Professional Documents
Culture Documents
Hahe
Hahe
พระเทพวัชรบัณฑิต, ศ.ดร.
อธิการบดี
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
๑
อัครอุบาสิ กา แปลว่า อุบาสิ กายอดเยี่ยม ได้แก่ ผูไ้ ด้รับแต่งตั้งเป็ นกรณี พิเศษจากพระพุทธเจ้า
เช่นกรณี ของพระสารี บตุ รเป็ นพระอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะเป็ นพระอัครสาวกเบื้องซ้าย
พระเขมาเถรี เป็ นพระอัครสาวิกาเบื้องขวา พระอุบลวรรณาเถรี เป็ นพระอัครสาวิกาเบื้องซ้าย จิ ตต
คหบดีเป็ นอัครอุบาสกเบื้องขวา หั ตถกคหบดีเป็ นอัครอุบาสกเบื้องซ้าย นันทมารดาเป็ นอัครอุบาสิ กา
เบื้องขวา นางขุชชุตตราเป็ นอัครอุบาสิ กาเบื้องซ้าย
๒
ขอให้พ บพระพุ ท ธเจ้า ขอเป็ นอัค รอุบ าสิ ก า ถวายความอุปถัมภ์พ ระภิ กษุ ส งฆ์ด้วยปั จจัย ๔” ที่
สาคัญอย่างยิ่ง คือ พระนางได้ถวายผ้าจีวร ด้าย เข็ม เครื่ องย้อมแก่พระสงฆ์ ๒๐,๐๐๐ รู ป พระ
นางสังฆทาสี ครั้นสิ้ นพระชนม์ในชาติน้ นั แล้ว มาเกิดเป็ นวิสาขาในสมัยของพระโคดมพุทธเจ้านี้
อดีตชาติของนางวิสาขาล้วนแต่ดีงาม ในสมัยพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะเกิดขึ้น
ในโลกนั้น นางวิสาขาเป็ นพระธิ ดาของพระเจ้า กิกี ผูค้ รองราชย์อยูใ่ นกรุ งพาราณสี แคว้น
กาสี มีพระเชษฐภคินี(พี่สาว) ๗ องค์ คือ (๑)สมณี (๒)สมณคุตตา (๓)ภิกษุณี (๔)ภิกขุ
ทาสิ กา (๕)ธรรมา (๖)สุ ธรรมา (๗)สังฆทาสี ทั้งหมดศรัทธาในพระพุทธศาสนา อุปถัมภ์
บารุ งพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ดว้ ยปั จจัยสี่ มิได้ขาดตกบกพร่ อง ที่เห็นได้ชดั เจนก็คือ พระ
นามของพระธิดาแต่ละองค์ลว้ นเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้ น เช่น สมณี แปลว่าสตรี ผู ้
สงบ สมณคุตตา แปลว่า สตรี ผไู ้ ด้รับการคุม้ ครองจากพระ
ที่ ส าคัญ อย่างยิ่ง คื อ พระธิ ด าทั้ง ๗ ของพระเจ้ากิ กี ต่ างก็ ม าเกิ ด ในสมัย ของพระ
สิ ทธัตถโคตมพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย และมีชีวิตดีงาม ดังนี้ พระธิดาสมณี คือ พระเขมา
เถรี พ ระธิ ดาสมณคุ ต ตา คื อ พระอุ บ ลวรรณาเถรี พระธิ ด าภิ กษุ ณี คื อ พระปฏาจาราเถรี
พระธิ ด าภิ ก ขุ ท าสิ ก า คื อ พระกุณ ฑลเกสี เถรี พระธิ ด าธรรมา คื อ พระกี ส าโคตมี เถรี
พระธิดาสุธรรมา คือ พระธรรมทินนาเถรี พระธิดาสังฆทาสี คือ วิสาขามหาอุบาสิ กา
บางตานานยังบอกอีกว่า ในอดีตชาติ วิสาขาเกิดเป็ นพระนางสุเมธา เป็ นพระธิดาของ
พระเจ้าพรหมทัตแห่ งกรุ งพาราณสี ทรงอภิเษกสมรสกับสุ รุจิกุมารแห่ งกรุ งมิถิลา ทรงอยูก่ บั
ร่ วมพระสวามีเป็ นเวลา ๑๐,๐๐๐ ปี ไม่เคยล่วงเกินสุ รุจิกุมารผูเ้ ป็ นพระสวามีดว้ ยกาย วาจา
และใจทั้งในที่แจ้งและที่ลบั ปรนนิ บตั ิดว้ ยความเรี ยบร้อย ไม่อิจฉาริ ษยา รักษาอุโบสถศีลใน
วัน ๘ ค่า ๑๔ ค่า และ ๑๕ ค่ามิได้ขาดตกบกพร่ อง เมื่อิไม่มีพระโอรสที่จะสื บราชวงศ์ ท้าว
สักกะก็สั่งให้นฬการเทพบุตรจุติมาเกิดเป็ นบุตรของพระอัครมเหสี สุเมธาเป็ นการเฉพาะ ถือ
ว่าเป็ นบุตรพิเศษ เพราะแท้จริ งแล้ว นฬการเทพบุตรไม่ประสงค์จะกลับมาเกิดเป็ นมนุษย์ แต่
ด้วยอ านาจคุ ณ ความดี ข องพระอัค รมเหสี สุ เมธาผูร้ ั ก ษาอุ โ บสถศี ล มิ ไ ด้ข าดตกบกพร่ อ ง
ตลอดเวลา ๑๐,๐๐๐ ปี ท้าวสักกะจึงได้สั่งการให้มาเกิดเป็ นมนุ ษย์เป็ นการเฉพาะ และนฬ
การเทพบุตรได้จุติมาเกิดเป็ นพระโอรสของพระอัครมเหสี สุเมธา ได้พระนามว่า “มหาปนา
ทะ” ครองราชสมบัติสืบต่อจากพระเจ้าสุ รุจิ ทาบุญให้ทาน หลังจากสวรรคตก็กลับไปเกิด
เป็ นเทพบุตรในสวรรค์ตามเดิม นี่คืออดีตชาติที่ดีงามของวิสาขา
๓
๒. ชีวติ ในชาติปัจจุบัน
๒.๑ ชีวติ ในเยาวัย
วิ ส าขาเกิ ด ที่ เมื อ ง “ภัท ทิ ย ะ” แห่ ง แคว้น อัง คะ ๒ บิ ด าชื่ อ “ธนั ญ ชัย ” มารดาชื่ อ
“สุ มนาเทวี” ปู่ ชื่ อ “เมณฑกะ” ย่าชื่ อ “จันทปทุมา” ตระกูลนี้ เป็ นตระกูลเศรษฐี แห่ ง
เมืองภัททิ ยะ สันนิ ษฐานว่า “ภัททิ ยะเป็ นเมื องธุ รกิจการค้า” เพราะเมณฑกะได้ชื่อว่าเป็ น
มหาเศรษฐี ๑ ใน ๕ คนแห่งยุคนั้น คือ เมณฑกะ โชติยะ ชฏิละ ปุณณะ และกาฬวลิยะ
เมืองภัททิยะถือกันว่ามีความสาคัญ เพราะเป็ นถิ่นที่คนมีบุญมากอาศัยอยู่ ๕ คน และ
ทั้ง ๕ คนนี้ ลว้ นอยู่ในตระกูลวิสาขา ประกอบด้วย (๑) เมณฑกะ (๒) จันทปทุมา ภริ ยา
หลวงของเมณฑกะ (๓) ธนัญชัย บิดาของวิสาขา (๔) สุ มนาเทวี ภริ ยาของธนัญชัย และ
(๕) ปุณณะ คนรับใช้ของเมณฑกะ
วิส าขาใฝ่ ใจในพระพุ ท ธศาสนาตั้ง แต่ ย งั เล็ก มี ค วามเฉลี ย วฉลาด เป็ นผูน้ ากลุ่ ม
เยาวชนผูใ้ ฝ่ ใจในธรรมะตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เห็นได้จากในคราวที่เมณฑกเศรษฐี ผเู ้ ป็ นปู่ เมื่อ
ทราบว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมาเมืองภัททิยะ ประทับอยูท่ ี่สวนชาติยวัน(สวนมะลิ) ได้บอก
ให้วิสาขาผูเ้ ป็ นหลานสาวทราบทันที และบอกอี กว่า “นี่ เป็ นมงคลสาหรั บหลาน จงชวน
เพื่ อน ๆ วัยเดียวกัน ๕๐๐ คนไปรั บเสด็จพระพุทธองค์ ” วิสาขาพร้อมด้วยเด็กหญิง ๕๐๐
คน เดินทางไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ฟั งพระธรรมเทศนา ทั้หมดบรรลุโสดาปั ตติผล ทาบุญ
ถวายทานใหญ่แก่พระพุทธเจ้าพร้ อมด้วยพระสงฆ์ ต่อเนื่ องกันเป็ นเวลาครึ่ งเดื อน ทาให้มี
อุปนิสยั ใฝ่ เรื่ องทานการกุศลตั้งแต่น้ นั มา
๒.๒ ชีวิตครอบครัว
๒
ความจริ ง เมืองหลวงของแคว้นอังคะคือ “จัมปา” ไม่ใช่เมืองภัททิยะ เมณฑกเศรษฐี อยูใ่ นเมือง
ภัททิยะ แคว้นอังคะ แต่อยูใ่ นความดูแลของพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธ อาจเป็ นไปได้วา่ แคว้นอัง
คะหรื อเมืองภัททิยะอยูใ่ นความดูแลของพระเจ้าพิมพิสาร
แคว้น “อังคะ” เป็ นหนึ่งในมหาชนบท ๑๖ แคว้นในสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ มีชื่อ
ดังนี ้ อังคะ มคธะ กาสี โกสละ วัชชี มัลละ เจตี วังสะ กุรุ ปั ญจาละ มัจฉะ สุรเสนะ อัสสกะ อวันตี
คันธาระ และกัมโพชะ ดู อุโบสถสู ตร อง.ติก. (ไทย) ๒๐/๗๑/๒๘๘.
๔
ในสมัยนั้น พระเจ้าพิมพิสารกับพระเจ้าปเสนทิโกศลมีความสัมพันธ์ฉันท์ญาติมิตร
กล่ า วคื อ พระเจ้า พิ ม พิ ส ารทรงอภิ เษกสมรสกั บ พระนางโกศลเทวี ผู ้เป็ นพระกนิ ษ ฐ
ภคินี(น้องสาว)ของพระเจ้าปเสนทิ ในขณะที่พระเจ้าปเสนทิทรงอภิเษกสมรสกับพระกนิ ษฐ
ภคินี(น้องสาว)ของพระเจ้าพิมพิสาร(อาจเป็ นพระนางโสมาและ/หรื อพระนางสกุลา)๓
พระเจ้าปเสนทิแห่งแคว้นโกศลทรงประสงค์อยากได้มหาเศรษฐีคนมีบุญมากมาอยูใ่ น
แคว้นของตนบ้าง จึงส่ งราชสาส์นไปถึงพระเจ้าพิมพิสารแห่ งแคว้นมคธ ขอมหาเศรษฐีคนมี
บุญ ๑ คน พระเจ้าพิมพิสารทรงปรึ กษากับพวกอามาตย์แล้ว ได้ความว่า “การย้ายตระกูล
มหาเศรษฐี จากเมื อ งหนึ่ งไปอี ก เมื อ งหนึ่ ง จะท าให้ เกิ ด ความโกลาหล นอกจากนี้ อาจมี
ผลกระทบต่ อระบบเศรษฐกิ จได้” แต่ ก็เห็ นพ้องต้องกันว่า เพื่ อรั กษาความสัมพัน ธ์อนั ดี
ระหว่างแคว้นมคธกับแคว้นโกศล ควรมอบธนัญชัยเศรษฐีผเู ้ ป็ นบุตรของเมณฑกเศรษฐีให้
ธนัญชัญเศรษฐี พร้ อมด้วยครอบครั ว และบริ วารจาเป็ นต้องย้ายถิ่นฐานไปที่ แคว้น
โกศล โดยไปสร้างเมืองใหม่และตั้งชื่อว่า “สาเกต” อยูห่ ่างจากกรุ งสาวัตถีประมาณ ๗ โยชน์
วิสาขาก็ยา้ ยบ้านตามบิดามารดามาอยูท่ ี่เมืองสาเกต ต่อมา เมื่อเติบโตเป็ นสาวอายุประมาณ
๑๕–๑๖ ปี ได้แต่งงานกับปุณณวัฒนกุมาร บุตรของมิคารเศรษฐีชาวกรุ งสาวัตถี
วิสาขาเมื่อแต่งงานแล้ว ได้ยา้ ยไปอยู่กบั ครอบครัวสามีที่กรุ งสาวัตถี ครอบครัวสามี
นับถือลัทธินิครนถ์๔ ไม่ได้นบั ถือพระพุทธศาสนา วิสาขาจึงมีปัญหากับสมาชิกในครอบครัว
สามี ตลอดเวลา แต่ ด้วยความเฉลี ยวฉลาดและอุปนิ สัยยึดมั่นในทานการกุศล และศรั ทธา
มัน่ คงในพระพุทธศาสนา ในที่สุด วิสาขาก็สามารถโน้มน้าวจิตใจของคนในครอบครัวสามี
ให้หนั มานับถือพระพุทธศาสนา วิสาขามีลูกหลาน และเหลนมาก ดังนี้
วิสาขามีลูกชาย ๑๐ คน ลูกสาว ๑๐ คน รวมเป็ น ๒๐
ลูกชายและลูกสาวแต่ละคนก็มีลูกชาย ๑๐ ลูกสาว ๑๐ รวมเป็ น ๔๐๐
หลานชายและหลานสาวแต่ละคนมีลูกชาย ๑๐ ลูกสาว ๑๐
๓
พระนางโสมาและ/หรื อพระนางสกุลาไม่ใช่อคั รมเหสี พระอัครมเหสี ของพระเจ้าป
เสนทิโกศลคือ “พระนางมัลลิกา” ซึ่งเป็ นธิดาของคนขายพวงมาลัย หรื อคนจัดทาดอกไม้ถวายราช
สานัก
๔
คาว่า “นิครนถ์” หมายถึงพวกนักบวชนอกพระพุทธศาสนา เจ้าลัทธิ ในยุคนั้นคือ “นิครนถ
นาฏบุตร” หรื อที่นิยมเรี ยกชื่อในปัจจุบนั ว่า “มหาวีระ” พวกนิครนถ์น้ นั ในปัจจุบนั ก็คือ นักบวชใน
ศาสนาเชน นัน่ เอง
๕
ตอนที่ ๒ สถานะและบทบาทในพระพุทธศาสนา
เป็ นหูเป็ นตาแก้ปัญหาทีเ่ กิดขึน้ ในพระศาสนา
๑. เรื่ องพระอุทายี
สมัยหนึ่ง พระอุทายีเข้าไปบิณฑบาตที่บา้ นโยมอุปถัมภ์ในกรุ งสาวัตถี นัง่ ในห้องคุย
กันสองต่อสองกับหญิงสะใภ้ของบ้านนั้น พอดีในวันนั้น ที่บา้ นนั้นจัดงานมงคลบางอย่าง
นางวิสาขาได้รับเชิญให้ไปบริ โภค(รับประทานอาหาร)เป็ นปฐมฤกษ์ เพื่อความเป็ นสิ ริมงคล
แก่เจ้าภาพ
เมื่อเดินทางไปถึง นางวิสาขาเห็นพระอุทายีนงั่ ในที่กาบังที่ลบั ตากับหญิงสาวสองต่อ
สอง จึงเข้าไปกราบนมัสการ กล่าวว่า
พระคุณเจ้า การที่ท่านนัง่ บนอาสนะที่กาบังในที่ลบั พอที่จะเสพเมถุนได้กบั
มาตุคามสองต่อสองอย่างนี้ ไม่เหมาะ ไม่สมควร ท่านไม่ปรารถนาด้วยธรรม
(ไม่ปรารถนาจะเสพเมถุน)นั้นก็จริ ง ถึงอย่างนั้น ชาวบ้านที่ยงั ไม่เลื่อมใสก็
ทาให้เชื่อได้ยาก
พระอุทายีแม้จะถูกนางวิสาขาตักเตือนอย่างนั้นก็ไม่เชื่อ นางจึงไปบอกเรื่ องนั้นให้
ภิกษุท้ งั หลายทราบ ต่อจากนั้น พวกภิกษุได้นาเรื่ องไปกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์
ทรงตาหนิพระอุทายี ต่อจากนั้น ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้วา่
ภิกษุใดนัง่ ในที่ลบั ตากับมาตุคาม(หญิง)สองต่อสอง อุบาสิ กามีวาจาเชื่อถือ
ได้๕ เห็นภิกษุน้ นั นัง่ กับมาตุคามนั้น กล่าวโทษด้วยอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ใน ๓ อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส หรื อปาจิตตีย ์ ภิกษุน้ นั ยอมรับว่า
“นัง่ ” พึงถูกปรับด้วยอาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่าง คือ ปาราชิก
สังฆาทิเสส หรื อปาจิตตีย ์ หรื ออุบาสิ กาผูม้ ีวาจาเชื่อถือได้น้ นั กล่าวโทษด้วย
อาบัติใด ภิกษุน้ นั พึงถูกปรับด้วยอาบัติน้ นั
๕
คาว่า “อุบาสิ กามีวาจาเชื่ อถือได้ ” หมายถึงหญิงที่บรรลุธรรม ตรัสรู ้ธรรม เข้าใจศาสนาดี ถึง
พระพุทธเป็ นสรณะ ถึงพระธรรมเป็ นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็ นสรณะ โดยสรุ ปก็คือ หมายเอาหญิงผูไ้ ด้
โสดาปัตติผลเป็ นอย่างต่า ดูใน วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๔๕/๔๗๖.
๗
๓. เรื่ องภิกษุชาวกรุงโกสัมพีบาดหมางกัน
สมัยหนึ่ง ภิกษุชาวกรุ งโกสัมพี ๒ ฝ่ าย คือ ฝ่ ายเชี่ยวชาญพระสูตร (สุตตันติกะ)
และฝ่ ายเชี่ยวชาญพระวินยั (วินยั ธร) ก่อความบาดหมาง ทะเลาะ วิวาท ทาให้เกิดความ
อื้อฉาวขึ้นในวงการสงฆ์ เพราะเรื่ องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เข้าห้องน้ าแล้วเหลือน้ าชาระไว้
ต้องอาบัติหรื อไม่ตอ้ งอาบัติ พระพุทธเจ้าตรัสบอกให้สามัคคีปรองดองกันก็ไม่เชื่อฟัง จึง
เสด็จหลีกไปประทับอยูท่ ี่โคนไม้รัง ราวป่ ารักขิตวัน เขตป่ าปาริ ไลยกะ ต่อจากนั้นก็เสด็จไป
ประทับ ณ พระเชตวัน กรุ งสาวัตถี
อุบาสก อุบาสิ กาชาวกรุ งโกสัมพีเห็นว่า ภิกษุชาวกรุ งโกสัมพีไม่สามัคคีกนั ก็พากัน
ต่อต้าน ไม่กราบ ไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ ไม่ถวายความอุปถัมภ์ ทาให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดความ
สานึกผิด ต้องเดินทางไปกรุ งสาวัตถีเพื่อกราบทูลขอขมาพระพุทธเจ้า นางวิสาขาก็มีส่วน
ร่ วมในการทาให้ภิกษุสงฆ์สามัคคีปรองดองกัน กล่าวคือ เมื่อนางวิสาขาทราบว่ากลุ่มภิกษุ
ชาวกรุ งโกสัมพีกาลังเดินทางมากรุ งสาวัตถี นางได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลถามถึงวิธี
ปฏิบตั ิต่อภิกษุชาวกรุ งโกสัมพี พระพุทธองค์ตรัสบอกให้ถวายความอุปถัมภ์ในฐานะที่เป็ น
อุบาสิ กา
๙
เมื่อภิกษุเหล่านั้นเดินทางมาถึง นางวิสาขาก็ถวายความอุปถัมภ์แก่ภิกษุท้งั ฝ่ าย
ผูเ้ ชี่ยวชาญพระสูตร(สุตตันติกะ)และฝ่ ายผูเ้ ชี่ยวชาญพระวินยั (วินยั ธร) เมื่อภิกษุท้ งั ๒ ฝ่ าย
แสดงธรรมให้ฟัง ก็ต้ งั ใจฟัง แต่เมื่อฟังแล้วก็ยดึ ถือปฏิบตั ิตามสิ่ งที่ถูกต้องที่ควร มีเหตุมีผล
สิ่ งที่เห็นว่าไม่ถูก ไม่ควร ไม่มีเหตุผลก็ปล่อยวางไป นางวิสาขาวางตัวเหมาะสม มีท่าที
เหมาะสมต่อภิกษุชาวกรุ งโกสัมพีอย่างนี้ ทาให้เกิดความสบายใจทุกฝ่ าย สิ่ งที่ร้ายก็กลายเป็ น
ดี สิ่ งที่ดีอยูก่ ด็ ียงิ่ ขึ้นไป
ทูลขอพรถวายความสะดวกแก่พระสงฆ์
๑. ขอพรเพื่อถวายผ้ าอาบนา้ ฝนและสิ่ งอานวยความสะดวกทั้ว ๗
สมัยหนึ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยูท่ ี่วดั พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก
เศรษฐี ณ กรุ งสาวัตถี เกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ฝนตกใหญ่พร้อมกันใน ๔ ทวีป คือ ชมพู
ทวีป อมรโคยานทวีป อุตตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป ขณะที่ฝนตกอยูน่ ้ นั พระพุทธเจ้า
ตรัสกับภิกษุท้ งั หลายว่า
ภิกษุท้ งั หลาย ฝนตกในเชตวันฉันใด ตกในทวีปทั้ง ๔ ก็ฉนั นั้น พวกเธอจง
สรงสนานกายด้วยน้ าฝนเถิด นี้เป็ นเมฆฝนใหญ่ครั้งสุดท้ายที่ต้ งั เค้าขึ้นตก
(พร้อมกัน)ในทวีปทั้ง ๔
ภิกษุท้ งั หลายแก้ผา้ อาบน้ ากัน พอดีวนั นั้น นางวิสาขากราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า
พร้อมกับภิกษุสงฆ์ให้รับภัตตาหารที่บา้ น พอถึงเวลาฉันภัตตาหาร ให้สาวใช้ไปนิมนต์พระ
สาวใช้ไปถึงวัดพระเชตวัน เห็นคนเปลือยกายอาบน้ าเต็มไปหมด กลับมารายงานว่า “ไม่มี
ภิกษุอยูใ่ นวัด มีแต่พวกอาชีวก(ชีเปลือย)กาลังอาบน้ ากันอยู”่
นางวิสาขารู ้ทนั ทีวา่ “ภิกษุท้ งั หลายกาลังเปลือยกายอาบน้ า” ไม่ได้พดู อะไรมาก
จัดแจงถวายภัตตาหารแก่พระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุสงฆ์เสร็ จแล้ว ประสงค์จะจัดผ้าอาบ
น้ าฝนและเครื่ องอานวยความสะดวกอื่น ๆ ถวายพระสงฆ์ จึงกราบทูลพระพุทธเจ้า ขอพร ๘
ประการ ดังนี้
๑.๑ ขอถวายผ้าอาบน้ าฝนแก่พระสงฆ์(ผ้าวัสสิ กสาฎก)ตลอดชีวิต เพราะ
เห็นว่า การเปลือยกายไม่งาม น่าเกลียด น่าชัง
๑๐
๑.๒ ขอถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่เดินทางมาใหม่(อาคันตุกภัต)ตลอด
ชีวิต เพื่ออานวยความสะดวกให้แก่ภิกษุที่มาใหม่ ไม่ชานาญทางบิณฑบาต
๑.๓ ขอถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่เตรี ยมจะเดินทางไกล(คมิกภัต)ตลอด
ชีวิต เพื่อไม่ให้ท่านเหล่านั้นเสี ยเวลาจัดเตรี ยมอาหาร จะได้ไปทันกองเกวียนหรื อจะได้ไปถึง
ที่หมายก่อนพลบค่า
๑.๔ ขอถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ที่เป็ นไข้(คิลานภัต)ตลอดชีวิต เพื่อให้
ภิกษุไข้ได้อาหารเพียงพอและไม่แสลงโรค หรื อได้อาหารที่ช่วยบรรเทาความเจ็บป่ วย
๑.๕ ขอถวายอาหารแก่พระสงฆ์ที่พยาบาลภิกษุไข้(คิลานุปัฏฐากภัต)ตลอด
ชีวิต เพื่อให้ภิกษุผทู ้ าหน้าที่พยาบาลภิกษุไข้ไม่ตอ้ งเสี ยเวลาไปแสวงหาอาหารเพือ่ ตัวเอง จะ
ได้ทุ่มเทเวลาในการดูแลคนไข้เต็มที่
๑.๖ ขอถวายยารักษาโรคแก่พระสงฆ์(คิลานเภสัช)ตลอดชีวิต เพื่อให้ภิกษุ
ได้ยาที่มีสรรพคุณตรงกับโรคนั้น ๆ
๑.๗ ขอถวายข้าวต้มประจาแก่พระสงฆ์(ธุวยาคุ)ตลอดเชีวิต
๑.๘ ขอถวายผ้าอาบน้ าแก่ภิกษุณีตลอดชีวิต เพื่อให้เกิดความสวยงามน่า
เลื่อมใสในหมู่ภิกษุณี อีกทั้งภิกษุณีจะได้ไม่ถูกพวกหญิงแพศยาเยาะเย้ยเอาเมื่อลงอาบน้ าใน
ท่าเดียวกัน
พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เธอเห็นประโยชน์อะไรจึงขอพร ๘ ประการ ?” นาง
วิสาขากราบทูลว่า “เมื่อได้รับอนุญาตให้ถวายสิ่ งอานวยความสะดวกแก่พระสงฆ์ในกรุ งสา
วัตถีตลอดชีวิต ย่อมทาให้มนั่ ใจได้วา่ พระสงฆ์แม้ไม่ได้จาพรรษาอยูใ่ นกรุ งสาวัตถี แต่ผา่ น
มาผ่านไปในกรุ งสาวัตถี ก็จะได้รับถวายสิ่ งอานวยความสะดวกทั้งหมด เมื่อนึกถึงทานอัน
เป็ นบุญกุศลนี้ ก็จะเกิดความปลื้อมใจ อิ่มใจ กายสงบ มีความสุข ใจเป็ นสมาธิ ปฏิบตั ิธรรม”
เมื่อนางวิสาขากราบทูลอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาด้วยพระคาถาว่า
สตรี ใดเมื่อให้ขา้ วและน้ าก็เบิกบานใจ มีศีล เป็ นสาวิกาของพระสุคต
ครอบงาความตระหนี่ ให้ทานซึ่งเป็ นหนทางสวรรค์ เป็ นเครื่ องบรรเทาความ
โศก นาสุขมาให้ สตรี น้ นั อาศัยหนทางที่ไม่มีธุลี ไม่มีกิเลสยวนใจ ย่อมได้
กาลังและอายุทิพย์ เธอผูป้ ระสงค์บุญ มีความสุข มีพลานามัย ย่อมปลื้มใจ
ในชาวสวรรค์ตลอดกาลนาน
๑๑
๖
เครื่ องประดับชื่อ “มหาลดาปสาธน์” เป็ นสิ่ งพิเศษที่เกิดขึ้นจากการบาเพ็ญบุญถวาย
เครื่ องนุ่งห่ มมีจีวรเป็ นต้นแก่พระสงฆ์จานวนมาก สมัยนั้น มีหญิง ๓ คนเท่านั้นที่มีเครื่ องประดับมหา
ลดาปสาธน์ คือ (๑) นางวิสาขามหาอุบาสิ กา (๒) นางมัลลิกา ผูเ้ ป็ นภริ ยาของพันธุ ลเสนาบดี (๓)
ธิ ดาของเศรษฐีชาวกรุ งพาราณสี เครื่ องประดับมหาลดาปสาธน์น้ ี ต้องสวมไว้บนศีรษะและส่ วนประกอบ
แวดล้อมห้อยระย้าไปจนถึงเท้า มีส่วนประกอบดังนี้ (๑) เพชร ๔ ทะนาน (๒) แก้วมุกดา-ไข่มุก- ๑๑
ทะนาน (๓) แก้วประพาฬ ๒๐ ทะนาน (๔) แก้วมณี ๓๓ ทะนาน
๑๓
สร้ างบุพพารามและโลหปราสาท
บุพพารามตั้งอยูใ่ นบริ เวณใกล้พระเชตวัน กรุ งสาวัตถี นางวิสาขาและประชาชนในบริ เวณ
ใกล้เคียงเป็ นผูส้ ร้างถวาย เข้าใจว่า ในเบื้องต้น นางวิสาขาและบริ วารคงถวายสวนป่ าที่น่ารื่ นรมย์
ให้เป็ นที่ประทับของพระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ได้ยกฐานะสถานที่แห่งนั้นขึ้นเป็ น “วัดบุพพา
ราม” เรี ยบร้อยแล้ว อาจมีกุฏิวหิ ารอยูใ่ นที่น้ นั บ้าง แต่ไม่มากนัก และเมื่อจะสร้างสิ่ งปลูกสร้าง
ขึ้นมา มีการซื้ อที่ดินเพิ่มเติมด้วยเงิน ๙ โกฏิ(๙๐ ล้าน) ก่อนที่จะมีการสร้างกุวิหาร
ก่อนที่จะมีสิ่งปลูกสร้างขึ้นมานั้น เรื่ องมีอยูว่ า่
สมัยหนึ่ง นางวิสาขาไปฟังธรรมที่วดั สวมเครื่ องประดับ “มหาลดาปสาธน์” ไปด้วย แต่
ก่อนที่จะเข้าไปวิหาร นางเห็นว่าไม่ควรจะสวมเครื่ องประดับเข้าไปด้วย จึงถอดเครื่ องประดับออก
ให้หญิงรับใช้ถือไว้ เมื่อฟังธรรมเสร็ จ ก่อนจะกลับบ้าน นางเดินตรวจดูบริ เวณวัด เสร็ จแล้วจะ
เดินทางกลับ ขอเครื่ องประดับจากหญิงรับใช้ แต่หญิงรับใช้ลืมเครื่ องประดับ พระอานนท์เห็นเข้า
จึงกราบทูลพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์รับสั่งให้เก็บไว้ขา้ งบันได(กุฏิ) นางวิสาขารู ้วา่ พระอานนท์
เก็บเครื่ องประดับนั้นไว้ คิดว่า “สิ่ งของที่พระคุณเจ้าจับต้องแล้ว ไม่ควรนามาใช้สอย ควรถวายวัด
ไปเสี ย” สั่งให้หญิงรับใช้ไปนาเครื่ องประดับนั้นมา ให้ตีราคาเพื่อขายเอาเงินไปซื้ อที่ดินถวายวัด
แต่ไม่มีใครสู ้ราคา นางวิสาขาจึงต้องซื้ อเองในราคา ