Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 16

!

""#$ %
&'()*+#)+,-+#.0/ !
!"#$%&'(&)('(*+*,!
!
ที#ผ่านมาเราได้ กล่าวถึงวิถีเมตาบอลิซมึ ที#เกี#ยวกับการสลายกลูโคส เพื#อให้ พลังงานออกมา วิถีแคทตา
บอลิซมึ เป็ นวิถีการสลายสารอาหาร เพื#อให้ ได้ สารมัธยันต์ เพื#อเข้ าสูว่ ฏั จักรกรดซิตริ กและได้ อิเล็กตรอนเข้ าสู่
ห่วงโซ่การถ่ายทอดอิเล็กตรอน (การหายใจระดับเซลล์) เพื#อถ่ายทอดอิเล็กตรอนให้ กบั ออกซิเจน ซึง# เกิดขึ Oน
ควบคูไ่ ปกับการสร้ าง "#$! ในบทนี Oเราจะได้ กล่าวถึงอีกวิถีเมตาบอลิซมึ หนึง# ที#มีความสําคัญต่อเซลล์ หรื อ
ร่ างกายของสิ#งมีชีวิตคือ วิถีแอนาบอลิซมึ %"&'()*+,-. เป็ นวิถีเมตาบอลิซมึ ที#ต้องใช้ พลังงานในรู ปของ! "#$
และ! /"01! หรื อ! /"0$1! ในการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุล วิถีปฏิกิริยาแอนาบอลิซมึ มักเป็ นปฏิกิริยารี ดกัT ชัน
มากกว่าเป็ นปฏิกิริยาออกซิเดชัน!
หลักที#สําคัญของวิถีแอนาบอลิซมึ หรื อการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุล ที#จําเป็ นต้ องกล่าวถึงในขันต้
O น
มีดงั นี!O
๑" สารชีวโมเลกุลที#ถกู สังเคราะห์ขึ Oนและที#ถกู สลายไป เกิดขึ Oนจากวิถีปฏิกิริยาที#แตก-ต่างกัน
%0+22343&5! 6'578'9,.! กล่าวคือ วิถีอะนาบอลิซมึ และวิถีแคทตาบอลิซมึ เป็ น ๒ วิถีเมตาบอลิซมึ ที#ตรงกันข้ าม
(สวนทางกัน) แต่อย่างไรก็ตามอาจพบว่ามีปฏิกิริยาบางขันตอนในวิ O ถีเมตาบอลิซมึ ที#มีปฏิกิริยาซึง# เป็ นปฏิกิริ-
ยาแบบผันกลับได้ %:3;34,+(*3!43'<5+)&.!เดียวกัน ในขณะเดียวกันจะพบมีอย่างน้ อย ๑ ขันตอนปฏิ O กิริยา (หรื อ
มากกว่านัน) O ของวิถีเมตาบอลิซมึ ที#เป็ นปฏิกิริยาแบบผันกลับไม่ได้ %=443;34,+(*3!43'<5+)&. !
๒" แต่ละวิถีเมตาบอลิซมึ
(อนาบอลิซมึ และแคทตาบอลิซมึ ) ถูก
ควบคุมได้ อย่างน้ อย ๑ (หรื อมากกว่า)
ขันตอนปฏิ
O กิริยาในวิถีเมตาบอลิซมึ ซึง#
เป็ นขันตอนที
O #จําเพาะในวิถีเมตาบอลิซมึ
นันๆO วิถีเมตาบอลิซมึ ที#สวนทางกันทังO ๒
วิถีเมตาบอลิซมึ มีการควบคุมเกิดขึ Oนไป
พร้ อมๆ กันเกือบตลอดเวลา นัน# คือ
ในขณะที#มีการกระตุ้นให้ เกิดวิถีการ
สังเคราะห์สารชีวโมเลกุล %>+),9&5735+<!
6'578'9. มักมีวิถีการยับยังวิ O ถีการสลาย
สาร %03?4'@'5+;3! 6'578'9. เกิดขึ Oน
พร้ อมกันไปด้ วย ในทํานองเดียวกันใน
ขณะที#มีการยับยังการสร้
O างสารชีวโมเล-
กุลเกิดขึ Oน จะมีการกระตุ้นการสลายสาร !"# $.% แสดงการสังเคราะห์คาร์ โบไฮเดรทจากสารตังต้ 6 นชนิด
ชีวโมเลกุลเกิดขึ Oนพร้ อมกันไปด้ วย โดย ต่างๆ วิถีปฏิกิริยาจากฟอสโฟอีนอลไพรูเว็ตไปเป็ นกลูโคส ๖–
ปกติในวิถีการสังเคราะห์สารมักมีการ ฟอสเฟตเป็ นวิถีปกติทีKพบได้ เสมอๆในวิถีปฏิกิริยาในการ
ควบคุมที#ปฏิกิริยาคายพลังงาน หรื อ เปลียK นสารตังต้
6 นชนิดต่างๆ ไปเป็ นคาร์ โบไฮเดรทในสัตว์และ
พืช!
“AB34?)&+<! ,536” ซึง# มักอยู่ในขันตอน
O

!
! ๑๔๖
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
แรกๆ ของวิถี ทําให้ มีสารมัธยันต์สําหรับการดําเนินไปของวิถีเมตาบอลิซมึ ต่อไปได้ ที#เป็ นเช่นนี Oเพื#อทําให้ เซลล์
มีการสูญเสีย!“$43<C4,)4,” ไปโดยไม่จําเป็ นน้ อยที#สดุ !
๓" กระบวนการสังเคราะห์สารชีวโมเลกุลที#ต้องการพลังงาน มักเกิดควบคูไ่ ปกับการสลายโมเลกุล
"#$ !
กระบวนการสังเคราะห์กลูโคสจากสารตังต้ O นที#ไม่ใช่คาร์ โบไฮเดรท %/)&<'4()79@4'53! 643<C4,)4,.
เรี ยกว่า “!"#$%&'$()*&'+-, ” !D*C<)&3)?3&3,+,"! การสร้ างกลูโคสถือได้ วา่ เป็ นกระบวนการที#มีความสําคัญและ
จําเป็ นสําหรับสัตว์เลี Oยงลูกด้ วยนํ Oานมทุกชนิด เนื#องจากสมอง %>4'+&. และระบบประสาท %/34;)C,! ,9,53-.
รวมทังเซลล์
O เม็ดเลือดแดง %A49574)<953, หรื อ :3@! (*))@! <3**,. อัณฑะ %#3,53,. รี นอลเม-ดัลลา %:3&'*!
-3@C**'. และเนื Oอ-เยื#อของตัวอ่อน!%A-(49)&+<!5+,,C3,. มีความต้ องการใช้ กลู-โคสจากกระแสเลือด เพื#อใช้ เป็ น
แหล่งพลังงานในการดําเนินกิจกรรมของเซลล์ ของอวัยวะในการทําหน้ าที#ของมันเอง ประมาณกันว่า สมอง
ของมนุษย์อย่างเดียวต้ องการใช้ กลูโคสประมาณ ๑๒๐ กรัมต่อวัน กลูโคสมากกว่าครึ#งหนึง# ของกลูโคสทังหมด O
ที#มีการเก็บสะสมอยู่ในรูปของไกลโคเจนในกล้ ามเนื Oอและตับ! อย่างไรก็ตามกลูโคสที#เก็บสํารองไว้ ดงั กล่าวก็ไม่
เพียงพอเสมอไป โดยเฉพาะในช่วงระหว่างมื Oออาหาร %>35833&!-3'*. หรื อช่วงที#มีการอดอาหารเป็ นเวลานาน
%E)&?!2',5+&?. หรื อหลังจากการออกกําลังกายอย่างหนัก ไกลโคเจนที#เก็บสะสมไว้ มีปริ มาณลดลง ในช่วงเวลา
นี Oสิ#งมีชีวิตจึงมีการสังเคราะห์กลูโคสขึ Oนจากสารพวกที#ไม่ใช่คาร์ โบไฮเดรท %/)&F<'4()79@4'53!643<C4,)4,.!
กระบวนการกลูโคนีโอเจนีซิสเกิดขึ Oนในสัตว์ทกุ ชนิด พืช รา %GC&?+. และจุลชีพ %H+<4))4?'&+,-,. ทุก
ชนิด ปฏิกิริยาที#ใช้ ในการสังเคราะห์กลูโคสส่วนใหญ่มีความคล้ ายคลึงกันในสิ#งมีชีวิตแต่ละชนิด โมเลกุลตังต้ O น
%$43<C4,)4,. ที#สําคัญที#ใช้ ในการสร้ างกลูโคสในสัตว์คือ แลคเตท %E'<5'53.! ไพรู เว็ต กลีเซอร์ รอลและกรดอะมิ
โนบางชนิด (รู ป ๕.๑) ในสัตว์เลี Oยงลูกด้ วยนํ Oานมกระบวนการกลูโคนีโอเจนีซิสเกิดขึ Oนในตับ %E+;34. เป็ นส่วน
ใหญ่ และมีบางส่วนสร้ างขึ Oนที#ไต %:3&'*! <)453B. กลูโคสที#สร้ างขึ Oนถูกส่งเข้ าสูก่ ระแสเลือด และถูกส่งไปเลี Oยง
เซลล์และอวัยวะอื#นๆ ต่อไป หลังจากที#มีการออกกําลังอย่างหนัก ร่ างกายมีการสร้ างแลคเตทในกล้ ามเนื Oอ
เพิ#มขึ Oนจากวิถีไกลโคไลซิสแบบไม่ใช้ ออกซิเจน %"&'34)(+<!?*9<)*9,+,.!แลคเตทเหล่านี Oจะถูกลําเลียงกลับสูต่ บั
อีกครังO และถูกเปลี#ยนเป็ นกลูโคสแล้ วถูกลําเลียงกลับไปยังกล้ าม-เนื Oอใหม่และถูกเก็บสะสมไว้ ในรู ปของไกลโค
เจน วัฏจักรการสร้ างกลูโคสในลักษณะนี Oเรี ยกว่า ./0*/!1%(1'2 %I)4+!<9<*3. ในพืชไขมัน %J5)4'?3!2'5. และโปรตีน
ที#เก็บสะสมไว้ %J5)4'?3! 64)53+&,.! ถูกเปลี#ยนให้ เป็ นนํ Oาตาลโมเลกุลคู่ (ซูโครส) และถูกลําเลียงทัว# ลําต้ นพืชที#
กําลังเจริ ญเติบโต จุลินทรี ย์หลายชนิดสามารถเจริ ญเติบโตได้ ดีในสารประกอบอินทรี ย์ เช่น อะซีเตรท แลคเตท
และโปรปิ โอเนต เนื#องจากจุลินทรี ย์เหล่านี Oสามารถเปลี#ยนสารประกอบอินทรี ย์ดงั กล่าวไปเป็ นกลูโคสได้ ด้วย
กระบวนการกลูโคนีโอเจนีซิส!
วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเป็ นการเปลี#ยนไพรู เว็ตเป็ นกลูโคส สารตังต้
O นที#ไม่ใช่คาร์ โบไฮเดรท %/)&F<'4()K
79@4'53! 643<C4,)4,. ของกลูโคสจะต้ องถูกเปลี#ยนเป็ นไพรู เว็ตเสียก่อนเป็ นขันตอนแรก
O หรื อเข้ าสูว่ ิถีกลูโคนีโอ
เจนีซิสภายหลังจากที#ถกู เปลี#ยนเป็ นสารมัธยันต์ %=&534-3@+'53,. ในวิถีปฏิกิริยา เช่น ออกซาโลอะซีเตท และได
ไฮดร๊ อกซี#อะซีโตนฟอสเฟต เป็ นต้ น (รู ป ๕.๒)!
แลคเตทจะถูกสร้ างขึ Oนมาจากกล้ ามเนื Oอที#มีการทํางาน %"<5+;3!,L3*35'*!-C,<*3. เมื#อมีอตั ราการเกิด
วิถีไกลโคไลซิสมากกว่าอัตราการสันดาป หรื อปฏิกิริยาออกซิเดชัน ไพรู เว็ตจะถูกเปลี#ยนไปเป็ นแลคเตทโดย
การทํางานของเอนไซม์แลคเตทดีไฮโดรจีเนส!
!

