Professional Documents
Culture Documents
งานค้างบทที่5
งานค้างบทที่5
จัดทาโดดย
ั ข� ธีระตานนท� เลขที่ 92
นาย อนุ รก
เสนอ
อาจารย์ ฮัชวานี ดารากัย
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการช่วยเหลือสุขภาพบุคคลที่บ้านและในชุมชน
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2567
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี นครศรีธรรมราช
คานา
รายงานเล่มนี้จัดทาขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชาการช่วยเหลือสุขภาพบุคคลที่บ้านและในชุมชน
เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องราวของการวิเคราะห์ การประเมินBMI สัณญาณชีพ ADL สรุปปัญหา
อาการที่ผิดปกติที่พบจากกรณีศึกษา โดยได้ศึกษาผ่านแหล่งความรู้ต่างๆ ตารา หนังสือ วารสาร ห้องสมุด และ
แหล่งความรู้จากเว็บต่างๆ โดยรายงานเล่มนี้ มีเนื้อหาความหมายเกี่ยวกับโรคทางสมองของผู้สูงอายุ ชนิดของ
โรคทางสมองอัลไซเมอร์ อาการและการรักษารวมถึงการช่วยเหลือดูแล
ผู้จัดทาหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หากผิดพลาดประการใดผู้จัดทาขอนอบรับไว้
และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
คณะผู้จัดทา
02/พ.ค./67
สารบัญ
บทที่ หน้า
คาชี้แจง CASEที1่ 1
ประเมินร่างกายขั้นเบื้องต้น 2
สัญญาณชีพ หรือ ชีวสัญญาณ (Vital signs) 3
สัญญาณชีพพื้นฐาน 4
แบบประเมินคัดกรอง ADL 5
ส่วนที่ 1 เปลี่ยนแปลงการกินอาหาร 6
ส่วนที่ 2 มีกิจกรรมทางกายให้มากขึ้น 7
ส่วนที่ 3 มองหาแรงสนับสนุนจากภายนอก 8
1
ประเมินร่างกายขั้นเบื้องต้น
(BMI V/S ADL พร้อมแปลผล และอาการผิดปกติที่พบจากกรณีศึกษา)
ดัชนีมวลกาย (Body mass index : BMI) = น้าหนักตัวเป็นกิโลกรัม
ส่วนสูงเป็นเมตร2
= 92 .
(1.65 x 1.65)2
= 33.79 กก./ม.
แปลผลว่า
33.79 กก./ม.อ้วน เป็นน้าหนักที่ค่อนข้างอันตราย เสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงที่แฝงมากับความอ้วน
หากค่า BMI อยู่ในระดับนี้ จะต้องปรับพฤติกรรมการทานอาหาร ต้องออกกาลังกาย ควรไปตรวจสุขภาพ
และปรึกษาแพทย์
3
สัญญาณชีพพื้นฐาน
แบบประเมินคัดกรอง ADL
แปลผลว่า
สรุปปัญหาของผู้ป่วยที่พบ
ผู้ป่วยมีปัญหาด้านเคลื่อนไหว ต้องใช้ Walker มีอาการมือสั่น ย หา
ทางด้านระบบประสาท จาไม่ได้ว่ารับประทานอาหารและยาหรือยัง ไม่ทราบวัน เดือน ปี จาได้เฉพาะคนใน
บ้าน ญาติที่นาน ๆ พบกันจะเรียกชื่อไม่ได้ ผู้ป่วยมีปัญหาด้านระบบขับถ่าย
6
แนะนาว่า
ส่วนที่ 1 เปลี่ยนแปลงการกินอาหาร
1.กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
ถ้าคุณต้องการลดค่าดัชนีมวลกาย ให้เปลี่ยนอาหารที่กินดู อาหารแย่ๆ เป็นสาเหตุของการมีดัชนีมวล
กายสูงได้ มองหาอาหารที่สมดุลและดีต่อสุขภาพมากขึ้น
เพิ่มผักกับผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพเข้าไปในอาหารที่จะกิน อย่างน้อยควรมีผักผลไม้ห้าส่วนต่อวันเพื่อให้ดี
