว
ได้ว่าโคลัมบัสยืนอยู่ในกองทัพของกษัตริย์และราชินีทั้งสอง เพราะพระองค์
ได้สญั ญาว่า ถ้าขับไล่พวกมุสลิมออกไปได้แล้ว จะให้กองเรือแก่โคลัมบัสเพือ่
เดินทางไปยังอินเดีย แล้วชาวตะวันตกก็เริ่มเข้าสู่ยุคของวิทยาศาสตร์ แม้ว่า
ยุคของวิทยาศาสตร์จะเริ่มในศตวรรษที่ 17 แต่ก็เริ่มเห็นแนวโน้มการพัฒนา
ในด้านดังกล่าวตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (ยุคเรอเนสซองส์) แล้ว เพราะ
ฉะนั้นความเชื่อที่ว่าโลกกลมจะต้องพิสูจน์ และการพิสูจน์ก็คือจะต้องส่งเรือ
ออกไป ถ้าชาวตะวันตกไปถึงอินเดียได้โดยไม่ต้องผ่านดินแดนของมุสลิม
ตะวันตกก็สามารถซื้อสินค้าต่างๆ ได้โดยตรง ทั้งยังสามารถทำ�กำ�ไรได้อย่าง
มหาศาล และที่สำ�คัญก็คือ จะทำ�ให้เส้นทางการค้าเดิมของโลกมุสลิมต้องล่ม
สลายลง
ความน่าเกรงขามของกองทัพมุสลิมปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในช่วง
ศตวรรษที่ 15 เมื่อสุลต่านเมห์เหม็ด อฟาติส ที่ 2 แห่งจักรวรรดิออตโต
มันนำ�กองทัพยึดคอนสแตนติโนเปิลได้ในปี ค.ศ. 1453 การกระทำ�ดังกล่าว
นำ�ความอัปยศอดสูมาสู่โลกตะวันตกอย่างมาก เนื่องจากต้องสูญเสียโบสถ์ที่
ใหญ่ที่สุดในโลกคือ ฮายาโซฟีอา3 เมื่อออตโตมันยึดคอนสแตนติโนเปิลได้
เส้นทางต่อไปก็คือการมุ่งไปยังเวียนนา จากเวียนนาจะมุ่งหน้าสู่กรุงโรม การ
เคลื่อนทัพของออตโตมันสร้างความตื่นตระหนกในหมู่ปัญญาชนยุโรปอย่าง
มากว่ายุโรปจะยับยั้งการแผ่ขยายอำ�นาจของจักรวรรดิออตโตมันอย่างไร
แนวทางหนึ่งซึ่งเป็นการคิดในกรอบความคิดแบบเก่าคือ การสร้างกองทัพ
และการระดมสรรพกำ�ลังต่างๆ ให้เหนือกว่ากองทัพของออตโตมัน กล่าวคือ
ไม่ว่าออตโตมันมีม้ากี่พันกี่หมื่นตัว ยุโรปจะต้องมีมากกว่า ออตโตมันมีปืน

3
ความพ่ายแพ้และการสูญเสียโบสถ์ฮายาโซฟีอาเป็นแรงผลักดันในการสร้างโบสถ์เซนต์
ปีเตอร์ ที่กรุงวาติกันขึ้นมา และที่โบสถ์เซนต์ ปีเตอร์แห่งนี้ก็จะมีวงกลมข้างนอก เพื่อเป็นการจำ�ลอง
ลานที่ฏอวาฟที่เมกกะ อันแสดงถึงนัยว่า โลกตะวันตกจะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เมกกะ โดยการตั้งเสา
โรมันรอบลาน เป็นต้น

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 38
ใหญ่มาเป็นพันกระบอก ยุโรปก็ต้องผลิตให้ได้มากกว่า เป็นต้น แต่การติด
อยู่ในกรอบความคิดเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าจะทำ�ให้ยุโรปต้องทุ่มเทงบประมาณ
จำ�นวนมหาศาลเพื่อต่อต้านอิทธิพลของออตโตมัน
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็มีความพยายามคิดหาวิธีการในการต่อกรกับ
ออตโตมันที่ไม่ต้องเสียงบประมาณเยอะมาก ทั้งยังเป็นวิธีการที่ได้ผล นั่น
คือการพิจารณาถึงที่มาของความมั่งคั่งและอิทธิพลของออตโตมัน คำ�ตอบที่
ชัดเจนก็คือ ออตโตมันมั่งคั่งและเฟื่องฟูจากการควบคุมเส้นทางการค้าโลก
ทางเลือกของยุโรปก็คือ จำ�เป็นต้องทำ�ลายเส้นทางการค้าของมุสลิมให้ได้
ทัศนะเช่นนี้ดำ�รงอยู่ในสังคมยุโรปก่อนที่โคลัมบัส ผู้เป็นอัศวินนักรบครูเสด
ศักดิ์สิทธิ์จะสามารถทำ�ลายเส้นทางการค้าของมุสลิมลงได้ เพราะฉะนั้นถ้าเรา
เรียนเรื่องโคลัมบัสในโรงเรียนทั่วไป เด็กนักเรียนก็จะจินตนาการว่าเรื่องดัง
กล่าวเป็นเรื่องโลกีย์ เป็นเรื่องของทางโลก การแสวงหาดินแดนใหม่ ไม่ได้
เกี่ยวข้องกับธรรมะหรือศาสนาแต่อย่างใด
ความพยายามของชาวตะวันตกในการทำ�ลายเส้นทางการค้าของมุสลิม
นี่เอง ที่อาจนำ�มาเป็นคำ�อธิบายอีกส่วนหนึ่งต่อกรณี 9/11 ว่าเหตุใดเครื่องบิน
จึงพุง่ ชนอาคารเวิลดเ์ ทรดเซ็นเตอร์ แทนทีจ่ ะโจมตีสถานทีห่ รือสัญลักษณ์ของ
ความเป็นตะวันตกอย่างอืน่ ไม่วา่ จะเป็นเมืองหลวงหรือเทพีเสรีภาพ เป็นต้น
ทัง้ นีก้ เ็ พราะอาคารเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เป็นศูนย์กลางทางการค้าของโลก และ
สิง่ นีเ้ องทีต่ ะวันตกได้แย่งชิงไปจากโลกมุสลิม อาคารนีป้ ระกอบด้วย 2 อาคาร
อาคารหนึง่ ก็คอื อนุสาวรียซ์ งึ่ เป็นตัวแทนแห่งชัยชนะทีย่ ดึ ครองเส้นทางการค้า
ทางบก ส่วนอาคารที่สองคือตัวแทนอนุสาวรีย์ของเส้นทางการค้าสำ�เภาหรือ
ทางทะเล ดังนั้นแล้วการก่อวินาศกรรมในครั้งนี้ ใครจะเป็นคนทำ�อาจจะไม่
สำ�คัญ แต่สิ่งที่สำ�คัญก็คือผู้ที่ลงมือปฏิบัติการนั้นมีจุดประสงค์หรือต้องการ
สื่อสารอะไรกับโลกตะวันตกมากกว่า ในด้านหนึ่งอาจมองได้ว่า การกระทำ�
ดังกล่าวเป็นการส่งสัญญาณเตือนโลกตะวันตกว่า โลกมุสลิมที่ตะวันตกเคย
กระทำ�ย่ำ�ยี บัดนี้พร้อมแล้วที่จะต่อกรกับตะวันตกอีกครั้ง
ทัศนะของชาวมุสลิมยังคงยึดมั่นว่า โลกตะวันตกเป็นตัวการสำ�คัญที่

อิสลาม :
39 นิกาย & สำ�นักคิด
ลากจักรวรรดิออตโตมันมาย่�ำ ยีจนต้องล่มสลายไป จักรวรรดิออตโตมันเปลีย่ น
เป็นสาธารณรัฐใน ค.ศ. 1922 ทั้งยังทำ�ให้สุลต่านออตโตมันสิ้นสุดลง ในอดีต
สุลต่านออตโตมันได้ดำ�รงสองตำ�แหน่งด้วยกัน หนึ่งก็คือตำ�แหน่งสุลต่านทีถ่ ือ
เป็นพระจักรพรรดิ สมัยทีเ่ รืองอำ�นาจมีกษัตริยจ์ ากฮังการี โรมาเนีย โปแลนด์
กรีก แอลเบเนีย และโคโซโวมาถวายบรรณาการ ส่วนตำ�แหน่งที่สองก็คือ
เป็นกาหลิบ (Caliph) อย่างที่อะบู บักร์ อัลบัฆดาดีได้ประกาศตัวขึ้นเป็น
กาหลิบ ซึ่งสมัยตาลีบันเองก็ยังไม่อาจหาญถึงขั้นที่จะประกาศตัวเป็นกาหลิบ
เป็นประมุขของโลกมุสลิม เพราะฉะนัน้ ตำ�แหน่งทีส่ องของสุลต่านออตโตมัน
ก็คือเป็นกาหลิบของโลกมุสลิมนั่นเอง ภายหลังจักรวรรดิออตโตมันล่มสลาย
ยังคงมีการตั้งลูกพี่ลูกน้องของสุลต่านองค์กอ่ นขึ้นเป็นคอลีฟะฮ์ แต่ในปี ค.ศ.
1924 มุสตาฟา เคมาล อตาเติร์ก จึงได้โค่นล้มและยุติตำ�แหน่งของกาหลิบ
ลง ดังนัน้ ปี ค.ศ. 2023/2024 ก็จะครบ 100 ปีแห่งการสิน้ สุดการมีคอลีฟะฮ์ ใน
อีกมุมหนึ่งการที่เครื่องบินชนอาคารเวิลด์เทรดตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 จึงเป็นการ
ส่งสัญญาณว่าโลกมุสลิมที่สลบจากการบาดเจ็บแสนสาหัสในอดีตนั้น กำ�ลัง
ค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา แล้วจะเริ่มแผลงฤทธิ์แผลงเดช และพร้อมจะทวงคืนสิ่ง
ที่ตะวันตกได้แย่งชิงจากโลกมุสลิมไป นั่นก็คือเส้นทางการค้าหรือความมั่งคั่ง
เนื่องจากการทำ�ลายเส้นทางการค้าของโลกมุสลิมโดยชาวตะวันตก จึงส่งผล
ให้โลกมุสลิมประสบกับชะตากรรมเช่นปัจจุบนั ประเทศมุสลิมหลายประเทศ
ต้องเผชิญกับความยากจน ปัญหาในเรื่องของธรรมาภิบาล ปัญหาด้านสุข
อนามัย ปัญหาด้านการศึกษา เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ยังทำ�ให้มุสลิมปรากฏแก่
สายตาชาวโลกทัว่ ไปในภาพลักษณเ์ ช่นนี้ เพราะฉะนัน้ การทีม่ สุ ลิมส่วนใหญ่ทวั่
โลกปรากฏภาพลักษณ์ตอ่ สายตาต่อชาวโลก ล้วนแต่เป็นผลมาจากการทำ�ลาย
เส้นทางการค้าโลกมุสลิมโดยตะวันตก ประเด็นนีค้ อื สิง่ ทีบ่ รรดานักรบมูจาฮีดนี
ทั้งหลายเชื่อและอบรมสั่งสอนกันตลอดมา
ในส่วนของนิกายในศาสนาอิสลามนั้น นิกายก็เป็นนิกาย แต่ว่าพี่น้อง
มุสลิมอาจจะบอกว่าอิสลามไม่มีนิกาย เพราะตอบตามตัวหนังสือ กล่าวคือ
ถ้าตอบตามตัวหนังสือก็ไม่มีศาสนาใดที่มีนิกาย เพราะทุกศาสนามีแต่ศาสดา

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 40
ในศาสนาพุทธก็ไม่มีนิกาย เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าจงไปเป็นนิกาย
ใดนิกายหนึ่ง นิกายเป็นเรื่องของจริตของคนในรุ่นหลังและการเข้าถึงคำ�สอน
และข้อมูล ศาสนาอิสลามก็เช่นกัน เพราะฉะนัน้ เราจะไม่เข้าใจเลยจนกว่าเรา
จะปูพื้นว่าอิสลามสอนอะไรก่อน อาจจะต้องใช้เวลาเล็กน้อยว่าอิสลามสอน
อะไร พอเข้าใจว่าอิสลามสอนอะไรแล้ว จากนี้ท่านจึงจะเข้าใจจินตนาการ
หรือทัศนะของมุสลิมแต่ละแห่งแต่ละกลุม่ ว่าเหตุใดจึงเป็นโบโก ฮาราม ทำ�ไม
โบโก ฮารามจึงขับเคลื่อนอย่างนี้ ทำ�ไมอินโดนีเซียจึงเคลื่อนไหวในทิศทาง
เช่นนั้น ทำ�ไมมาเลเซียจึงใช้แนวทางนี้ เป็นต้น
จริงๆ แล้วขบวนการของโบโก ฮาราม หรือขบวนการของมาเลเซีย
เป็นขบวนการที่เราต้องเรียกตามตรงว่าเป็น “ขบวนการฟื้นฟูศาสนาอิสลาม”
หลังจากทีเ่ ป็นอาณานิคมของตะวันตก การเป็นประเทศอาณานิคมเช่นนีท้ �ำ ให้
คำ�สอนอิสลามหลายประการถูกลบ ถูกแช่แข็ง หรือถูกสั่งให้ล้มเลิก ห้ามมิให้
ปฏิบตั ิ เป็นต้น ขณะเดียวกันการล่าเมืองขึน้ ก็ท�ำ ให้ประเทศมุสลิมทัง้ หลายต้อง
เข้าสู่กระบวนการการศึกษาแบบใหม่ วิถีชีวิตแบบใหม่ วัฒนธรรมแบบใหม่
วิธีคิดแบบใหม่ ซึ่งวิธีคิดและวิถีชีวิตแบบใหม่นี้ หลายๆ อย่างเป็นเรื่องทาง
โลกียะ ไม่ใช่เรื่องทางศาสนา ด้วยเหตุนี้เองทำ�ให้มุสลิมบางกลุ่มที่ไม่พอใจ
และไม่สามารถทีจ่ ะรับมือกับความเปลีย่ นแปลงดังกล่าวได้ จึงถอยออกไปอยู่
ตามภูเขาและตั้งเป็นกองกำ�ลังกู้ชาติ หรือเรียกว่าเป็น กองกำ�ลังมูจาฮีดีน
แต่ขบวนการเหล่านี้ก็มีข้อด้อย เนื่องจากพวกเขาแตกฉานซ่านเซ็น และไม่มี
การรวมตัวกัน ไม่มีกาหลิบ ไม่มีประมุขทางศาสนา ต่างจากในอดีตสมัยที่
ฮอลันดา (ดัตช์) เริ่มคุกคามอินโดนีเซียและยึดครองเมืองได้หลายเมือง
สุลต่านอินโดนีเซียและสุลต่านมาเลเซียหลายพระองค์ส่งสาส์นไปยังสุลต่าน
ออตโตมัน เพื่อขอให้ส่งกองเรือมาช่วยปกป้อง ในฐานะที่สุลต่านออตโตมัน
เป็นกาหลิบของโลกมุสลิม สุลต่านออตโตมันก็ส่งกองเรือมาช่วย เป็นต้น
เมื่อประเทศทั้งหลายได้รับเอกราช ปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ
ประเทศที่ได้รับเอกราชนี้ คนที่เคร่งศาสนา คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในวิถีแบบอิสลาม
ไม่ได้มีโอกาสเป็นชนชั้นปกครอง แม้ว่าในตอนกู้เอกราชได้มีส่วนร่วมในการ

อิสลาม :
41 นิกาย & สำ�นักคิด
กอบกู้เอกราช เช่น กรณีของอินโดนีเซีย ในการต่อสู้กับดัตช์นี้ บรรดา
โต๊ะครูทจี่ บมาจากเมกกะและอียปิ ตต์ า่ งก็ออกมาช่วยกันจับอาวุธต่อสูก้ บั เจ้า-
อาณานิคม โต๊ะครูกลายเป็นนักรบกู้ชาติ จนกระทั่งญี่ปุ่นบุกเข้ามา ตอนนั้น
ญี่ปุ่นเห็นว่าสังคมอินโดนีเซียอ่อนแอมาก 300 ปีที่ฮอลันดายึดครอง ฮอลันดา
ไม่เคยทำ�ให้สังคมแข็งแกร่ง (ซึ่งเจ้าอาณานิคมเองก็ไม่ต้องการให้ประเทศ
ที่ถูกยึดครองแข็งแกร่ง) ดังนั้นญี่ปุ่นก็จะต้องเข้ามาทำ�ให้สังคมอินโดนีเซีย
เป็นสังคมที่แข็งแกร่งมากขึ้น เริ่มมีการตั้งผู้ใหญ่บ้าน กำ�นัน เป็นต้น ทั้งนี้
ก็เพื่อให้ประชาชนเป็นหูเป็นตาว่าใครเข้าออกหมู่บ้าน สิ่งที่น่าประหลาดใจ
ก็คือ ผู้ที่พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่บรรดามูจาฮีดีนในอินโดนีเซียที่จะนำ�
ไปสู้รบกับเจ้าอาณานิคม กลายเป็นจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่น ประมุขผู้
นี้ยังพระราชทานทองคำ�และทุนทรัพย์ให้แก่มูจาฮีดีนในอินโดนีเซียไปสู้รบ
กับฮอลันดาอีกด้วย กลายเป็นจักรพรรดิของญี่ปุ่น เพราะสุลต่านออตโตมัน
ได้ล่มสลายไปแล้ว
แต่เมือ่ การสูร้ บสิน้ สุด อินโดนีเซียเริม่ สร้างชาติและพัฒนาประเทศอีก
ครัง้ โดยหนึง่ ในขัน้ ตอนสำ�คัญก็คอื การร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม บรรดา
โต๊ะครูที่ร่วมต่อสู้กันมาก็ไม่ได้จบการศึกษาจากโรงเรียนกฎหมาย ไม่มีความ
เข้าใจต่อระบบกฎหมายสมัยใหม่ ดังนัน้ หน้าทีข่ องการร่างรัฐธรรมนูญจึงกลาย
เป็นความรับผิดชอบของบรรดาผู้ที่ศึกษากฎหมายมาโดยตรง แต่เมื่อร่าง
เรียบร้อยแล้ว ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐธรรมนูญดังกล่าวไม่มีความเป็น
อิสลามเลย อินโดนีเซียกำ�ลังจะกลายเป็นรัฐโลกียะ ผูค้ นส่วนหนึง่ มองว่า หาก
ร่างรัฐธรรมนูญเป็นไปในลักษณะนี้ ย่อมหมายความว่าทิศทางของประเทศต่อ
ไป จะต้องเป็นประเทศทีเ่ ป็นกบฏต่ออิสลาม หลายฝ่ายไม่เห็นด้วยและกลาย
เป็นกบฏต่อต้าน พื้นที่สุดท้ายที่ไม่ยอมก็คือ อาเจะห์
แม้ตลอด 300 ปีที่อินโดนีเซียตกเป็นอาณานิคมของฮอลันดา แต่
อาเจะห์กลับไม่ได้อยู่ในสถานะเช่นนั้น จนล่วงเข้าสู่ตอนปลายศตวรรษที่ 19
หรือราว 60-70 ปีก่อนเท่านั้นที่อาเจะห์กลายเป็นอาณานิคมของฮอลันดาด้วย
ในตอนแรกอาเจะหก์ ไ็ ม่ยอมรับการร่างรัฐธรรมนูญจากศูนย์กลาง จนภายหลัง

