Professional Documents
Culture Documents
Mini เนติฯ 76 วิแพ่ง ข้อ 6 หน้า 1-20 (จบ)
Mini เนติฯ 76 วิแพ่ง ข้อ 6 หน้า 1-20 (จบ)
คำสั่งอนุญาตมีผลเมื่อใดและผลของคำสั่ง
กรณีศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองตามมาตรา 254 (1) ประกอบมาตรา 255 (1)
มาตรา 258 ว.1 คำสั่งศาลซึ่งอนุญ าตตามคำขอที ่ได้ ยื ่ น ตาม 1.จำเลยทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอก
มาตรา 254 (1) นั้น ให้บังคับจำเลยได้ทันทีแล้วแจ้งคำสั่งนั้นให้จำเลย 2.ก่อนแจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบ
ทราบโดยไม่ชักช้า แต่จะใช้บังคับบุคคลภายนอกซึ่งพิสูจน์ได้ว่าได้รับโอน 3.บุคคลภายนอกซึ่งพิสูจน์ไ ด้ว่ าได้ รั บ
สุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนการแจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบมิได้ โอนสุจริตและเสียค่าตอบแทน
Ex.ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้คุ้มครองชั่วคราวฯตามคำขอของโจทก์ โดยให้ยึดรถยนต์พิพาท ก่อนศาลแจ้ง
คำสั่งให้จำเลยทราบ จำเลยยกรถยนต์คันนั้นให้แก่นายดำโดยนายดำไม่ทราบคำสั่ง นายดำอ้างสิทธิในรถยนต์คันนั้นขึ้น
ต่อสู้ใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้เพราะนายดำมิได้เสียค่าตอบแทน (ผช.ใหญ่ 48/1,
เนติ 74 ที่ดิน)
กรณีศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองตามมาตรา 254 (2)
มาตรา 258 ว.2 คำสั่งศาลซึ่งอนุญาตตามคำขอที่ได้ยื่น มาตรา 258 ทวิ ว.1 การที่จำเลยได้ก่อให้เกิด โอน หรือ
ตามมาตรา 254 (2) นั ้ น ให้ บ ั ง คั บ จำเลยได้ ท ั น ที เปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่พิพาท หรือทรัพย์สินของ
ถึงแม้ว่าจำเลยจะยังมิได้รับแจ้งคำสั่งเช่นว่านั้นก็ ต าม จำเลยภายหลังที่คำสั่งของศาลที่ห้ามโอน ขาย ยักย้าย หรือ
เว้ น แต่ ศ าลจะได้ พ ิ เ คราะห์ พ ฤติ ก ารณ์ แ ห่ ง คดี แ ล้ ว จำหน่าย ซึ่งออกตามคำขอที่ได้ยื่นตามมาตรา 254 (2) มีผล
เห็นสมควรให้คำสั่งมีผลบังคับเมื่อจำเลยได้รับแจ้งคำสั่ง ใช้บังคับแล้วนั้น หาอาจใช้ยันแก่โจทก์หรือเจ้าพนักงาน
เช่นว่านั้นแล้ว บังคับคดีได้ไม่ ถึงแม้ว่าราคาแห่งทรัพย์สินนั้นจะเกินกว่า
จำนวนหนี้และค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องและการ
บังคับคดี และจำเลยได้จำหน่ายทรัพย์สินเพียงส่วนที่เกิน
จำนวนนั้นก็ตาม
โจทก์ขอคุ้มครองชั่วคราวกรณีฉุกเฉิน
บทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง มาตรา 266, 267, 268, 269, 270 (ไม่ใช้กับมาตรา 264)
หลักเกณฑ์การขอ (มาตรา 266)
***มาตรา 266 ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินเมื่อโจทก์ยื่นคำขอตามมาตรา 254 โจทก์จะยื่นคำร้องรวมไปด้วย
เพื่อให้ศาลมีคำสั่งหรือออกหมายตามที่ขอโดยไม่ชักช้าก็ได้ (ยื่น 2 คำร้อง พร้อมกัน)
เมื่อได้ยื่นคำร้องเช่นว่ามานี้ วิธีพจิ ารณาและชี้ขาดคำขอนั้น ให้อยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติมาตรา 267 มาตรา
268 และมาตรา 269
ผลของการขอกรณีฉุกเฉิน
1.ผลต่อศาล (มาตรา 267 วรรคหนึ่ง)
***มาตรา 267 ว.1 ให้ ศ าลพิ จารณาคำขอเป� น การด่ ว น ถ้ า เป� น ที ่ พ อใจจากคำแถลงของโจทก์ ห รื อ
พยานหลักฐานที่โจทก์ได้นำมาสืบ หรือที่ศาลได้เรียกมาสืบเองว่าคดีนั้นเป�นคดีมีเหตุฉุกเฉินและคำขอนั้นมีเหตุผล
สมควรอันแท้จริง ให้ศาลมีคำสั่งหรือออกหมายตามที่ขอภายในขอบเขตและเงื่อนไขไปตามที่เห็นจำเป�นทันที ถ้าศาลมี
คำสั่งให้ยกคำขอ คำสั่งเช่นว่านี้ให้เป�นที่สุด
กรณีโจทก์ยื่นคำขอฉุกเฉิน แต่ศาลมิได้นัดพิจารณาคำขอเป�นการด่วน เช่น นัดไต่สวนในอีก 4 ถึง 7 วันนับแต่
วันยื่นคำขอ หากต่อมาศาลมีคำสัง่ ให้ยกคำขอดังกล่าว คำสั่งดังกล่าวไม่เป�นที่สุด (ฎ.1509/2514, เนติ 63, 4554/2536)
2.ผลต่อจำเลย (มาตรา 267 วรรคสอง)
***มาตรา 267 วรรคสอง จำเลยอาจยื่นคำขอโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคำสั่งหรือหมายนั้นเสีย และให้นำ
บทบัญญัติแห่งวรรคก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำขอเช่นว่านี้อาจทำเป�นคำขอฝ่ายเดียวโดยได้รับอนุญาตจากศาล ถ้า
ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเดิมตามคำขอคำสั่งเช่นว่านี้ให้เป�นที่สุด
1) กรณีศาลมีคำสั่งให้คุ้มครองชั่วคราวฯกรณีฉุกเฉิน จำเลยมีสิทธิยื่นคำขอฝ่ายเดียวให้ศาลยกเลิกคำสั่งหรือ
หมายนั้นได้ตามมาตรา 267 ว.2 อย่างไรก็ตาม คำขอฝ่ายเดียวดังกล่าวมิใช่คำขอฝ่ายเดียวโดยเคร่งครัด (ดูมาตรา 21 (3)
ประกอบ) ดังนั้น ศาลจึงมีอำนาจ (ดุลพินิจ) ที่จะฟ�งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่นๆก่อนออกคำสั่งหรือไม่ก็ได้
ฎ.61/2525 ที่ศาลชั้นต้นไม่ส่งสำเนาคำร้องขอให้ศาลยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาในเหตุฉุกเฉิน
ของจำเลยให้โจทก์ และไม่ให้โอกาสโจทก์คัดค้านคำร้องของจำเลย จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
2) ถ้ า ศาลมี ค ำสั ่ งให้ย กเลิ ก คำสั ่ งคุ ้ มครองชั ่ ว คราวกรณี ฉุ ก เฉิ นตามคำขอของจำเลย คำสั ่ ง เช่ นว่า นี้ให้
เป�นที่สุด โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งยกเลิกดังกล่าว ตามมาตรา 267 วรรคสองตอนท้าย
ประเด็น กรณีจำเลยยื่นคำขอตามมาตรา 267 วรรคสอง หากต่อมาศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว
กรณีฉุกเฉินตามคำขอของจำเลย คำสั่งของศาลย่อมเป�นที่สุด โจทก์ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าศาลชั้นต้นได้
พิจารณาคำขอของจำเลยในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือพิจารณาฝ่ายเดียวหรือสองฝ่ายหรือไม่ (เนติ 67 ฎ.3529/39 )
ประเด็น กรณีจำเลยยื่นคำขอตามมาตรา 267 วรรคสอง หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอของจำเลย คำสั่ง
ดังกล่าวยังไม่เป�นที่สุด จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ได้ทันทีตามมาตรา 228 (2) โดยไม่ต้องโต้แย้ง หากต่อมาศาลอุทธรณ์พิพากษา
กลับให้ยกเลิกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวกรณีฉกุ เฉินของศาลชั้นต้น คำสั่งดังกล่าวของศาลอุทธรณ์ย่อมเป�นที่สุด โจทก์ไม่มีสิทธิ
ขออนุญาตฎีกา (ฎ.1112-1115/2536, 2866/2550, 407/2519, 4343/2536, 1142/2536)
การขอเพิกถอนหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งหรือหมาย
หลักการ เมื่อศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวตามมาตรา 254 จำเลยจะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 228 (2) หรือจะ
ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งตามมาตรา 261, 262 อย่างใดก็ได้ (ผช.ใหญ่ 62, คำสั่งคำร้องศาลฎีกา 70/2550)
กรณีที่ขอได้ (มาตรา 261,262)
1.วิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 254 ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอนั สมควรประการอื่นตามมาตรา 261
2.ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ทศี่ าลอาศัยเป�นหลักในการมีคำสัง่ อนุญาตเปลี่ยนแปลงไปตามมาตรา 262
3.ศาลเห็นสมควรเองตามมาตรา 261 วรรคสาม และมาตรา 262 วรรคหนึ่ง
กรณีที่ 1 วิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 254 ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น (ม.261)
*ม.261 ว.1 จำเลยหรือบุคคลภายนอกซึ่งได้รับหมายยึด หมายอายัด หรือคำสั่งตามมาตรา 254 (1) (2) หรือ (3) หรือ
จะต้องเสียหายเพราะหมายยึด หมายอายัด หรือคำสั่งดังกล่าว อาจมีคำขอต่อศาลให้ถอนหมาย เพิกถอนคำสั่ง หรือ
แก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่ง หมายยึด หรือหมายอายัด ซึ่งออกตามคำสั่งดังกล่าวได้ แต่ถ้าบุคคลภายนอกเช่นว่านั้นขอให้
ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดหรือคัดค้านคำสั่งอายัดให้นำมาตรา 323 หรือมาตรา 325 แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ว.3 ถ้าปรากฏว่าวิธีการที่กำหนดไว้ตามมาตรา 254 นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น ศาลจะมี
คำสั่งอนุญาตตามคำขอหรือมีคำสั่งอื่นใดตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ได้ ทั้งนี้ ศาลจะ
กำหนดให้ผู้ขอวางเงินต่อศาลหรือหาประกันมาให้ตามจำนวนและภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร...