!
! ๑๔๗
! บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซสิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!

!"# $.% แสดงวิถีกลูโคนีโอเจนีซสิ ปฏิกิริยาทางด้ านซ้ ายเป็ นวิถีปฏิกิริยาสร้ างกลูโคสทีแ< ยกแตกต่างจากวิถีไกลโคไล


ซิส (ทางด้ านขวา) เอนไซม์ในปฏิกิริยาของวิถีกลูโคนีโอเจนีซสิ อยู่ในไซโตพลาสซึม เว้ นแต่เอนไซม์ไพรู เว็ตคาร์
บ๊ อกซิเลส !"#$%&'()*+'$,-.#/'0)1 (พบในไมโตคอนเดรี ย) และเอนไซม์กลูโคส ๖-ฟอสฟาเตส !2/%+-0)*34
56-0456'('0)1 เป็ นเอนไซม์ทีพบที<เยื<อหุ้มของเอนโดพลาสมิกเรติคิวรัม โดยมีสารตังต้ R นหลายชนิดคือ แลคเตท
กลีเซอร์ รอล และกรดอะมิโน*

กรดอะมิโนที#สามารถเข้ าสูว่ ิถีกลูโคนีโอเจนีซิสมาจากโปรตีนในอาหาร หรื อจากการสลายโปรตีนใน


กล้ ามเนื Oอ (ในระหว่างที#อดอาหาร) !
ปฏิกิริยาไฮโดรไลซิสของไตรเอซิลกลีเซอร์ รอล %#4+'<9*?*9<34)*,. ในเซลล์ไขมันจะได้ กลีเซอร์ รอล
%D*9<34)*.! และกรดไขมัน กลีเซอร์ รอลเป็ นสารตังต้
O นสําหรับการสร้ างกลูโคสได้ แต่สตั ว์ไม่สามารถเปลี#ยนกรด
ไขมันให้ เป็ นกลูโคสได้ (จะได้ กล่าวถึงในบทต่อไป) กลีเซอร์ รอลอาจเข้ าสูว่ ิถีกลูโคนีโอเจนีซิส หรื อวิถีไกลโคไล
ซิสในขันที
O #ถกู เปลี#ยนเป็ นไดไฮดร๊ อกซีอะซีโตนฟอสเฟต!
ดังได้ กล่าวไปแล้ วอวัยวะหลักๆ ที#เกิดมีวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสมากที#สดุ คือ ตับ เพียงส่วนน้ อยเท่านันที
O #
เกิดที#ไต %M+@&39. นอกจากยังมีการสร้ างกลูโคสผ่านวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเพียงส่วนน้ อยโดยสมอง กล้ ามเนื Oอ
ลาย %JL3*35'*!-C,<*3. หรื อกล้ ามเนื Oอหัวใจ วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสที#เกิดขึ Oนที#ตบั และไตช่วยทําให้ ร่างกายสามารถ
รักษากลูโคสในเลือดให้ มีเพียงพอกับความต้ องการของสมองและกล้ ามเนื Oอ สําหรับการทํางาน!

!
! ๑๔๘
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
.,3!' "#$%&'$()*&'+-, 456786.3, 9' (: &!"/;<(=.,34' !"$%4"+,- !#$%&'()'*)()+,+-,+-('.-/-0)1)2+/$-'3-
#$4&'$4+,+"!
ตับ เป็ นอวัยวะที#ทําหน้ าที#คอยรักษาระดับกลูโคสในกระแสเลือดในระหว่างมื Oออาหาร (อดอาหาร)
ให้ อยู่ในช่วงปกติ โดยอาศัยวิถีการสลายไกลโคเจน %D*9<)?3&)*9,+,.! และกลูโคนีโอเจนีซิส %D*C<)&3)K
?3&3,+,. วิถีเมตาบอลิซมึ เหล่านี Oถูกกระตุ้นโดยกลูคากอนและเอปิ เนฟริ น และถูกยับยังโดยอิ O นซูลิน ในช่วงที#
อดอาหาร %G',5+&?.! (ระหว่างมื Oออาหาร) ไกลโคเจนที#เก็บสะสมไว้ จะลดปริ มาณน้ อยลงอย่างชัดเจนใน ๑๒
ชัว# โมงแรก ในระหว่างนี Oวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสจะเพิ#มขึ Oน หลัง ๒๔ ชัว# โมงวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเป็ นแหล่งกลูโคส
เพียงแหล่งเดียว ซับสเตรทที#สาํ คัญสําหรับวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ได้ แก่!
o D*C<)&3)?3&+<!'-+&)!'<+@,!(โปรตีนจากกล้ ามเนื Oอ)!
o แลคเตท (จาก!"&'34)(+<!?*9<)*9,+,.!
o D*9<34)*!NF67),67'53!(จากไตรกลีเซอรอล ในเนื Oอเยื#อไขมัน)!

ฟรุ๊ กโต๊ สและกาแลคโต๊ สในอาหารสามารถถูกเปลี#ยนไปเป็ นกลูโคสได้ ในตับ!


วิถีไกลโคไลซิสเป็ นการเปลี#ยนกลูโคสไปเป็ นไพรู เว็ต ส่วนวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเป็ นการเปลี#ยนไพรู เว็ต
เป็ นกลูโคส อย่างไรก็ตามวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสไม่ใช่วิถีย้อนกลับของวิถีไกลโคไลซิส มีปฏิกิริยา ๗ ขันตอนที O #
เหมือนกันกับวิถีไกลโคไลซิส อย่างไรก็ตามมีปฏิกิริยา ๓ ปฏิกิริยาของวิถีไกลโคไลซิสที#เป็ นปฏิกิริยาผันกลับ
ไม่ได้ และไม่ใช่ปฏิกิริยาในวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ซึง# ได้ แก่ ปฏิกิริยาการเปลี#ยนกลูโคสไปเป็ นกลูโคส ๖–ฟอสเฟตที#
ถูกเร่ งโดยเฮ็กโซไคเนส ปฏิกิริยาการเติมหมูฟ่ อสเฟตให้ กบั ฟรุ๊ กโต๊ ส ๖–ฟอสเฟตทําให้ ได้ ฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิส
ฟอสเฟตที#ถกู เร่ งโดยเอนไซม์ฟอสโฟฟรุ๊ กโตไคเนส–๑ %$GMFO. และปฏิกิริยาการเปลี#ยนฟอสโฟอีนอลไพรู เวต
ไปเป็ นไพรู เวต ซึง# ถูกเร่ งโดยเอนไซม์ไพรู เวตไคเนส (รู ป ๕.๒) สภาวะแวดล้ อมภายในเซลล์ปฏิกิริยาทังO ๓ มีคา่
การเปลี#ยนแปลงพลังงานอิสระ (∆D)! เป็ นลบสูงในขณะที#! ∆D ในปฏิกิริยาอื#นๆ ของวิถีไกลโคไลซิสมีคา่ ใกล้
ศูนย์!
!

ในวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสมีปฏิกิริยาที#ผนั กลับไม่ได้ ๓ ขันตอนปฏิ


O กิริยาที#ถกู เร่ งปฏิกิริยาด้ วยเอนไซม์ที#
แตกต่างจากวิถีไกลโคไลซิส %>96',,. ซึง# เป็ นปฏิกิริยาคายพลังงาน %AB34?)&+<!43'<5+)&. มากพอที#ผลักดันให้
เกิดการสังเคราะห์กลูโคสได้ ดังนันทัO งวิ
O ถีไกลโคไลซิสและวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเป็ นกระบวนการที#ผนั กลับไม่ได้ ที#
อยู่ภายในเซลล์ สําหรับในสัตว์ทงั O ๒ วิถีเมตาบอลิซมึ ส่วนใหญ่เกิดขึ Oนในไซโตพลาสซึม และต่างก็ควบคุมซึง# กัน
และกัน %:3<+64)<'*!'&@!<)F)4@+&'53@!43?C*'5+)&. ในลําดับต่อไปจะกล่าวถึงปฏิกิริยาที#สําคัญ ๓ ปฏิกิริยาของ
วิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ดังต่อไปนี!O
๑" ปฏิกริ ิยาการเปลี,ยนไพรู เวตไปเป็ นฟอสโฟอีนอลไพรู เวต เป็ นปฏิกิริยาขันตอนแรกในวิ
O ถี
กลูโคนีโอเจนีซิส ปฏิกิริยานี Oไม่สามารถเกิดขึ Oนด้ วยปฏิกิริยาผันกลับที#ถกู เร่ งโดยไพรู เวตไคเนสของวิถีไกลโคไล
ซิส ซึง# เป็ นปฏิกิริยาที#มีคา่ การเปลี#ยนแปลงพลังงานอิสระเป็ นลบสูง %E'4?3!&3?'5+;3!2433K3&34?9!<7'&?3. การ
เปลี#ยนไพรู เวตไปเป็ นฟอสโฟอีนอลไพรู เวต %$7),67)3&)*694C;'53P!$A$. เกิดขึ Oนได้ ๒ ทาง ที#สําคัญคือ การใช้

!
! ๑๔๙
! บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซสิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
ไพรู เวตหรื ออะลานีนเป็ นสารต้ นนําของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส %D*C<)&3)?3&+<! 643<C4,)4.! และอีกทางหนึง# คือ
การใช้ แลคเตทเป็ นสารต้ นนํา!
ขันแรกไพรู
O เวตต้ องถูกลําเลียงจากไซโตพลาสซึมเข้ าสูไ่ มโตคอนเดรี ย หรื อถูกสร้ างขึ Oนมาจากอะ
ลานีนภายในไมโตคอนเดรี ย (รู ป ๕.๓) โดยปฏิกิริยาทรานซามีเนชัน %#4'&,'-+&'5+)&.! ซึง# หมูอ่ ลั ฟาอะมิโน
%αF"-+&)! ?4)C6. จะถูกกําจัดออกไปจากอะลานีนและถูกนําไปเติมที#! αFL35)! <'4()B9*+<! '<+@! (#4'&,'-+K
&'5+)&!43'<5+)&. จากนันเอนไซม์
O ไพรู เวตคาร์ บ๊อกซิเลส %$94C;'53!<'4()B9*',3. ซึง# เป็ นเอนไซม์ในไมโตคอนเด
รี ยและเป็ นเอนไซม์ที#ต้องการโคเอนไซม์ไบโอติน %I)3&Q9-3!(+)5+&. เปลี#ยนไพรู เวตเป็ นออกซาโลอะซีเตท ดัง
ปฏิกิริยาข้ างล่าง !

ปฏิกิริยาขันตอนแรกของวิ
O ถีกลูโคนีโอเจนีซิสคือ ปฏิกิริยาการเติมหมูค่ าร์ บ๊อกซิลให้ กบั ไพรู เว็ต %I'4K
()B9*'5+)&!)2!694C;'53. เพื#อสร้ างออกซาโลอะซีเตท ปฏิกิริยาขันตอนนี
O Oมีการใช้ "#$ หลังจากนันออกซาโลอะซี
O
เตทจะถูกดึงหมูค่ าร์ บ๊อกซิลออกและถูกเติมหมูฟ่ อสเฟต ทําให้ ได้ ฟอสโฟอีนอลไพรู เว็ต ปฏิกิริยาในขันตอนนี O Oมี
การใช้ พลังงาน! D#$ ดังปฏิกิริยาข้ างบน ปฏิกิริยาสุทธิของการสร้ างฟอสโฟอีนอลไพรู เว็ตแสดงดังปฏิกิริยา
ข้ างล่าง!
ไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลสเป็ นเอนไซม์พิเศษ เนื#องจากเป็ นเอนไซม์ที#มีคณ
ุ สมบัติทางโครงสร้ าง การเร่ ง
ปฏิกิริยาและอัลโลสเตอร์ ริก %"**),534+<! 64)6345+3,. ที#น่าสนใจ สายโพลีเปปไทด์ทางด้ าน! “/K534-+&'*” ของ
เอนไซม์ชนิดนี Oที#ประกอบด้ วยกรดอะมิโน ๓๐๐–๓๕๐ กรดอะมิโน มีการก่อตัวเป็ น “"#$F?4',6!@)-'+&”! (ตัว
จับ!"#$. ส่วนปลายของเอนไซม์ชนิดนี Oทางด้ าน “IF534-+&'*” ที#ประกอบด้ วยกรดอะมิโนประมาณ ๘๐ กรดอะ
มิโนมีการก่อตัวเป็ นที#จบั ของไบโอติน %>+)5+&K(+&@+&?! @)-'+&. ไบโอตินจะถูกจับยึดกับหมูพ่ ร๊ อสเตติก %$4),K
5735+<! ?4)C6. ด้ วยพันธะโควาเลนซ์ เพื#อทําหน้ าทีเป็ นตัวพาคาร์ บอนไดออกไซด์ที#ถกู กระตุ้นแล้ ว %"<5+;'53@!
IR!.! ไบโอตินนี Oถูกจับยึดติดกับไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลสด้ วยสายโซ่ที#ยาวและพับได้ %E)&?S!2*3B+(*3!<7'+&.!ทําให้
หมูพ่ ร๊ อสเตติกสามารถหมุน “"<5+;3! ,+53” ของเอนไซม์จาก! “"#$F(+<'4()&'53! ,+53” ไปยังอีกด้ านหนึง#
%$94C;'53!,+53. ได้ !
หมูค่ าร์ บ๊อกซิลที#ถกู กระตุ้นแล้ วจะถูกย้ ายจาก! “I'4()B9(+)5+&” ไปยังไพรู เว็ต เพื#อสร้ างเป็ นออก
ซาโลอะซีเตท ปฏิกิริยาของไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลสส่วนแรก %G+4,5! 6'45+'*! 43'<5+)&. เพื#อสร้ าง “I'4()B9(+)5+&”
ขึ Oนอยู่กบั การปรากฏมีของอะเซ็ทติลโคเอ ไบโอตินจะไม่ถกู เติมหมูค่ าร์ บ๊อกซิล เว้ นเสียว่ามีอะเซ็ทติลโคเอจับ
อยู่กบั เอนไซม์ อะเซ็ทติลโคเอไม่มีผลต่อปฏิกิริยาส่วนที#สองของไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลส!
ไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลสเป็ นเอนไซม์ที#พบมีอยู่ในไมโตคอนเดรี ย ในขณะที#เอนไซม์อื#นๆ ของกระบวน-
การกลูโคนีโอเจนีซิสเป็ นเอนไซม์ที#พบมีอยู่ในไซโตพลาสซึม ไพรู เวตคาร์ บ๊อกซิเลสจัดเป็ น!:3?C*'5)49!3&Q9-3
ชนิดแรกของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ซึง# ต้ องการอะเซ็ทติลโคเอ %"<359*! I)". เป็ นตัวกระตุ้น หรื อ! “$),+5+;3!
3223<5)4”! (อะเซ็ทติลโคเอสร้ างมาจากออกซิเดชันกรดไขมัน จะได้ กล่าวถึงในบทที#เกี#ยวกับออกซิเดชันกรด
ไขมัน) นอกจากนี Oปฏิกิริยาที#ถกู เร่ งโดยไพรู เวตคาร์ บ๊อกซิเลสยังสามารถช่วยสร้ างสารมัธยันต์ป้อนให้ กบั วิถีเม
ตาบอลิซมึ ที#สําคัญอื#นๆ อีกด้ วย!

!
! ๑๕๐
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
ออกซาโลอะซีเตท เป็ นผลผลิตที#เกิดขึ Oนจากปฏิกิริยาของเอนไซม์ไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลส ซึง# จะถูก
รี ดิวซ์เป็ นมาเลตในไมโตคอนเดรี ย จากนันจึ
O งถูกลําเลียงออกนอกไมโตคอนเดรี ยเข้ าสูไ่ ซโตพลาสซึม ปฏิกิริยา
รี ดกั ชันนี Oอาศัย!/"01 และมาเลตดีไฮโดรจีเนส %H'*'53!@379@4)?3&',3.!เมื#อมาเลตถูกลําเลียงผ่านเยื#อหุ้มไม
โตคอนเดรี ยแล้ ว จากนันมาเลตจึ
O งถูกออกซิไดซ์อีกครังO เป็ นออกซาโลอะซีเตทโดย /"0" และมาเลตดีไฮโดร
จีเนสในไซโตพลาสซึม (รูป ๕.๓)!
ปฏิกิริยาในขันตอนต่
O อมา ออกซาโลอะซีเตทถูกดึงหมูค่ าร์ บ๊อกซิลออกและถูกเติมหมูฟ่ อสเฟตโดย
เอนไซม์ฟอสโฟอีนอลไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซี#ไคเนสในไซโตพลาสซึม ทําให้ คาร์ บอนไดออกไซด์ หรื อหมูค่ าร์ บ๊อกซิล
ที#ถกู เติมให้ กบั ไพรู เว็ตในขันตอนแรกถู
O กดึงออกมาในขันตอนนี
O O ทําให้ ออกซาโลอะซีเตทถูกเปลี#ยนเป็ นฟอสโฟอี
นอลไพรู เวต %$A$. ปฏิกิริยานี Oต้ องการ!H? !%H? K@363&@3&5!43'<5+)&. และ!D#$ เพื#อทําหน้ าที#เป็ นตัวให้ หมู่
!" !"

ฟอสเฟต!
56/$'/&)./.)-7-#89-----!----------9:9-7-;5!-7-#<9-
อัตราส่วน!T/"01UVT/"0"U!%T/"01UVT/"0"U!4'5+). ในไซโตพลาสซึมมีคา่ ประมาณ ๘B๑๐-๔! หรื อมี
อัตราส่วนตํ#ากว่าในไมโตคอนเดรี ยประมาณ ๑๐,๐๐๐ เท่า (หรื อ ๑๐-๕ เท่า) เนื#องจาก!/"01 ที#อยู่ในไซโตพลา
สซึมถูกใช้ ไปโดยวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส (ในปฏิกิริยาขันตอนการเปลี
O #ยน ๑,๓–บิสฟอสโฟกลีเซอร์ เรตไปเป็ นกลี
เซอร์ รัลดีไฮด์ ๓–ฟอสเฟต (รูป ๕.๒) ปฏิกิริยาการสังเคราะห์กลูโคสจะไม่สามารถดําเนินต่อไปได้ เว้ นแต่มี
ปริ มาณ /"01 เพียงพอ การลําเลียงมาเลตจากไมโตคอนเดรี ยไปยังไซโตพลาสซึมและการเปลี#ยนมาเลตกลับ
ไปเป็ นออกซาโลอะซีเตทอีกครังO ในไซโตพลาสซึม ทําให้ ! :3@C<+&?!3WC+;'*3&5 ถูกย้ ายไปยังไซโตพลาสซึม วิถี
เมตาบอลิซมึ การเปลี#ยนไพรู เวตไปเป็ น! $A$ ช่องทางนี Oจึงเป็ นการทําให้ เกิดความสมดุลระหว่าง! /"01 ที#ถกู
สร้ างขึ Oนมาและ!/"01 ที#ถกู ใช้ ไปในวิถีเมตาบอลิซมึ ในไซโตพลาสซึมในระหว่างที#เกิดวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส!

!"# $.& แสดงทางเลือกของวิถีการ


เปลียK นไพรูเวตไปเป็ นฟอสโฟอีนอล
ไพรูเวต วิถีทางของปฏิกิริยาทีK
เกิดขึ 6นมากขึ 6นอยูก่ บั สารตัวต้ นนํา
หรื อ!"#$%&'(&)('*%!+,(%$,-&, (แลค
เตทหรื อไพรูเวต) วิถีปฏิกิริยาทาง
ขวามือเกิดขึ 6นเมืKอมีแลคเตทเป็ น
สารต้ นนําสําหรับการสังเคราะห์
เพราะ!./01 ในไซโตพลาสซึมถูก
สร้ างจาก!23%434(!5(675,&)('3-(!
,(3%4*&'!และไม่มีการส่งออกนอกไม
โตคอนเดรี ย!ความสัมพันธ์ของทัง6
สองวิถีปฏิกิริยาขึ 6นอยูก่ บั ปริ มาณ
แลคเตทและความต้ องการใช้ !
./01 ของกลูโคนีโอเจนีซิสในไซ
โตพลาสซึม!

!
! ๑๕๑
! บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซสิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
วิถีปฏิกิริยาการเปลี#ยนไวรู เวตไปเป็ นฟอสโฟอีนอลไพรู เวต %$A$. อีกวิถีหนึง# จะเกิดขึ Oนเมื#อมีแลคเตท
เป็ นสารตัวต้ นนําที#ใช้ ในการสังเคราะห์กลูโคส (รู ป ๕.๔)!
วิถีการเปลี#ยนไพรู เวตไปเป็ น! $A$ วิถีที#สองนี O เป็ นการใช้ แลคเตทที#เกิดขึ Oนจากวิถีไกลโคไลซิสใน
เซลล์เม็ดเลือดแดง หรื อในกล้ ามเนื Oอที#มีการเผาผลาญกลูโคสแบบไม่ใช้ ออกซิเจน %"&'34)(+<!-C,<*3. และนี#
คือวิถีเมตาบอลิซมึ ที#สําคัญของสัตว์มีกระดูกสันหลังภายหลังที#มีการออกกําลังกายอย่างหนัก การเปลี#ยนแลค
เตทไปเป็ นไพรู เวตในไซโตพลาสซึมของเซลล์ตบั ทําให้ ได้ !/"01 ดังนันการส่ O ง!:3@C<+&?!3WC+;'*3&5!(ในรู ปของ
มาเลต) ออกจากไมโตคอนเดรี ยจึงอาจไม่มีความจําเป็ น หลังจากที#ไพรู เวตถูกสร้ างขึ Oนโดยปฏิกิริยาของแลค
เตทดีไฮโดรจีเนส ไพรู เวตจะถูกลําเลียงเข้ าสูไ่ มโตคอนเดรี ย จากนันจึ O งถูกเปลี#ยนเป็ นออกซาโลอะซีเตทโดย
เอนไซม์ไพรู เวตคาร์ บ๊อกซิเลส ดังที#กล่าวที#แล้ ว อย่างไรก็ตามออกซาโลอะซีเตทนี Oจะถูกเปลี#ยนไปเป็ น! $A$
โดยตรงโดย H+5)<7)&@4+'*!$A$!<'4()B9L+&',3! (เป็ นไอโซเอนไซม์ของ $A$!<'4()B9L+&',3. จากนันO !$A$ จึง
ถูกลําเลียงออกจากไมโตคอนเดรี ยและเข้ าสูว่ ิถีกลูโคนีโอเจนีซิสต่อไป H+5)<7)&@4+'*!$A$!<'4()B9L+&',3 และ!
I95),)*+<! $A$! <'4()B9L+&',3! เกิดขึ Oนจากยีนที#ตา่ งกัน กรณีนี Oจึงเป็ นตัวอย่างหนึง# ที#แสดงให้ เห็นว่า เอนไซม์ที#
แตกต่างกันสามารถเร่ งปฏิกิริยาเดียวกันได้ แต่เกิดขึ Oนในบริ เวณที#ตา่ งกัน หรื อมีบทบาทที#แตกต่างกัน!
๒" >0,!1, 9, ?7&</&@ A(&!?1)>"'92 &B1C!D $AD- E,F–;,-B(-)BA4>)>H&B1C!D $AD- F–B(-)BA ปฏิกิริยาในวิถี
ไกลโคไลซิสปฏิกิริยาที#สองที#ไม่มีสว่ นร่ วมในวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสคือ ปฏิกิริยาการเติมหมูฟ่ อสเฟต %$7),67)K
49*'5+)&. ของฟรุ๊ กโต๊ ส ๖–ฟอสเฟตซึง# ถูกเร่ งโดยเอนไซม์ฟอสโฟฟรุ๊ กโตไคเนส–๑ %$GMFO) เนื#องจากปฏิกิริยานี O
เป็ นปฏิกิริยาที#คายพลังงานสูง %1+?7! 3B34?)&+<. ดังนันปฏิ O กิริยานี Oเป็ นปฏิกิริยาที#ผนั กลับไม่ได้ เมื#ออยู่ภายใน
เซลล์ !
ปฏิกิริยาการเปลี#ยนฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสเฟตไปเป็ นฟรุ๊กโต๊ ส ๖–ฟอสเฟตถูกเร่ งโดยเอนไซม์ที#
ต้ องการ! H?!" อีกชนิดที#แตกต่างจาก! $GMFO! คือ ฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสฟาเตส %H?!"F@363&@3&5! 24C<5),3!
OSXF(+,67),67'5',3! %G>$',3FO. (ดังรู ป ๕.๒) โดยการไฮโดรไลซิสฟอสเฟตเอสเทอร์ %$7),67'53! 3,534. ที#
คาร์ บอนตําแหน่งที# ๑ ซึง# เป็ นปฏิกิริยาคายพลังงาน!
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"#$%&'()!*+,-./(01'(012&2()!
------------=2%&.'+)->?@AB,+CD'+CD/.)-7-E!5---------!--------------=2%&.'+)-@ACD'+CD/.)-7-9,-
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!∆DY#!=!FOXZN!L[V-)*!
ในระหว่างการสังเคราะห์ ฟอสโฟอีนอลไพรู เว็ตจะถูกเมตาบอไลซ์โดยเอนไซม์ในวิถีไกลโคไลซิสแต่
เป็ นปฏิกิริยาในทิศทางตรงกันข้ ามกับวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส %:3;34,3! @+43<5+)&. เมื#อเซลล์อยู่ในสภาวะที#มี
แนวโน้ มให้ เกิดวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ปฏิกิริยาในทิศทางตรงข้ ามจะเกิดขึ Oนจนกว่าเข้ าสูป่ ฏิกิริยาในขันตอนที
O #ผนั
กลับไม่ได้ ในขันนี
O Oจึงมีการไฮโดรไลซิสฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสเฟตไปเป็ นฟรุ๊ กโต๊ ส ๖-ฟอสเฟตและ!$+!ปฏิกิริยานี O
ถูกเร่ งโดยเอนไซม์ฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสฟาเตส เอนไซม์นี Oเป็ น \"**),534+<!3&Q9-3] ที#มีสว่ นในการควบคุมวิถี
กลูโคนีโอเจนีซิส!
๓" >0,!1, 9, ?7&</&@ A(&!?1-1:?=!"#$%-*?!>0,!1, 9, ?4I$J14"+,-!"#$%- F–B(-)BA เป็ นปฏิกิริยาที# ๓ ที#
แตกต่างจากวิถีไกลโคไลซิส %#7+4@! (96',,.! ซึง# เป็ นปฏิกิริยาสุดท้ ายของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส เป็ นปฏิกิริยาดึง
หมูฟ่ อสเฟตออกจากกลูโคส ๖–ฟอสเฟต %0367),67)49*'5+)&. ทําให้ ได้ กลูโคส (อิสระ) (รูป ๕.๒) ปฏิกิริยานี O
ถูกเร่ งโดยเอนไซม์กลูโคส ๖–ฟอสฟาเตส %D*C<),3!XF67),67'5',3.!โดยไม่มีการสร้ าง!"#$!แต่เกิดไฮโดรไลซิส
ฟอสเฟตเอสเทอร์ %$7),67'53!3,534. !
!

!
! ๑๕๒
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!34$%'()!,!-!01'(012&2()!
- #$%&'+)-@FCD'+CD/.)-7-E!5----------!-------------#$%&'+)-7-9,-
! !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!∆DY#!=!FONZ^!L[V-)*3!
ฟรุ๊ กโต๊ ส ๖–ฟอสเฟตที#ถกู สร้ างจากปฏิกิริยาที#ถกู เร่ งโดยเอนไซม์ฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสฟาเตสจะถูก
เปลี#ยนให้ เป็ นกลูโคส ๖–ฟอสเฟต ในเนื Oอเยื#อทุกชนิดกระบวนการกลูโคนีโอเจนีซิสจะสิ Oนสุดที#ขนตอนนี ัO Oคือ
เมื#อฟรุ๊ กโต๊ ส ๖–ฟอสเฟตถูกเปลี#ยนให้ เป็ นกลูโคส ๖–ฟอสเฟต โดยปกติกลูโคส ๖–ฟอสเฟตมักไม่ถกู เปลี#ยนให้
เป็ นกลูโคสอิสระ %G433!?*C<),3.!แต่กลูโคส ๖–ฟอสเฟตมีการดําเนินไปในวิถีอื#นมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น การ
สร้ างเป็ นไกลโคเจน เป็ นต้ น วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสสิ Oนสุดที#กลูโคส ๖–ฟอสเฟตมีข้อดีบางอย่างคือ กลูโคส ๖–
ฟอสเฟตเป็ นโมเลกุลที#ไม่สามารถแพร่ ผ่านเยื#อหุ้มออกนอกเซลล์ได้ การเก็บกลูโคสไว้ ภายในเซลล์ ทําให้ การ
สร้ างกลูโคสอิสระถูกควบุคมด้ วย ๒ วิถีทาง วิธีแรกคือ การควบคุมเอนไซม์กลูโคส ๖–ฟอสฟาเตส %D*C<),3!XF
67),67'5',3. ที#ทําหน้ าที#ในการเปลี#ยนกลูโคส ๖–ฟอสเฟตให้ เป็ นกลูโคส วิธีที#สองคือ เอนไซม์นี Oพบมีอยู่
เฉพาะในเซลล์ หรื อเนื Oอเยื#อที#ทําหน้ าที#เกี#ยวกับเมตาบอลิซมึ เพื#อรักษาระดับสมดุลของกลูโคสในกระแสเลือด
ให้ คงที# %>*))@F?*C<),3! 7)-3),5',+,.! ซึง# เนื Oอเยื#อชนิดนันมีO การปลดปล่อยกลูโคสที#สร้ างขึ Oนเข้ าสูก่ ระแสเลือด
เนื Oอเยื#อ หรื ออวัยวะเหล่านี Oได้ แก่ ตับ %E+;34. (เป็ นส่วนใหญ่) และไต %M+@&39. (เป็ นส่วนน้ อย)!
ขันสุ
O ดท้ ายของการสังเคราะห์กลูโคสไม่ได้ เกิดขึ Oนในไซโตพลาสซึม กลูโคส ๖–ฟอสเฟตถูกลําเลียง
ขนส่งเข้ าไปในช่องว่างของเอนโดพลาสมิกเรติคิวรัม %EC-3&!)2!3&@)6*',-+<!435+<C*C-. เป็ นบริ เวณที#กลูโคส
๖–ฟอสเฟตถูกไฮโดรไลซ์ไปเป็ นกลูโคส (อิสระ) โดยเอนไซม์กลูโคส ๖–ฟอสฟาเตส ซึง# จับอยู่กบั ผิวด้ านใน
%EC-+&'*!,+@3. ของเอนโดพลาสมิกเรติคิวลัม# %A&@)6*',-+<!435+<C*C-. ของเซลล์ตบั และเซลล์ไต %:3&'*!<3**,.!
(รู ป ๕.๕) สิ#งที#สําคัญอีกประการหนึง# คือ การทํางานของเอนไซม์ฟอสฟาเตส %$7),67'5',3!'<5+;+59. ต้ องอาศัย!
“I'!"F(+&@+&?!,5'(+*+Q+&?!64)53+&”!หลังจากนันกลู
O โคสและ $+!(อนินทรี ย์ฟอสเฟตP!=&)4?'&+<!67),67'53) จึงถูก
ลําเลียงกลับเข้ าสูไ่ ซโตพลาสซึมโดยตัวลําเลียง %$'+4! )2! 54'&,6)4534,. ตัวลําเลียงกลูโคสในเยื#อหุ้มเอนโดพ
ลาสมิกเรติคิวรัม %A&@)6*',-+<!435+<C*C-!-3-(4'&3. มีลกั ษณะคล้ ายกับตัวลําเลียงที#พบได้ ในเยื#อหุ้มอื#นๆ !
!
!
!
!
!
! !"# $.$ แสดงการสร้ างกลูโคสจากกลูโคส ๖–ฟอสเฟต*789-5/'0:;+*$)(;+%/%:*!7<1*5$-();8*หลายชนิดมี
บทบาทที<สําคัญในการสร้ างกลูโคสจากกลูโคส ๖–ฟอสเฟต =>*ลําเลียงกลูโคส ๖–ฟอสเฟตเข้ าไปใน
! ช่องว่างของ 7< ในขณะที< =? และ*=@ ลําเลียง "; และกลูโคส (อิสระ) กลับเข้ าสู่ไซโตพลาสซึม
ตามลําดับ กลูโคส ๖–ฟอสฟาเตสถูกทําให้ มีเสถียรภาพโดย*A'!"B,;89;8C*5$-();8*!D"1*
!
การสร้ างกลูโคส ๑ โมเลกุลจากไพรู เว็ตในกระบวนกลูโคนีโอเจนีซิสมีการไฮโดรไลซ์นิวคลีโอไทด์ไตร
ฟอสเฟต %"#$.! จํานวน ๖ โมเลกุล (ในขณะที#วิถีไกลโคไลซิสมีการสร้ างพลังงานเพียง ๒ "#$ ในขันตอนการ
O
เปลี#ยนกลูโคสไปเป็ นไพรู เว็ต) โดยหมูฟ่ อสเฟตพลังงานสูง %1+?7K3&34?9!67),67'53!?4)C6. ๔ หมูไ่ ด้ มาจาก
"#$! และอีก ๒ หมูไ่ ด้ มาจาก D#$! นอกจากนี Oวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสยังต้ องการใช้ ! /"01! ๒ โมเลกุลสําหรับ

!
! ๑๕๓
! บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซสิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
ปฏิกิริยารี ดกั ชัน ๑,๓–บิสฟอสโฟกลีเซอร์ เรต ดังปฏิกิริยาสุทธิข้างล่างนี O ดังนันการสร้
O างกลูโคส ๑ โมเลกุลโดย
วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสมีการใช้ !"#$!มากกว่าการสลายกลูโคส ๑ โมเลกุลโดยวิถีไกลโคไลซิส ๔!"#$!
-?15/K9/&AL7&./0*/!1!1J+,A1,!M"N!1J(N5,$&O"?98&,J)>H&-?1P'72 8:7&!?1-1:?=!"#$%-- %;,.2,&- F&,G-
;4&$)-H(.)2I)G,/.),!/(G-J/(4-FI,('-F&,G,!/2)-#$%&'*)(,&.!
การสร้ างกลูโคสโดยปฏิกิริยาต่างๆ ในวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสที#กล่าวมาตังแต่ O ต้นไม่ใช่สร้ างกลูโคสมา
จากไพรู เวตเท่านันO วิถีปฏิกิริยานี Oยังสร้ างกลูโคสขึ Oนมาจากสารมัธยันต์ชนิดอื#นๆ ที#อยู่ในวัฏจักรกรดซิตริ กที#มี
คาร์ บอนอะตอม ๔ หรื อ ๕ และ ๖ อะตอมได้ ซึง# ได้ แก่ ซิเตรท %I+54'53.! ไอโซซิเตรท %=,)<+54'53.! อัลฟา–คีโตก
ลูตาเรต %αFM35)?*C5'4'53.! ซัคซินิลโคเอ %JC<<+&9*KI)". ซัคซิเนต %JC<<+&'53. ฟูมาเรต %GC-'4'53. และมา
เลต %H'*'53. เป็ นต้ น สารมัธยันต์เหล่านี Oสามารถถูกออกซิไดซ์ไปเป็ นออกซาโลอะซีเตรทได้ กรดอะมิโนหลาย
ชนิดที#สามารถเปลี#ยนไปเป็ นไพรู เวตได้ หรื อถูกเปลี#ยนเป็ น
!"#"$ %.& แสดง!"#$%&)('*%!/8*'&!/%*5-
สารมัธยันต์อื#นๆ ที#อยู่ในวัฏจักรกรดซิตริ กก็สามารถถูกนําไปใช้ ซึงK จัดกลุม่ ตามตําแหน่งการเข้ าสูว่ ิถี
สร้ างกลูโคสโดยวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสได้ กรดอะมิโนเหล่านี Oที# ปฏิกิริยา!
สามารถนําไปสร้ างเป็ นกลูโคสได้ จงึ เรี ยกว่า! “D*C<)?3&+<”
(ตาราง ๕.๑) อะลานีนและกลูตามีนเป็ นกรดอะมิโนที#สําคัญที#
ลําเลียงหมูอ่ ะมิโนจากเนื Oอเยื#อนอกเซลล์ตบั %AB54'736'5+<!
5+,,C3. ไปยังเซลล์ตบั อะลานีนและกลูตามีนจึงเป็ นกรดอะมิโน
ที#สําคัญที#สตั ว์เลี Oยงลูกด้ วยนํ Oานมใช้ สร้ างกลูโคส %D*C<)?3&+<!
'-+&)! '<+@,. หลังจากที#มีการกําจัดหมูอ่ ะมิโนออกไปในไมโต
คอนเดรี ยแล้ ว ส่วนที#เหลือเป็ นโครงสร้ างของสายคาร์ บอน
%I'4()&! ,L3*35)&,. (ไพรู เวตและอัลฟาคีโตกลูตาเรต ตาม-
ลําดับ) จะถูกลําเลียงเข้ าสูว่ ิถีกลูโคนีโอเจนีซิสต่อไป! !"#$%!&' กรดอะมิโนเหล่านี 1เป็ น!"#$%&#'(#
สําหรับการสร้ างกลูโคสในเลือด หรื อไกลโคเจนใน
ในทางตรงกันข้ าม ในสัตว์เลี Oยงลูกด้ วยนํ Oานมจะไม่มี ตับ เนืAองจากสามารถถูกเปลีAยนเป็ นไพรูเวต หรื อ
สารมัธยันต์ในวัฏจักรกรดซิตริ กได้ ในกรดอะมิโน
การสร้ างกลูโคสจากกรดไขมัน วิถีปฏิกิริยาแคแทบอลิซมึ กรด ๒๐ ชนิด มีเพียง!)$&%*+$ และ!),'*+$ เท่านันที
1 Aไม่
ไขมัน (การสลายกรดไขมัน) ส่วนใหญ่จะได้ อะเซ็ทติลโคเอ สามารถใช้ ในการสังเคราะห์กลูโคสได้ (* คือ
กรดอะมิโนทีAสามารถใช้ สารคีโตนบอดี 1ได้
%"<359*! I)". เท่านันO สัตว์เลี Oยงลูกด้ วยนํ Oานมไม่ใช้ อะเซ็ทติลโค -.$/(0$+*%1!
เอเป็ นสารต้ นนํา %$43<C4,)4,. สําหรับการสร้ างกลูโคสได้ เนื#องจากปฏิกิริยาที#ถกู เร่ งโดยเอนไซม์ไพรู เวตดีไฮโดร
จีเนส %$94C;'53! @379@4)?3&',3. เป็ นปฏิกิริยาที#ผนั กลับไม่ได้ %=443;34,+(*3! 43'<5+)&.! และเซลล์ไม่มีวิถี
ปฏิกิริยาใดๆ ที#เปลี#ยนอะเซ็ทติลโคเอไปเป็ นไพรู เวต เว้ นแต่กรดไขมันที#มีจํานวนคาร์ บอนอะตอมเป็ นเลขคี#
%R@@!&C-(34!<'4()&!2'559!'<+@. (เช่น IO_. ที#จะได้ ! $4)64+)&9*FI)" เป็ นผลผลิตภายหลังการเข้ าสูว่ ิถีเบต้ า
ออกซิเดชัน ซึง# สามารถนํามาใช้ สร้ างกลูโคสได้ อย่างไรก็ตาม อะเซ็ทติล–โคเอจากกรดไขมันไม่สามารถถูก
เปลี#ยนเป็ นกลูโคสได้ แต่อะเซ็ทติล-โคเอถูกเปลี#ยนเป็ นคีโตนบอดี Oได้ ซึง# เซลล์สามารถใช้ สร้ างพลังงานได้ เป็ น
ทางหนึง# เช่น เซลล์สมอง เป็ นต้ น ดังนันภาวะที
O #ร่างกายมีระดับกลูโคสในเลือดตํ#าเรื อO รัง %I74)&+<! 796)?*9K
<3-+'. มักพบว่าร่ างกายมีระดับคีโตนบอดี Oเพิ#มขึ Oนด้ วย!
แต่ในพืช ยีสต์และแบคทีเรี ยหลายชนิดมีวิถีปฏิกิริยาดังกล่าว %D*9<)B9*'53!<9<*3. ซึง# เปลี#ยนอะเซ็ท
ติลโคเอไปเป็ นออกซาโลอะซีเตท ดังนันสิ O #งมีชีวิตดังกล่าวนี Oจึงสามารถใช้ กรดไขมันเป็ นสารต้ นนําสําหรับวิถี
กลูโคนีโอเจนีซิสได้ วิถีปฏิกิริยานี Oมีความสําคัญมากในช่วงที#เกิดการเจริ ญเติบโตของต้ นอ่อน ซึง# เป็ นช่วงก่อนที#
พืชจะสามารถสังเคราะห์แสงได้ !