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 42
เหตุการณ์สึนามิ สถานการณ์จึงเปลี่ยนแปลงไป
บรรดาผูท้ รี่ า่ งรัฐธรรมนูญอินโดนีเซียก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็น
ไปไม่ได้เลยทีอ่ นิ โดนีเซียจะใช้กฎหมายชารีอะหใ์ นตอนนี้ หากคำ�นึงถึงสภาพ
ความเป็นจริง ตัวอย่างเช่นกฎหมายชารีอะห์ให้โบยผู้ที่ดื่มเหล้า อินโดนีเซีย
ในขณะนั้นมีประชากรราว 200 กว่าล้านคน ทางการอินโดนีเซียจะต้องโบย
ผู้กระทำ�ผิดวันละเท่าไร ดังนั้น จะต้องบรรจุอัตราเจ้าหน้าที่โบยเพิ่มอย่าง
มหาศาล หรือถ้ามีตำ�รวจตรวจพบว่ามีคนไม่ละหมาด ตำ�รวจจะต้องลาด-
ตระเวนว่ามีคนไม่ละหมาดหรือไม่ วันๆ หนึ่งจะลงโทษกันอย่างไร เป็นต้น
ดังนั้นแล้วอินโดนีเซียจึงต้องเป็นประเทศและมีรัฐธรรมนูญในลักษณะเช่นนี้
แต่มจู าฮีดนี ไม่ยอมรับ มูจาฮีดนี มีวสิ ยั ทัศน์ยดึ มัน่ อยูใ่ นกรอบทีต่ อ้ งเป็นศาสนา
ส่วนมาเลเซียก็มีพัฒนาการในอีกแบบหนึ่ง มีจริตอีกแบบหนึ่ง และ
สภาพแวดล้อมอีกแบบหนึ่ง เพราะฉะนั้นมาเลเซียจึงต้องนำ�ประเทศเข้าสู่
กระบวนการอิสลามานุวัตร (Islamization) หรือการค่อยๆ ทำ�ให้บ้านเมือง
ของพวกเขาเป็นอิสลาม ทำ�ระบบราชการเป็นอิสลาม เพราะว่าในพระราชวัง
หรือในที่ต่างๆ เหล่านี้เป็นธรรมเนียมฮินดูมาก่อน เช่น เมื่อสุลต่านเสด็จมา
มหาดเล็กก็ต้องถวายบังคม เป็นต้น นั่นคือมาเลเซียเองก็อยากให้ประเทศ
ของตนเป็นอิสลามมากขึ้น บรูไนเองก็เช่นกัน หรือแม้แต่กรณีของไนจีเรีย
รัฐบาลก็เป็นรัฐบาลโลกียะ แต่ก็มีบางกลุม่ โบโก ฮารามที่ไม่พอใจในประเด็น
ดังกล่าว กลุม่ ต่อต้านรัฐบาลนีม้ กั จะอยูห่ า่ งออกไปในชนบท คนเหล่านัน้ อยูใ่ น
สภาพแวดล้อมทีว่ า่ ทำ�ไมรัฐบาลกลางไม่ท�ำ ให้ประเทศเป็นอิสลาม เด็กเหล่านี้
ก็เลยเข้าสูก่ ระบวนการญิฮาด (Jihad) เพราะฉะนัน้ อิสลามานุวตั รในไนจีเรีย
จึงออกมาในหลายรูปแบบ หลายสำ�นัก แต่สำ�นักหนึ่งที่เป็นที่รู้จักก็คือ โบโก
ฮาราม ซึ่งสมาชิกของกลุ่มเป็นเด็กวัยรุ่น วุฒิภาวะเขาเป็นแบบนั้น วิสัยทัศน์
เขาเป็นเช่นนั้น เขาเห็นและคิดอะไรแค่นั้น เขาเห็นว่าความรับผิดชอบอยู่
แค่นั้น ไม่ได้สนใจกฎหมายระหว่างประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศใดๆ
เป็นต้น

อิสลาม :
43 นิกาย & สำ�นักคิด
หลักคำ�สอนในอิสลาม
หลักคำ�สอนสำ�คัญของอิสลาม ประกอบด้วย
1) อิสลามสอนว่าพระเป็นเจ้ามีองค์เดียวเป็นเอกะ
หลักการหนึ่งของอิสลามก็คือ หลักการเตาฮีด ซึ่งมาจากรากศัพท์ที่
แปลว่า วาเฮด ที่แปลว่าหนึ่งหรือเลขหนึ่ง นั่นคือมุสลิมจะต้องคัดสรรพระผู้
เป็นเจ้าและสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิท์ งั้ หลายออกทีละหนึง่ ออกจนเหลือพระเป็นเจ้าหนึง่
เดียว ซึ่งเป็นพระเป็นเจ้าผู้ที่สร้างโลก องค์ที่สร้างโลกนี้ และสร้างอดัม ซึ่ง
เป็นมนุษยชาติคนแรกเป็นบรรพบุรุษของเราขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ ในจินตนาการ
ของมุสลิมก็คือ จินตนาการของความเชื่อในเรื่องเตาฮีด
ขอย้อนไปเล่าความเป็นมาของอดัมสักเล็กน้อย พระเป็นเจ้าสร้าง
อดัมจากดิน ทูตสวรรค์ (มลาอิกะฮ์) และญิน (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า
เจนนี่) ต่างก็มาเฝ้าดูผลงานของพระผู้เป็นเจ้ากันทั้งสิ้น ทูตสวรรค์ดูแล้วก็
ไม่มีปัญหาอะไร บอกว่าดี ในขณะที่ญินเกิดความอิจฉา เพราะญินนี้เหมือน
มนุษย์ มนุษย์นสี้ ร้างด้วยดินเป็นหลัก แต่ญนิ หรือว่าเจนนีส่ ร้างด้วยธาตุไฟเป็น
หลัก เพราะฉะนั้นถ้าญินโกรธ ก็จะโกรธมาก ถ้ารัก ก็จะรักมาก เป็นต้น ญิน
ยังมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ว่าหน้าตาจะน่าเกลียดกว่า ตัวใหญ่เทอะทะ มี
ขนรุงรังเต็มตัว ญินก็มาดูสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้าง และตัดพ้อทำ�ไมสร้างอดัม
ทีหลัง แต่กลับทำ�ให้สวยกว่าญินเสียอีก จนกระทัง่ ถึงวันจริง พระเจ้าก็บอกว่า
เจ้าทั้งหลายจงมาชุมนุมกัน ข้ากำ�ลังจะเป่าวิญญาณลงไปในตัวอดัมให้กลาย
เป็นมนุษยชาติขึ้นมา และเมื่อข้าเป่าวิญญาณลงไป แล้วอดัมกลายเป็นมนุษย์
ขึ้นมาแล้ว เจ้าทั้งหลายจงลงไปกราบอดัม เพราะเป็นสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด เมื่อ
อดัมกลายเป็นมนุษย์ อดัมก็ลงไปกราบบัลลังกข์ องอัลเลาะห์เบือ้ งหน้าและลุก
ขึ้นยืน พอลุกขึ้นยืนในภาพอันสง่างาม ทูตสวรรค์ก็ทรุดลงไปกราบอดัม ญิน
หรือเจนนี่ทั้งหมดก็กราบอดัมเช่นเดียวกัน จะยกเว้นก็แต่ประมุขของญิน คือ
อิบลีส ที่ยังคงยืนอยู่ พระเจ้าก็ถามอิบลีสว่าทำ�ไมไม่ลงไปกราบสิ่งที่พระองค์
ได้สร้างด้วยมือของพระองค์เอง อิบลีสก็ตอบว่าตนประเสริฐกว่าอดัม พระเจ้า
ทรงสร้างอิบลีสมาจากไฟ แต่สร้างอดัมจากธุลีดิน ทัศนคติเช่นนี้คล้ายกับทาง

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 44
พุทธในเรือ่ งการยึดมัน่ ถือมัน่ ในอัตตา อัลเลาะห์จงึ กล่าวแก่อบิ ลีสว่า สวรรคน์ ี้
เป็นที่บริสุทธิ์ อิบลีสอยู่ที่นี่ไม่ได้อีกแล้ว และเนรเทศอิบลีสไปยังนรก เพราะ
ฝ่าฝืนอัลเลาะห์ คุณธรรมคือต้องทำ�ตาม ห้ามฝ่าฝืน ทั้งยังเป็นเครื่องทดสอบ
ว่าจะจำ�นนต่ออัลเลาะห์หรือไม่ ด้วยเหตุนี้เวลาท่านฟังมุสลิมบอกว่าอิสลาม
แปลว่าอะไร อิสลามแปลว่า การยอมจำ�นนต่อพระเจ้า (Submission to
God) คือจำ�นนต่ออัลเลาะห์ ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า อิบลีสเป็นคนแรกที่ไม่
ยอมเป็นมุสลิมหรือไม่ยอมจำ�นนต่ออัลเลาะห์
พระเจ้าสั่งให้อิบลีสไปในนรก แต่อิบลีสก็ทูลขอว่าให้เขาได้มีชีวิต
อยู่ถึงวันสิ้นโลก เขาจะอยู่เพื่อล่อลวงอดัมและลูกหลานของอดัมทั้งปวงให้ลง
นรกไปพร้อมกับเขา พระเจ้าถามกลับว่า อิบลีสจะล่อลวงมนุษยด์ ว้ ยสิง่ ใด ใน
เมื่อมนุษย์จะภักดีต่อพระองค์ อิบลีสจึงบอกว่าเขาจะล่อลวงให้มนุษย์หลงผิด
เห็นผิดเป็นชอบ ในคริสต์ศาสนา บาปแรกคือเมื่ออดัมกินผลไม้ ในอิสลาม
นั้นการกระทำ�ของอดัมถือเป็นบาปที่สอง โดยบาปแรกคือเมื่ออิบลีสฝ่าฝืน
อัลเลาะห์ และกลายเป็นซาตานองค์แรก ต่อมาอิสลามจึงสอนว่าอิบลีสเป็น
ศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์
เมือ่ มารออกไปแล้ว พระเจ้าก็หนั ไปหาอดัม พอเห็นอดัมอยูค่ นเดียว
พระเจ้าก็เลยสร้างคู่ครองให้แก่อดัม และก็ให้ทั้งสองคนอยู่ในสวนสวรรค์
พระเจ้าบอกกับอดัมว่า ในสวนสวรรค์แห่งนี้อดัมสามารถรับประทานอะไร
ทำ�อะไรก็ได้ ทุกอย่างถือว่าฮาลาล ยกเว้นต้นไม้กลางสวรรค์ที่ฮารอมหรือห้าม
เข้าไปใกล้เด็ดขาด อย่างไรก็ตามมารก็พยายามทำ�ทุกวิถที างเพือ่ ให้อดัมไปลง
นรกให้ได้ มารจึงแปลงกายมาในคราบงูและกระซิบให้อดัมรับประทานผล
ไม้จากต้นไม้นั้น ในที่สุดมารก็สามารถล่อลวงให้อดัมหลงผิดและฝ่าฝืนคำ�สั่ง
ของพระเจ้าได้สำ�เร็จ และอดัมก็ต้องตกจากสวรรค์ จุดนี้เองที่ศาสนาอิสลาม
ต่างจากศาสนาคริสต์ โดยในคริสต์ศาสนาและศาสนายิว เมื่ออดัมกินผลไม้
แล้ว อดัมได้ฝ่าฝืนพระเจ้า อดัมก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับอิบลีส คือต้อง
พินาศในไฟนรก ขณะเดียวกันบาปนี้ก็จะตกทอดไปยังลูกหลานของอดัมทุก
คน คริสต์ศาสนาจึงสอนว่า นี่เป็นบาปกำ�เนิด มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับ

อิสลาม :
45 นิกาย & สำ�นักคิด
บาปที่เป็นมรดก ในทางพุทธศาสนาเชื่อว่าบางคนอาจจะเกิดมามีบุญ มีบุญ
มากกว่าบาป แต่ในทางคริสตศ์ าสนา ทุกคนเกิดมามีบาปเป็นมรดก และก็ไม่มี
ใครและไม่มีทางแก้ไขบาปนี้ได้เลย จนกระทั่งสืบลูกหลานจากอดัมมาจนถึง
ยะกู๊บ หรือในศาสนาคริสต์เรียกว่า เจคอป (Jacob) หรือว่ายาโคป ซึ่ง
ยาโคปยังมีฉายาว่า อิสราเอล อีกด้วย ยาโคปเป็นศาสดาที่ดีมาก พระเป็น-
เจ้าก็เลยอวยพรให้ยาโคปและวงศ์วานของเขาได้อยู่ในสรวงสวรรค์ ไม่ต้อง
ลงนรก ด้วยเหตุนี้เองทุกคนที่เป็นลูกหลานยาโคป ซึ่งก็คือยิว หรือที่เรียกว่า
วงศ์วานอิสราเอล (Children of Israel) นั้น ไม่ต้องลงนรก ด้วยเหตุนี้
ศาสนายิวจึงไม่เผยแพร่เพราะไม่ว่าเผยแพร่แล้วใครจะเคร่งแค่ไหนก็ตาม
ก็ต้องตกนรกอยู่ดี เนื่องจากไม่มีเลือดยาโคปนั่นเอง ศาสนายิวจึงเป็นศาสนา
ที่ไม่เผยแพร่ คำ�สอนนี้ก็สืบทอดมาถึงสมัยพระเยซู ในสมัยพระเยซูก็มีเรื่อง
เล่าที่แตกต่างกันระหว่างศาสนาอิสลามกับคริสต์ศาสนา ในคริสต์ศาสนา เมื่อ
พระเยซูประสูติแล้ว ได้ถูกตรึงกางเขน และก็สิ้นพระชนม์ และชนะความ
ตายมาในเวลาที่สาม และฟื้นคืนกลับสู่สวรรค์ แต่ในบางนิกายก็จะบอกว่า
พระเยซูจะลงมายังโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในวันสิ้นโลก นี่คือเรื่องเล่าในมุม
คริสต์ศาสนา ในศาสนาอิสลามนั้น พระเยซูเป็นศาสดา ไม่ได้เป็นบุตรของ
อัลเลาะห์ โดยพระเยซูถูกนำ�ไปตรึงกางเขน ก็ล้มลุกคลุกคลานแบกกางเขน
ไป ชาวยิวที่กักขฬะก็เลยบอกว่า ถอยไป ข้าแบกเองเจ้าจะได้ไปตายแล้ว ก็
แบกไม้กางเขนไป ระหว่างทีช่ ลุ มุนวุน่ วายอัลเลาะหก์ ใ็ ห้ทตู สวรรคย์ กพระเยซู
ขึ้นไปบนฟ้า ประเด็นในศาสนาอิสลามนั้นพระเยซูยังไม่สิ้นพระชนม์ ตั้งแต่
เกิดมายังไม่เคยสิ้นพระชนม์ 2,000 กว่าปีนี้ยังดำ�รงอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าและก็
จะลงมาก่อนวันสิ้นโลก
ในอีกประเด็นหนึ่งที่แตกต่างกันระหว่างสองศาสนาคือ คริสต์ศาสนา
สอนว่ามนุษย์เรามีบาป ไม่มีทางล้างบาปนี้ได้ พระเจ้า/อัลเลาะห์ทรงรักโลก
นี้ จึงทรงส่งพระบุตรองค์เดียวลงมาเกิดบนโลกนี้ในร่างของมนุษย์เพื่อที่จะ
สำ�รวจความทุกข์ทรมานอย่างที่มนุษย์ได้รับบ้าง จากนั้นจึงทรงเสียสละโดย
ถูกตรึงลงบนไม้กางเขน การเสียสละของอัลเลาะห์นี้เหมือนแนวคิดในทาง

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 46
ศาสนาพราหมณ์และฮินดูที่เมื่อพระอิศวรประทานพรแล้วยักษ์ก็เอาไปแผลง
ฤทธิแ์ ผลงเดช ไม่มใี ครแก้ได้ จึงต้องไปตามพระนารายณม์ าแก้ปญ ั หา เพราะ
ฉะนั้นในแนวคิดเช่นนี้ก็คือ เมื่อพระเจ้า/อัลเลาะห์ทรงสร้างปัญหาขึ้นมาแล้ว
เพราะมนุษย์มีเจ็ดพันล้านคนและทุกคนก็มีบาปกำ�เนิดหมด แล้วจะมีใครไป
ศรัทธาพระเจ้า เพราะฉะนั้นพระเป็นเจ้าจึงเสียสละพระบุตรองค์เดียวที่มีอยู่
ลงมาเกิดเป็นมนุษย์และก็รับการทรมาน โดนถ่มน้ำ�ลาย โดนโบยโดนตีโดย
พวกโรมัน และถูกตรึงกางเขน เพราะฉะนั้นผู้ใดศรัทธาว่าพระอัลเลาะห์ทรง
ส่งพระบุตรองค์เดียวลงมาตายบนไม้กางเขน จะได้รับความรอด (Salva-
tion) คริสต์ศาสนาถือว่าการจะเข้าสู่ความรอด จะต้องไถ่บาป และสิ่งที่จะ
เป็นเครือ่ งการันตีวา่ บุคคลจะได้รบั ความรอดก็คอื ได้รบั ประทานขนมปังทีเ่ ป็น
ส่วนหนึง่ ของกายของพระบุตรของอัลเลาะห์ ซึง่ บาทหลวงก็จะทำ�พิธเี สกแก่คน
ที่มาทำ�พิธีมิซซาในโบสถ์ พอรับประทานแล้ว ก็ดื่มเหล้าองุ่นหรือน้ำ�องุ่น อัน
เปรียบเสมือนโลหิตของบุตรของพระเจ้า การกระทำ�เช่นนี้เป็นการยืนยันว่า
ถ้าบุคคลมีเนือ้ และเลือดของลูกของอัลเลาะหอ์ ยูใ่ นร่างกายแล้ว จะไม่ตอ้ งไป
ในนรก ซึ่งนี่เป็นสิ่งสำ�คัญ เมื่อคริสต์ศาสนาจะต้องไปรับศีลและรับประทาน
ขนมปังในโบสถ์ ส่วนในทางศาสนาอิสลามนั้นถือว่าอดัมก็ต้องตกอยู่ในสภาพ
เดียวกับทีค่ ริสต์ศาสนาสอน แต่อดัมเสียใจร่�ำ ไห้และทูลต่ออัลเลาะห์วา่ ให้ทรง
อภัยโทษ อัลเลาะห์จึงทรงอภัยโทษ อดัมจึงไม่มีโทษเหลืออยู่ ปรากฏว่าเมื่อ
อดัมไม่มีโทษและบาปเหลืออยู่ที่อดัม อิสลามจึงสอนว่า เด็กๆ ทุกคนซึ่งเป็น
ลูกหลานอดัมนั้นเกิดมาบริสุทธิ์ ไร้บาป เด็กๆ ทุกคนเกิดมาประหนึ่งผ้าขาวที่
บริสุทธิ์ นี่คือส่วนที่ความเชื่อของทั้งสองศาสนาแตกต่างกัน
จากที่กล่าวในข้างต้น จากวันแรกของมนุษย์มีสิ่งที่ศาสนาฮารามหรือ
ห้ามเพียงอย่างเดียว ทุกอย่างรับประทานได้หมด ทุกอย่างทำ�ได้หมด แต่
เวลาที่ผ่านมาหลายหมื่นปี สิ่งที่ศาสนาอิสลามห้ามก็เริ่มมีมากขึ้นแต่ก็ยังนับ
ว่าน้อยอยู่ดี มุสลิมจะไม่สามารถรับประทานอาหารบางอย่าง เช่น เลือดของ
สัตว์ เลือดไก่ เลือดเป็ด เลือดวัว หมู เป็นต้น จึงต้องมีการระบุอย่างชัดเจน
ว่าอาหารนั้นๆ ดำ�เนินการถูกต้องตามหลักศาสนา หรือที่รู้จักกันในปัจจุบันว่า

อิสลาม :
47 นิกาย & สำ�นักคิด
เครื่องหมายฮาลาล อย่างไรก็ตามระบบฮาลาลไม่ได้จำ�กัดอยู่แค่เพียงระบบ
ผลิตอาหารเท่านัน้ หากแต่ไปยังครอบคลุมถึงการโรงแรม การท่องเทีย่ ว การ
บริการทางการแพทย์ การจัดทัวร์ เป็นต้น
2) ฐานะและบทบาทของมนุษยชาติในโลกนี้
ฐานะของมุสลิมบนโลกนี้สะท้อนสิ่งที่พระเป็นเจ้าตรัสไว้เมื่อตอนที่
สร้างโลกและจักรวาลทั้งหมด โดยพระผู้เป็นเจ้าใช้เวลาสร้างโลกอยู่หกวัน
และในวันทีเ่ จ็ดพระองค์ทรงประทับบัลลังก์ และตรัสกับทูตสวรรค์ทรี่ ายล้อม
พระองคอ์ ยูว่ า่ ทุกอย่างบริบรู ณห์ มดแล้ว แต่ยงั ขาดอยูส่ งิ่ หนึง่ ก็คอื สิง่ ทีบ่ ริบรู ณ์
(perfect) ตัวจริง ทูตสวรรค์ถามกลับว่า สิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างทั้งหมดนี้
ยังไม่บริบูรณ์อีกหรือ พระเป็นเจ้าก็ตอบว่า ต่อไปนี้จะแสดงผลงานที่บริบูรณ์
ทีส่ ดุ ก็คอื สร้างมนุษย์ขนึ้ มา และจะให้มนุษย์นเี้ ป็นผูแ้ ทนของพระองคบ์ นหน้า
แผ่นดิน คำ�ว่าผู้แทนของอัลเลาะห์บนหน้าแผ่นดินก็คือ กาหลิบ (caliph)
เพราะฉะนัน้ กาหลิบในระยะแรกๆ ไม่ได้เป็นอย่างทีอ่ ะบู บักร์ อัลบัฆดาดี นำ�
เสนอ หากแต่หมายความว่า มนุษยท์ กุ คนจะต้องดำ�รงตนเป็นกาหลิบของอัล-
เลาะห์บนโลกใบนี้ และกาหลิบของโลกใบนี้ก็จะต้องวางตัวไปตามที่ธรรมะ
อิสลามสอนอีกด้วย
แนวคิดของอิสลามต่อชีวติ ในโลกนีเ้ องเป็นเรือ่ งทีย่ โุ รปหรือตะวันตก
คิดอย่างไร และมูจาฮีดนี คิดอย่างไร เริม่ จากเป้าหมายทีแ่ ท้จริงของศาสนาคือ
อะไรที่มุสลิมเชื่อและมูจาฮีดีนเชื่อและศรัทธา นั่นคือเราทั้งหลายเกิดมาโดย
อัลเลาะห์ให้เรามาเป็นกาหลิบ มนุษย์ต้องเชื่อฟังพระองค์และต้องละหมาด4
เมือ่ สังคมมุสลิมตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตก กลุม่ มุสลิมที่
อยู่ในจารีตจะเริ่มมองต่าง ถ้าท่านไปประชุมสัมมนาหรือไปดูงานในประเทศ
มุสลิม เช่น อียิปต์ ในอียิปต์จะมีคนสองแบบ หนึ่งก็คือคนที่ใส่ชุดสากล สอง
คือคนทีใ่ ส่ชดุ ยาวๆ เรียกว่า โต๊ป คนทีใ่ ส่ชดุ แบบนีจ้ ะเป็นคนกลุม่ ทีเ่ ป็นชาวนา
เกษตรกรหรือนักเรียนศาสนา แต่ถา้ ทำ�งานในนิคมอุตสาหกรรมในไคโรจะใส่
มนุษยท์ เ่ี กิดมาบนโลกถือเป็นผูแ้ ทนของอัลเลาะห์ และทีส่ �ำ คัญต้องภักดีตอ่ พระองค์ โดย
4

การแสดงออกถึงความภักดีก็คือการละหมาดนั่นเอง

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 48
ชุดสากล ชาวอาหรับจะแต่งกายใน 2 ลักษณะคือ แต่งตัวตามขนบประเพณี
ดั้งเดิม แต่ในกาตาร์ โอมาน จอร์แดน อียิปต์ และซีเรียจะแต่งตัวอย่าง
สากล แต่ในกลุ่มคนที่แต่งสากล คนที่ไม่ค่อยคลุกคลีกับชีวิตตะวันตกก็ยังคง
ใส่ชุดประจำ�ชาติ อย่างกลุ่มชาวนา เป็นต้น เพราะฉะนั้นคนในสังคมอียิปต์
ก็จะแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน คนที่ใส่ชุดสากลก็จะเข้าใจโลกตะวันตก แม้
กระทั่งพวกมุสลิม Brotherhood แม้จะเป็นมุสลิมก็จริง แต่คนกลุ่มนี้จะมี
การศึกษา พอมีการศึกษาแล้วก็เป็นทนาย นักกฎหมาย แพทย์ วิศวกร นัก
วิทยาศาสตร์ เป็นต้น มุสลิม Brotherhood จะแต่งชุดสากล ซึ่งจะต่างกับ
อีกกลุ่มหนึ่งซึ่งจะใส่ชุดตามจารีต และก็จะเกิดการดูหมิ่นขึ้นภายในและพวก
เขาจะแยกกัน ดังนั้นถ้าหากในสังคมใครใส่ชุดอย่างนี้มา ชาวอียิปต์ก็จะแยก
ทันทีว่ามีการศึกษาระดับอะไร ในปากีสถานก็เช่นกัน คนปากีสถานที่แต่งชุด
สากลก็จะผ่านการศึกษาในโรงเรียนแบบทีถ่ กู ตาลีบนั โจมตี ซึง่ เป็นโรงเรียนที่
สอนตามแบบตะวันตก เพราะฉะนั้นในปากีสถาน ครอบครัวที่มีฐานะร่ำ�รวย
ก็จะมีธรรมเนียมเฉพาะ เช่น ในครอบครัวสุหนี่ ที่มีลูก 5 คน อาจจะให้ทุก
คนท่องพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน จากนั้นก็ส่งไปเรียนโรงเรียนตะวันตกทั้งหมด
หรือใน 5 คนนี้ จะให้คนหนึ่งไปเรียนเป็นโต๊ะครู แต่ก็แต่งงานได้ทำ�ธุรกิจ
ได้ เพราะฉะนั้นพี่น้องมี 4 คนจึงไปเรียนโรงเรียนฝรั่งทั้งหมด แต่อีกหนึ่งคน
ไปเรียนโรงเรียนศาสนา คนที่เรียนโรงเรียนศาสนานี้พี่น้องก็จะล้อเลียน เช่น
โต๊ะครูวา่ อย่างไรในเรือ่ งนี้ ในภาษาอินเดียและปากีสถานจะเรียกคำ�ว่า เมาลานา
ซึ่งคำ�นี้มีนัยของการดูหมิ่น หมิ่นว่าพวกนี้ไม่รู้เรื่องของชีวิตสมัยใหม่หรือชีวิต
ตะวันตก เป็นพวกธรรมะธรรโม ถือศีล เป็นต้น
3) เป้าหมายของศาสนาอิสลาม
เมื่ออดัมไม่มีบาปแล้ว แต่อดัมยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปประมาณ 900
กว่าปี อิสลามสอนว่าอดัมมีอายุ 1,000 ปี และอายุคนก็ลดลงมาเรื่อยๆ อดัม
มีชีวิตอยู่ 1,000 ปี เพราะฉะนั้นเมื่ออีก 900 ปีที่อดัมยังต้องอยู่นี้ มารก็ยังคง
อยู่เช่นกัน ดังนั้นมารก็ยังสามารถล่อลวงอดัมได้ต่อไป อดัมจะต้องพิสูจน์ว่า
เวลาที่เขาเหลืออยู่นี้ เขาจะไม่เชื่อฟังมารอีก เพราะฉะนั้น อัลเลาะห์จึงส่ง

อิสลาม :
49 นิกาย & สำ�นักคิด
อดัมและคูค่ รองลงมายังโลกนี้ เพือ่ จะให้มาเผชิญกับความทุกข์ ความทรมาน
ความเจ็บป่วยต่างๆ อันจะเป็นสิ่งเร้าที่มารจะมาล่อลวงอดัมได้ ขณะเดียวกัน
อดัมจะต้องพิสูจน์ว่า ไม่ว่าในสภาวะใดๆ ก็ตาม อดัมจะไม่ฝ่าฝืนอัลเลาะห์
และสิง่ นีก้ ค็ อื สิง่ ทีส่ งั คมมุสลิมต้องการ เป็นเป้าหมายของศาสนาอิสลามนัน่ เอง
อย่างไรก็ตาม เมื่ออดัมลงมายังโลกมนุษย์แล้ว อัลเลาะห์เห็นว่า
อดัมจะต้องมีเครื่องมือในการแยกแยะผิดชอบชั่วดี นั่นคือตัวธรรมะหรือตัว
ศาสนานั่นเอง ในภาษาอาหรับเราเรียกว่า ชารีอะห์ หรือที่รู้จักกันในปัจจุบัน
ว่า กฎหมายชารีอะห์ เพราะฉะนัน้ กฎหมายชารีอะหท์ ใี่ ช้ เช่น ห้ามเปิดดิสโก้-
เทค ห้ามเปิดบาร์ ชารีอะห์เป็นทั้งความเชื่อและแบบแผนในการดำ�เนินชีวิต
ชารีอะห์มีคำ�สอนในพระคัมภีร์อัลกุรอ่านกว่า 6,600 โองการ แต่ละ
โองการอาจจะเกี่ยวกับประเด็นในเรื่องชีวิต ทรัพย์ สติ วงศ์ตระกูล และ
ประเด็นที่เกี่ยวกับตัวธรรมะเอง เช่น สิ่งที่มุสลิมรับประทานได้หรือไม่ได้ นี่
เป็นเรื่องชีวิต การรักษาพยาบาลเป็นเรื่องชีวิต ส่วนทรัพย์จะลงทุนอะไรได้
จะขายอะไรได้ มรดกจะให้แก่ใคร อันนี้เป็นเรื่องทรัพย์ อิสลามก็มีหลัก
ความเชื่อ หลักปฏิบัติ หลักคุณธรรม หลักความเชื่อก็เชื่อว่าอัลเลาะห์มีจริง
มลาอิกะห์ที่เป็นทูตสวรรค์มีจริง คัมภีร์ทั้งหลายมีจริง ศาสดามากมายตั้งแต่
สมัยอดัมหรือสมัยเรามีจริง วันฟื้นคืนชีพมีจริง หกข้อ แต่ห้าข้อนี้ดูเหมือนว่า
ต้องเชือ่ แต่วา่ ไกลตัว ส่วนข้อหกนีใ้ กล้ตวั ซึง่ อันนีต้ รงกับพุทธศาสนาก็คอื ต้อง
ปลง อะไรดีหรือไม่ดีที่ประสบแก่เรานั้น ให้ศรัทธาว่ามาจากอัลเลาะห์ ข้อดีก็
คือพัฒนาไปสู่การปลงให้ได้
ในส่วนของหลักปฏิบตั ขิ องมุสลิมนัน้ ประกอบด้วย 5 ประการ คือการ
ปฏิญาณตน การละหมาด การจ่ายซะกาต การถือศีลอด และการประกอบพิธี
ฮัจญ์
1) การปฏิญาณตน ก็เหมือนพุทธศาสนา โรงเรียนก็ต้องจัดให้เด็ก
ปวารณาตนเป็นพุทธมามกะ มุสลิมก็ตอ้ งมี ในบางโอกาสเป็นเรือ่ งทางการโดย
การปฏิญาณต่อหน้าสาธารณชน อย่างเช่นเมื่อเข้ารับศาสนาอิสลามครั้งแรก
หรือมุสลิมก่อนจะสิ้นชีวิต ก็จะต้องกล่าวคำ�ปฏิญาณ ไม่ว่าตามโรงพยาบาล

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 50
หรือในที่ต่างๆ เป็นต้น โดยการปฏิญาณตนคือการกล่าวถ้อยคำ�ว่า “ลาลิลาฮะ
อิลอัลเลาะห์ มุฮมั มะดุนณ เราะซูลลุ ลอฮ์” ซึง่ มีความหมายว่า “ไม่มพี ระ-
เป็นเจ้าใดนอกจากอัลเลาะห์ มุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลเลาะห์”
2) การละหมาด เป็นการนมัสการพระเป็นเจ้าในรูปแบบที่ชัดเจน
สมบูรณ์แบบ และสำ�คัญที่สุดมุสลิมต้องละหมาดวันละ 5 เวลา ได้แก่ เวลา
รุ่งอรุณ (ซุบฮิ) เวลาหลังเที่ยง (ดุฮ์ริ) เวลาบ่าย (อัศริ) เวลาตะวันตกดิน
(มัฆริบ) และเวลากลางคืนตัง้ แต่สนิ้ แสงเงินแสงทองหลังตะวันตกดิน (อิชาอ)์
การปฏิบัติตนของมุสลิมนี้ยังสะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่าง
นิกายได้อีกด้วย โดยมุสลิมจะใช้สิ่งที่ปรากฏในการปฏิบัติ เช่น การละหมาด
เป็นหลักเกณฑ์ในการแยกแยะคนกลุ่มต่างๆ จะคบกับใครหรือไม่ก็จะดูกันที่
การละหมาด บางทีจะร่วมลงทุนกันพอเห็นละหมาดคนละอย่าง หรือเพียงแค่
กอดอกสูงต่ำ�ไม่เท่ากัน บางทีเขาก็ไม่คบกันแล้ว นี่จึงเป็นประเด็นที่ละเอียด
อ่อนในสังคมมุสลิม การละหมาดในที่ต่างๆ จึงมีความจำ�เป็น ขณะเดียวกัน
ก็มีความจำ�เป็นในการสร้างมัสยิดขึ้นมา เพราะจะต้องละหมาดรวมกัน
3) การจ่ายซะกาต จากทรัพย์ที่ออมไว้ จากปศุสัตว์ที่เลี้ยงไว้ หรือ
จากผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้นปัจจุบันมีการทำ�เว็บไซต์สำ�หรับมุสลิมขึ้น
สำ�หรับใช้ในการคำ�นวณซะกาตได้อกี ด้วย การจ่ายซะกาตมีวตั ถุประสงคส์ �ำ คัญ
คือ เป็นการบริจาคทรัพย์เพื่อขัดเกลาตน และแสดงว่าบุคคลนั้นไม่ยึดมั่น
ถือมั่นในทรัพย์
4) การถือศีลอด อิสลามกำ�หนดให้ศรัทธาชนถือศีลอดในเดือน
รอมฎอน อันเป็นเดือนที่ 9 ในปฏิทินจันทรคติของอาหรับ เป็นเวลา 29
หรือ 30 วัน โดยตั้งแต่ตะวันขึ้นถึงตะวันตกดิน มุสลิมจะละเว้นจากการกิน
ดื่ม มีเพศสัมพันธ์ ทะเลาะเบาะแว้ง และพูดจาไร้สาระ เป็นต้น มุสลิมให้
ความสำ�คัญกับเดือนรอมฎอนอย่างมาก ทั้งยังเรียกเดือนนี้ว่าเป็นเดือนแห่ง
ความศิริมงคล
5) การประกอบพิธีฮัจญ์ การประกอบพิธีฮัจญ์ สิ่งนี้เป็นข้อเตือนสติ
ให้เห็นว่า วันหนึง่ เราจะต้องกลับไปหาพระเป็นเจ้า ในการประกอบพิธฮี จั ญน์ ี้

อิสลาม :
51 นิกาย & สำ�นักคิด
สืบมาตั้งแต่อดัม จนถึงศาสดาอับราฮัม ศาสดาอิสมาอีล เป็นต้น ที่มาของพิธี
ฮัจญ์ในศาสนาอิสลามจะเล่าว่า เมือ่ อดัมลงมายังพืน้ โลกใบนี้ อดัมกับอีวาก็มา
เจอกันที่ทุ่งนอกเมืองเมกกะในปัจจุบัน จากนั้นอัลเลาะห์ก็ให้ทูตสวรรค์มา
สร้างอาคารกะอฺบะหฺ ไม่ใช่หนิ ดำ� แต่เป็นอาคารทีอ่ ยูต่ รงกลาง และอดัมก็เอา
หินจากสวรรค์ไปประดิษฐานไว้ก้อนหนึ่ง อดัมก็จุมพิตที่หินก้อนนี้ แล้วเดิน
เวียน 7 รอบ ต่อมาลูกหลานอดัมก็ทำ�เช่นนี้เรื่อยมาจนถึงสมัยโนอาห์ที่เกิด
เหตุการณ์น้ำ�ท่วมโลก น้ำ�ก็ท่วมอาคารนี้พังทลายจนหมดสิ้น หินนี้ก็กระเด็น
หายไปนั้นไม่มีใครทราบ
จนถึงสมัยอับราฮัม สมัยนีเ้ องทีอ่ บั ราฮัมได้น�ำ ลูกหัวปี5 และนางฮาญัร
ซึง่ เป็นภรรยาคนทีส่ องและเป็นแม่ของลูกหัวปีมาอยูท่ เี่ มืองเมกกะ ซึง่ ตอนนัน้
ก็เป็นทุ่งเป็นหุบเขาที่ไม่มีต้นไม้เลย สองแม่ลูกที่มาอยู่ก็อาหารหมด น้ำ�หมด
แม่ก็ออกวิ่งจากเนินศอฟาไปมัรวะห์ วิ่งไป 450 เมตร กลับ 450 เมตร 7
เทีย่ วเพือ่ หาน้�ำ เมือ่ ไม่เจอก็กลับมาหวังจะนอนตายกับลูก ก็เห็นว่าตรงทีท่ ารก
ดิ้นอยู่นี้ มีน้ำ�พวยพุ่งขึ้นมา น้ำ�ที่พวยพุ่งขึ้นมานี้เป็นน้ำ�พุตามธรรมชาติ ซึ่งก็
คือบ่อน้ำ�ซัมซัมในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นคนที่ไปประกอบพิธีฮัจญ์ก็จะหิ้วน้ำ�นี้
กลับมาด้วย พอแม่ลูกคู่นี้มีน้ำ� ก็รอดชีวิตไปอีก 7 วัน ตรงบริเวณนี้เลยกลาย
เป็นที่หยุดกองคาราวาน
สมัยอับราฮัมนี้ ทูตสวรรค์ก็มาบอกอับราฮัมว่าที่ตั้งอาคารกะอฺบะหฺ
อยู่ตรงไหน และหินดำ�ที่กระจายไปอยู่ตรงไหน อับราฮัมกับลูกก็ช่วยกันสร้าง
อาคารขึ้นมาใหม่ และก็ไปหาหินดำ�จนเจอและนำ�มาประดิษฐานไว้ จากนั้น
อับราฮัมก็จุมพิตหินดำ�และเดินเวียน 7 รอบแบบทวนเข็มนาฬิกา อิสลาม
เชื่อว่าในทุกๆ สิ่งจะมีเมกกะของตัวเอง ฉะนั้นในจักรวาลจะมีเมกกะของตัว
เองและก็จะวนรอบสิง่ นัน้ และทุกๆ จักรวาลก็จะวนรอบบัลลังกข์ องอัลเลาะห์

5
เด็กคนนี้กลายเป็นต้นตระกูลอาหรับ และก็กลับไปอยู่ที่เยรูซาเล็มกับภรรยาคนแรก โดย
ภรรยาคนแรกได้ให้กำ�เนิดนางซาร่า และให้กำ�เนิดบุตรคนที่สอง คืออิสอัค หรือไอแซก หรืออิสฮาก
อิสฮากได้ให้กำ�เนิดบุตรคนหนึ่งที่สำ�คัญก็คือ ยาโคป และยาโคปมีลูก 12 คน เป็นต้นตระกูลยิวและ
พระเยซู เพราะฉะนั้นชาวยิวมาจากลูกผู้น้องนั่นเอง

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 52
ที่อยู่กลางสวรรค์ โดยเชื่อว่าอาคารกะอฺบะหฺนี้เป็นการจำ�ลองบัลลังก์ของ
อัลเลาะห์ที่ตั้งอยู่บนชั้นฟ้านั่นเอง
ลูกหลานของอดัมจากทุกเชื้อชาติจะมาประกอบพิธีฮัจญ์ ณ ที่แห่ง
นี้ โดยอาคารที่ใช้ประกอบพิธีจะจุคนได้ประมาณ 1,500,000 คน ปัจจุบัน
ทางการซาอุดีอาระเบียได้ปรับปรุงเพื่อสร้างอาคารใหม่ให้สามารถจุผู้มาประ
กอบพิธีฮัจญ์เพิ่มอีก 5,000,000 คน สำ�หรับชุดที่ใช้ในการประกอบพิธีฮัจญ์
นั้นจะคล้ายๆ กับพระ คือนุ่งผ้าผืนหนึ่ง ห่มผ้าผืนหนึ่ง ผู้คนจะไปจุมพิตที่
หินดำ� จากนั้นผู้คนก็จะออกไปนอกเมืองไปยังทุ่งมีนาเพื่อประกอบพิธีฮัจญ์
ต่อ ซึ่งที่เมืองดังกล่าวเป็นเมืองที่เป็นกระโจมอย่างเดียว และในวันรุ่งขึ้น
(วันที่ 8 ของเดือนที่ 12) จะไปที่ทุ่งนี้ วันที่ 9 ก็จะไปทุ่งอารอฟะห์ อันเป็น
ทุ่งที่เราจะฟื้นคืนชีพไปชุมนุมพิพากษาโทษ ทุ่งนี้เองที่อดัมกับอีวาได้เจอกัน
ผู้คนเกือบ 2 ล้านคนหรือมากกว่านั้นก็จะชุมนุมกันที่ทุ่งนี้ เมื่อตะวันตกดิน
ในวันรุ่งขึ้น พวกเขาจะกลับไปที่ทุ่งแรกที่เป็นเมืองกระโจม และจะออกไป
ขว้างเสาหิน ขว้างเสาหินก็จะคล้ายๆ กับพุทธศาสนาคือ ก่อนที่พระพุทธเจ้า
จะตรัสรู้ มารได้มาขัดขวาง ในศาสนาอิสลาม มารก็มาผจญอับราฮัมไม่ให้
บรรลุสำ�เร็จ อับราฮัมจึงก้มลงหยิบก้อนกรวดขว้างมารไป มารก็หนีไป ทูต
สวรรค์จึงจับมารมัดไว้ที่เสา 3 ต้นด้วยกัน เพราะฉะนั้นมุสลิมก็จะเสร็จสิ้น
พิธฮี จั ญโ์ ดยจินตนาการว่า ในตอนชุมนุมทีน่ กี้ เ็ หมือนประหนึง่ ชุมนุมในวันสิน้
โลก ถ้าชุมนุมจริง ในวันฟื้นคืนชีพคนจะต้องไปเข้าสวรรค์หรือนรกตามผล
กรรม แต่ในเมือ่ เรายังไม่ตาย ก็ตอ้ งกลับไปยังโลกเดิมทีอ่ ยูเ่ ดิม ซึง่ จะถูกมาร
ล่อลวงตามเดิม เพราะฉะนั้นบุคคลก็จะแสดงความจำ�นงว่า ไม่เอาแล้ว ไม่
เป็นมิตรกับมารอีกต่อไปโดยการขว้างก้อนกรวดเล็กๆ ไปทีเ่ สาหิน ในอดีตเสา
หินนี้มีเพียงต้นเดียว ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนคนต่างมุ่งหน้าเข้าไปที่เสาต้น
เดียว ทำ�ให้เบียดเสียดและเหยียบกันได้ ทางการซาอุดีอาระเบียจึงขยายเสา
ต้นนี้ให้ยาวไป 20 เมตร เพื่อให้ผู้คนจำ�นวนมากได้กระจายไปยังฝาผนังตึก
ไม่มุ่งไปที่จุดๆ เดียวกัน แล้วเสาที่เคยขว้างได้ชั้นเดียวก็ยกขึ้นไป 7-8 ชั้น
เพื่อจะให้คน 2 ล้านคนสามารถขว้างหินได้ เมื่อขว้างเสาหินเสร็จแล้ว การ