ต่อสุขภาพ ให้แน่ใจว่ามีผักใบสีเขียวอยู่ในอาหาร เช่น ผักโขม ผักกาดหอม คะน้า และอื่นๆ
อาหารที่กินควรมีคาร์โบไฮเดรตประกอบอยู่ด้วย อย่างไรก็ดี แป้งและคาร์บที่ผ่านการแปรรู ปจะทาให้
น้าหนักตัวเพิ่ม ให้กินขนมปังโฮลวีท ข้าวกล้อง และอาหารโฮลเกรนอื่นๆ ถ้าคุณจะกินมันฝรั่ง ให้เลือก
มันหวานซึ่งมีสารอาหารมากกว่า กินมันฝรั่งทั้งเปลือกเพื่อเพิ่มไฟเบอร์
นอกเหนือจากโปรตีนในรูปแบบของเนื้อวัว ควรดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมแบบพร่องมันเนยแค่
พอประมาณ ปริมาณแคลอรี่ควรมาจากเนื้อสัตว์และคาร์โบไฮเดรตที่ดีต่อสุขภาพ เลือกกินเนื้อไขมัน
ต่าอย่างเนื้อไก่หรือปลา มากกว่าเนื้อที่หนักกว่าและไขมันเยอะกว่าอย่างเนื้อวัวหรือหมู
2.ลดน้าตาล
น้าตาลเป็นตัวการสาคัญในการทาให้ดัชนีมวลกายสูง คนทั่วไปบริโภคน้าตาลสูงกว่าคาแนะนา คุณไม่ควร
กินน้าตาลมากเกิน 12 ช้อนชาต่อวัน
เพิ่มความระมัดระวังเวลากินอาหารเช้า ซีเรียลจานวนมากผสมน้าตาลสูง ถ้าชอบกินซีเรียลจริงให้
ตรวจดูฉลากว่าในหนึ่งหน่วยบริโภคมีน้าตาลผสมอยู่แค่ไหน ลองคิดกินโอ๊ตมีลหรือโยเกิร์ตธรรมดาที่
เติมผลไม้ลงไปแทน
ระวังอาหารที่ผสมน้าตาล อาหารหลายชนิด เช่น ซุปกระป๋องและพาสต้าจะผสมน้าตาลสูง ให้อ่าน
ฉลากอาหารทุกครั้งตอนซื้อ เลือกอาหารที่มีน้าตาลน้อยหรือปลอดน้าตาล
หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มผสมน้าตาล ลองเปลี่ยนจากน้าอัดลมธรรมดามาเป็นแบบไดเอท อย่าเติมน้าตาลลง
ไปในกาแฟตอนเช้า น้าผลไม้ที่มักถูกมองว่าดีต่อสุขภาพก็มักจะมีน้าตาลสูงและคุณค่าทางสารอาหาร
ต่ากว่าแค่กินผลไม้
3.ระวังคาร์โดบไฮเดรตว่างเปล่า
คาร์บว่างเปล่าแย่ไม่แพ้น้าตาลในเรื่องการทาให้อ้วน อาหารที่มีส่วนผสมของแป้งขาวหรือขัดสีมีคุณค่าทาง
สารอาหารน้อยและทาให้หิวบ่อย อาหารแปรรูปมักจะมีคาร์บว่างเปล่าสูงและยังมีระดับเกลือกับน้าตาลใน
ระดับที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เลือกอาหารโฮลเกรนหรือโฮลวีทแทนอาหารแปรรูปหรือผ่านการขัดสี
4.เลี่ยงการไดเอทแบบทางลัดหรือคุยโดม้ว่าลดได้ทันตา
การไดเอทแบบนี้มักให้สัญญาว่าจะลดน้าหนักลงได้ในเวลาอันรวดเร็ว พึงจาไว้ว่าการไดเอทแบบคุยโม้นี้
อาจทาได้ในระยะสั้นแต่ไม่ได้ผลในระยะยาวเท่าการไดเอทแบบถูกต้องและการเปลี่ยนวิถีชีวิต เอาเข้าจริงได
เอทคุยโม้พวกนี้บางตัวยังส่งผลเสียในระยะยาวยิ่งกว่าด้วยซ้า เพราะกฎเกณฑ์การไดเอทนั้นยากจะทาตามได้
เป็นเวลายาวต่อเนื่อง ควรมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตจะดีกว่า จาไว้ว่าอัตราการลดน้าหนักที่ดีต่อ
สุขภาพนั้นอยู่ที่สัปดาห์ละครึ่งถึงหนึ่งกิโลกรัมไดเอทไหนที่สัญญาว่าจะลดได้มากกว่านี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ
หรือไม่ก็คุยโม้โกหกไปอย่างนั้น
7
ส่วนที่ 2 มีกิจกรรมทางกายให้มากขึ้น
1.ออกกาลังกาย.
ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนแปลงค่าดัชนีมวลกาย คุณจาต้องเพิ่มการออกกาลังกายเข้าไปในกิจวัตร
ประจาวัน ลองเริ่มการออกกาลังกายให้เป็นกิจวัตรโดยตั้งเป้าเพื่อลดดัชนีมวลกายลง
ถ้าคุณมีน้าหนักตัวเกินเกณฑ์หรืออ้วน แนะนาให้ออกกาลังกายในระดับปานกลางรวม 150 นาทีต่อ
สัปดาห์ (นั่นคือออกกาลังกาย 30-นาทีสัปดาห์ละห้าครั้ง) มันอาจอยู่ในรูปแบบของการเดิน จ๊อกกิ้ง
เบาๆ หรือเต้นแอโรบิกเบาๆ ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะเริ่มยังไงดี ลองเข้ายิมและทดลองเล่นอุปกรณ์
หลายๆ แบบดู[9]
ถ้าเวลา 150 นาทีนั้นดูหนักหนาเกินไป แต่เริ่มขยับตัวเป็นเวลาสั้นๆ 10–15 นาทีเพื่อเตรียมร่างกาย
ไปให้ถูกทาง การขยับร่างกายเพิ่มขึ้นถือเป็นการเริ่มต้นที่ดียิ่งกว่าการอยู่เฉยๆ ถ้าคุณรู้สึกหวั่นกลัว
บรรยากาศในยิม ก็ให้ใช้วิดีโอการออกกาลังกายมาเปิดในบ้านเองก็ได้
หากต้องการจะลดน้าหนักได้มากและเร็วขึ้น ตั้งเป้าไว้ที่เวลารวม 300 นาทีต่อสัปดาห์ จาไว้ว่าเมื่อคุณ
เริ่มคุ้นกับการออกกาลังกายที่หนักขึ้นและทาได้นานขึ้นแล้ว คุณอาจเพิ่มปริมาณเวลารวมที่จะออก
กาลังกายในแต่ละสัปดาห์ขึ้นได้[10]
2,เคลื่อนไหวตลอดทั้งวัน.
การออกกาลังกายเป็นประจาเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่าคิดว่าการได้ไปยิมหนึ่ง ชั่วโมงสัปดาห์ละสองสามหน
จะทาให้คุณสามารถนั่งอืดในชีวิตประจาวันได้ แค่ขยับร่างกายให้ได้ตลอดทั้งวันจะเผาผลาญแคลอรี่
และลดดัชนีมวลกายลงได้ แค่เปลี่ยนแปลงอะไรเล็กๆ น้อยๆ อย่างจอดรถให้ไกลจากร้านขึ้นอีกหน่อย
เดินไปทางานหรือไปซื้อของชาถ้าทาได้ ทางานบ้านที่ต้องใช้แรง ทางานอดิเรกอย่างทาสวนหรือ
ออกไปปั่นจักรยานซึ่งจาเป็นต้องขยับร่างกาย[11]
3.มองหาคาแนะนาจากมืออาชีพ.
ถ้าคุณจะเปลี่ยนจากการอยู่นิ่งมาขยับร่างกาย จาเป็นที่คุณจะต้อง ไม่ฝืนตนเอง การเปลี่ยนมา
ออกกาลังกายเป็นประจาเร็วเกินไปนั้นสามารถทาให้เกิดปัญหาทางร่างกายได้ คุยกับครูฝึกหรือหมอก่อนเริ่ม
ออกกาลังกายครั้งใหม่ มืออาชีพทางการแพทย์หรือฟิตเนสสามารถช่วยประเมินระดับความฟิตในขณะนั้นของ
คุณและหาแนวการออกกาลังที่เหมาะกับคุณได้
ส่วนที่ 3 มองหาแรงสนับสนุนจากภายนอก
1.ถามหมอถึงยาลดน้าหนัก.