!
! ๑๕๔
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
กรดอะมิโนที#สําคัญที#เปลี#ยนเป็ นกลูโคสได้ คือ อะลานีน %"*'&+&3. อะลานีนถูกเปลี#ยนเป็ นไพรู เว็ต
โดยเอนไซม์อะลานีนอะมิโนทรานส์เฟอเรส %"E# หรื อ!D$#.!
แม้ วา่ อะลานีนเป็ นกรดอะมิโนที#สําคัญที#ใช้ ในการสร้ างกลูโคส ส่วนกรดอะมิโน ๑๘ ชนิด (จาก ๒๐
ชนิด) สามารถนําไปใช้ สร้ างกลูโคสได้ (เว้ นแต่ลซู ีน %E3C<+&3. และไลซีน %E9,+&3.. กรดอะมิโนเหล่านี Oจะถูก
เปลี#ยนแปลงด้ วยวิถีปฏิกิริยาที#เฉพาะของมันเกิดเป็ นสารมัธยันต์ในวัฏจักรกรดซิตริ ก จากนันจึ
O งเปลี#ยนเป็ นมา
เลตแล้ วจึงเข้ าสูว่ ิถีปฏิกิริยาแบบเดียวกันเพื#อสร้ างเป็ นกลูโคส!
สิ#งที#สําคัญประการหนึง# คือ กลูโคสที#ถกู สร้ างขึ Oนโดยวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสในเซลล์ตบั ไม่ใช่แหล่ง
พลังงานของเซลล์ตบั วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเป็ นวิถีที#ต้องใช้ !"#$ ซึง# !"#$!ที#ใช้ ในวิถีนี Oได้ มาจากวิถีเบต้ า–ออกซิเด-
ชันของกรดไขมัน ดังนันวิ O ถีกลูโคนีโอเจนีซิสมักขึ Oนอยู่กบั วิถีเบต้ า–ออกซิเดชันของกรดไขมันในเซลล์ตบั ใน
ระหว่างที#เกิดภาวะ! 196)?*9<3-+'! (กลูโคสในกระแสเลือดตํ#า) เนื Oอเยื#อไขมันจะปลดปล่อยกรดไขมันเหล่านี O
ออกมาด้ วยการสลายไตรกลีเซอร์ ไรด์!
!?1%.;%C5.,3!' "#$%&'$()*&'+-, !0)*%$/.,'(-'3-#$%&'()'*)()+,+"!
วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสและไกลโคไลซิสเป็ นวิถีเมตาบอลิซมึ ที#เกิดขึ Oนภายในเซลล์ เพื#อให้ เซลล์บรรลุถงึ
ความต้ องการทางเมตาบอลิซมึ หรื อพลังงานภายในเซลล์ และเพื#อไม่ให้ เกิดวิถีเมตาบอลิซมึ ทังO ๒ วิถีทางขึ Oน
โดยไม่จําเป็ นภายใต้ สภาวะที#เป็ นปกติ วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสและไกลโคไลซิสจึงมีการทํางานประสานระหว่างกัน
และควบคุมซึง# กันและกัน!%:3<+64)<'*!43?C*'5+)&. กล่าวคือ เมื#อวิถีหนึง# มีการทํางานอีกวิถีหนึง# จะหยุดทํางาน
ดังได้ กล่าวไปแล้ วว่า แม้ วิถีปฏิกิริยาทังO ๒ ดูเหมือนเป็ นวิถีปฏิกิริยาย้ อนกลับซึง# กันและกัน แต่มีบางขันตอน O
ของปฏิกิริยาที#ไม่เหมือนกัน มีเอนไซม์เร่ งปฏิกิริยาที#ไม่เหมือนกัน ขันตอนปฏิ O กิริยาเหล่านี Oนี#เองที#เป็ นจุด
ควบคุมวิถีเมตาบอลิซมึ ของแต่ละวิถีปฏิกิริยา อย่างไรก็ตามปริ มาณ %"-)C&5. และการทํางาน %"<5+;+5+3,.!
ของเอนไซม์ในปฏิกิริยาขันตอนที
O #แตกต่างกันของแต่ละวิถีมีการถูกควบคุม ดังนันจึ O งไม่พบว่า ทังO ๒ วิถีเมตาบอ
ลิซมึ มีการทํางานอย่างมากในเวลาเดียวกัน อัตราการเกิดไกลโคไลซิสถูกกําหนดได้ โดยระดับความเข้ มข้ นของ
กลูโคส และอัตราการเกิดวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสถูกกําหนดโดยระดับของแลกเตทและสารตังต้ O นอื#นๆ ของกลูโคส !
จุดควบคุมจุดแรกของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสคือ ขันตอนปฏิ O กิริยาที#กําหนดวิถีเมตาบอลิซมึ ของไพรู เว็ต
ในไมโตคอนเดรี ย ไพรู เว็ตสามารถถูกเปลี#ยนไปเป็ นได้ ทงอะเซ็ ัO ทติลโตเอ (โดยเอนไซม์ไพรู เว็ตดีไฮโดรจีเนสคอม
เพล็ก) เพื#อเป็ นเชื Oอเพลิงให้ กบั วัฏจักรกรดซิตริ ก หรื อเปลี#ยนไปเป็ นออกซาโลอะซีเตรท (โดยเอนไซม์ไพรู เว็ตคาร์
บ๊ อกซิเลส) เพื#อเริ# มเข้ าสูว่ ิถีกลูโคนีโอเจนีซิส (รู ป ๕.๖) อะเซ็ทติลโคเอถือได้ วา่ เป็ นเร่ งการทํางาน %$),+5+;3!
'**),534+<! -)@C*'5)4. ของเอนไซม์ไพรู เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลสและเป็ นตัวยับยังการทํ O างาน %/3?'5+;3! -)@C*'5)4.
ของเอนไซม์ไพรู เว็ตดีไฮโดรจีเนส โดยการกระตุ้นการทํางานของโปรตีนไคเนส %$4)53+&!L+&',3. ซึง# มีผลไปหยุด
การทํางานของเอนไซม์ดีไฮโดรจีเนส เมื#อความต้ องการพลังงานของเซลล์ อยู่ในระดับที#ต้องการแล้ ว
กระบวนการออกซิเดทีฟฟอสโฟรี เลชันของเซลล์จะช้ าลง มีการสะสม! /"01 มากขึ Oนและมีการยับยังการ O
ทํางานของวัฏจักรกรดซิตริ ก และมีอะเซ็ทติลโคเอสะสมในเซลล์มากขึ Oน การมีระดับของอะเซ็ทติลโคเอเพิ#ม
มากขึ Oน มีผลไปยับยังการทํ
O างานของเอนไซม์ไพรู เว็ตดีไฮโดรจีเนสคอมเพล็กซ์ ทําให้ ปฏิกิริยาการสร้ างอะเซ็ท
ติลโคเอจากไพรู เว็ตช้ าลง และกระตุ้นวิถีกลูโคนีโอเจนีซสิ เพิ#มขึ Oนด้ วยการกระตุ้นการทํางานของเอนไซม์ไพรู
เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลส ทําให้ มีไพรู เว็ตปริ มาณมากสําหรับสร้ างกลูโคส!
จุดควบคุมจุดที# ๒ ของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสคือ! ปฏิกิริยาที#ถกู เร่ งโดยเอนไซม์ฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอส
ฟาเตส ซึง# ถูกยับยังการทํ
O างานได้ โดย! "H$! %J54)&?*9! +&7+(+53@. ส่วนเอนไซม์ในวิถีไกลโคไลซิสในขันตอน O
เดียวกันนี Oคือ ฟอสโฟฟรุ๊ กโตไคเนส-๑ %$7),K67)24C<5)L+&',3F=. ถูกกระตุ้นให้ ทํางานโดย "H$ และ!"0$ แต่

!
! ๑๕๕
! บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซสิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
ถูกยับยังการทํ
O างานโดยซิเตรทและ "#$ ดังนันวิ O ถีปฏิกิริยาที#สวนทางกันของ ๒ วิถีเมตาบอลิซมึ นี Oต่างทํางาน
ร่ วมกันและควบคุมซึง# กันและกัน โดยทัว# ไปเมื#อเซลล์มีระดับของอะเซ็ทติลโคเอและซิเตรท (ผลผลิตจากอะเซ็ท
ติลโคเอรวมกับออกซาโลอะซีเตรท) เพียงพอ หรื อเซลล์มีระดับ! "#$ สูง เซลล์จะมีวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเกิดขึ Oน
มาก การที#เซลล์มีระดับ!"H$ สูงแสดงว่าเซลล์มีระดับพลังงานตํ#าและ
เป็ นการส่งสัญญาณว่า เซลล์ต้องการให้ มีการสร้ าง "#$ การมีระดับ!
"#$ และซิเตรทภายในเซลล์สงู แสดงว่า เซลล์มีระดับพลังงานสูงและ
การสังเคราะห์สารชีวโมเลกุลมีมากเกินความต้ องการ ภาวะเช่นนี O
เซลล์มกั หยุดวิถีไกลโคไลซิสและดําเนินวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสมากขึ Oน!
ตับคือ อวัยวะที#สําคัญที#ทําหน้ าที#รักษาระดับกลูโคสใน
กระแสเลือดให้ คงที# ซึง# ต้ องการกลไกที#จําเพาะเพิ#มเติมในการควบคุม
การใช้ และการสร้ างกลูโคสของร่ างกาย เมื#อระดับกลูโคสในเลือดลด
ตํ#าลง ฮอร์ โมนกลูคากอน %D*C<'?)&. ส่งสัญญาณให้ ตบั รับรู้ และทํา
ให้ ตบั มีการสร้ างกลูโคสและปล่อยกลูโคสเข้ าสูก่ ระแสเลือดเพิ#มขึ Oน
แหล่งกลูโคสที#สําคัญของเซลล์คือ ไกลโคเจนในตับและการสร้ าง
กลูโคสจากแหล่งอื#นๆ !
!"# $.% แสดง ๒ วิถีทางของไพรู เว็ต ฟอสโฟฟรุ๊ กโตไคเนสและฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสฟาเตส มี
ไพรู เว็ตสามารถเปลี<ยนไปเป็ น
กลูโคสและไกลโคเจนได้ โดยผ่าน การควบคุมซึง# กันและกัน โดยฟรุ๊กโต๊ส ๒,๖–บิ สฟอสเฟต %G4C<5),3!
วิถีกลูโคนีโอเจนีซสิ หรื อถูกอ๊ อกซิ`SXF(+,67),67'53P!G`SXK>$. ในตับ โดยปกติมกั พบว่ามีระดับ!GF`SXF
ไดซ์ไปเป็ นอะเซ็ทติลโคเอเพื<อใช้ ใน >$ ตํ#าในระหว่างที#อดอาหาร %J5'4;'5+)&.!และมีระดับสูงในภาวะที#กิน
การสร้ างพลังงาน อะเซ็ทติลโคเอมี อาหารเนื#องจาก!“"&5'?)&+,5+<!3223<5” ของกลูคากอนและอินซิลินที#มี
ผลไปกระตุ้นการทํางานของไพรู
เว็ตคาร์ บ๊อกซิเลสและมีผลไปยับยังR ผลต่อการสร้ างและการสลายโมเลกุลสัญญาณ %J+?&'*! -)*3<C*3. นี O
การทํางานของไพรู เว็ตดีไฮโดร (รู ป ๕.๗) ฟรุ๊ กโต๊ ส ๒,๖–บิสฟอสเฟตถูกสร้ างขึ Oนจากการถูกเติมหมู่
จีเนสคอมเพล็กซ์* ฟอสเฟตฟรุ๊ กโต๊ ส ๖–ฟอสเฟต ซึง# ถูกเร่ งปฏิกิริยาโดยเอนไซม์ฟอสโฟ
ฟรุ๊ กโตไคเนส–๒ !$7),67)24C<K5)L+&',3F`P! $GMF`" และฟรุ๊ กโต๊ ส
๒S๖–บิสฟอสเฟตถูกสลายไปโดยเอนไซม์ฟรุ๊ กโต๊ ส ๒,๖–บิสฟอสฟาเตส-๒ !G4C<5),3!`SXF(+,67),67'5',3F`P!
G>$',3F`" (เอนไซม์นี Oแตกต่างจาก!$GMFO และ!G>$',3FO! ซึง# เร่ งปฏิกิริยาการสร้ างและสลายฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–
บิสฟอสฟาเตส) $GMF` และ! G>$',3F` เป็ นเอนไซม์ที#มีการทํางานแตกต่างกันแต่อยู่บนโปรตีนเดียวกัน หรื อ
อาจเรี ยกว่าเป็ นโปรตีนที#ทําหน้ าที# ๒ อย่าง %>+2C&<5+)&'*!64)53+&. ความสมดุลของการทํางานของของเอนไซม์
ทังO ๒ ชนิดในตับซึง# ถูกควบคุมโดยกลูคากอนจะเป็ นตัวกําหนดระดับฟรุ๊ กโต๊ ส ๒,๖–บิสฟอสเฟต (รู ป ๕.๘) กลู
คากอนกระตุ้นอะดีนิเลตไซเคส %"@3&9*'53!<9<*',3. โดยผ่าน!“DF$4)53+&” อะดีนิเลตไซเคสสังเคราะห์ “NYSaYF
<9<*+<!"H$”!%<"H$. จาก!"#$!หลังจากนันO <"H$ กระตุ้นโปรตีนไคเนส %<"H$K@363&@3&5!64)53+&!L+&',3. ซึง#
ย้ ายหมูฟ่ อสเฟตจาก!"#$ ไปยัง!“>+2C&<5+)&'*!64)53+&!$GMF`VG>$',3F`”! การเติมหมูฟ่ อสเฟตให้ กบั โปรตีนนี O
เป็ นการส่งเสริ มการทํางานของ!G>$',3F`! และยับยังการทํ O างานของ!$GMF` ดังนันกลู
O คากอนมีผลทําให้ ระดับ!
GF`SXF>$ ในเซลล์ลดลงและยับยังวิ O ถีไกลโคไลซิส และกระตุ้นวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ทําให้ เซลล์มีการสร้ าง
กลูโคสเพิ#มขึ Oน ทําให้ ตบั สามารถเพิ#มระดับกลูโคสในกระแสเลือดเพิ#มขึ Oน เป็ นการตอบสนองต่อกลูคากอน !
ฟรุ๊ กโต๊ ส ๒,๖–บิสฟอสเฟตกระตุ้นการทํางานของฟอสโฟฟรุ๊ กโตไคเนส–๑ และยับยังการทํ O างานของ
เอนไซม์ฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสฟาเตส ดังนันในภาวะที
O #ได้ รับอาหารวิถีไกลโคไลซิสจึงถูกเร่งและวิถีกลูโคนีโอ

!
! ๑๕๖
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
เจนีซิสจะลดลง ในระหว่างที#อดอาหารวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสจะเพิ#มขึ Oนเนื#องจากมีระดับ! GF`SXF>$ ตํ#า กลูโคสที
ถูกสร้ างขึ Oนโดยเซลล์ตบั ภายใต้ ภาวะเหล่านี Oเป็ นสิ#งที#จําเป็ นต่อการทํางานของสมองและกล้ ามเนื Oอ!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!
!"# $.( แสดงการควบคุมซึงK กันและกัน 9D(%*+,&%3#!,()$#34*&'@ ของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสและวิถี
! ไกลโคไลซิสในเซลล์ตบั ระดับของฟรุ๊กโต๊ ส ๒,๖–บิสฟอสเฟตมักสูงในช่วงทีกK ินอาหารและ
! มักมีระดับตํKาในช่วงอดอาหาร 9E43,F34*&'@ การควบคุมอืKนๆ ทีKสาํ คัญคือ การยับยังการ
6
ทํางานเอนไซม์ไพรูเว็ตไคเนสโดยการเติมหมูฟ่ อสเฟต 9B6&-+6&,7#34*&'@ ในระหว่างอด
! อาหาร!
!
!
!
!
!
!
! !"# $.' แสดงการควบคุมระดับฟรุ๊กโต๊ ส ๒,๖–บิสฟอสเฟต !
! !"# ระดับความเข้ มข้ นของตัวควบคุม 9:,$%4&-(!;<=>?*-+6&-+634(@ ถูกกําหนดโดยอัตราการ!สงั เคราะห์
! ของ!:>;<=>AB ซึงK ถูกเร่งโดยเอนไซม์ฟอสโฟฟรุ๊กโตไคเนส–๒ 9B:C>;@ และการสลายของ!:>;<=>AB ซึงK ถูก
เร่งโดยเอนไซม์ฟรุ๊กโต๊ ส ๒,๖–บิสฟอสฟาเตส 9:AB3-(>;@!!
! ! !$# เอนไซม์ทงั 6 ๒ ชนิดอยูบ่ นสายโพลีเปปไทด์เดียวกันและเอนไซม์ทงั 6 ๒ ชนิดมีการทํางานและ
! ควบคุมซึงK กันและกัน โดยฮอร์ โมนกลูคากอน !
!

!
! ๑๕๗
! บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซสิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
!?1%.;%C5.,34' !"$%4"+,-M"N!"#$%&'$()*&'+-, 16.5!/& !;''2G,(/.)G-0)*%$/.,'(-'3-#$4&'$4+,+-/(G-
#$%&'()'*)()+,+"-
ในสัตว์เลี Oยงด้ วยนํ Oานมวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเกิดขึ Oนในเซลล์ตบั เป็ นส่วนใหญ่ ตับจึงเป็ นอวัยวะที#มี
หน้ าที#สร้ างกลูโคสและส่งออกจากเซลล์
เพื#อให้ เป็ นแหล่งพลังงานของเซลล์ในเนื Oอเยื#อ
อื#นๆ ในช่วงที#ไกลโคเจนที#สะสมไว้ ถกู ใช้ หมด
ไป วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสมีการใช้ เอนไซม์เกือบ
ทังหมดในวิ
O ถีไกลโคไลซิสแต่วถิ ีกลูโคนีโอเจนี
ซิสไม่ใช่วิถีปฏิกิริยาย้ อนกลับของไกลโคไลซิส
ปฏิกิริยาในวิถีไกลโคไลซิส ๗ ปฏิกิริยาที#เป็ น
ปฏิกิริยาย้ อนกลับและเอนไซม์ในปฏิกิริยา
เหล่านี Oเป็ นเอนไซม์ในปฏิกิริยาในวิถีกลูโคนีโอ
เจนีซิสด้ วย (ดังรู ป ๕.๙) ปฏิกิริยาในวิถีไกล
โคไลซิส ๓ ปฏิกิริยาที#เป็ นปฏิกิริยาคายพลัง-
งานสูง %J)! 3B34?)&+<! 43'<5+)&. (มีคา่ ∆DY
เป็ นลบและมีคา่ มาก) และเป็ นปฏิกิริยาที#ผนั
กลับไม่ได้ ปฏิกิริยาเหล่านี Oเป็ นปฏิกิริยาที#ถกู
เร่ งโดยเอนไซม์เฮ็กโซไคเนส %13B)L+&',3.S!
$GMFO และไพรู เวตไคเนส %$94C;'53! L+&',3.!
วิถีกลูโคนีโอเจนีซิสใช้ วิถีปฏิกิริยาทังO ๓ นี Oปฏิ-
กิริยาที#แตกต่างจากวิถีไกลโคไลซิส %>96',,.!
สําหรับเปลี#ยนฟรุ๊ กโต๊ ส ๑,๖–บิสฟอสเฟตให้
!"# $.& แสดงวิถีไกลโคไลซิสและกลูโคนีโอเจนีซสิ *สังเกตว่า มี
เป็ นฟรุ๊ กโต๊ ส ๖-ฟอสเฟตโดยเอนไซม์ฟรุ๊ กโต๊ ส ปฏิกิริยา ๓ ขันตอนที R <ถูกเร่ งโดยเอนไซม์ที<ต่างกันใน ๒ วิถีปฏิกิริยา
๑,๖–บิสฟอสฟาเตส %G>$',3FO.!(รู ป ๕.๙) มี ที<สวนทางกัน (,#5'00*$)'+(;-81 และมีปฏิกิริยา ๗ ขันตอนที R <ถูก
ข้ อสังเกตว่า ปฏิกิริยาทังO ๓ ปฏิกิริยาในวิถี เร่ งโดยเอนไซม์ ช นิ ดเดี ย วกั น *
กลูโคนีโอเจนีซิสนี Oมีคา่ เป็ นลบและมีคา่ สูง %E'4?3S!/3?'5+;3!∆DY. !
ปฏิกิริยาทังO ๓ ขันตอนของไกลโคไลซิ
O สและปฏิกิริยาของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสเกิดขึ Oนพร้ อมๆ กันทําให้
มีการใช้ พลังงาน หรื อ "#$ โดยไม่มีการเปลี#ยน!I73-+<'*! หรื อ!>+)*)?+<'*!8)4L ใดๆ เกิดขึ Oน ยกตัวอย่างเช่น!
$GMFO และ!G>$',3FO เร่ งปฏิกิริยาที#สวนทางกัน ดังสมการข้ างล่าง!
!
!
เมื#อรวมปฏิกิริยาทังสองจะได้
O ปฏิกิริยาดังสมการข้ างล่าง!
F89-7-E!5---!!!!!!F<9-7-9,-7-E)/.-
จากสมการรวมแสดงให้ เห็นว่า เกิดการไฮโดรไลซิส!"#$ โดยไม่มีการทํางาน หรื อ!H35'()*+<!8)4L
ใด เป็ นที#แน่ชดั ว่า ถ้ าปฏิกิริยาทังสองเกิ
O ดขึ Oนพร้ อมๆ กันในอัตราสูง %1+?7!4'53. ในเซลล์เดียวกันจะพบว่าจะมี
พลังงานเคมีปริ มาณมากต้ องถูกใช้ ไปโดยไม่ได้ ประโยชน์ใดๆ (เสียเปล่า) ในรู ปของพลังงานความร้ อน!บางครังO

!
! ๑๕๘
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
จึงมีบางคนเรี ยกกระบวนการ %$4)<3,,. นี Oว่า “=%.,$)- &4&$)”! (วัฏจักรที#ไม่มีประโยชน์) อย่างไรก็ตามวัฏจักรนี O
อาจมีข้อดีเหมือนกันในแง่การควบคุมวิถีเมตาบอลิซมึ และอาจเรี ยกวัฏจักรนี Oใหม่วา่ ! “JC(,54'53! <9<*3” จะ
เหมาะสมกว่า!
./0*/!1%(1' !;'2,-;4&$)"!
แลคเตทเป็ นสารที#ถกู สร้ างขึ Oนโดยกล้ ามเนื Oอลาย %"<5+;3! ,L3*35'*! -C,<*3. และเม็ดเลือดแดง
%A49574)<953. เป็ นแหล่งพลังงานของอวัยวะอื#น เม็ดเลือดแดงไม่มีไมโตคอนเดรี ยและไม่สามารถออกซิไดซ์
กลูโคสได้ อย่างสมบูรณ์ ส่วนกล้ ามเนื Oอที#กําลังหดตัวในระหว่างที#มีการออกกําลังอย่างหนัก เซลล์กล้ ามเนื Oอ มัก
มีอตั ราการเกิดวิถีไกลโคไลซิสเพื#อสร้ างไพรู เว็ตมากกว่าอัตราการถูกออกซิไดซ์โดยวัฏจักรกรดซิตริ ก ภายใต้
สภาวะเหล่านี Oอัตราการเกิด!/"01"!โดยวิถีไกลโคไลซิสมีมากกว่าอัตราการออกซิไดซ์โดยปฏิกิริยา ออกซิเดชัน
การเกิดวิถีไกลโคไลซิสอย่างต่อเนื#องขึ Oนอยู่กบั ระดับ!/"0" ซึง# จําเป็ นสําหรับปฏิกิริยาออกซิเดชันของกลีเซอรัล
ดีไฮด์ ๓–ฟอสเฟต /"01 ทีสะสมถูกเปลี#ยนกลับได้ ด้วยเอนไซม์แลคเตทดีไฮโดรจีเนส %E'<5'53! @379@4)K
?3&',3. (รี ดิวซ์ไพรู เว็ตไปเป็ นแลคเตท ได้ กล่าวไปแล้ ว) อย่างไรก็ตามแลคเตทเป็ นผลผลิตสุดท้ ายของ
ปฏิกิริยา %03'@! 3&@! +&! -35'()*+,-. แลคเตทจึงต้ องถูกเปลี#ยนกลับไปเป็ นไพรู เว็ตก่อนที#จะถูกเปลี#ยนแปลง
ต่อไป บทบาทที#สําคัญของการรี ดิวซ์ไพรู เว็ตไปเป็ นแลคเตทคือ การสร้ าง!/"0" ขึ Oนมาทดแทน เพื#อทําให้ วิถีไกล
โคไลซิสสามารถเกิดขึ Oนต่อไปได้ ในกล้ ามเนื Oอลายและเม็ดเลือดแดงที#ทํางาน!
เยื#อหุ้มของเซลล์บางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ#งเซลล์กล้ ามเนื Oอหัวใจ %I'4@+'<! -C,<*3! <3**.
ประกอบด้ วยตัวพา %I'44+34.! ที#ซงึ# ย่อมให้ ไพรู เว็ตและแลคเตทสามารถผ่านได้ %$34-3'(*3. สารทังO ๒ ชนิด
สามารถแพร่ ออกจากเซลล์กล้ ามเนื Oอลายเข้ าสูก่ ระแสเลือด จากนันจึ O งแพร่ เข้ าสูเ่ ซลล์ตา่ งๆ ที#มีตวั พาเหล่านี Oได้
เมื#อสารเข้ าสูภ่ ายในเซลล์เม็ดเลือดแดงที#ลําเลียงออกซิเจน %b3**K)B9?3&'53@! <3**.! แลคเตทจึงถูกเปลี#ยน
กลับไปเป็ นไพรู เว็ต เข้ าสูว่ ฏั จักรกรดซิตริ กและกระบวนการออกซิเดทีฟฟอสโฟรี เลชันเพื#อสร้ าง! "#$ การใช้
แลคเตทสร้ างพลังงานแทนกลูโคสของเซลล์เหล่านี O ทําให้ ในกระแสเลือดมีระดับกลูโคสมากพอสําหรับกล้ าม-
เนื Oอที#กําลังทํางาน แลคเตทที#มีปริ มาณมากเกินพอเข้ าสูเ่ ซลล์ตบั และถูกเปลี#ยนไปเป็ นไพรู เว็ตและกลูโคสโดย
วิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ดังนันตั O บจึงเป็ นอวัยวะที#ทําหน้ าที#ฟืนO ฟู %:3,5)43. ระดับกลูโคสที#จําเป็ นต่อการทํางานของ
กล้ ามเนื Oอ ซึง# ได้ รับ "#$!มาจากวิถีไกลโคไลซิสที#มีการเปลี#ยนกลูโคสไปเป็ นแลคเตท กล้ ามเนื Oอลายที#หดตัวเป็ น
ตัวที#สร้ างแลคเตทให้ กบั เซลล์ตบั ซึง# เซลล์ตบั ใช้ แลคเตทในการสร้ างกลูโคส เรี ยกปฏิกิริยาเหล่านี Oว่า “./0*/!1%(
1'” %I)4+!<9<*3.!(รู ป ๕.๑๐)!
!
!
รูป ๕.๑๐ แสดงวัฏจักรคอรี 9G&,*!%7%#(@
! แลคเตทสร้ างจากกล้ ามเนื 6อถูก
เปลียK นเป็ นกลูโคสโดยเซลล์ตบั
! วัฏจักรนี 6เป็ นการย้ ายเมตาบอลิ
! ซึมทีKอาจเป็ นภาระของเซลล์
กล้ ามเนื 6อทีKทาํ งานไปยังเซลล์ตบั !
!
!
!
!

!
! ๑๕๙
! บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซสิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
เอนไซม์แลคเตทดีไฮโดรจีเนสมีหลายรู ปแบบ %=,)Q9-+<!2)4-,. ซึง# แตกต่างกันในเนื Oอเยื#อแต่ละชนิด
ทําหน้ าที#เร่ งปฏิกิริยาเปลี#ยนไพรู เว็ตไปเป็ นแลคเตท เอนไซม์ชนิดนี Oเป็ นเตตระเมอร์ %#354'-34.! ที#ประกอบด้ วย
ซับยูนิต ๒ ชนิดที#มีขนาด ๓๕ กิโลดัลตัน ซับยูนิตชนิดเอช %1! 5963. เป็ นชนิดที#พบได้ มากในเซลล์กล้ ามเนื Oอ
หัวใจ และชนิดเอ็ม %H!5963. พบมากในเซลล์กล้ ามเนื Oอลายและตับ ซับยูนิตเหล่านี Oสามารถเรี ยงตัวเป็ นเตตระ
เมอร์ ได้ รูปแบบต่างๆ ๕ รู ปแบบคือ 1$S!1%H&S!1!H!S!1&H%!และ!H$!1$!+,)Q9-3!%#963!O. มีความชอบในการจับ
กับซับสเตรท %1+?7!'22+&+59. กว่า H$!+,)Q9-3!%#963!a.!และ!H$!ถูกยับยังการทํ O างานด้ วยไพรู เว็ตระดับสูง!
$1%Q,R-C1?)1S(@ 1/= %"*<)7)*+,-. !"#T?.N!"#$%-7&!1NM-)"S(JA2U? %196)?*9<3-+'.!
โรคพิษสุราเรื อO รัง มีโอกาสที#จะเกิดภาวะกลูโคสในกระแสเลือดตํ#าได้ ง่าย นอกจากนี Oภาวะทุ
โภชนาการ %$))4! &C54+5+)&. และแอลกอฮอล์เองถูกเปลี#ยนแปลงไปเป็ นอะซีเตท (อะเซ็ทติล–โคเอ) รวมทังจะO
พบว่าในไซโตพลาสซึมยังมีระดับของ!/"01 สะสมอยู่ปริ มาณสูงจากปฏิกิริยาของเอนไซม์แอลกอฮอล์ดีไฮโดร
จีเนสและอะเซ็ทตัลดีไฮด์ดไี ฮโดรจีเนส จะขัดขวางการสร้ างกลูโคสโดยวิถีกลูโคนีโอเจนีซิส ภาวะที#มีระดับ!
/"01 สูงมักทําให้ มีการสร้ าง!
− แลคเตทจากไพรู เว็ต!
− มาเลตจาก!R"" ในไซโตพลาสซึม!
− กลีเซอรอล ๓–ฟอสเฟตจาก!01"$!

ผลก็คือ ทําให้ มีการเบี#ยงเบนซับสเตรทสําหรับวิถีกลูโคนีโอเจนี


ซิสไม่ให้ เข้ าสูว่ ิถีการสร้ างกลูโคส (รู ป ๕.๑๑)!
การที#ในไซโตพลาสซึมมีการสะสม! /"01 และกลีเซอรอล ๓–
ฟอสเฟต อาจทําให้ มีการสะสมไขมันในตับของผู้ป่วยด้ วยโรคพิษสุราเรื อO รัง ()* +.,,!!/#%&6&#!H(43?&#*-8!
ได้ กรดไขมันอิสระ %G433! 2'559! '<+@. ที#ถกู ปลดปล่อยออกมาจากเนื Oอเยื#อ
ไขมันจะเข้ าสูเ่ ซลล์ตบั เพื#อเข้ าสูว่ ิถีเบต้ า–ออกซิเดชันในอัตราที#ช้ามาก (เพราะมี!/"01 สูง) ในกรณีที#มีกลีเซอ-
รอล ๓–ฟอสเฟตสูง กรดไขมันจะไม่เหมาะสมสําหรับเก็บไว้ ในตับในรูปของไตรกลีเซอรอล!
!?1((!!U?"/=!?9(96?=O&/!M"N!?1JS52 M("!(I("L %J3;343!AB34<+,3!'&@!"*<)7)*!
I)&,C-65+)&.!
ทันทีหลังจากแข่งขันการวิ? งมาราธอนระยะทาง ๒๖ ไมล์ ชายหนุ่มอายุ ๒๔ ปี มี อาการเสียนํJา
อย่างหนัก "#$%&'(')*! +',*+&-%'. และกระหายนํJามาก เขาจึงดืม? เบี ยร์ แช่เย็น ๖ กระป๋ อง
และในช่วงเวลาสันJ ๆ ไม่นานหลังการดืม? เบี ยร์ ดงั กล่าวเขามี อาการอ่อนเพลี ยอย่างมากและ
หน้ามื ดและล้มลง เขาบอกว่ากล้ามเนือJ ของเขาเป็ นตะคริ วและปวด!
แม้ วา่ ผลของแอลกอฮอล์จะไม่เกี#ยวข้ องกับการควบคุมวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสโดยฮอร์ โมนก็ตาม แต่
การดื#มแอลกอฮอล์ปริ มาณมากสามารถทําให้ ระดับกลูโคสในกระแสเลือดลดตํ#าลงอย่างรุ นแรง %J3;343!796)K
?*9<3-+'. ได้ หลังจากการวิ#งมาราธอน กล้ ามเนื Oอที#กําลังออกกําลังกายจะมีการสร้ างกรดแลคติกในกล้ ามเนื Oอ
เนื#องจากวิถี! "&'34)(+<! ?*9<)*9,+, ทําให้ กล้ ามเนื Oอเกิดเป็ นตะคริ วและปวด แลคเตทจํานวนมาเหล่านี Oถูก
ถ่ายเทเข้ าสูก่ ระแสเลือดและถูกเปลี#ยนเป็ นกลูโคสในเซลล์ตบั ซึง# เป็ นส่วนหนึง# ของวัฏจักรคอรี# แต่การดําเนิน
ไปของวิถีกลูโคนีโอเจนีซิสนันขั
O นตอนปฏิ
O กิริยาที#ถกู เร่ งโดยเอนไซม์แลคเตทดีไฮโดรจีเนสต้ องการใช้ ! /"0 เพื#อ
ออกซิไดซ์แลคเตทไปเป็ นไพรู เว็ต อย่างไรก็ตาม /"0 ที#มีอยู่อย่างเพียงพอถูกใช้ ไปกับเมตาบอลิซมึ ของ

!
! ๑๖๐
บทที$ ๕ กลูโคนีโอเจนีซ! สิ !"#$%&'(&)('(*+*,-
แอลกอฮอล์ จึงทําให้ ไม่สามารถเกิด!E'<5'53!)B+@'5+)& ได้ จึงทําให้ ชายคนนี Oเกิดภาวะ!H35'()*+<!'<+@),+, (มี
กรดจากวิถีเมตาบอลิซมึ มากเกิน) และทําให้ เกิดภาวะ!196)?*9<3-+'!
----------------------------------------!

You might also like