อิสลาม :
53 นิกาย & สำ�นักคิด
ประกอบพิธีฮัจญ์เสร็จสมบูรณ์ มุสลิมจึงได้โกนศีรษะ เพื่อทิ้งเส้นผมที่เป็น
ชิ้นส่วนเดิมของร่างกายก่อนที่จะได้บรรลุหรือได้เสียสละในการประกอบพิธี
ฮัจญ์ในครัง้ นี้ ผูค้ นจะใช้เวลาระหว่างในการประกอบพิธฮี จั ญใ์ นการวิงวอนขอ
อัลเลาะห์ให้ทรงอภัยโทษแก่ตนเองประหนึง่ ทีอ่ ดัมได้กระทำ� หลังจากนัน้ ก็จะ
ไปเยือนเมืองมาดีนะห์ ซึ่งเป็นสุสานของท่านศาสดานบีมูฮัมหมัด

การขยายตัวของศาสนาอิสลาม

แทรก รูป 13

ที่มา : http://users.clas.ufl.edu/sterk/histxnty/Images/islamap.jpeg

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 54
ในช่วงแรก อิสลามครอบคลุมพืน้ ทีค่ าบสมุทรอาระเบียเพียงบางส่วน
เท่านั้น จนกระทั่งสิ้นศาสดานบีมูฮัมมัดไป มีกาหลิบผู้เที่ยงธรรม 4 ท่าน ใน
สมัยกาหลิบผู้เที่ยงธรรมนี้เองที่อิสลามได้ขยายตัวไปครอบคลุมเกือบทั่วทั้ง
ภูมิภาคตะวันออกกลางในปัจจุบัน ต่อมาในสมัยจักรวรรดิหรือสมัยราชวงศ์
อุมัยยะฮ์ก็สามารถขยายไปถึงพรมแดนจีน อัฟกานิสถาน และสเปน เป็นต้น

การกำ�เนิดนิกายในศาสนาอิสลาม
ศาสนาอิสลามประกอบด้วย 2 นิกายคือสุหนี่และชีอะฮ์
- สุหนี่ (Sunni) หรือ Ahlus Sunnah wal Jama’ah มีความ
หมายว่า บรรดาผู้ปฏิบัติตามจารีตของท่านศาสดาและของบรรดาผู้อยู่ร่วม
กับหมู่คณะของสหายและสาวก (ศอฮาบะฮ์) ประมุขของสุหนี่คือ คอลีฟะฮ์
(Caliph) ผู้เที่ยงธรรมหรือ Righteous Caliphs หรือ Rashidun
Caliphs ส่วนดินแดนและอาณาจักรที่คอลีฟะฮ์ (Caliph) ปกครองนั้น
เป็นรัฐอิสลาม รู้จักกันในนาม คิลาฟะฮ์ หรือภาษาอังกฤษใช้คำ�ว่า Caliph-
ate หลังจากคอลีฟะฮ์ผู้เที่ยงธรรมทั้ง 4 ท่านแล้ว ประชาคมมุสลิมก็เข้าสู่
ยุคราชวงศ์ โดยคอลีฟะฮ์ที่สืบต่อจากนี้ได้ดำ�รงตนและสืบทอดอำ�นาจและ
ตำ�แหน่งคอลีฟะฮเ์ ฉกเช่นวงศก์ ษัตริยแ์ ละจักรพรรดิ มีราชวงศต์ า่ งๆ ปกครอง
จักรวรรดิและอาณาจักรมากมาย เช่น อาณาจักรอูมัยยะฮ์ (Umayyad
Caliphate) ที่ปกครองระหว่าง ค.ศ. 661-744 และอาณาจักรอูมัยยะฮ์
แห่งสเปน (Umayyad Caliphate of Cordoba, Spain) ที่ปกครอง
ระหว่าง ค.ศ. 756-1031 อาณาจักรอับบาสิยะฮ์ (Abbasid Caliphate)
ที่ปกครองระหว่าง ค.ศ. 750-1258 และอาณาจักรออตโตมัน (Ottoman
Caliphate) ที่ปกครองระหว่าง ค.ศ. 1299-1923 และดำ�รงอยู่ในฐานะผู้นำ�
ทางศาสนาที่แยกออกจากรัฐในสาธารณรัฐตุรกีจนถึง ค.ศ. 1924
- ชีอะฮ์ (Shi’ah) หรือ Shi’ah Ali มีความหมายว่า พลพรรค
ของท่าน อาลี ชีอะฮ์ ญะฟะรียะฮ์ (Jafari) ซึ่งเป็นชีอะฮ์กลุ่มใหญ่ที่สุด มีผู้
นับถือส่วนใหญ่อยู่ในอิหร่านละอิรักนั้น มีอิหม่าม 12 ท่าน โดยท่านที่ 12 นี้

อิสลาม :
55 นิกาย & สำ�นักคิด
ได้ซอ่ นตัวอยูโ่ ดยมีผแู้ ทนปกครองประชาคมแทนท่านจนถึงปัจจุบนั ส่วนชีอะฮ์
อิสมาอีลีย์ (Ismaili) นั้นหากเป็นกลุ่ม อิสมาอิลีย์ ฏอยยิบีย์ (Tayyibi
Ismailis) ก็จะมีอิหม่ามทั้งสิ้น 21 ท่าน ซึ่งหลังจากนี้อิหม่ามได้ซ่อนตัวจาก
สาธารณชนและให้ดาอีย์ (Da’i) เป็นผู้ปกครองประชาคมแทนสืบต่อกันมา
จนปัจจุบัน

ที่มาของการกำ�เนิดนิกาย
เมื่อท่านศาสดาสิ้นชีวิตลง ท่านก็ไม่ได้แต่งตั้งใครเป็นประมุขต่อ คือ
สังคมมุสลิมจะต้องมีอิหม่ามและจะต้องมีประมุขของสังคม เมื่อท่านศาสดา
สิน้ ชีวติ ลงโดยไม่ได้แต่งตั้งใคร สังคมมุสลิมส่วนใหญ่กเ็ ลยมองเห็นว่าควรจะ
เลือกคนทีม่ คี วามสำ�เร็จทีส่ ดุ ในทางธรรมะขึน้ มา โดยมีการเสนอชือ่ ท่านอะบู-
บักร์ พอเสนอขึน้ มาแล้ว สาวกส่วนใหญ่กใ็ ห้สตั ยาบัน หมายความว่าถ้ามุสลิม
ให้สตั ยาบันแล้วก็จะต้องจำ�นนต่อประมุขโดยประมุขได้รบั อำ�นาจมาจากพระ-
เป็นเจ้า แต่ถ้ายังไม่ให้สัตยาบันก็ถือว่าเรายังเป็นเสรี จากนั้นเมื่อปวงสาวก
ทัง้ หลายให้สตั ยาบันต่ออะบูบกั รแ์ ล้ว อะบูบกั รจ์ งึ กลายเป็นกาหลิบองค์ทหี่ นึง่
ท่านอาลีที่เป็นอิหม่ามท่านที่หนึ่งก็ให้สัตยาบันเหมือนกัน แต่ไม่ได้ให้วันแรก
แต่ให้สัตยาบันในอีก 2-3 วันถัดมา เนื่องจากท่านต้องดูแลการฝังศพท่านนบี
มูฮัมหมัด เมื่อท่านอะบูบักร์สิ้นชีวิตหลังจากนั้นประมาณ 2 ปีครึ่ง โดยก่อน
จะสิ้นชีวิต ท่านอะบูบักร์ก็ได้เสนอชื่อของท่านอุมัร บรรดาปวงสาวกทั้งหลาย
ทีม่ ชี วี ติ อยูก่ ใ็ ห้สตั ยาบันต่ออุมรั อุมรั จึงกลายเป็นกาหลิบท่านทีส่ อง ต่อมาก่อน
ท่านอุมัรจะสิ้น ก็ได้เสนอชื่อ อุสมาน (Uthman) เป็นกาหลิบท่านที่สาม
เมื่อท่านอุสมานสิ้นชีวิต และสหายทั้งหลายจึงได้เสนอชื่อท่านอาลีขึ้นมาเป็น
ลำ�ดับที่สี่
ท่านอาลีก็เป็นกาหลิบที่สมบูรณ์ถูกต้องในสุหนี่เช่นเดียวกัน ท่าน
ได้ย้ายเมืองหลวงจากมะดินะฮ์ไปยังเมืองกูฟะหฺในอิรัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
อาณาจักรเคลื่อนไปในทางตะวันออก คืออาณาจักรกำ�ลังขยายเข้าสู่อียิปต์
ในทางตะวันตกและก็กำ�ลังเคลื่อนไปสู่แผ่นดินขนาดใหญ่ในทางตะวันออก

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 56
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ขยายไปในจักรวรรดิเปอรเ์ ซียและเอเชียกลางจนถึงจีนใน
ปัจจุบนั ซึง่ จะต้องญิฮาด ดังนัน้ ท่านจึงเห็นว่าพืน้ ทีใ่ นมะดินะฮ์ไม่เหมาะสมจึง
ย้ายเมืองไปยังเมืองกูฟะหฺในอิรกั ในปัจจุบนั และศพของท่านก็ฝงั อยูใ่ นเมือง
กูฟะหฺซงึ่ เป็นเมืองทีช่ อี ะหเ์ ดินทางไปแสวงบุญ ณ จุดนีเ้ องก็เกิดแนวความ-
คิดทีก่ อ่ ตัวขึน้ มาในบรรดาหมูม่ สุ ลิมจำ�นวนหนึง่ ว่า คนทีเ่ หมาะสมทีส่ ดุ คือท่าน
อาลี ท่านอาลีเป็นลูกผู้พี่ลูกผู้น้องของท่านศาสดามีเลือดอันสูงส่งและเป็น
คนแรกที่รับอิสลาม แต่ในสุหนี่จะถือว่าผู้ชายคนแรกที่รับอิสลามไปแล้วคือ
อะบูบักร์ เพราะนับที่ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะมีวุฒิภาวะ ท่านอาลียังเป็นเด็ก
อยู่ ส่วนชีอะห์บอกว่าเขาเป็นคนแรกที่รับอิสลามแม้ว่าจะเป็นเด็กก็ตามแต่
ก็เป็นคนแรกที่รับอิสลาม เพราะฉะนั้นคนที่จะเริ่มพัฒนาความคิดที่จะเป็น
ชีอะห์นี้ หนึ่งก็คือมองเห็นว่าท่านอาลีเหมาะสมที่สุดและท่านก็เป็นเชื้อสาย
ท่านศาสดา คนส่วนใหญ่แม้จะยังไม่พอใจแต่ก็ไม่มีใครกบฏ ก็อยู่รวมกัน
อย่างนี้แต่ว่ารู้สึกไม่ถูกไม่ใช่ ชีอะห์คนกลุ่มน้อยที่อาจไม่ถึงร้อยละ 10 ของ
ทั้งหมด แต่ก็ให้สัตยาบันหรือบางคนก็หลบไม่ให้สัตยาบัน แต่คนส่วนใหญ่
ก็ให้สัตยาบันทั้งหมด จนกระทั่งเกิดปัญหาที่ว่าก่อนที่ท่านอาลีจะขึ้นสู่อำ�นาจ
ได้มีคนสังหารท่านอุสมาน กาหลิบองค์ที่สาม คนที่สังหารนี้เป็นคนที่มาจาก
กลุ่มแนวความคิดควาริจญ์
เมื่อท่านอุสมานสิ้นชีวิต ตามหลักกฎหมายชะรีอะฮ์หรือกฎหมาย
อิสลามจะต้องนำ�ผู้ที่สังหารท่านมาลงโทษ ญาติพี่น้องของท่านอุสมานก็กดดัน
ให้ท่านอาลีจับตัวผู้ร้ายเหล่านั้นมาสังหารทั้งหมด ท่านอาลีก็บอกว่าคนเหล่านี้
มีเป็นจำ�นวนมาก ขณะเดียวกันประชาคมมุสลิมทัง้ หมดนีย้ งั ไม่ได้ให้สตั ยาบัน
แก่ท่านทั้งหมด กลุ่มญาติพี่น้องของท่านอุสมานก็ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน เพราะ
ฉะนัน้ ถ้าหากว่าท่านอาลีเข้าไปจัดการจริงๆ แล้ว ก็จะกลายเป็นศึกสามเส้า ตัว
ท่านอาลีสู้กับกลุ่มที่สังหารท่านอุสมานและถ้ากลุ่มญาติพี่น้องของท่านอุสมาน
ซึ่งยังไม่ได้ให้สัตยาบันกับใครและยังเป็นเสรีเป็นเอกเทศอยู่เช่นนี้ เกิดไป
เข้าร่วมกับอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะเสียดุลทางการเมือง ท่านอาลีจึงเรียกร้องให้กลุ่ม
ญาติของท่านอุสมานให้สัตยาบันแก่ท่านก่อน แต่ญาติของท่านอุสมานบอก

อิสลาม :
57 นิกาย & สำ�นักคิด
ว่าไม่ได้ โดยอ้างว่าจะให้สัตยาบันกับคนที่ไม่มีความชัดเจนว่าเป็นฆาตกร
ฆ่าญาติของพวกเขาได้ยังไง พวกเขายังสงสัยเลยว่าท่านอาลีมีส่วนรู้เห็นใน
เรื่องดังกล่าว ทั้งยังเรียกร้องให้ท่านอาลีรีบจัดการแก้ปัญหาดังกล่าว ตรงนี้
เองก็เลยทำ�ให้เกิดเป็นมุสลิมขึ้นมา 3 กลุ่มหลวมๆ คือ ญาติของท่านอุสมาน
ซึ่งเป็นข้าหลวงซีเรีย คือท่านมุอาวียะฮ์ ซึ่งท่านมุอาวียะฮ์ก็มาเพื่อที่จะเจรจา
แต่การมานี้เพื่อความปลอดภัย ท่านจึงมาพร้อมกับกองทัพ ระหว่างที่ทั้งสอง
กำ�ลังเจรจากันอยู่ ก็มีมือที่สามยุแยง เช่น เอาไฟไปโยนใส่กระโจมอีกฝ่าย
หนึ่ง ก็ทำ�ให้ในตอนกลางคืนเข้าใจว่าถูกอีกฝ่ายโจมตี ก็รบกันกว่าจะเข้าใจ
กันได้ อย่างไรก็ตามในตอนที่รบกัน ฝ่ายของข้าหลวงซีเรียพ่ายแพ้ จึงเจรจา
หย่าศึก เนื่องจากข้าหลวงของซีเรียและบรรดาที่ปรึกษาเป็นนักการเมือง มี
ความเชี่ยวชาญทางด้านการเมือง ก็บอกว่าอาลีเป็นคนฉลาด แต่ฝ่ายอาลีเป็น
คนเคร่งศาสนาทีไ่ ม่คอ่ ยเฉียบแหลม เพราะฉะนัน้ เราก็เอาพระคัมภีรอ์ ลั กุรอ่าน
ผูกขึ้นชูที่ธง พวกนั้นก็จะเข้าใจว่าเราต้องการใช้พระคัมภีร์ตัดสิน ก็จะไป
กดดันให้อาลียอมมาคุยกับเรา และเราก็จะรอดกลับไปตัง้ หลักใหม่ ท่านอาลีก็
อ่านเกมออก ท่านอาลีกบ็ อกว่าถ้าจะคุยด้วยอัลกุรอ่าน ทำ�ไมไม่มาคุยตัง้ แต่วนั
แรก ทำ�ไมมาคุยเอาตอนจะแพ้ ท่านอาลีกบ็ อกว่ารบต่อไป ฝ่ายบรรดาคนทีอ่ ยู่
ในกองทัพท่านอาลีซงึ่ เป็นคนเคร่งศาสนาแต่ปญ ั ญายังไม่คอ่ ยเฉียบแหลมมาก
นัก ก็บอกว่าทำ�ไมนายของเราจึงปฏิเสธพระคัมภีร์ คือเขาต้องการธรรมะแล้ว
นะ แต่นเี่ ป็นเรือ่ งการเมือง พอท่านอาลีบอกให้รบต่อไป คนเหล่านีก้ ลับมองว่า
ท่านอาลีไม่เคร่งศาสนาจริง เพราะฉะนัน้ คนนีเ้ ป็นผูน้ �ำ พวกเขาไม่ได้ สัตยาบัน
ที่พวกเขาถวายแก่อาลีให้อาลีเป็นกาหลิบนั้น จึงเป็นอันสิ้นสุดลง เพราะผู้นำ�
ไม่ได้อยูใ่ นร่องในรอย ผูน้ �ำ ไม่ได้ยดึ มัน่ ในธรรมะอีกต่อไป ฉะนัน้ ผูค้ นทีเ่ สือ่ ม
ศรัทธาต่อท่านอาลีจงึ ออกจากกองทัพท่านไป การออกจากกองทัพท่านอาลีใน
ภาษาอาหรับเรียกว่า คอระยาด จึงอันเป็นทีม่ าของคำ�ว่าพวกทีอ่ อกจากกองทัพ
ท่านอาลีเป็นควาริจญ์
ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่งไม่ได้หวั่นไหวไปกับความขัดแย้งทางการ-
เมือง ไม่หวั่นไหวกับเรื่องที่เป็นด้านเทาด้านมืด คนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 58
เป็นสุหนี่ คนสุหนี่บอกว่าเราเบาใจ ไม่รู้สึกวิตกอะไร เพราะสหายและสาวก
เหล่านี้ได้รับการขัดเกลาและการอบรมสั่งสอนมาจากท่านนบีมูฮัมหมัด สิ่งที่
คนเหล่านั้นขัดแย้งย่อมต้องมีเหตุผล แต่เราไม่รู้เหตุผลของพวกเขา เขา
ไม่ได้ขัดแย้งบนอัตตาบนความโลภของพวกเขา เขาขัดแย้งบนความจำ�กัด
ของเขาเอง เพราะฉะนั้นเราไม่สนใจในความขัดแย้งเหล่านั้น ส่วนชีอะห์นั้น
เป็นกลุ่มคนในกองทัพท่านอาลีที่คงอยู่ ส่วนควาริจญ์เป็นคนในกองทัพท่าน
อาลีแยกตัวออกไป
จากนั้นประมุขของกลุ่มสุหนี่ กาหลิบเป็นประมุขของสุหนี่ หลังจาก
นบีมูฮัมหมัดสิ้นชีวิตลงกาหลิบ 4 ท่านแรกนี้ โลกมุสลิมยกย่องว่าเป็นกาหลิบ
ผูเ้ ทีย่ งธรรม กล่าวคือว่าเป็นการปกครองด้วยความไม่มอี ตั ตา เป็นการปกครอง
ไปตามศาสนา ไม่ได้ปกครองเพื่อผลประโยชน์ของใคร ปกครองเพื่อพระ-
เป็นเจ้า แต่หลังจากนี้แล้วอำ�นาจได้ไปสู่ข้าหลวงของเมืองซีเรียที่เดินทางมา
คือท่านมุอาวียะฮ์ ท่านมุอาวียะฮ์จึงกลายเป็นกาหลิบองค์ที่ 5 แล้วท่านมุอา-
วียะฮ์ก็บอกว่า บัดนี้บ้านเมืองวุ่นวายไม่เหมือนเดิมแล้ว แล้วคนที่มีธรรมะที่
ศาสดาได้สงั่ สอนและขัดเกลาพวกเขามาได้ลม้ หายตายจากหรือแก่ชราไปหมด
อาณาจักรก็ขยายไปเกือบถึงจีนและไปเกือบถึงสเปน เพราะฉะนัน้ คนทีอ่ ยูใ่ น
แต่ละพืน้ ทีย่ อ่ มไม่เคยรูจ้ กั พวกเรา ฉะนัน้ จะให้คนเหล่านัน้ มาเลือกตัง้ นัน้ เป็น
ไปไม่ได้ เขาไม่รู้จักว่าใครดีใครไม่ดี ก็จะกลายเป็นการเลือกตั้งโดยมีการ
ซื้อเสียง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเลือกตั้ง แต่เราจะเป็นผู้แต่งตั้ง เพราะฉะนั้น
เราขอแต่งตัง้ ให้บตุ รของเราคือ ยาสิด (Yazid) เป็นกาหลิบองคต์ อ่ ไป และ
ยาสิดก็แต่งตัง้ ลูกของตัวเองกลายเป็นราชวงศอ์ มุ ยั ยะฮ์ ฉะนัน้ หลังจากกาหลิบ
สี่ท่าน ประชาคมมุสลิมเข้าสู่ยุคราชวงศ์ที่กาหลิบสืบต่อตำ�แหน่งกันเฉกเช่น
วงศ์กษัตริย์และจักรพรรดิ มีราชวงศ์ต่างๆ ปกครองมากมาย เช่น อุมัย-
ยะฮ์ปกครองตั้งแต่ ค.ศ. 661-744 และเมื่อล่มสลายลงโดยพวกอับบาสิยะฮ์
มาโค่นล้ม อับบาสิยะฮ์นี้เป็นสุหนี่ก็จริง แต่ว่าบรรดาชีอะห์ได้อาศัยมือของ
พวกอับบาสิยะฮม์ าโค่นล้ม โดยมาจากชนบทในอิหร่าน พอโค่มล้มได้กม็ เี จ้า-
ชายในราชวงศ์อุมัยยะฮ์องค์หนึ่งหนีไปยังสเปน ซึ่งสเปนเป็นรัฐบรรณาการ