1) จำเลยหรือบุคคลภายนอกจะฟ้องเป�นคดีใหม่ไม่ได้ (ฎ.2624/2543 เนติ 69)
ฎ.2624/2543 (ข้อสอบเนติ สมัย 69) บุคคลภายนอกซึ่งอ้างว่าจะต้องเสียหายเพราะหมายห้ามชั่วคราวในคดี
เดิม หากประสงค์จะขอให้ศาลถอนหมายห้ามชั่วคราวก็ชอบที่จะยื่นคำขอในคดีเดิมตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 261 วรรคหนึ่ง
ไม่อาจฟ้องขอให้หมายห้ามชั่วคราวดังกล่าวไม่มีผลบังคับเป�นคดีใหม่ได้
2) คดีที่มีจำเลยหลายคน จำเลยที่มีสิทธิขอต้องเป�นจำเลยคนที่ถกู บังคับตามวิธกี ารในมาตรา 254 เท่านั้น
ส่วนจำเลยอื่นที่มิได้ถูกบังคับตามวิธีการดังกล่าวไม่มีสิทธิขอ (เทียบเคียง ฎ.692/2544 ข้อสอบสมัย 59)
3) การยื่นคำขอตามมาตรา 261 นั้นในวรรคสามกำหนดเงื่อนไขว่า ต้องปรากฏว่าวิธีการที่กำหนดไว้ตาม
มาตรา 254 นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น ดังนั้น หากเป�นกรณีคำฟ้องไม่มีมูล จำเลยหรือ
บุคคลภายนอกจะยื่นคำขอตามม.261 ไม่ได้ (ฎ.4426/2543)
4) ม. 261 ไม่ใช้กบั ม.264 (แต่ม.260, 262 ใช้กับมาตรา 264)
กรณีที่ 2 ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาลอาศัยเป�นหลักในการมีคำสั่งอนุญาตเปลี่ยนแปลงไป (ม.262)
***มาตรา 262 ถ้าข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาลอาศัยเป�นหลักในการมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอในวิธีการ
ชั่วคราวอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเปลี่ยนแปลงไป เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อจำเลยหรือบุคคลภายนอกตามที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา 261 มีคำขอศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณาจะมีคำสั่งแก้ไขหรือยกเลิกวิธีการเช่นว่านั้นเสียก็ได้
ว.2 ในระหว่างระยะเวลานับแต่ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีหรือชี้ขาด
อุทธรณ์ไปจนถึงเวลาที่ศาลชั้นต้นได้ส่งสำนวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี คำขอ
ตามมาตรานี้ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้นและให้เป�นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะมีคำสั่งคำขอเช่นว่านั้น (เหมือน ม.254 ว.2)
1) มาตรา 262 นำไปใช้กับมาตรา 264
2) กรณีตามมาตรา 262 นัน้ เป็ นกรณีท่ศี าลได้มคี าํ สั่งให้ใช้วิธีการชั่วคราวตามมาตรา 254 โดยชอบ แต่ต่อมา
ภายหลังปรากฏว่า ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ท่ศี าลอาศัยเป็ นหลักในการมีคาํ สั่งอนุญาตตามคําขอในวิธีการชั่วคราวอย่าง
ใดอย่างหนึง่ นัน้ เปลี่ยนแปลงไป
ติวกฎหมายเข้าใจง่าย สอบผ่านสบาย ต้องติวกับ อาจารย์เป้ & อาจารย์ตูน T.086-987-5678, Line @smartlawtutor
อาจารย์เป้ SmartLaw MINI เนติ 2/76 กลุ่มวิแพ่ง ข้อ 6 หน้า 12
Ex. โจทก์ยื่นคำขอตามมาตรา 254 (1) โดยอ้างว่าจำเลยมีทรัพย์เพียงอย่างเดียวคือ โฉนดที่ดินเลขที่ 111 โจทก์
เกรงว่าจำเลยจะโอนขาย ทำให้โจทก์บังคับคดีไม่ได้ จึงขอให้ศาลมีคำสั่งยึดที่ดินดังกล่าวไว้ชั่วคราว ศาลไต่สวนมีคำสั่งตาม
คำขอของโจทก์ หลังจากนั้นปรากฏว่าจำเลยถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 จำนวน 30 ล้าน หรือได้รับมรดกจำนวนมาก ทำให้
จำเลยมีทรัพย์สินอื่นที่โจทก์สามารถบังคับคดีได้ จำเลยย่อมมีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งยึดชั่วคราวได้
***3) กรณีคดีนั้นอยู่ในระหว่างระยะเวลายื่นอุทธรณ์หรือฎีกา หากปรากฏว่า ข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ที่ศาล
อาศัยเป�นหลักในการมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอในวิธีการชั่วคราวอย่างใดอย่างหนึ่งนั้นเปลี่ ยนแปลงไป จำเลยหรือ
บุคคลภายนอกมีสิทธิยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นได้ ส่วนอำนาจสั่งเป�นของศาลใดนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ (ม.262 ว.2)
2.1.) กรณียื่นคำขอขณะที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ส่งสำนวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นมีอำนาจสั่ง แม้จะยื่นคำขอหลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์
3.2.) กรณียื่นคำขอหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้ส่งสำนวนความที่อุทธรณ์หรือฎีกาไปยังศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งคำขอดังกล่าว ศาลชั้นต้นจะต้องส่งคำขอดังกล่าวไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาสั่งแล้วแต่กรณี
จำเลยขอให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน (มาตรา 263 ไม่ใช้กับมาตรา 264)
***มาตรา 263 ว.1 ในกรณีที่ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอในวิธีการชั่วคราวตามลักษณะนี้ จำเลยซึ่งต้อง
ถูกบังคับโดยวิธีการนั้นอาจยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นภายในสามสิบวันนับแต่วนั ที่มีคำพิพากษาของศาลที่มีคำสั่งตาม
วิธีการชัว่ คราวนั้น ขอให้มีคำสั่งให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ในกรณีดงั ต่อไปนี้
(1) คดีนั้นศาลตัดสินให้โจทก์เป�นฝ่ายแพ้ และปรากฏว่าศาลมีคำสัง่ โดยมีความเห็นหลงไปว่าสิทธิเรียกร้องของ
ผู้ขอมีมูล โดยความผิดหรือเลินเล่อของผูข้ อ
(2) ไม่ว่าคดีนนั้ ศาลจะชี้ขาดตัดสินให้โจทก์ชนะหรือแพ้คดี ถ้าปรากฏว่าศาลมีคำสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่า
วิธีการเช่นว่านี้มีเหตุผลเพียงพอ โดยความผิดหรือเลินเล่อของผู้ขอ
ว.2 เมื่อได้รับคำขอตามวรรคหนึ่ง ศาลมีอำนาจสั่งให้แยกการพิจารณาเป�นสำนวนต่างหากจากคดีเดิม และ
เมื่อศาลทำการไต่สวนแล้วเห็นว่าคำขอนั้นรับฟ�งได้ก็ให้มีคำสั่งให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยได้ตาม
จำนวนที่ศาลเห็นสมควร ถ้าศาลที่มีคำสั่งตามวิธีการชั่วคราวเป�นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เมื่อศาลชั้นต้นทำการไต่
สวนแล้ว ให้ส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี เป�นผู้สั่งคำขอนั้น ถ้าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาล
ศาลมีอำนาจบังคับโจทก์เสมือนหนึ่งว่าเป�นลูกหนี้ตามคำพิพากษา แต่ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ชดใช้ค่าสินไหม
ทดแทนตาม (1) ให้งดการบังคับคดีไว้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้โจทก์แพ้คดี
ประเด็น จำเลยจะนำเหตุดังกล่าวไปยื่นฟ้องคดีใหม่ก็ได้ (เนติ สมัย 68)
ประเด็น จำเลยจะใช้วิธฟี ้องแย้งมาในคำให้การไม่ได้
*ฎ.3319/2542 (ผู้พิพากษาสนามใหญ่ป� 58) ฟ้องแย้งของจำเลยสืบเนื่องมาจากการที่โจทก์ใช้สิทธิตาม
บทบัญญัติของ ป.วิ.พ. ในเรื่องวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวมีข้อกำหนดให้ผู้ขอใช้วิธีการชั่วคราวซึ่ง
ใช้สิทธิโดยมิชอบต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไว้แล้ว ดังนั้น หากการใช้สิทธิของโจทก์ทั้งสองเป�นไปโดยมิชอบ ก็ต้อง
บังคับตามบทบัญญัติของ ป.วิ.พ. ในลักษณะดังกล่าว ฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์รู้ว่าทางพิพาทไม่ตกอยู่ในภาร
จำยอม แต่ยังฟ้องคดีโดยไม่สุจริตและยื่นคำขอคุ้มครองชั่วคราวต่อศาลจนทำให้จำเลยเสียหาย ต้องรื้อรั้วและยอมให้
บุคคลอื่นใช้ทางพิพาท เป�นการกล่าวอ้างว่าเหตุที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอคุ้มครองชัว่ คราวของโจทก์เป�นความผิดของ
โจทก์ซึ่งโจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 263 (1) แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าว
โจทก์จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อศาลตัดสินให้โจทก์เป�นฝ่ายแพ้คดี ขณะจำเลยยื่นฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นยัง
ไม่ได้มีคำพิพากษาทั้งยังไม่แน่นอนว่าศาลชั้นต้นจะตัดสินให้โจทก์เป�นฝ่ายแพ้คดี สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของ
จำเลยยังไม่เกิด จำเลยยังไม่มีสิทธิฟ้องร้อง จึงไม่อาจรับฟ้องแย้งของจำเลยไว้พิจารณาได้ (ฎ.1002/29 แนวเดียวกัน)
คู่ความขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณา
***มาตรา 264 ว.1 นอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 253 และมาตรา 254 คู่ความชอบที่จะยื่นคำขอต่อศาล
เพื่อให้มีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา เช่น
ให้นำทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก หรือให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่
ทำการค้าที่พิพาท หรือให้จัดให้บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก
ว.2 คำขอตามวรรคหนึ่งให้บังคับตามมาตรา 21 มาตรา 25 มาตรา 227 มาตรา 228 มาตรา 260 และมาตรา 262
1.การขอตามม.264 สามารถขอในคดีมโนสาเร่ได้ด้วย เพราะกฎหมายมิได้ห้าม (เปรียบเทียบกับมาตรา 254)
2.การขอตามม.264 จะขอในกรณีฉุกเฉินไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ขอได้ เนื่องจากม.266 บัญญัติให้
ขอได้เฉพาะกรณีตามม.254 ประกอบกับม.264 ว.2 มิได้บัญญัติให้นำม.266 ถึง 270 มาใช้บังคับ (คร.1930/2551)
1.คู่ความมีสิทธิขอ
หลักการ คู่ความฝ่ายใดจะร้องขอก็ได้ (ฎ.1463/2515 เนติ 56, 62)
Ex 1. จำเลยมีสิทธิขอได้โดยไม่ต้องฟ้องแย้งไว้ก่อน (ฎ.7340/2542)
Ex 2. ผู้ยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีไม่มีข้อพิพาท จะมีสิทธิขอได้ต่อเมื่อศาลมีคำสั่งให้รับคำคัดค้านแล้ว
ฎ.7667/2551 ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านเข้ามาเป�นคู่ความเพื่อต่อสู้คดีกับผู้ร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำคัดค้าน
ซึ่งมีผลเป�นการไม่อนุญาตให้ผู้คัดค้านเข้ามาเป�นคู่ความ แม้ผู้คัดค้านได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับคำคัดค้าน
ดังกล่าว แต่ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น ดังนั้นในขณะยื่นคำร้องขอ
คุ้มครองประโยชน์ตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 ผู้คัดค้านมิใช่คู่ความ จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองประโยชน์ฯ
ประเด็น ผู้ร้องสอดย่อมมีสิทธิขอได้ต่อเมื่อศาลอนุญาตให้เข้ามาเป�นคู่ความในคดีแล้ว (ฎ.3947/40, 4741/33)
ฎ.3947/2540 ผู้ที่จะร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาหรือเพื่อบังคับตาม
คำพิพากษาตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 ต้องเป�นคู่ความในคดีที่ขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองนั้น ผู้ร้องสอดเพียงแต่ย่นื คำร้อง
ขอเข้ามาเป�นคู่ความ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องสอดเท่ากับไม่อนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป�นคู่ความ แม้ผู้ร้อง
สอดจะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ร้องสอดก็ไม่มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ตามมาตรา 264
2.ต้องยื่นคำขอต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีในขณะนั้น (ขอได้ทุกชัน้ ศาล)
1) มาตรา 264 ขอได้ทุกชั้นศาล แต่ต้องขอในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลใดศาลหนึ่ง (เนติ73)
Ex 1.ศาลสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ขอได้ (ฎ.421/2524) Ex 2. ขอหลังจากคดีถงึ ที่สุดไม่ได้ (ฎ.5662-5663/2545)
Ex 3.ยื่นคำขอโดยที่ยังไม่มีการยื่นอุทธรณ์ ขอไม่ได้ Ex 4.ยื่นอุทธรณ์ แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้สั่งรับอุทธรณ์ขอได้ ?
ฎ.8876/2551 คำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดที่ผู้ร้องยื่นระหว่างฎีกาขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ เป�นคำ
ร้องขอคุ้มครองประโยชน์ตามป.วิ.พ. มาตรา 264 ไม่ใช่คำร้องขอทุเลาการบังคับคดีตามม.231 (ผู้ร้องเป�นบุคคลภายนอกที่
อ้างว่าเป�นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกยึด) เมื่อคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว แต่ยังมิได้สั่งรับอุทธรณ์ กรณีจึงมิใช่คดีอยู่
ระหว่างการพิจารณาและมิใช่เป�นการขอคุ้มครองประโยชน์เพื่อบังคับตามคำพิพากษาเพราะผู้ร้องยังไม่ถูกบังคับคดี
การยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 264
ฎ.4457/2531 ผู้ร้อง (ขัดทรัพย์) ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนว่ามิได้เจตนาทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งและยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์ ดังนี้ คดีของผู้ร้องยังไม่ขึ้นมาสู่การพิจารณาของ
ศาลอุทธรณ์ จึงยังไม่มีเหตุจะพิจารณาให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้องในระหว่างอุทธรณ์
3.ต้องขอให้ศาลมีคำสัง่ กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอในระหว่างการ
พิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษา
หลักการที่ 1 คู่ความจะมีคำขอตามมาตรา 264 นอกเหนือจากคำฟ้องหรือคำขอท้ายฟ้องหรือคำให้การหรือประเด็น
ข้อพิพาทแห่งคดีไม่ได้ (หลักการเดียวกับคำขอตามมาตรา 254) โดยคำพิพากษาศาลฎีกาหลายฉบับอธิบายว่า การร้องขอ
คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาตามมาตรา 264 จะต้องเป�นการขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน
สิทธิ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งที่พิพาทกันในคดีนั้นได้รับความคุ้มครองไปจนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาหรือเพื่อ
บังคับตามคำพิพากษา
ตัวอย่างกรณีโจทก์ขอนอกเรื่อง (นอกเหนือจากคำฟ้องหรือคำขอท้ายฟ้อง)
1) กรณีโจทก์ฟ้องหรือจำเลยฟ้องแย้งให้ชำระเงิน (หนี้เงิน) ประเภทหนึ่ง จะขอให้อีกฝ่ายนำเงินอื่นๆหรือทรัพย์สินมา
วางศาล หรือจะขอให้โจทก์หาประกันหรือหลักประกันมาวางศาลไม่ได้ (ฎ.1360/2550,2580/2527 (เนติ 62), 4592/2539)
ฎ.610/2543 (ผู้พิพากษาสนามใหญ่ป� 59) โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย หากโจทก์ชนะคดีโจทก์
จะได้เงินค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดของจำเลย ไม่ได้ฟ้องเรียกเอาเงินค่าเช่าอาคารบนที่ดินพิพาทแต่อย่างใด ไม่มี
ประเด็นข้อพิพาทว่า ค่าเช่าอาคารบนที่ดินพิพาทควรจะเป�นของโจทก์หรือจำเลย จึงไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 264 ที่โจทก์จะ
ขอให้ห้ามจำเลยเก็บค่าเช่าและขอให้ศาลตั้งบุคคลอื่นไปเก็บค่าเช่าและดูแลกิจการแทน
2) ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งผู้จัดการมรดก แต่ไปขอให้ศาลกำหนดวิธีการเกี่ยวกับทรัพย์มรดกไม่ได้
ฎ.5722/2551 คำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของผู้คัดค้านที่ขอให้อายัดทรัพย์มรดกและห้ามผู้ร้องทำนิติกรรมใด
เกี่ยวกับทรัพย์มรดกจึงไม่เกี่ยวกับประโยชน์ของผู้คัดค้านที่มีอยู่ในคดี
ฎ.2432-2433/2566 คำขอของผู ้ ค ั ด ค้ า นในคดี น ี ้ ใ นระหว่ า งพิ จ ารณาคดี ข องศาลชั ้ น ต้ น ให้ ศ าลมี ค ำสั ่ ง ให้
ผู้ครอบครองโฉนดส่งโฉนดมาเพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวมและใช้เป�นพยานหลักฐานในคดีอื่น รวมทั้งเพื่อนำออกขาย ล้วนเป�นคำขอ
เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ยื่นคำขอเอง เมื่อเป�นคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของผู้ยื่นคำขอซึ่งเป�นคู่ความในคดี ในระหว่าง
พิจารณา การที่ศาลชั้นต้นมีคำสัง่ ยกคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์ดังกล่าวจึงเป�นคำสั่งอันเกี่ยวด้วยคำขอเพื่อคุ้มครองประโยชน์
ของคู่ความในระหว่างการพิจารณา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 228 (2) คำสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อม
อุทธรณ์ได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันมีคำสั่งเป�นต้นไปตามมาตรา 228 วรรคสอง
การร้องขอเพื่อให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 นั้น จะต้องเป�นการขอให้คุ้มครองประโยชน์ของผู้ขอเพื่อให้ทรัพย์สิน สิทธิ หรือประโยชน์
อย่างหนึ่งอย่างใดที่พิพาทกันในคดีได้รับการคุ้มครองไว้จนกว่าศาลจะได้พิพากษา
คดีนี้ผู้ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการมรดก มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดแต่เพียงว่า ผู้ร้องหรือผู้คัดค้านสมควร
เป�นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย มิได้พิพาทกันเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์มรดกของผู้ตาย ประโยชน์ของคู่ความจึงอยู่ที่ฝ่ายใด
จะได้เป�นผู้จัดการมรดกของผู้ตายหรือไม่เท่านั้น ยังไม่ได้อยู่ที่การจะได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือการนำทรัพย์
มรดกไปแสวงหาประโยชน์ การที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับโฉนดที่ดินให้ศาลในคดีนี้มีคำสั่งให้ผู้
ครอบครองโฉนดส่งโฉนดมาเพื่อแบ่งกรรมสิทธิ์รวมและใช้เป�นพยานหลักฐานในคดีอื่น รวมทั้งเพื่อนำออกขาย จึงไม่อยู่ใน
กำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาหรือเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ดังกล่าว (ศึกษาเพิ่มเติม ฎ.10434 -10435/2550, 1125/2551, 545/2534,2820/2539)
ติวกฎหมายเข้าใจง่าย สอบผ่านสบาย ต้องติวกับ อาจารย์เป้ & อาจารย์ตูน T.086-987-5678, Line @smartlawtutor
อาจารย์เป้ SmartLaw MINI เนติ 2/76 กลุ่มวิแพ่ง ข้อ 6 หน้า 15
ตัวอย่างกรณีจำเลยขอนอกเรื่อง (นอกประเด็นในคำให้การ นอกประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี)
ฎ.1463/2515 (เนติ สมัย 56, 62) โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์เรือน แม้จะปรากฏว่าโจทก์ให้บุคคลอื่น
เช่าเรือนนั้นและได้ค่าเช่าเป�นประโยชน์ตอบแทน จำเลยก็จะร้องขอให้ศาลสั่งให้โจทก์หรือผู้เช่านำเงินค่าเช่ามาวางศาลหา
ได้ไม่ เพราะผลของคดีถ้าจำเลยเป�นฝ่ายชนะศาลก็จะพิพากษายกฟ้องของโจทก์ไปตามคำขอท้ายคำให้การจำเลยเท่านั้น
ไม่มีผลบังคับไปถึงผลประโยชน์อันเป�นค่าเช่าตามที่จำเลยร้องขอคุ้มครองได้ เว้นไว้แต่จำเลยจะได้ฟ้องแย้งขอแสดง
กรรมสิทธิ์เรือนและเรียกค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาด้วย (*ฎ.3900/2532 เนติ 56, 61 วินิจฉัยแนวเดียวกัน)
หลักการที่ 2 คำขอตามมาตรา 264 กฎหมายได้แต่เพียงยกตัวอย่างไว้เท่านั้น เช่น ให้นำทรัพย์สินหรือเงินที่
พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก, ให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทำการค้าที่พิพาท, ให้จัดให้
บุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่ในความปกครองของบุคคลภายนอก ดังนั้น คู่ความจึงสามารถมีคำขออย่างอื่นได้
ข้อสำคัญ แต่ต้องมิใช่คำขอตามมาตรา 253, 254 และมิใช่คำขอทุเลาการบังคับตามมาตรา 231
Ex.คำขอให้นำทรัพย์สินหรือเงินที่พิพาทมาวางต่อศาลหรือต่อบุคคลภายนอก
ฎ. 940/2516 โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ที่ดินพิพาทและสิ่งปลูกสร้าง ย่อมขอให้ศาลสั่งกำหนดวิธีการ
คุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณา โดยให้จำเลยนำเงินค่าเช่าห้องแถวพิพาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะเสร็จคดีมา
วางศาลได้ เพราะถ้าศาลพิพากษาให้เพิกถอน โจทก์ย่อมมีสิทธิในเงินค่าเช่าห้องแถวนับแต่วันจดทะเบียนสัญญาให้ มิใช่
ตั้งแต่วันศาลพิพากษาให้เพิกถอนดังฟ้องขอให้เพิกถอนการให้ เพราะเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ
Ex.คำขอให้ตั้งผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทำการค้าที่พิพาท
ฎ.4277/2543 จำเลยเป�นผู้ถือหุ้นฝ่ายข้างน้อยเป�นผู้บริหารดำเนินกิจการของบริษัทที่พิพาท โดยจำเลยร่วมกับ
บุคคลภายนอกปลอมรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นว่าที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติปลดโจทก์ออกจากกรรมการผู้มีอำนาจ
ทำการแทนบริษัทที่พิพาทและตั้งจำเลยเป�นกรรมการมีอำนาจกระทำการแทนโจทก์จึงเป�นกรณีที่โจทก์มีเหตุสมควรที่จะ
ขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างการพิจารณาเพื่อให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้จัดการบริษัทเพื่อบริหาร
กิจการในระหว่างการพิจารณาได้ตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 และโดยที่โจทก์เป�นผู้ถือหุ้นฝ่ายข้างมาก การกำหนดสัดส่วน
ของผู้จัดการฝ่ายโจทก์ทั้งหกให้มีจำนวน 5 คนให้ร่วมกับจำเลยเป�นผู้จัดการเพื่อบริหารบริษัทที่พิพาทเป�นการชั่วคราว
ในระหว่างการพิจารณานั้นนับว่าเหมาะสมแล้ว คำสั่งดังกล่าวเป�นคำสั่งตามป.วิ.แพ่ง มาตรา 264 ที่ให้อำนาจศาลตั้ง
ผู้จัดการหรือผู้รักษาทรัพย์สินของห้างร้านที่ทำการค้าพิพาทได้ ทั้งเป�นคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ชั่วคราวในระหว่างการ
พิจารณาให้จนกว่าศาลจะได้มีคำพิพากษาเท่านั้น จึงยังถือไม่ได้ว่าเป�นเรื่องแก้ไขหรือเพิกถอนอำนาจกรรมการที่ได้จด
ทะเบียนไว้ ส่วนการกำหนดให้ผู้จัดการจำนวน 4 ใน 7 คนลงลายมือชื่อร่วมกันมีอำนาจกระทำการแทนบริษัทที่พิพาทได้
นั้น ก็เป�นกรณีมีคำสั่งเกี่ยวกับการกำหนดวิธีการเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ทั้งหกในอันที่จะทำให้บริษัทที่พิพาท
สามารถดำเนินกิจการไปได้โดยไม่มีป�ญหาหรืออุปสรรคในระหว่างการพิจารณาก่อนที่ศาลจะได้พิพากษา
คำขออย่างอื่น
ฎ.7340/2542 คดีนี้จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป�นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันเป�นทรัพย์สิน
ของรัฐ หากข้อเท็จจริงฟ�งได้ตามที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยชอบด้วย
กฎหมาย แม้โจทก์จะเข้าปลูกต้นยูคาลิปตัสโดยสุจริต ก็หาอาจใช้ยันจำเลยทั้งสองซึ่งเป�นตัวแทนของรัฐไม่ และต้นยูคา
ลิปตัสในที่ดินพิพาทที่โจทก์ปลูกย่อมไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะถือว่าไม่เป�นส่วนควบของที่ดินตาม ป.พ.พ. มาตรา 146
ฉะนั้น หากให้โจทก์ตัดต้นยูคาลิปตัสไปในระหว่างพิจารณา ภายหลังจำเลยเป�นฝ่ายชนะคดีย่อมจะก่อให้เกิดความเสียหาย
แก่รัฐได้ จึงสมควรที่จะสั่งห้ามไม่ให้โจทก์เข้าตัดฟ�นต้นยูคาลิปตัสในที่ดินพิพาทระหว่างพิจารณาคดีไว้เป�นการชั่วคราว
ศึกษาเพิ่มเติม ฎ.3801/2536, ฎ.5352/2536, ฎ.5509/2545
5.คำขอต้องบังคับตามมาตรา 21, 25, 227, 228, 260, 262 (มาตรา 264 ว.2)
5.1. คำขอตามมาตรา 264 ต้องบังคับตามมาตรา 21 และมาตรา 25
1) คำขอตามม. 264 ไม่ใช่คำขอฝ่ายเดียว ศาลต้องให้โอกาสคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งคัดค้านก่อน (ม.21 (2))
2) ไต่สวนหรือไม่เป�นดุลพินิจ ตามมาตรา 21 (4) โดยปกติ ถ้าคำขอไม่ครบหลักเกณฑ์ศาลยกคำขอได้เลยโดยไม่
ต้องไต่สวนก่อน แต่ถ้าศาลจะมีคำสั่งอนุญาต ศาลควรจะต้องไต่สวนให้ได้ความว่ามีเหตุเพียงพอจริงๆ
3) ศาลต้องมีคำสั่งโดยไม่ชักช้าตามมาตรา 25 แต่ถ้าขณะที่คู่ความยื่นคำขอ ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดคดีอยู่แล้ว ศาล
จะวินิจฉัยคำขอนั้นไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีก็ได้
5.2.คำขอตามมาตรา 264 ต้องบังคับตามมาตรา 260 ผลของคำสั่งหลังมีคำพิพากษา
มาตรา 260 ในกรณีที่คำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีมิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาที่ศาลได้
สั่งไว้ในระหว่างการพิจารณา
(1) ถ้าคดีนั้นศาลตัดสินให้จำเลยเป�นฝ่ายชนะคดีเต็มตามข้อหาหรือบางส่วนคำสั่งของศาลเกี่ยวกับวิธีการ
ชั่วคราวในส่วนที่จำเลยชนะคดีนั้น ให้ถือว่าเป�นอันยกเลิกเมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาหรือ
คำสั่ง เว้นแต่โจทก์จะได้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดเวลาดังกล่าว แสดงว่าตนประสงค์จะยื่นอุทธรณ์
หรือฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น และมีเหตุอันสมควรที่ศาลจะมีคำสั่งให้วิธีการชั่วคราวเช่นว่านั้นยังคงมีผลใช้บังคับ
ต่อไปในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอของโจทก์ คำสั่งของศาลให้เป�นที่สุด ถ้าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้
วิธีการชั่วคราวยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป คำสั่งของศาลชั้นต้นให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าจะครบกำหนดยื่นอุทธรณ์หรือ
ฎีกาหรือศาลมีคำสั่งถึงที่สุดไม่รับอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วแต่กรณี เมื่อมีการอุทธรณ์หรือฎีกาแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นให้มี
ผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะมีคำสั่งเป�นอย่างอื่น
(2) ถ้าคดีนั้นศาลตัดสินให้โจทก์เป�นฝ่ายชนะคดี คำสั่งของศาลเกี่ยวกับวิธกี ารชั่วคราวยังคงมีผลใช้บังคับต่อไป
เท่าที่จำเป�นเพื่อปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล
กรณีจำเลยเป�นผู้ขอ
ส่วนที่ 1 กรณีจำเลยขอคุ้มครองชั่วคราวในศาลชั้นต้น (มาตรา 253)
*มาตรา 253 วรรคหนึ่ง ถ้าโจทก์มิได้มีภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานอยู่ในราชอาณาจักรและไม่มีทรัพย์สินที่
อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือถ้าเป�นที่เชื่อได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียม
และค่าใช้จ่าย จำเลยอาจยื่นคำร้องต่อศาลไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาขอให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินต่อศาลหรือ
หาประกันมาให้เพื่อการชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายดังกล่าวได้
1.ผู้มีสิทธิขอ = จำเลยและคู่ความที่อยู่ในฐานะจำเลย
1.1.กรณีคำฟ้องทั่วไป จำเลย คือ บุคคลซึ่งถูกฟ้องต่อศาลมาแต่แรก ตามมาตรา 1 (11) ย่อมมีสิทธิขอ
1.2.กรณีฟ้องแย้ง
โจทก์ตามคำฟ้องเดิมมีฐานะเป�นจำเลยในส่วนฟ้องแย้งจึงสามารถขอมาตรา 253 ในส่วนฟ้องแย้งได้
(ผช.ใหญ่ 62 ฎ.6605/2548) และมีสิทธิขอมาตรา 254 ในคำฟ้องเดิมได้
จำเลยตามคำฟ้องเดิมสามารถขอมาตรา 253 ในส่วนของคำฟ้องเดิมได้ และขอ 254 ในฟ้องแย้งได้
2.เหตุแห่งการขอ
เหตุที่ 1 โจทก์มิได้มีภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานอยู่ในราชอาณาจักร
และไม่มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร หรือ (เหตุใดเหตุหนึ่ง)
เหตุที่ 2 เป�นที่เชื่อได้ว่าเมื่อโจทก์แพ้คดีแล้วจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย
การร้องขอตามมาตรา 253 มีเหตุเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง จำเลยก็มีสิทธิร้องขอต่อศาลชั้นต้นได้
***ฎ.439/2559 (ผช.ใหญ่ 64)การที่มาตรา 253 บัญญัติให้สิทธิแก่จำเลยที่จะร้องขอให้โจทก์วางเงินประกัน
ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายนั้นก็เพื่อคุ้มครองจำเลยให้มีหลักประกันที่จะบังคับเอาได้ในที่สุดหากโจทก์เป�นฝ่ายแพ้คดี
เมื่อคดีนี้โจทก์เป�นคนเชื้อชาติและสัญชาติอังกฤษ มีภูมิลำเนาอยู่สหราชอาณาจักรบริเทนใหญ่และไอร์แลนด์
เหนือหรือประเทศอังกฤษ และไม่ปรากฏว่าโจทก์มีทรัพย์สินที่อาจถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร การที่โจทก์อยู่ใน
ราชอาณาจักรโดยมีเพียงเช่าบ้านอยู่และใบอนุญาตทำงานเป�นการชั่วคราว ซึ่งในที่สุดหากเป�นฝ่ายโจทก์แพ้คดีแล้ว โจทก์
เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร จำเลยทั้งเก้าก็ไม่มีทางที่จะบังคับเอาค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายจากโจทก์ได้เลย
บ้านเช่าและการมีใบอนุญาตทำงานชั่วคราวของโจทก์ซึ่งมิใช่คนสัญชาติและเชื้อชาติไทยไม่อาจถือได้ว่าเป�น
ภูมิลำเนาหรือสำนักทำการงานตามความมุ่งหมายของมาตรา 253 แห่ง ป.วิ.แพ่ง
ที่ศาลล่างทั้งสองให้โจทก์วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายจำนวน 3,000,000 บาท นั้น เมื่อเปรียบเทียบ
กับจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องซึ่งสูงถึง 1,364,839,015 บาทจึงชอบและเหมาะสมแล้ว
3.ต้องขอก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา
4. ก่อนมีคำสั่งอนุญาต ศาลต้องให้โอกาสโจทก์หรือคู่ความอื่นๆ (ถ้ามี) คัดค้านก่อนตามมาตรา 21 (2)
5. ก่อนมีคำสั่งอนุญาต ศาลต้องไต่สวนก่อนหรือไม่ (ดุลพินิจ) ตามมาตรา 21 (4)