ถ้าคุณมีดัชนีมวลกายสูงเกิน 30 หรือมีโรคประจาตัวอย่างเบาหวาน หมอ อาจต้องการให้คุณใช้ยาลด
น้าหนัก การใช้ยานั้นร่วมกับการคุมอาหารที่ดีต่อสุขภาพและการออกกาลังกายเป็นประจา สามารถช่วยให้
น้าหนักลดลงได้มากขึ้น
หมอจะตรวจสุขภาพในเวลาของคุณกับประวัติการรักษาก่อนจ่ายยา ให้แน่ใจว่าได้ถามหมอถึง
คาแนะนาการกินยาที่ต้องให้หมอจ่าย ต้องนึกถึงผลข้างเคียงที่เป็นไปได้จากยาที่คุณจะใช้
8
2.มองหาการให้คาปรึกษา.
หลายคนมีปัญหาเรื่องการกินเนื่องจากอารมณ์หรือพฤติกรรม ผู้เชี่ยวชาญ ทางสุขภาพจิตที่ได้รับการ
ฝึกฝนมาสามารถช่วยระบุปัญหาเหล่านี้และสอนคุณตรวจสอบอาหารที่กินกับวิธีรับมือการโหยหาอาหารได้
เมื่อเป็นเรื่องของการลดน้าหนัก โปรแกรมบาบัดแบบเข้มข้น 12 ถึง 24 ครั้งมักจะได้ผลที่สุด ถาม
หมอให้ช่วยแนะนานักสุขภาพจิตที่มีประสบการณ์ในเรื่องลดน้าหนักหรือการบาบัดความผิดปกติ
ทางการกินอาหาร
ถ้าคุณอึดอัดกับการบาบัดแบบเข้มข้น การบาบัดทั่วไปที่เน้นครอบคลุมประเด็นสุขภาพจิตก็ยังอาจ
ช่วยได้
3.มองหากลุ่มให้แรงสนับสนุน.
กลุ่มสนับสนุนจะทาให้คุณได้ติดต่อกับคนอื่นๆ ที่กาลังต่อสู้กับปัญหาด้านน้าหนักตัวเหมือนกัน ลอง
ตรวจหาจากโรงพยาบาล โรงยิม และโปรแกรมการลดน้าหนักในบริเวณแถวบ้านเพื่อหากลุ่มสนับสนุน คุณยัง
อาจหาตามอินเทอร์เน็ตถ้าหากไม่สามารถหาจากแถวบ้านได้
9
บรรณานุกรม
เมตตา โพธิ์ กลิ่น, et al. ความ สัมพันธ์ ระหว่าง อายุ เพศ ค่า ดัชนี มวล กาย และ ค่า เวลา ปฏิกิริยา การ
ตอบ สนอง ต่อ แสง และ เสียง ของ อาสา สมัคร คน ไทย ปกติ. มหาวิทยาลัย หัวเฉียว เฉลิมพระเกียรติ,
2015.
ธเนศ เวโรจน์ พร. "แผน ธุรกิจ อุปกรณ์ วัด ค่า สัญญาณ ชีพ ผ่าน อุปกรณ์ Tattoo ตรา" VitalTatt"=
BUSINESS PLAN ON VITAL SIGN WIRELESS DEVICE BRAND “VITALTATT”." (2018).
ภั ก ศจี ภร ณ์ ขันทอง, เอ กรินทร์ วทัญญู เลิศ สกุล, and ว จิ รา ภร ณ์ ประชุม รักษ์. "การ ประเมิน ผล
และ การ ถ่ายทอด เทคโนโลยี การ คัด กรอง ภาวะ สมอง เสื่อม ผ่าน แอ ป พลิ เค ชัน Dementia U-Care
ใน ชุมชน บ้าน หัว ดอน อาเภอ เขื่องใน จังหวัด อุบลราชธานี." วารสาร ศูนย์ อนามัย ที่ 9: วารสาร ส่งเสริม
สุขภาพ และ อนามัย สิ่งแวดล้อม 17.2 (2023): 576-589.
กมล วรรณ พง ษ์ กุล. "ปัจจัย ที่ มี ผล ต่อ แนวโน้ม และ ข้อ แนะนา การ บริโภค อาหาร คลี น เพื่อ สุขภาพ
ใน ทศวรรษ 2020." วารสาร วิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยี มหาวิทยาลัย ราชภัฏ ศรีสะเกษ 2.2 (2022):
AA1-AA9.
Kongpetch, Chadaporn. "การ ออกกาลัง กาย ใน ผู้ สูงอายุ." Thai Journal of Nursing 68.4 (2019):
64-71.