อิสลาม :
59 นิกาย & สำ�นักคิด
ของอิสลาม พอหนีไปยังสเปนก็สามารถทีจ่ ะสืบทอดราชวงศอ์ มุ ยั ยะฮใ์ นสเปน
อยูต่ อ่ ไปจนถึงจาก ค.ศ. 756-1031 ส่วนจักรวรรดิอบั บาสิยะฮ์กเ็ ริม่ ตัง้ แต่ ค.ศ.
750-1258 เมือ่ พวกมองโกล ฮูเลกู ข่าน ลูกหลานของเจงกีส ข่าน บุกเข้ามาเผา
ทำ�ลายแบกแดด หลังจากนัน้ กาหลิบก็สนิ้ สุดลงและไปฟืน้ ฟูขนึ้ มาใหม่โดยลูก
หลานของอับบาสิยะฮ์ไปฟื้นฟูขึ้นในอียปิ ต์ แต่ดำ�รงอยูอ่ ย่างไม่สมพระเกียรติ
เนือ่ งจากไม่มจี กั รวรรดิของตนเองอยูภ่ ายใต้พวกสุลต่านมัมลุก (Mamluks)
จนกระทั่งออตโตมันถือกำ�เนิดขึ้นมา ตำ�แหน่งนี้จึงไปสู่จักรวรรดิออตโตมัน
และก็มาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1924
ส่วนในนิกายชีอะหก์ จ็ ะมีอหิ ม่ามเป็นประมุข สำ�หรับสุหนี่ สุหนีเ่ ชือ่ ว่า
ท่านอาลีและลูกหลานของท่านไม่ได้เป็นชีอะห์ ชีอะห์ก็เป็นเพียงคนข้างนอก
ลูกหลานท่านนบีในโลกสุหนี่ ประเทศที่ไม่ใช่อาหรับเรียกว่าซายิด ซึ่งในกลุ่ม
มุสลิมสุหนีน่ คี้ อื มีเชือ้ สายนบีมฮู มั หมัด เหมือนกับตระกูลบุนนาคทีเ่ ป็นเชือ้ สาย
ของท่านเฉกอะหมัด ตระกูลบุนนาคตอนนี้ตระกูลเดียวก็มี 3,000 กว่าท่านมี
เยอะมากและนบีมูฮัมหมัด 1,400 ปีลูกหลานก็มากมาย ส่วนในอินเดียก็มี
ตระกูลซายิดเป็นจำ�นวนมาก ในประเทศไทยก็มี บางคนทีอ่ า้ งว่าเป็นลูกหลาน
ท่านนบี ส่วนใหญ่จะเป็นแขกนอกมีเชื้อสาย เพราะฉะนั้นคนที่มีเชื้อสายท่าน
นบี ส่วนใหญ่จะเป็นคนสมถะกว่าร้อยละ 80 เคร่งศาสนา แม้ว่าจะเป็นปุถุชน
แต่ว่าคนส่วนใหญ่ดีมาก ปรากฏว่าด้วยเหตุนั้นในสุหนี่บอกว่าท่านอาลีไม่ได้
เป็นชีอะห์และลูกหลานท่านก็ไม่ได้เป็น แต่คนที่ก่อร่างชีอะห์ก็บอกว่า ไม่
ท่านอาลีเป็นชีอะห์ ฉันก็ไปพบมาแล้วและท่านยังสัง่ สอนด้วย ชีอะหจ์ ริงๆ มีหลาย
นิกาย แต่ว่าอย่างน้อยเราจะพูดถึง 2 นิกาย นิกายที่ใหญ่ที่สุดและสำ�คัญที่สุด
ก็คอื นิกายอิสนาอาชารียะฮห์ รือยะอาฟารีห์ มี 2 ชือ่ แปลว่านิกาย 12 อิหม่าม
(Twelve Imams) เพราะตัง้ แต่ทา่ นอาลีสบื ไปยังลูกของท่านฮาสัน (Hasan
ibn Ali) สืบไปยังน้องของท่าน ท่านฮุซัยน์ (Husayn ibn Ali) และก็
สืบไปยังลูกหลานของท่านฮุซยั น์ เป็นอิหม่ามมาเรือ่ ยๆ ทัง้ หมดถึงคนที่ 12 ทุก
คนก็จะได้ขา่ วอยูเ่ สมอว่า พวกสุหนีค่ อยจะสังหารคนเหล่านี้ อิหม่ามคนที่ 12 ก็
เลยบอกว่า ถ้าอย่างนัน้ เราก็ซอ่ นตัวจากสาธารณชน เพราะฉะนัน้ อิหม่ามทัง้ 12 คน

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 60
จึงหายตัวไป แต่ก็เป็นอภินิหารคล้ายๆ เรื่องพระเยซูก็คือ หายตัวไปแต่ก็ยัง
มีชีวิตอยู่ถึงปัจจุบันและจะออกมาก็วันสิ้นโลก เพราะฉะนั้นอิหร่านก็อยู่ใน
นิกายนี้ รวมถึงอิรัก ฮิซบุลลอฮ์ (Hezbollah) และชีอะห์ในบาห์เรนอยู่ใน
นิกายนี้ รวมถึงเฉกอะหมัดที่เป็นต้นตระกูลบุนนาค ตระกูลอหะหมัดจุฬา
จุฬารัตน อยู่ในนิกาย 12 อิหม่าม เพราะฉะนั้นอิหม่ามทั้ง 12 คนซ่อนตัวอยู่
โดยซ่อนตัวจากสุหนี่ ถ้าจะว่าอย่างนั้นเพราะสุหนี่จะสังหาร ด้วยเหตุนี้เอง
ประธานาธิบดีคนก่อนของอิหร่านคือ ประธานาธิบดีมะห์มูด อะห์มะดีเนจาด
เป็นคนที่ศรัทธาในอิหม่ามมะห์ดีและอิหม่ามทั้ง 12 มาก และในอิหร่านเองก็
จะวิพากษ์วจิ ารณ์กนั ว่า อดีตประธานาธิบดีผนู้ รี้ อแต่อหิ ม่ามจะกลับมา เป็นต้น
ขณะเดียวกันก็มีอีกชีอะห์หนึ่งก็คือ ชีอะห์อิสมาอีลียะห์ ก็คือสืบมา
จากอิหม่าม 12 นี้สืบมาได้ประมาณ 7 ท่าน ใน 7 ท่านนี้เป็นคนเดียวกันแต่
พอคนที่ 8 ขัดแย้งกันว่าตำ�แหน่งอิหม่ามจะได้แก่ลูกคนไหนจะเป็นลูกหัวปี
ลูกคนกลาง ลูกคนรอง เพราะฉะนั้นนิกายอิสมาอีลียะห์บอกว่าตำ�แหน่งไปยัง
อิสมาอีล ก็เลยกลายเป็นชีอะห์อิสมาอีลียะห์ และอิสมาอีลียะห์ก็จะแบ่งออก
เป็นหลายกลุ่ม ในเมืองไทยก็จะมี เช่น อิสมาอีลียะห์ และตระกูลอิสมาอี-
ลียะห์ โบห์รา เช่น ในตระกูลสยามวาลา เป็นต้น เพราะฉะนั้นท่านเหล่านี้ก็
จะไม่ยงุ่ เกีย่ วไม่สนใจเรือ่ งเกีย่ วกับอิหร่าน เพราะเขาไม่มีความเชื่อมโยง ไม่
เกีย่ วกัน ในขณะเดียวกันสายชีอะหอ์ สิ มาอีลยี ะหใ์ นช่วงหลังๆ ก็มงุ่ เน้นในเรือ่ ง
ธุรกิจและเรื่องสันติเป็นหลัก เพราะแต่เดิมเขามีอาณาจักรขนาดใหญ่ เป็น
ผู้สร้างกรุงไคโร กรุงไคโรที่ใหญ่โตขนาดนั้นและมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัรสร้าง
โดยพวกชีอะห์อิสมาอีลียะห์ ควบคุมการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ร่ำ�รวย
มาก ปกครองตั้งแต่อียิปต์ ตูนิเซีย และลิเบีย แต่ถูกทำ�ลายโดยแซลาดิน
(เศาะลาฮุดดีน) แห่งสุหนี่ หลังจากแซลาดินมีชยั ชนะในสงครามครูเสด เพราะ
ฉะนั้นชีอะห์จะไม่ชอบแซลาดินเป็นพิเศษ โดยจะสังเกตได้ ถ้าคนที่ชื่นชม
แซลาดินหรือเศาะลาฮุดดีนจะเป็นสุหนี่ พอแซลาดินยึดกรุงไคโร ก็ท�ำ ให้พวก
ชีอะห์อิสมาอีลียะห์สูญเสียอำ�นาจทั้งหมด พอสูญเสียเมืองต่างๆ ที่เป็น
เมืองหลักก็เลยหลบหนีลงเรือผ่านทะเลแดงมายังอินเดีย โดยให้ไกลจาก

อิสลาม :
61 นิกาย & สำ�นักคิด
อิทธิพลของแซลาดิน จากนั้นเป็นต้นมา ชุมชนชีอะห์อิสมาอีลียะห์จึงมาตั้ง
มั่นอยู่ในอินเดีย ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อยและน้อยกว่าชีอะห์ อื่นๆ ส่วนชีอะห์ 12
อิหม่ามหรืออิสนา อาชารียะฮ์ อยู่ในอิหร่าน อิรัก บาห์เรน และเลบานอน
ส่วนประมุขของอิสนาอาชารียะฮ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิสนาอาชารียะฮ์ โบห์รา
ซึ่งแต่เดิมพวกโบห์ราก็ตั้งมั่นอยู่ในไคโร ก็ถอยไปอยู่ที่เยเมนก่อน แต่อยู่ที่
เยเมนก็ถกู ข่มเหงก็เลยรูส้ กึ จะอยูล่ �ำ บาก ซึง่ ก็ผา่ นมา 600-700 ปีทแี่ ล้ว ก็เลย
ย้ายมายังอินเดีย ปัจจุบนั นีก้ ย็ งั มีความเชือ่ มโยงกันอยูร่ ะหว่างชุมชนของชีอะห์
โบห์รา อิสนาอาชารียะฮ์ในเยเมนกับในอินเดีย

การกำ�เนิดควาริจญ์
พื้นที่ที่เป็นอาณาจักรอิสลามในสมัยท่านอาลี โดยท่านได้ตำ�แหน่งมา
หลังจากทีท่ า่ นอุสมานถูกสังหาร เครือญาติของท่านอุสมานคนหนึง่ เป็นข้าหลวง
อยูท่ ซี่ เี รีย คือท่านมุอาวียะฮ์ อีกหนึง่ เป็น อมูร บิน อาส (Amr ibn al-’As)
เป็นข้าหลวงของอียิปต์ สองคนนี้เรียกร้องท่านอาลีว่า ท่านก็ครองตำ�แหน่งมา
นานแล้ว ถึงเวลาจับตัวผูท้ สี่ งั หารท่านอุสมานมาลงโทษได้แล้ว ท่านอาลีกบ็ อก
ว่ายังไม่ได้หรอก เพราะพวกนั้นเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ในอาณาจักร พวกเธอทั้ง
สองให้สตั ยาบันเราก่อน จนกระทัง่ เป็นปึกแผ่นก่อนแล้วจะจัดการให้ดู แต่พวก
นั้นก็บอกว่าไม่ได้ ท่านต้องแสดงตัวว่าบริสุทธิ์ก่อน แล้วเราจึงจะให้สัตยาบัน
นี้คือต้นกำ�เนิดกลุ่มควาริจญ์ขึ้นมา ปัจจุบันควาริจญ์จริงๆ ได้สลายตัวเพราะ
ว่าความขัดแย้งเมือ่ 1,300 กว่าปีทแี่ ล้ว อิหม่ามทีเ่ ป็นประมุขของควาริจญ์บอก
ว่า บัดนี้เราไม่มีความจำ�เป็นจะต้องสู้เรื่องนี้อีกแล้ว จะทะเลาะกันเรื่องอะไร
อีกที่เป็นเรื่องโบราณ เพราะฉะนั้นขอให้สลายตัว นิกายเดิม ความศรัทธา
เดิม รายละเอียดเดิมแต่อยู่กับสุหนี่โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันกันอีก อิหม่ามผู้
ที่ชี้ขาดมีชื่อว่า อัล อิบาฎ ทุกคนที่เป็นสาวกของท่านจึงได้ชื่อว่าอยู่ในนิกาย
อิบาดิ (Ibadi) นิกายนี้อยู่ในโอมาน
ในปัจจุบันก็มีการกล่าวหาว่ากลุ่มหัวรุนแรงต่างๆ ว่าเป็น นีโอควา-
ริจญ์ หรือควาริจญ์ใหม่ เช่น กลุ่มไอเอส เป็นต้น ขณะเดียวกันอีกสิ่งที่ท่าน

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 62
ต้องรู้จักและเข้าใจก็กลุ่มซาลัฟ คล้ายๆ กับซาลาฟียะฮ์ ซาลาฟียะฮ์คือคน
ปัจจุบัน แต่ซาลาฟียะฮ์ยกย่องวิถีชีวิตและศาสนาของบรรพชน คนอิสลาม
รุ่นแรก คล้ายๆ ท่านจินตนาการว่าคนหรือพระสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ช่วงอายุ
คนในตอนนัน้ คงจะประเสริฐอย่างมาก อันนีค้ อื จินตนาการเดียวกัน มุสลิมพวก
นี้จะเข้มงวด เนื่องจากมุสลิมมีแนวคิดที่จะฟื้นฟูศาสนาตลอด มีแนวคิดของ
การขัดเกลาและชำ�ระศาสนาให้บริสุทธิ์ เพราะมุสลิมจะสนใจว่าแล้วเราจะ
ไปเอาตัวแบบของใคร ตัวแบบของของอินโดนีเซียก็ใช้กับบังกลาเทศไม่ได้
ตัวแบบของบังกลาเทศก็ใช้กับซูดานไม่ได้ ตัวแบบของอียิปต์ก็ใช้กับซาอุดี-
อาระเบียไม่ได้ จึงกลับไปหาตัวแบบของบรรพชน โดยบรรพชนมี 3 รุ่นคือ
1) บรรดาคนที่นบีมูฮัมหมัดสอนด้วยตนเอง เงื่อนไขคือคนเหล่านั้นต้องเห็น
นบีมฮู มั หมัด ไม่วา่ จะเห็นเป็นชัว่ โมงหรือเป็นวันหรือเป็นปีกต็ าม และก็ศรัทธา
และปฏิบตั ใิ นท่านได้ชอื่ ว่าเป็นสหายและสาวก 2) บรรดาคนทีเ่ กิดมาแต่ไม่ทนั
เห็นท่านนบี แม้วา่ ตอนทีเ่ กิดท่านนบียงั มีชวี ติ อยู่ แต่ยงั แบเบาะหรืออยูค่ นละ
เมืองไม่เคยเห็น ถือว่าเป็นคนรุ่นที่ 2 ทันที รุ่นที่ 2 จึงกลายเป็นสานุศิษย์
ของคนรุ่นที่ 1 และคนรุ่นที่สองก็เป็นคนที่ถ่ายทอดศาสนาให้แก่คนรุ่นที่สาม
3 รุ่นนี้เองที่เราถือว่าเป็นซาลัฟอันประเสริฐอันเที่ยงตรง เนื่องจากว่าคน 3
รุ่นนี้อยู่ในสิ่งแวดล้อมอาราเบียที่เป็นเมืองทะเลทราย ไม่มีสิ่งปรุงแต่ง ไม่
เคยเห็นโรมันไบแซนไทน์ ถึงจะเห็นก็ไม่ได้ซาบซึ้ง เพราะแค่ไปขายของ
กับกองคาราวานชั่วคราว ไม่ได้ซาบซึ้งกับเรื่องราวและแนวความคิดของกรีก
รวมทั้งไม่ได้โน้มเอียงไปกับเรื่องราวของอินเดียและเปอร์เซีย คนเหล่านี้พอ
เวลาดวงตาเห็นธรรมแล้วก็ถือว่าบริสุทธิ์ สามรุ่นนี้เป็นตัวแบบ แต่หลังจาก
คนสามรุ่นนี้ไม่เป็น เพราะมุสลิมเริ่มขยายและเติบโตในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเป็น
อาณาจักรเปอร์เซียที่มีศาสนาโซโรอัสเตอร์ (Zoroastrianism) ไปเกิดใน
ดินแดนกรีกและโรมันไบแซนไทน์ เพราะฉะนัน้ ก็เหมือนกับมุสลิมในปัจจุบนั
ที่ว่ามุสลิมอินโดนีเซียต่างจากมุสลิมบังกลาเทศ มุสลิมบังกลาเทศต่างจาก
มุสลิมซินเจียงอุยกูร์ มีวัฒนธรรม มีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้นด้วย
เหตุนี้เองเวลากลุ่มขบวนการฟื้นฟูอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่เราเรียก

อิสลาม :
63 นิกาย & สำ�นักคิด
ซาลาฟียะฮ์ วะฮาบีย์ อย่างกลุ่มซาลาฟียะฮ์บอกว่าถ้าอย่างนั้น ตัวแบบเราอยู่
ทีไ่ หน จะไปเอาตัวแบบอุมยั ยะฮ์กไ็ ม่ได้ เพราะอุมยั ยะฮก์ เ็ ล่นดนตรีแบบไบ-
แซนไทน์ เล่นดนตรีเป็นเปอร์เซีย แบบเอาพวกอัลอันดะลุส (อันดาลูเซีย)
ในสเปน เนื่องจากอาณาจักรยิ่งใหญ่จึงมีอิทธิพลของภายนอก เพราะฉะนั้น
เรากลับไปยังบรรพชนสามรุ่นแรก (ซาลัฟ) เป็นตัวแบบ เขาถึงเรียกว่า
ซาลาฟียะฮ์ อิทธิพลของบรรพชนผู้เที่ยงตรงหรือซาลัฟ (ซอและห์) แปลว่า
เที่ยงตรง (righteous)
ประชาคมส่วนใหญ่ของมุสลิมทีเ่ ป็นสุหนี่ ในประเด็นละหมาด มุสลิม
จะต้องละหมาด มุสลิมที่อยู่ในอาณาจักรเปอร์เซีย อาณาจักรนี้ใหญ่มาก คน
มุสลิมที่อยู่ในอาณาจักรที่เป็นอาณาจักรอนาโตเลียที่เป็นตุรกีในปัจจุบัน หรือ
เอาแค่ซีเรีย ซีเรียเป็นดินแดนของพวกอัสซีเรียนที่กรีกและโรมันเข้ามาปก-
ครองตามลำ�ดับ ตอนนี้เป็นมุสลิม หรือคนที่อยู่ในอียิปต์ที่เคยเป็นของฟาโรห์
จะละหมาดกันอย่างไร เพราะถ้าไปดูคำ�สอน การรวบรวมคำ�สอนนี้ ท่านนบี
ยกมือทั้งสองขึ้น สาวกหลายร้อยคนยกมือขึ้นเอานิ้วแตะติ่งหู บางคนบอกยก
มาที่แค่ไหล่ บางคนบอกยกสูงเลย ตกลงจะยกอย่างไร ที่นี้คนที่ในสุเหร่า
คนก็ชอบคุยเรื่องธรรมะ ก็คุยกันว่าทำ�ไมยกอย่างนี้ ต้องยกอย่างนี้ อีกคนก็
อีกแบบ ก็ถกเถียงกันอยู่อย่างนี้ ทุกวันนี้ไปดูโทรทัศน์มุสลิมก็มีการถกเถียง
กันเรือ่ งนี้ เพราะฉะนัน้ หนึง่ ในประเด็นทีม่ คี วามเห็นแย้งกันระหว่างคณะใหม่
คณะเก่า ซาลาฟียะฮ์กับสายโบราณส่วนหนึ่งก็เป็นเรื่องนี้ ก็จะจับผิดกันใน
สุเหร่าและก็มาพิจารณาว่าจะคบได้หรือคบไม่ได้ ตกลงโต๊ะครูหรืออิหม่ามท่าน
แรกคือ อบู ฮานีฟา (Abu Hanifa an-Nu‘man) เป็นคนอิหร่าน ท่าน
พูดภาษาเปอรเ์ ซียเป็นภาษาแม่ และพูดภาษาอารบิกเป็นภาษาทีส่ อง แต่คล่อง
ภาษามาก ใครก็ตามทีล่ ะหมาด ถือศีลอด ทำ�ฮัจญต์ ามรายละเอียดทีท่ า่ นชีไ้ ว้นี้
ตามที่ตีความพระคัมภีร์ เป็นฮานาฟี (Hanafi) ขณะเดียวกันมีอิหม่ามคนที่
สองคือ อิหม่ามมาลิก (Malik ibn Anas) แห่งเมืองมะดีนะฮ์ ท่านนี้นั่ง
อยู่ในสุเหร่าของท่านนบีเลย ท่านก็ได้สอนตามที่ได้เรียนจากคนสามรุ่นแรกที่
คนเหล่านั้นได้เรียนมาจากท่านนบี ท่านก็จดจำ�มาสอนลูกศิษย์ ก็มีลูกศิษย์คน

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 64
หนึง่ มาจากสเปน ในตอนทีท่ า่ นสอนอยู่ ก็มคี นเอาช้างมาในเมืองมะดีนะฮ์ ลูก
ศิษยค์ นอืน่ ก็ขออนุญาตไปดูชา้ ง ท่านก็เป็นคนธรรมะธรรโม ท่านก็จะนัง่ หลับตา
และอนุญาตให้ไป คนทีข่ อไปดูชา้ งก็ทยอยกันไป พอท่านลืมตาขึน้ มาก็เห็นเด็ก
นัง่ อยูค่ นหนึง่ ท่านก็ถามว่าเจ้ามาจากสเปนไม่ไปดูชา้ งหรือ เด็กก็ตอบว่าผมไม่
ได้มาจากสเปนเพื่อมาดูช้าง ผมมาเพื่อมาเรียนธรรมะ อิหม่ามได้ยินเช่นนั้นก็
เลยขอพรให้เด็กคนนี้ หนังสือของลูกศิษย์ที่มาจากทั่วโลก เช่น อัฟกานิสถาน
อุซเบกิสถาน ทั้งหมดถูกเผาทำ�ลายหมด พวกมองโกลเผาหมดและหายไป
หมดเลย แต่เหลือเล่มที่เด็กคนนี้ทไี่ ม่ไปดูช้างเขียนว่าอิหม่ามมาลิกสอนอะไร
เหลืออยู่ที่สเปน เพราะฉะนั้นสิ่งที่อิหม่ามมาลิกสอนได้รับการสืบทอดโดย
ลูกศิษย์ที่มาจากสเปน สืบทอดมาเป็นสำ�นักมาลิกีย์ คนที่สามคือ ชาฟีอี
(Shafi’i) ชาฟีอนี นั้ มีความสำ�คัญในประเทศไทยเพราะคนใหญ่สว่ นใหญ่อยูใ่ น
สำ�นักคิดนี้ ชาฟีอีท่านเป็นชาวซีเรีย และลูกศิษย์ของท่านคือ อาห์หมัด ฮัม-
บัล (Ahmad ibn Hanbal) และต่อมาได้พัฒนาเป็นสำ�นักคิดฮัมบาลี
(Hanbali)
จากที่กล่าวข้างต้น มุสลิมที่อยู่ในสำ�นักคิดฮานาฟี (Hanafi) เป็น
ประชากรส่วนใหญ่ของโลกมุสลิมเพราะแค่อินเดียกับปากีสถานก็มีจำ�นวน
มากแล้ว มุสลิมมีประมาณ 1,500 ล้านคน อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศมี
มุสลิมถึงประมาณ 500 ล้านคนแล้ว ดังนั้น 1 ใน 3 นี้เป็นฮานาฟี ซึ่งยังไม่นับ
พวกในเอเชียกลาง เช่น อุซเบกิสถาน เติร์กเมนิสถาน คีร์กีซสถาน หรือใน
เชชเนีย ตุรกี พวกในยุโรป เช่น โคโซโว อารเ์ มเนีย ยูโกสลาเวียเดิมทัง้ หมด
รวมถึงพวกอิรกั ด้วย เป็นฮานาฟีทงั้ หมด แนวความคิดของฮานาฟีจะเป็นแนว
ความคิดทางกฎหมายที่ยืดหยุ่นที่สุด ดังนั้นเวลาที่อาณาจักรปกครองนี้ ไม่
ว่าตัวกาหลิบจะอยู่ในสำ�นักคิดอะไรก็ตาม ในสุหนี่ กาหลิบก็จะแต่งตั้งมุฟตี
(Mufti) หรือผูช้ ขี้ าดทางศาสนานีเ้ ป็นพวกฮานาฟีทมี่ คี วามยืดหยุน่ สูง จากนัน้
ก็จะมีชาฟีอี ชาฟีอีจะอยู่โซนใต้ เช่น ซูดาน เอธิโอเปีย ในหมู่เกาะมัลดีฟส์
บรูไน รวมถึงไทย ส่วนในซาอุดีอาระเบียจะเป็นฮัมบาลี ฮัมบาลีจะมีต้นทุนที่
ทำ�ให้ซาลาฟียะฮ์งอกงามดี เพราะว่าฮัมบาลีจะให้น้ำ�หนักกับตัวหลักฐานคำ�-

อิสลาม :
65 นิกาย & สำ�นักคิด
สอน ซึ่งจะใกล้กับพวกซาลาฟียะฮ์ ในสำ�นักคิดทั้งสี่นี้ เขาจะตีความคำ�สอน
เช่น เรื่องของยกมือละหมาด การกอดอก และเรื่องอื่นๆ ซึ่งแตกต่างกัน เขา
จะประมวลสรุปตามแนวความคิด คนหนึง่ บอกว่ากอดอกแบบนี้ อีกคนบอกว่า
แบบนี้ โดยดูจาก 200 กว่าคำ�สอน (ฮดีษ) แล้วเอามาประมวลว่าอันนี้น้ำ�หนัก
มาก แต่สำ�หรับซาลาฟียะฮ์ จะดูว่าบรรพชนกอดอกอย่างไร เพราะฉะนั้นถ้า
หากว่ามีคำ�สอนเดียว แต่ดูจากรายงานแล้วแข็งแกร่งมากก็อาจจะใช้อย่างนั้น
โดยไม่ต้องไปดูอีก 200-300 อันที่เหลือ เพราะฉะนั้นซาลาฟียะฮ์จะเหมือน
กับไม่ยึดกับอะไร สิ่งไหนดีก็จะทำ� ปัญหาของกลุ่มซาลาฟียะฮ์ก็คือ เด็กหนุ่ม
หรือสังคมใดทีเ่ ป็นซาลาฟียะฮ์ ก็จะดีในเรื่องของศาสนาทีบ่ ริสทุ ธิ์ แต่จะมีขอ้
ด้อยก็คือสังคมขาดรากฐาน ขาดในเรื่องวัฒนธรรม อารยธรรม ขาดเรื่อง
สุนทรียศาสตร์ เพราะเขาจะไม่สนใจ เขาจะสนใจเฉพาะเรื่องศาสนา สำ�นัก-
คิดต่างๆ ที่เอ่ยชื่อมานี้ ในสังคมมุสลิมเราเรียกว่า มัซฮับ ซึ่งแปลว่าทางไป
หรือสามารถเรียกว่า School of Thought หรือบางคนเรียก School of
Islamic Jurisprudence สำ�หรับซาฮีรี (Zahiri) แนวคิดนอกกรอบจาก
สำ�นักคิดทั้งสี่ แต่เดิมเมื่อมี 4 สำ�นัก สำ�นักเหล่านี้ตกผลึกแต่มีอีกกลุ่มหนึ่ง
ที่ไม่สังกัดเป็นสำ�นักคือ ซาฮีรี ซึ่งแปลว่า Appearance ซึ่งหมายความว่า
ปฏิบัติตามที่เห็นปรากฏ เป็นที่มาแบบเหมือนซาลาฟียะฮ์ แต่เดิมไม่มีคำ�ว่า
ซาลาฟียะฮ์ ซาลาฟียะฮ์เป็นคำ�ใหม่ในสมัยศตวรรษที่ 19-20 คำ�เดิมคือ ชอ-
ฮีรีหรือซาฮีรี คือทำ�ตามที่เห็น ไม่คิดอะไรลึกซึ้งมากมาย ซาฮีรีเป็นคำ�โบราณ
ปัจจุบันเป็นซาลาฟียะฮ์
สำ�หรับลักษณะการกอดอกแบบฮานาฟี ฮานาฟีบอกว่าใน 200-300
หลักฐานที่ให้กอดอกนี้ ต่างก็ดีทั้งนั้น แต่ท่าทางที่ดูสุภาพคือ กอดต่ำ�ไว้ใต้
สะดือหรือประมาณสะดือ ส่วนถ้าเป็นแบบซาลาฟียะฮ์หรือซาฮีรีจะกอดสูง
บางคนจะกอดใกล้คอเลยก็มี เพราะฉะนั้นในสังคมมุสลิมภายในสุหนี่ ทันทีที่
มองก็จะรูเ้ ลยว่าเป็นอะไร เป็นฮานาฟีหรือซาลาฟียะฮ์ ส่วนในประเทศอาหรับ
แอฟริกาเหนือ ถ้าเป็นมาลิกีย์เขาจะไม่กอดอก ส่วนพวกอื่นๆ คือไม่กอดสูง
แบบซาลาฟียะฮ์และไม่ต่ำ�ขนาดฮานาฟี ท่านศาสดามูฮัมหมัดได้สอนลูก-

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 66
ศิษยข์ องท่านทีไ่ ปเผยแพร่ศาสนาของท่านว่า เวลาไปเจอผูค้ น ให้ท�ำ อะไรให้
ง่าย อย่าทำ�อะไรให้ยาก และทำ�ให้ผคู้ นเบิกบานและอย่าทำ�ให้ผคู้ นเบือ่ หน่าย
ศาสนา แต่ปรากฏว่าในปัจจุบันนี้โต๊ะครูมักทำ�ตรงข้าม ท่านศาสดาเคยกล่าว
ไว้ตั้งแต่ยังไม่มีควาริจญ์ว่าวันข้างหน้าจะมีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนกลุ่มที่เลว
ที่สุดในบรรดาสิ่งที่อัลเลาะห์เคยสร้างมา ฮดีษ นี้ก็คือคำ�สอนของนบีมูฮัมหมัด
เกี่ยวกับควาริจญ์บรรดาคนที่ไม่เห็นด้วยกับไอเอสเขาก็จะบอกว่ามันไม่ใช่รัฐ
อิสลาม แต่เป็นรัฐควาริจญ์ เพราะว่าพวกควาริจญ์มีปัญหาคือ อาณาจักร
อิสลามเคยดีมาก่อน แต่ตอนนี้อาลีกับมุอาวียะฮ์และอมูร บิน อาส ทะเลาะ
กัน ซึ่งไม่เป็นอิสลาม เพราะอัลเลาะห์บอกว่าต้องเป็นเอกภาพ แต่พวกนี้
ทะเลาะกัน ดังนัน้ เขาจึงแก้ปญ ั หาโดยให้พวกทีท่ ะเลาะกันออกไป ควาริจญ์จงึ
ส่งมือสังหารไปฆ่า 3 คนนี้ โดยนัดกันว่าในวันนั้นเดือนนั้น เราจะไปละหมาด
ที่เดียวกัน พอสามคนนี้ออกมาเป็นอิหม่ามนำ�ละหมาด เราไม่ละหมาดแต่เรา
จะยืนอยูด่ ว้ ยพอคนอืน่ ละหมาดและไม่มใี ครสนใจ เราก็จะเอามีดทีอ่ ยูใ่ นเสือ้
คลุมออกมาฆ่าพวกเขา ปรากฏว่าเพราะถึงวันจริงก็ฆ่าท่านอาลีสำ�เร็จและ
ท่านอมูร บิน อาส บาดเจ็บ แต่ไม่ตาย แต่ทา่ นมุอาวียะฮไ์ ม่ได้ออกมาละหมาด
วันนั้น ชีอะห์ก็บอกว่าพวกสุหนี่เป็นฝ่ายสังหารท่านอาลี และคนอื่นก็แกล้งทำ�
เป็นบาดเจ็บเล็กน้อย นี้จึงเป็นที่มาที่ชีอะห์จะมองสุหนี่เสมอว่าสุหนี่พยายาม
ที่จะสังหารท่าน
ต่อไปคือ กลุ่มซายดีย์ (Zaidi) ซึ่งเป็นชีอะห์ ในบรรดาชีอะห์ทุก
นิกาย ซายดีย์เหมือนสุหนี่ที่สุด นิกายชีอะห์ซายดีย์ไม่เคยรังเกียจอะบูบักร์
อุมรั อุสมาน ในช่วงแรกกลุม่ นีเ้ ป็นพวกทีใ่ กล้ชดิ เรามาก แต่ตอนหลังๆ ตัง้ แต่
ปี 1980 เป็นต้นมา อิทธิพลของซาลาฟียะฮ์และวาฮะบีย์มีมากขึ้นในเยเมน
พวกซายดียก์ เ็ ครียด พอเครียดก็มคี นมาคลายความเครียดให้กค็ อื อิหร่าน หลัง
จากนัน้ ก็มซี ายดียก์ ลุม่ หนึง่ มุง่ มัน่ กับเรือ่ งสถาปนารัฐ อย่าลืมว่าในปี ค.ศ. 1962
เยเมนปฏิวตั โิ ค่นล้มอิหม่ามเป็นไปเป็นประเทศสังคมนิยม และก็แตกไปเป็น
เยเมนเหนือกับเยเมนใต้ อิหม่ามทีถ่ กู โค่นล้มไปนัน้ เป็นอิหม่ามในนิกายซายดีย์
สำ�หรับตั๊กฟิร เป็นขบวนการที่บรรดานักรบติดอาวุธที่ไม่ว่าจะเป็น

อิสลาม :
67 นิกาย & สำ�นักคิด
ซาลาฟียะฮ์และวาฮะบีย์หรือควาริจญ์ เพราะพวกตั๊กฟิรก็บอกว่าตนเองเป็น
ซาลาฟียะฮ์ แต่พวกซาลาฟียะฮ์ก็บอกว่าพวกนี้ไม่ใช่ซาลาฟียะฮ์ เหมือนกับ
ที่พวกไอเอสอ้างว่าตนเองเป็นซาลาฟียะฮ์ แต่พวกซาลาฟียะฮ์บอกว่าไม่ใช่
ซาลาฟียะฮ์ แต่พวกไอเอสเป็นควาริจญ์ พวกเขาจะใช้นโยบายอย่างนีก้ ค็ อื ถ้า
ใครทีเ่ ป็นมุสลิม ออกนอกกรอบทีเ่ ขาให้ไว้ถอื ว่าตกศาสนา การตกศาสนาก็คอื
เป็นกาเฟร กาเฟรในภาษาอาหรับแปลว่า การปฏิเสธอัลเลาะห์ การไม่เชื่อว่า
อัลเลาะห์มีจริง เป็นการปฏิเสธศาสนา คนที่ปฏิเสธศาสนา (หลายคน) คือ
พวกกาเฟรีน ดังนั้น การชี้ขาดว่าใครปฏิเสธศาสนาตั๊กฟิร การให้คนอื่นเป็น
กาเฟรคือตัก๊ ฟิร เพราะฉะนัน้ ขบวนการตัก๊ ฟิรก็คอื เด็กหนุม่ เหล่านีไ้ ม่วา่ จะอยู่
ในไนจีเรีย (โบโก ฮาราม) อยู่ในปากีสถาน ในอิรัก หรือในซีเรียก็จะบอก
ว่า เช่น พวกนัน้ เป็นกาเฟรเพราะเป็นชีอะห์ และก็จะลามไปถึงขนาดว่าชีอะห์
เป็นกาเฟร เป็นต้น สมัยก่อนชีอะห์กับสุหนี่แต่งงานกันได้ในหลายประเทศ
ไม่ใช่แค่ในอิรักอย่างเดียว ในประเทศไทยก็แต่งงานกัน แต่ตอนหลังเขาก็
ไม่แต่งงานเพราะถือว่าเป็นกาเฟร แต่ทางการซาอุดีอาระเบียก็ยังคงให้วีซ่า
คนเหล่านี้ไปประกอบพิธีฮัจญ์ สำ�หรับในขบวนการและนิกายต่างๆ มาจนถึง
ขบวนการซาลาฟียะฮ์ ซึ่งเป็นขบวนการฟื้นฟูขนาดใหญ่และเป็นขบวนการ
ฟืน้ ฟูทมี่ ผี ลอย่างยิง่ เพราะว่าขบวนการซาลาฟียะฮ์นนั้ ได้ตอ่ กรมากับขบวนการ
ที่เป็นฮานาฟีกับซูฟีย์ ซึ่งเป็นพวกรหัสยนิยมซึ่งเป็นพวกออตโตมัน พวก
ตะวันตกต้องการให้ออตโตมันอ่อนแอลง เพราะออตโตมันปกครองตะวัน-
ออกกลางและแอฟริกาเหนือทั้งหมด ยกเว้นโมร็อกโก โดยการให้คนรุ่นใหม่
บอกว่าออตโตมันเป็นพวกซูฟีย์ไม่ได้ถูกต้องอย่างเรา เพราะฉะนั้นก็เลยเกิด
การกระด้างกระเดือ่ งขึน้ และทำ�ให้ออตโตมันไม่สามารถปกครองได้ และเมือ่
ตะวันตกรุกรานออตโตมันมากขึน้ ออตโตมันก็ถอนทัพออกจากดินแดนอาหรับ
เหล่านี้กลายเป็นสุญญากาศทางการเมือง เช่น สุญญากาศเกิดขึ้นในซีเรีย
สุญญากาศเกิดขึ้นในลิเบีย พอออตโตมันออกไปจากลิเบีย อิตาลีก็เข้ามายึด
ครองทันที พอออตโตมันออกไปจากลิเบีย ซีเรีย ฝรัง่ เศสก็ขนึ้ มามีอ�ำ นาจทันที
อย่างในดินแดนอัชชาม คือดินแดนที่รวมซีเรีย เลบานอน จอร์แดน และ

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 68
ปาเลสไตน์ พอออตโตมันออกไป ฝรั่งเศสแผ่อิทธิพลไปทางเหนือ เป็น
เลอวานท์ (Levant) และฝรั่งเศสก็ฉีกซีเรียออกเป็นเลบานอน อังกฤษขึ้น
ทางล่างเป็นจอร์แดนและปาเลสไตน์ ด้วยเหตุนี้เองจึงไม่มีพรมแดนในตอน
แรก ดังนั้น ไอซิล (ISIL) ก็คือ ดินแดนอัชชาม ตัวแอลหลังคือเลอวานท์
ขอบคุณครับ

ภาพศาสนิกชนไปประกอบพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ

ที่มา : https://sp.yimg.com/ib/th?id=JN.8QZLdQzuy4u76YQE1ISGD
g&pid=15.1&P=0

อิสลาม :
69 นิกาย & สำ�นักคิด
3
ขบวนการรัฐอิสลามกับภารกิจต่อต้านตะวันตก

ดร. อณัส อมาตยกุล

เอกสารประกอบการบรรยาย “โลกมุสลิมกับการเมืองโลกปัจจุบัน”
จัดโดย สถาบันการข่าวกรอง สำ�นักข่าวกรองแห่งชาติ
ร่วมกับ โครงการความมั่นคงศึกษา วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558
ณ โรงแรมโนโวเทล กรุงเทพ สยามสแควร์

ในตอนปลายของศตวรรษที่ 15 โลกมุสลิมที่อ่อนล้าจากการแข่งขัน
กับโลกตะวันตกได้เห็นยุโรปก้าวเข้าสูก่ ารเปลีย่ นแปลงทีน่ �ำ ไปสูค่ วามก้าวหน้า
อย่างมากมาย ในขณะที่มีมุสลิมไม่กี่คนที่สังเกตพบว่าโลกมุสลิมเองกลับเริ่ม
หยุดนิง่ อยูก่ บั ทีแ่ ละไม่มคี วามเปลีย่ นแปลงในทางความก้าวหน้าใดๆ ไม่วา่ จะ
เป็นการศึกษา การเมือง การเศรษฐกิจ และสังคม พอถึงตอนต้นของศตวรรษ
ที่ 16 ชาวตะวันตกก็สามารถส่งเรือออกไปค้นหาเส้นทางไปอินเดีย โดยมีจุด
มุ่งหมายเพื่อแย่งชิงการค้าไปจากโลกมุสลิม ผลของการลงทุน การกล้าหาญ
เสี่ยงภัยของชาวตะวันตกในงานนี้ได้รับผลเกินความคาดหมาย นั่นคือชาว
ตะวันตกได้ค้นพบโลกใหม่ที่กลายเป็นสินทรัพย์มูลค่าเพิ่มจากความต้องการ
เดิมของพวกเขา ที่เพียงต้องการโค่นล้มการค้าของโลกอิสลามด้วยการค้นหา
เส้นทางสายใหม่ในการไปอินเดียและจีน อันจะเป็นเส้นทางใหม่ที่สามารถ
หลีกเลี่ยงการขวางกั้นชาวตะวันตกไว้ด้วยดินแดนและกองทัพมุสลิม และจะ
เป็นเส้นทางใหม่ที่ชิงตัดหน้าเส้นทางสำ�เภาของมุสลิม และเส้นทางบกหรือที่
รูจ้ กั กันในนามเส้นทางสายไหมไปได้ เส้นทางใหม่ของชาวตะวันตกนีจ้ ะทำ�ให้

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 70
พวกเขาหลบหลีกเส้นทางที่บรรดาชาติมุสลิมต่างๆ ยังคงมีอิทธิพลควบคุมอยู่
และมุสลิมยังมีกองทัพภาคพื้นดินหรือกองทัพบกที่ยังคงแข็งแกร่งที่สามารถ
สกัดความพยายามแย่งชิงทางการค้าของชาวตะวันตกได้ ดังนั้นความสำ�เร็จ
ของการค้นพบโลกใหม่และเส้นทางการค้าใหม่ของชาวตะวันตก ทำ�ให้ชาว
ตะวันตกสามารถทำ�การค้ากับโลกตะวันออกทั้งจีน หมู่เกาะเครื่องเทศ และ
อินเดียได้โดยไม่ต้องผ่านดินแดนของมุสลิม หรือต้องพึ่งพาการค้าของมุสลิม
อีกต่อไป ชาวตะวันตกจึงเริ่มกลายเป็นชาติที่มั่งคั่ง พวกเขาสามารถนำ�ความ
มั่งคั่งเหล่านี้ไปแปรเปลี่ยนเป็นเรือเดินทะเลที่ทันสมัยยิ่งขึ้นไปอย่างไม่หยุด
ยั้ง พวกเขาพัฒนาปืนที่ทรงแสนยานุภาพ รวบรวมและสร้างองค์ความรู้ทาง
ภูมิศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ ที่ก้าวหน้าแม่นยำ� เมื่อสรรพความรู้ทาง
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการทหารบรรลุถึงความพร้อม ชาวตะวันตก
จึงเริ่มไล่ล่าบดขยี้กองเรือของมุสลิม และเมื่อโลกมุสลิมไม่อาจทำ�การค้าทาง
ทะเลแข่งขันกับชาวยุโรปได้ รวมถึงเส้นทางการค้าทางบกที่ต้องล่มสลายไป
เพราะการเบียดเข้ามาแทนทีข่ องการค้าทางทะเลของชาวตะวันตก กองทัพของ
อาณาจักรมุสลิมต่างๆ ทีก่ ระจัดกระจายอยูท่ วั่ โลกก็เริม่ ตกต่�ำ ความยากจนและ
ความขาดแคลนไปแผ่ขยายเข้ามาแทนที่ความมั่งคั่งและความศิวิไลซ์ในโลก
อิสลาม มาตรฐานทางการศึกษาในศิลปวิทยาการต่างๆ หรือแม้แต่มาตรฐาน
ทางศาสนา ทางคุณธรรมและศีลธรรมของบุคคลและสังคมก็เริม่ เสือ่ มโทรมลง
เมื่อชาวตะวันตกเริ่มมีความฮึกเหิมมากขึ้นจากการที่ได้ครอบครอง
ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และปืนอันทรงพลัง พวกเขาได้
ใช้เรือปืนและกำ�ลังทางทหารเข้ารุกรานโลกมุสลิม ทำ�ให้ไม่มอี าณาจักรหรือรัฐ
มุสลิมใดสามารถต้านทานความก้าวร้าวและการรุกรานของชาติตะวันตกได้ ชาว
ตะวันตกจึงเข้ายึดครองโลกมุสลิมอย่างเบ็ดเสร็จเกือบทัง้ หมดในศตวรรษที่ 19
จากนัน้ ชาวตะวันตกได้ทยอยแปรเปลีย่ นให้อาณาจักรทัง้ หลายของมุสลิมกลาย
เป็นอาณานิคมขึน้ ตรงต่อเมืองแม่ในยุโรป เปลีย่ นแปลงการศึกษา เปลีย่ นแปลง
สังคม เปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ และเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของมุสลิม
ในอาณานิคมของตน ความสำ�เร็จดังกล่าวนี้ทำ�ให้พวกเขาสามารถเปลี่ยน

อิสลาม :
71 นิกาย & สำ�นักคิด
ศูนย์กลางของโลกเสียใหม่ จากเดิมที่โลกมุสลิมเป็นศูนย์กลางของโลก ให้
กลับเป็นโลกตะวันตกในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิง่ ยุโรปตะวันตกเท่านัน้ ทีเ่ ป็น
ศูนย์กลางใหม่ของโลก

ผลของการตกเป็นอาณานิคม
การสูญเสียเส้นทางการค้าทั้งทางบก เส้นทางสายไหม และเส้นทาง
ทะเล การค้าสำ�เภา รวมถึงดินแดนต่างๆ ของมุสลิมให้กับโลกตะวันตกและ
กลายเป็นอาณานิคม ส่งผลให้ประชาชาติมุสลิมต้องยากจนลง ลักษณะของ
มุสลิมเหล่านี้ไม่ต่างจากสภาพของบรรดาผู้ดีตกยาก มุสลิมล้วนตระหนักใน
คุณค่าและคุณูปการของศิลปวิทยาการและคุณธรรมอันสูงส่งของตน ที่มี
ที่มาจากหลักธรรมคำ�สอนของศาสนาอิสลามและจากปวงปราชญ์มุสลิมที่เป็น
บรรพชนของพวกเขา หากแต่ความยากจนได้ผลักไสให้มุสลิมไม่อาจไขว่คว้า
เอาความเจริญเหล่านี้มาไว้ในความครอบครองได้อีก หรือสิ่งสารพันอันเป็น
อารยธรรมที่เคยสืบทอดจากชนรุ่นก่อนๆ ในครอบครองของตน ก็ต้องมลาย
สูญหายไปกับการแปรเปลีย่ นของเวลา ของยุคสมัย และพากันสูญเสียคุณภาพ
ชีวิตไปชนิดที่ไม่อาจเทียบชั้นกับชาวตะวันตกผู้มารุกรานได้เลย

การฟื้นคืนชีพของอารยธรรมอิสลาม
เมื่อดินแดนของมุสลิมตกอยู่ภายใต้การปกครองของเจ้าอาณานิคม
ตะวันตก การค้าและการผลิตของโลกมุสลิมต้องยุติลง บ้านเมืองของมุสลิม
กลายเป็นย่านเมืองเก่าที่เสื่อมโทรม ขณะที่เจ้าอาณานิคมในยุโรปพากันปลูก
สร้างบ้านเรือน ทำ�เนียบ กระทรวง ทบวง กรม และย่านการค้าอย่างหรูหรา
สะอาดสะอ้าน และทันสมัย การศึกษาของโลกมุสลิมล้าหลัง ต้องนั่งเรียน
กับพื้นในอาคารที่เก่าซอมซ่อ ห่างไกลจากสุขลักษณะ ไม่มีการศึกษาวิทยา
ศาสตร์สมัยใหม่ตามแบบอย่างของชาวตะวันตกที่ได้รับสืบทอดมาจากการ
ปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ในโลกมุสลิม
ในเวลานั้นเป็นเพียงการศึกษาทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ตกทอดมาจากที่พวก

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 72
กรีกวางแนวทางไว้เมื่อ 2,300 กว่าปี โดยไม่มีการทดลองหรือห้องทดลอง
วิทยาศาสตร์ นอกจากเพียงการโต้เถียงด้วยโวหารจากความคิดและเหตุผลที่
ห่างไกลจากโลกแห่งความเป็นจริงที่เปลี่ยนแปลง แตกต่างจากโรงเรียนของ
เจ้าอาณานิคมตะวันตกที่ทยอยเปิดขึ้นเพื่อรองรับกุลบุตรกุลธิดาของเจ้าใหญ่
นายโตมุสลิม ซึ่งล้วนกลายเป็นพลเมืองในอาณานิคมตะวันตก เด็กๆ ใน
โรงเรียนแบบตะวันตกสวมใส่เครื่องแบบที่โก้หรู ผูกหูกระต่าย หรือเนคไท
และมีสูทตะวันตกทับไว้ภายนอก สรรพวิชาที่เล่าเรียนก็เต็มไปด้วยวิทยา-
ศาสตร์สมัยใหม่ที่พัฒนาขึ้นในยุโรปหลังศตวรรษที่ 17 มีการเฝ้าสังเกตและ
ทดลองจริงทั้งในห้องทดลองวิทยาศาสตร์และนอกสถานที่ในโอกาสแห่งการ
ทัศนศึกษาต่างๆ ชนรุ่นใหม่ในโลกมุสลิมเหล่านี้จึงซึมซับวิถีชีวิตแบบตะวัน
ตกที่สร้างขึ้นบนปรัชญาวัตถุนิยม ธรรมชาติ มนุษยนิยม และเสรีนิยม พร้อม
กับวิธีคิดและวิธีมองโลกที่ห่างไกลจากโลกทัศน์ของอิสลาม ห่างไกลจากวิถี
ของชะรีอะฮ์ (กฎหมายอิสลาม) และเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ได้รับการเลี้ยงดู
แบบตะวันตกเหล่านี้ต่อมาพวกเขาได้กลายเป็นชนชั้นปกครองในประเทศ
มุสลิมหลังเอกราช ชนชั้นปกครองเหล่านี้แม้พวกเขาจะเป็นชาวอาหรับ เป็น
อินเดีย ปากีสถาน มาเลย์ หรือเป็นอินโดนีเซีย พวกเขาก็มีวัฒนธรรมการใช้
ชีวติ และความคิดอ่านทีไ่ ม่แตกต่างไปจากอดีตเจ้าอาณานิคมตะวันตกเลย วัน
เวลาผ่านไปในสภาวะที่มืดมนเช่นนั้น จนเริ่มมีปัญญาชนมุสลิมบางคนที่เริ่ม
ลุกขึ้นมาเปล่งเสียงเรียกร้องให้บรรดามุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวอินเดีย
ชาวตุรกี และชาวอาหรับ ให้ลุกขึ้นฟื้นฟูสังคมมุสลิมและโลกอิสลาม จาก
นั้นจึงเริ่มมีปัญญาชนอินโดนีเซียก้าวตามมาในขบวนการฟื้นฟูนี้ นั่นเองที่เรา
ได้เห็นชื่อและบทบาทของ ญะมาลุดดีน อัล อัฟฆอนีย์ (Jamaluddin al
Afghani) มูฮัมมัด อับดุฮ์ (Muhammad Abduh) ฮะซัน อัลบันนา
(Hasan al Banna) เมาลานา เมาดูดีย์ (Maulana Maududi) ซัยยิด
กุฏบุ (Sayyid Qutb) ฯลฯ เสียงแห่งการเรียกร้องให้มกี ารกอบกูแ้ ละฟืน้ ฟู
ได้เริม่ ดังไปถึงบรรดามุสลิมรากหญ้าทัง้ หลาย นักฟืน้ ฟูและขบวนการฟืน้ ฟูของ
พวกเขาต่างเรียกร้องให้กอบกู้อารยธรรมอิสลามและนำ�วิถีแห่งชะรีอะฮ์กลับ

อิสลาม :
73 นิกาย & สำ�นักคิด
มาใช้ในชีวติ สมัยใหม่ จึงเกิดความพยายามในการสร้างกระบวนการอิสลามา-
นุวัตร (Islamization) ให้กับทุกอย่างที่เป็นวิถีชีวิต เช่น การค่อยๆ ทำ�ให้
การศึกษาตะวันตกที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเป็นเจ้า หรือปฏิเสธชะรีอะฮ์ใน
เรือ่ งขอบเขตของการแต่งกายของเด็กชายและหญิงได้เข้าสูก่ รอบของชารีอะฮ์
การนำ�ระบบการเงินการธนาคารตะวันตกเข้าสูร่ ะบบการเงินการธนาคารอิสลาม
เราจึงได้เริ่มเห็นการเงินการธนาคารอิสลามค่อยๆ เติบโตขึ้นมาเป็นทางเลือก
ใหม่ รวมถึงการประกันภัยแบบอิสลาม หรือตะกาฟุล (Takaful) การให้
ความสำ�คัญกับเรื่องฮะลาลและฮะรอมในอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูป
อาหาร ฯลฯ มากมาย รวมไปถึงอิสลามานุวัตรการศึกษาและการเมืองการ
ปกครอง ในปัจจุบนั นีเ้ ราได้เห็นการประยุกต์ใช้กฎหมายอิสลามหรือชะรีอะฮ์
เพิม่ ขึน้ ในประเทศต่างๆ ทัว่ โลก ทัง้ หมดเหล่านีเ้ ป็นผลแห่งความพยายามฟืน้ ฟู
อิสลามด้วยสันติวิธีของบรรดานักฟื้นฟูในต้นศตวรรษที่ 20

การกอบกู้อารยธรรมอิสลามด้วยการญิฮาด
นอกจากนั้นเรายังได้เห็นความพยายามในการกอบกู้และฟื้นฟูโลก
มุสลิม และนำ�หลักชารีอะฮ์กลับมาใช้เป็นวิถีของสังคมมุสลิมโดยบรรดาผู้ที่
รวมตัวกันเป็นขบวนการญิฮาดทีต่ ดิ อาวุธอีกด้วยเช่นกัน การสถาปนารัฐอิสลาม
และการกอบกู้ตำ�แหน่งของกาหลิบ หรือคอลีฟะฮ์ อันเป็นประมุขผู้สืบทอด
ท่านศาสดาได้มีให้เราได้ยินและได้เห็นในข่าวต่างประเทศ การต่อต้านการ
ยึดครองของตะวันตกได้มปี รากฏไปทัว่ โลกมุสลิมในช่วงเวลาตัง้ แต่ศตวรรษที่
18 ไปจนถึงศตวรรษที่ 20 เช่น ขบวนการญิฮาดของอิมาม ชามิล (Imam
Shamil, ค.ศ. 1796-1871) แห่งเอเชียกลาง หรือขบวนการของเจ้าชาย อับ
ดุล กอดิร (Amir Abdul Qadir, ค.ศ. 1808-1883) แห่งแอลจีเรีย หรือ
ขบวนการญิฮาดของกลุ่มซูฟีย์ติญานียะฮ์ ในแอฟริกาตะวันตกระหว่างช่วงปี
ค.ศ. 1780-1880 เป็นต้น แต่ละขบวนการญิฮาดเหล่านีจ้ �ำ นวนนับสิบขบวนการ
และมีกระจายอยูใ่ นภูมภิ าคต่างๆ ของโลกมุสลิม พวกเขาไม่เคยประสบความ
สำ�เร็จเลยในการต่อต้านการรุกรานและการครอบครองดินแดนของโลกมุสลิม

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 74
โดยชาวตะวันตก แม้จะดูเหมือนขบวนการญิฮาดจะหายไปจากเวทีโลก แต่
เมื่อเกิดสงครามการรุกรานโดยสหภาพโซเวียต และตามติดด้วยสงครามใน
บอสเนีย ขบวนการญิฮาดจึงได้รวมตัวกันขึ้นมาใหม่ และได้รับการสูบฉีดจิต
วิญญาณที่ฮึกเหิมจากมูลเหตุหลายประการ เช่น มุญาฮิดีนชาวอาหรับจำ�นวน
มากมาจากประเทศมุสลิมที่ได้รับเอกราชมาแล้วหลายทศวรรษ หรือมาจาก
ประเทศอาหรับทีร่ �่ำ รวย หรือการได้รบั การสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา เป็นต้น

เมื่อขบวนการญิฮาดถูกตราหน้าว่าเป็นขบวนการก่อการร้าย
ภายหลังการเกิดเหตุการณ์ 9/11 สิง่ ต่างๆ จึงได้เปลีย่ นไปอย่างหน้ามือ
เป็นหลังมือ ขบวนการญิฮาดทั้งหลายซึ่งเพิ่งก่อตัวขึ้นในโลก หรือเพิ่งกลับมา
รวมตัวกันใหม่ได้เต็มรูปแบบในเวลาเพียงราวหนึง่ ทศวรรษ และมารวมตัวกัน
จัดตั้งขบวนการญิฮาดในภาพลักษณ์ใหม่ นั่นคือในภาพของผู้สร้างประโยชน์
แก่โลกตะวันตกในการต่อต้านระบอบคอมมิวนิสตท์ นี่ �ำ โดยสหภาพโซเวียตใน
ช่วงปลายของสงครามเย็น ขบวนการญิฮาดเหล่านี้สามารถประกาศการญิฮาด
ต่อต้านโซเวียตได้ด้วยเสียงที่ดังไปทั่วโลก หรืออย่างน้อยดังไปทั่วโลกมุสลิม
ทั้ง 57 ประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาหรับทั้ง 22 ประเทศ การดำ�-
เนินการญิฮาดของกลุ่มเหล่านี้ก็ดำ�เนินไปภายใต้การอำ�นวยความสะดวกของ
สหรัฐอเมริกา หรืออย่างน้อยภายใต้ทา่ ทีการเมินเฉยและปล่อยปละละเลยของ
สหรัฐอเมริกามานัน้ บัดนีไ้ ด้แปรเปลีย่ นเป็นการโดนจับจ้อง การโดนกวาดล้าง
และการสกัดกั้นการเคลื่อนไหวทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคหรือการ
โอนย้ายเงินในรูปแบบใดก็ตาม รวมถึงการประกาศสงครามกับการก่อการ
ร้าย และการประกาศให้โลกเลือกข้างระหว่างเรา คือสหรัฐอเมริกา ผู้เป็น
ตัวแทนของอำ�นาจแห่งตะวันตก โลกทัศน์ตะวันตก วัฒนธรรมและอารยธรรม
ตะวันตก และที่แน่นอนที่สุดคือ เป็นตัวแทนของผลประโยชน์ตะวันตก ที่มี
เหนือชาวโลกโดยทัว่ ไป สงครามจึงตามมาหลังการประกาศให้เลือกข้าง และ
การทำ�สงครามต่อต้านการก่อการร้ายจึงได้เกิดขึ้นด้วยการรุกรานประเทศอิรัก
และอัฟกานิสถาน ซึ่งผลของสงครามในสายตาของเยาวชนมุสลิมผู้เป็นคน

อิสลาม :
75 นิกาย & สำ�นักคิด
รุ่นใหม่ก็คือ ความพ่ายแพ้อีกครั้งของโลกมุสลิมที่มีต่อโลกตะวันตก ความ
อัปยศอดสูอีกครั้งของโลกมุสลิมในสายตาของประชาคมโลก และสุญญากาศ
ของอำ�นาจรัฐในพื้นที่ที่สหรัฐอเมริกาทำ�สงคราม

การตอบโต้แสนยานุภาพตะวันตกหลังสงครามต่อต้านก่อการร้าย
ความเจ็ บ ปวดและความรู้ สึ ก ขุ่ น เคื อ งโลกตะวั น ตกที่ นำ � โดย
สหรัฐอเมริกา จากผลของสงครามทีน่ �ำ โดยสหรัฐอเมริกา และได้รบั การตัง้ ชือ่
อย่างสวยหรูตามบรรทัดฐานจริยธรรมของกลุ่มบริโภคนิยมและเสรีนิยม
ตะวันตกว่าเป็น สงครามต่อต้านการก่อการร้ายนัน้ บัดนีไ้ ด้แปรเปลีย่ นไปอย่าง
ช้าๆ และลุม่ ลึกจนพัฒนาเป็นกระบวนการต่อต้าน หรือกระบวนการเพือ่ ตอบโต้
แสนยานุภาพตะวันตก และ ณ จุดนีห้ รือขัน้ ตอนนีเ้ องทีไ่ ด้กอ่ เกิดอันตรายใหม่
ต่อโลกตะวันตก เมื่อขบวนการญิฮาดต่างๆ ที่ล้มครืนอย่างไม่เป็นกระบวนท่า
และแตกฉานซ่านเซ็นไปในทิศทางต่างๆ หลังสหรัฐอเมริกาทำ�สงครามปราบ
ปรามรัฐบาลฏอลิบานและขบวนการอัลกออิดะฮ์ในอัฟกานิสถาน พวกเขาได้
เริ่มกลับมารวมตัวกันใหม่และเพื่อให้เกิดขวัญและกำ�ลังใจ และให้ได้เห็น
ความสำ�เร็จบ้างในเบื้องต้นภายหลังการกลับมารวมตัวกันใหม่ได้สำ�เร็จ แม้
จะเป็นการรวมตัวกันใหม่ในภาพลักษณ์ใหม่ หรือในรูปแบบใหม่ก็ตาม และ
เพือ่ ได้เกิดการฝึกฝนและพัฒนาทักษะแก่สมาชิกใหม่ ขบวนการญิฮาดเหล่านี้
ได้พงุ่ เป้าการโจมตีไปยังผลประโยชนข์ องตะวันตกทีม่ อี ยูต่ ามจุดต่างๆ ในโลก
มุสลิม “ดังกรณีของการระเบิดที่บาหลีเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 2002 ใน
ย่านโกตา ทีเ่ ป็นแหล่งท่องเทีย่ วบนเกาะบาหลีของอินโดนีเซีย ซึง่ นับเป็นการ
โจมตีที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย ที่ทำ�ให้
มีผู้เสียชีวิตถึง 202 คน โดยในจำ�นวนนี้มีชาวต่างชาติถึง 164 คน ซึ่งส่วน
ใหญ่เป็นชาวออสเตรเลีย และที่เหลืออีก 38 คนเป็นชาวอินโดนีเซีย”6 และ
อีกเพียง 9 เดือนหลังการระเบิดที่บาหลี ก็ตามด้วยการระเบิดที่กลางเมือง
6
Anjali Nirmal, Urban Terrorism: Myth and Realities (India:
Point Publisher, 2009), p. 264.

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 76
หลวงของอินโดนีเซีย “เมื่อ 5 สิงหาคม ค.ศ. 2003 ได้มีการใช้รถยนต์ที่วาง
ระเบิดไว้ให้ระเบิดที่ด้านนอกของโรงแรม J.W. Marriot ในกรุงจาการ์ตา
ทำ�ให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย และบาดเจ็บอีก 150 คน”7

อันตรายใหม่ต่อโลกตะวันตก
บัดนีอ้ นั ตรายใหม่ตอ่ โลกตะวันตกได้กอ่ ตัวมาแล้วระยะหนึง่ พวกเขา
เริ่มรวมตัวกันใหม่ และพุ่งเป้าไปยังผลประโยชน์ตะวันตกในดินแดนอิสลาม
แต่ดินแดนอิสลามที่เริ่มเป็นภัยสูงสุดและมีอันตรายมากที่สุดต่อโลกตะวันตก
ได้รวมตัวกันขึ้นแล้วในตะวันออกกลาง บรรดากองกำ�ลังญิฮาดต่างๆ ได้รวม
ตัวกันใหม่เป็นผลสำ�เร็จ เริม่ สร้างเครือข่ายและขยายเครือข่ายออกไปกว้างขึน้
เรื่อยๆ พวกเขายังสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเป็นระบบ ยิ่งเมื่อเกิดสงคราม
ในอิรักและซีเรียผลของสงครามได้ก่อให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองขึ้นใน
พื้นที่ของทัง้ สองประเทศนั้น และเป็นการเอื้ออำ�นวยให้ขบวนการญิฮาดต่างๆ
สามารถแจ้งเกิดและมีการเติบโตทางศักยภาพได้

ขบวนการญิฮาดที่แข็งแกร่งที่สุดในปัจจุบันคือขบวนการไอเอส
ในบรรดาขบวนการญิฮาดที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่โลกเคยพบเห็นมาก็
คือ ขบวนการไอเอส ซึ่งแต่เดิมรู้จักกันนาม The Islamic State in Iraq
and al-Sham (ISIS) นับตั้งแต่ขบวนการไอเอสประกาศสถาปนาคอ-
ลีฟะฮ์ (Caliphate)8 เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ค.ศ. 2014 ขึ้นมาในพื้นที่ยึด
7
Norman Cigar, Al Qaida: After Ten Years of War (USA: Ma-
rine Corps University Press, 2013), p. 91.
8
คำ�ว่า คอลีฟะฮ์ (Caliphate) หมายถึง การมีผู้สืบทอดการเป็นประมุขของ
ประชาชาติอิสลามแทนท่านศาสดา นบี มูฮัมมัด (ศ็อล) ภายหลังการสิ้นชีวิตของท่าน โดยผู้
เป็นประมุขของประชาคมมุสลิมนี้เรียกกันใน นาม “คอลีฟะฮ์ หรือ Caliph” ซึ่งตำ�แหน่ง
คอลีฟะฮ์หรือ Caliph ท่านสุดท้ายถูกประกาศยกเลิกในปี ค.ศ. 1924 ภายหลังการล่มสลาย
ของจักรวรรดิออตโตมัน

อิสลาม :
77 นิกาย & สำ�นักคิด
ครองของตนเองที่มีเนื้อที่ถึงราว 423 ตารางไมล์ และทันทีที่ขบวนการไอเอส
ประกาศสถาปนาคอลีฟะฮ์ หรือ Caliphate ขึ้น สหรัฐอเมริกาก็ได้ตัดสินใจ
โจมตีทางอากาศต่อทีม่ นั่ ต่างๆ ทางทหารของไอเอสตัง้ แต่เดือนสิงหาคม ค.ศ.
2014 และการออกหน้าโจมตีขบวนการไอเอสของสหรัฐอเมริกาได้ส่งผลให้
บรรดาชาติอาหรับหลายประเทศทีเ่ ป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาต้องก้าวออก
มาร่วมปฏิบัติการโจมตีไอเอสไปด้วย ในขณะที่ทางขบวนการไอเอสก็ต้องตั้ง
รับและต้านทานการโจมตีเช่นนีใ้ ห้ได้นานทีส่ ดุ ซึง่ เป็นทีม่ าของคำ�ขวัญไอเอส
ที่ว่า “เราจะอยู่ให้รอดและเราจะขยายตัวออกไป”9

ต้นกำ�เนิดของไอเอสมาจากจอร์แดน
แม้เราจะเห็นบทบาทของไอเอสมีอยู่อย่างชัดเจนในซีเรียและอิรัก
แต่ทจี่ ริงแล้วขบวนการไอเอสมีทมี่ าจากในดินแดนจอร์แดนและอัฟกานิสถาน
โดยพัฒนาการของขบวนการไอเอสนัน้ เริม่ ก่อตัวมาตัง้ แต่ปี ค.ศ. 1999 นัน่ คือ
เมื่อ อัซซาร์กอวีย์ ได้พ้นโทษออกมาจากเรือนจำ�ในจอร์แดนที่มีชื่อว่า อัสเซา
วากอฮ์ (al Sawwaqah) และอัซซาร์กอวีย์ผู้นี้มีนามเต็มว่า อะหมัด ฟัฎ
ลุ อัล นัซล์ อัลคุลัยลาฮ์ อบู มุศอับ อัซซาร์กอวีย์10
เขารู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องก้าวเข้ามาแบกรับภาระการกอบกู้
โลกอิสลามจากความอัปยศและนำ�ชัยชนะกลับมาอีกครัง้ หลังความพ่ายแพ้ครัง้
แล้วครัง้ เล่าให้กบั แสนยานุภาพทางทหารของตะวันตก ดังนัน้ เขาจึงเฝ้าจับตาดู
ผลงานของขบวนการญิฮาดต่างๆ ก่อนหน้านีใ้ นการรับมือกับการต่อสูก้ บั ตะวัน
ตก หรือการโจมตีผลประโยชน์และกองกำ�ลังทหารของสหรัฐอเมริกาและชาติ
ตะวันตกอื่นๆ
9
คำ�ขวัญของไอเอสที่ว่า “เราจะอยู่ให้รอดและเราจะขยายตัวออกไป” นั้นมาจาก
ภาษาอาหรับว่า
10
Jonathan Schanzer, Al Qaida’s Armies: Middle East Affiliate
Group & the Next Generation of Terror (New York: Specialist Press
International, 2005), p. 136.

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 78
การแจ้งเกิดของอัซซาร์กอวีย์
อัซซาร์กอวีย์นั้นต้องโทษในฐานะมีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง
และเป็นสมาชิกขององค์กร บัยอะฮ์ อัล อิมาม ซึ่งชื่อขององค์กรนี้เป็นภาษา
อาหรับที่มีความหมายว่า “สัตยาบัน ที่ให้แก่อิมามผู้ที่โลกรอคอย” ภายหลัง
พ้นโทษออกมาจากเรือนจำ� อัซซาร์กอวีย์ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวอย่างจริงจังใน
ระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1999-2003 อัซซาร์กอวีย์เริ่มฉายแววความสนใจในการ
ทำ�ญิฮาดเมือ่ เขาเข้าร่วมกลุม่ กับองคก์ รบัยอะฮ์ อัล อิมาม ซึง่ ก่อตัง้ โดยวีรบุรษุ
แห่งการญิฮาดชาวจอร์แดนผู้มีนามว่า อิอ์ซอม มูฮัมมัด ฏอฮิร์ อัล บาร์กอวีย์
ซึ่งรู้จักกันในนาม อบู มูฮัมมัด อัล มักดิซีย์

หาทางไปอัฟกานิสถาน
แต่การที่อัซซาร์กอวีย์จะสามารถขยายขอบเขตการปฏิบัติการหรือ
สามารถเป็นผู้นำ�หน่วยปฏิบัติการ หรือสามารถรับผิดชอบในขอบเขตที่กว้าง
และสำ�คัญมากขึน้ ได้นนั้ เขาจำ�เป็นต้องได้รบั การยอมรับจากองคก์ รญิฮาดทีม่ ี
มาก่อน และต้องเป็นองค์กรเพื่อการญิฮาดทีเ่ ป็นองค์กรหลักของโลกด้วย นั่น
จึงเป็นทีม่ าทีเ่ ขาต้องหาทางไปพบกับอมีร (Amir)11 ของขบวนการอัลกออิ-
ดะฮ์ซึ่งก็คือ อัยมาน อัซซอวาฮิรีย์12
การจะเข้าพบกับผู้บัญชาการสูงสุดของอัลกออิดะฮ์ได้สำ�หรับคนที่ยัง
ไม่เป็นทีร่ จู้ กั อย่างอัซซารก์ อวียใ์ นเวลานัน้ จำ�เป็นต้องมีเครือข่ายเชือ่ มโยงให้
และจำ�เป็นต้องมีผกู้ ลัน่ กรองและรับรอง อัซซาร์กอวียจ์ งึ ติดต่อกับอบู กอตา-
ดะฮ์ อัลฟิลิสฏีนีย์ ซึ่งพำ�นักอยู่ในกรุงลอนดอนเพื่อให้ออกหนังสือรับรองแก่
เขา จากนั้นเขาจึงสามารถเดินทางเข้าไปพบกับอัยมาน อัซซอวาฮิรีย์ และรับ
อนุญาตให้เปิดสาขาเพื่อปฏิบัติการญิฮาดได้ โดยเขาได้รับเงินให้ยืมไปเพื่อ
11
อมีร (Amir) หรือ เอเมียร์ (Emir) หมายถึง ผู้บังคับบัญชา ในที่นี้หมายถึง
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของขบวนการอัลกออิดะฮ์
12
Stephen E. Atkins, The 9/11 Encyclopedia (U.S.A. : ABC-
CLIO, LLC., 2011), p. 457.

อิสลาม :
79 นิกาย & สำ�นักคิด
เป็นทุนในการเริ่มงาน 200,000 เหรียญสหรัฐ

การเติบโตของขบวนการญิฮาดภายใต้การนำ�ของอัซซาร์กอวีย์
อัซซาร์กอวีย์ได้ใช้เงินจำ�นวนดังกล่าวไปก่อตั้งศูนย์ฝึกอาวุธและการ
ปฏิบัติการของตนเองขึ้นและให้ชื่อศูนย์ดังกล่าวว่า ญุนด์ อัล ชาม ที่มีความ
หมายว่ากองทัพแห่งซีเรีย แต่อกี ไม่นานต่อมาทางกลุม่ ได้เปลีย่ นชือ่ ขบวนการ
ใหม่เป็น ญะมาอะฮ์ อัล เตาฮีด วะ อัล ญิฮาด ที่แปลว่า กลุ่มเอกภาพของ
พระเป็นเจ้าและการญิฮาด นับจากวันนัน้ เป็นต้นมาองคก์ รดังกล่าวก็ได้รบั การ
ขนานนามใหม่ที่รู้จักในชื่อย่อว่า ไอเอส ในปัจจุบัน และเติบโตขึ้นทุกวัน มี
พัฒนาการไปเรื่อยๆ จากการเป็นองค์กรเล็กๆ จนขยายเป็นองค์กรที่มีเครือ-
ข่ายกว้างขวางในระดับนานาชาติ และมีเป้าหมายในการปฏิบัติงานที่ยิ่งใหญ่
นั่นคือการไต่ระดับขึ้นไปสถาปนารัฐอิสลามที่ไร้พรมแดนอีกด้วย

ช่วงเวลาแห่งพัฒนาการของไอเอส
เราอาจกล่าวได้ว่าไอเอสมีช่วงระยะในการเติบโต และพัฒนาตลอด
ระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ดังนี้
1. ช่วงเวลาระหว่างระหว่างปี ค.ศ. 2006-2008 เป็นช่วงเวลาที่
ไอเอสใช้ในการทุม่ เทความพยายามสร้างรัฐอิสลามขึน้ มา หรือถือเป็นช่วงแรก
2. ช่วงเวลานับจากปี ค.ศ. 2013 เป็นต้นมา ถือเป็นช่วงเวลาที่สอง
ที่ขบวนการได้พิสูจน์ให้เห็นความสำ�เร็จว่าเป็นองค์กรเดียวที่มีความเหมาะ
สมที่จะชูประเด็นรัฐอิสลาม โดยแม้จะต้องเผชิญกับการโจมตีอย่างหนักจาก
มหาอำ�นาจตะวันตกและชาติพันธมิตรก็ตาม
3. ช่วงเวลาระหว่างปี ค.ศ. 2013-2014 เป็นช่วงเวลาที่ไอเอสได้คืบ
คลานเข้ายึดครองดินแดนอันกว้างใหญ่ในอิรกั และซีเรีย ซึง่ ผลสำ�เร็จดังกล่าว
ได้ทำ�ให้ไอเอสกลายเป็นองค์กรญิฮาดที่ประสบความสำ�เร็จมากกว่าองค์กร
อัลกออิดะฮ์ก็ว่าได้

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 80
ความเด็ดขาดและการยอมไม่ประนีประนอมกลายเป็นจุดแข็ง
องค์กรไอเอสยึดถือหลักการทีต่ รงและไม่ยอมประนีประนอมอ่อนข้อ
กอปรกับมีทักษะการสู้รบแบบจรยุทธ์ โดยนักรบประจำ�การของไอเอสเป็น
นักรบทีม่ ากด้วยประสบการณ์ และมีจติ ใจมุง่ มัน่ เด็ดเดีย่ ว ส่งผลให้ขบวนการ
ไอเอสสามารถเอาชนะและทำ�ลายกองทัพระดับชาติ หรือแม้แต่กองกำ�ลังใดๆ
ในพื้นที่ที่มิได้เป็นพันธมิตรกับตนได้

ไอเอสมียุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่เป็นเลิศ
เนื่องจากขบวนการไอเอสเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 และเกิดหลังจาก
ขบวนการญิฮาดอื่นๆ ทำ�ให้ขบวนการไอเอสศึกษาความล้มเหลว โอกาส และ
อุปสรรคทั้งหลายของขบวนการญิฮาดที่มีมาก่อนหน้าตน และหนึ่งในปัญหา
อุปสรรคของขบวนการญิฮาดก่อนหน้านีก้ ค็ อื ปัญหาเศรษฐกิจ ขบวนการไอเอส
จึงมียุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจและงบประมาณ เพื่อการ
สนับสนุนองคก์ รและขบวนการของตน ทำ�ให้ไอเอสสามารถจัดสรรงบประมาณ
ไปยังหน่วยต่างๆ ทีเ่ ป็นเครือข่ายของตนได้ ประหนึง่ รัฐบาลจัดสรรงบประมาณ
ไปยังหน่วยราชการของตนในจังหวัดต่างๆ ได้ทั่วประเทศ และมีวิธีบริหาร
จัดการเงินงบประมาณที่แตกต่างจากอัลกออิดะฮ์ ที่มักต้องพึ่งพาความช่วย-
เหลือทางการเงินจากผูบ้ ริจาคทีอ่ ยูไ่ กลจากพืน้ ทีต่ งั้ ของขบวนการและไกลจาก
พื้นที่การปฏิบัติการ

ไอเอสยังคงดำ�รงอยู่จนถึงวันนี้
โดยแม้ทางสหรัฐอเมริกาและชาติสัมพันธมิตรจะได้ระดมการโจมตี
พื้นที่ของไอเอส และทุ่มสรรพกำ�ลังในการกวาดล้างเครือข่ายของไอเอสใน
ดินแดนตะวันตกเพื่อสั่นคลอนความมั่นคงของไอเอส แต่ปรากฏว่า สาส์น
และพันธกิจของไอเอสยังคงก้าวเดินอยู่ต่อไป และยังคงแผ่ซ่านไปทั้งใน
ดินแดนตะวันออกกลางอย่างชนิดที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ ขณะเดียวกับที่ในโลก
ตะวันตกเองก็ยังคงมีคนหนุ่มและแม้แต่คนสาวที่ทยอยข้ามน้ำ�ข้ามทะเลมา

อิสลาม :
81 นิกาย & สำ�นักคิด
จากยุโรปเพื่อมาเข้าร่วมกับพันธกิจของไอเอสในการทำ�สงครามกับตะวันตก
และพันธมิตรของตะวันตกอยู่ต่อไป

บรรณานุกรม

Atkins, Stephen E. The 9/11 Encyclopedia. U.S.A.: ABC-


CLIO, LLC., 2011.
Cigar, Norman. Al Qaida: After Ten Years of War. U.S.A.:
Marine Corps University Press, 2013.
Lister, Charles. Profiling the Islamic State. Qatar: Brookings
Doha Center Analysis Paper, 2014.
Nirmal, Anjali. Urban Terrorism: Myth and Realities. India:
Point Publisher, 2009.
Schanzer, Jonathan. Al Qaida’s Armies: Middle East Affiliate
Group & the Next Generation of Terror. New York:
The Washington Institute for Near East Policy, 2005.



อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 82
ประวัติ ดร. อณัส อมาตยกุล13

การศึกษา
- ปริญญาตรี อิสลามศาสตร์ (กฎหมายอิสลามและภาษาอาหรับ)
จาก Nadwa College เมือง Lucknow ประเทศอินเดีย ค.ศ. 1978
- ปริญญาโท (M.A.) ภาษาและวรรณคดีอาหรับ จาก Aligarh
Muslim University เมือง Aligarh ประเทศอินเดีย ค.ศ. 1982
- ปริญญาเอก (Ph.D.) ภาษาและวรรณคดีอาหรับ จาก Aligarh
Muslim University ค.ศ. 1994

ตำ�แหน่งหน้าที่ในปัจจุบัน
อาจารย์ประจำ�ภาควิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะสังคม-
ศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

ตำ�แหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบอื่นๆ
- คณะบรรณาธิการจัดทำ�นามานุกรมศัพทศ์ าสนาสากล ราชบัณฑิตย-
สถาน (ปัจจุบัน)
- คณะอนุกรรมการพิจารณาคุณวุฒผิ สู้ �ำ เร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา
จากต่างประเทศ คณะกรรมการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบัน)
- กรรมการสภาที่ปรึกษา สภายุวมุสลิมโลก สาขาประเทศไทย
(ปัจจุบัน)
- คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การสนับสนุนนักศึกษา
ไทยมุสลิมในต่างประเทศ (ปัจจุบัน)
- กรรมการจัดทำ�พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ราชบัณฑิตยสถาน

13
https://sites.google.com/site/dranasnet/home/histo-
ry-anas

อิสลาม :
83 นิกาย & สำ�นักคิด
(พ.ศ. 2544-2551)
- กรรมการกิจการตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ สภาหอการค้า
แห่งประเทศไทยและหอการค้าแห่งประเทศไทย (ปัจจุบัน)
- กรรมการบริหาร ศูนย์มสุ ลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย (ปัจจุบัน)
- กรรมการบริหาร ศูนย์นโยบายโลกมุสลิม คณะเศรษฐศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ปัจจุบัน)
- กรรมการดำ�เนินงาน ศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัย
มหิดล (ปัจจุบัน)

ผลงานทางวิชาการ
1. อณัส อมาตยกุล. (2544). “ภาษาอาหรับบนผ้าประเจียดของสมเด็จ
พระเจ้าตากสิน,” วารสารสหศาสตร์ 1, 2 (พฤศจิกายน).
2. อณัส อมาตยกุล. (2545). “การประยุกต์จริยศาสตร์อิสลามกับ
ศิลปวิทยาของกรีก โดยอัสมาวัสดีย์”
3. อณัส อมาตยกุล. (2546). “ประวัติการรับนับถือศาสนาอิสลาม
ของชนชาติปาทาน,” วารสารมนุษยศาสตร์ 3, 1(เมษายน).
4. อณัส อมาตยกุล. (2546). “รากฐานนิยมสมัยใหม่ระหว่างความ
หวาดวิตกของโลกตะวันตกกับความผ่อนคลายของโลกตะวันออก,” วารสาร
สหศาสตร์ 3, 1 (เมษายน).
5. อณัส อมาตยกุล. (2546). “ประวัติความเป็นมาและความสำ�คัญ
ของภาษาอาหรับ,” วารสารเอเชียปริทัศน์ 23, 2
6. อณัส อมาตยกุล. (2551). การสร้างรัฐอิสลามด้วยสันติวิธี: กรณี
ศึกษาการฟื้นฟูอิสลามของเชค สิรฮินดีย์ (กรุงเทพฯ: แสงศรีการพิมพ์).

ผลงานด้านวิชาการร่วม
1. อณัส อมาตยกุล และคณะ. (2543) สู่ความสำ�เร็จ (ตามหลัก

อิสลาม :
นิกาย & สำ�นักคิด 84
คำ�สอนของศาสนาอิสลาม). ตีพิมพ์โดยสำ�นักมาตรฐานอุดมศึกษาทบวง-
มหาวิทยาลัย
2. อณัส อมาตยกุล และคณะ. (2545). มรดกศิลปอิสลาม. หนังสือ
อนุสรณ์งานเมาลิดกลางแห่งประเทศไทย

งานวิจัย
1. องค์การอิสลามโลกกับโลกมุสลิม, ด้วยงบประมาณของสำ�นักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.), พ.ศ. 2549
2. คำ�สอนศาสนาอิสลามว่าด้วยความพิการและผูพ้ กิ าร และการเข้า
ถึงศาสนาของผู้พิการมุสลิมในกรุงเทพมหานคร, ด้วยงบประมาณการ
สนับสนุนของสถาบันสร้างเสริมสุขภาพคนพิการ (สสพ.), พ.ศ. 2550

อิสลาม :
85 นิกาย & สำ�นักคิด

You might also like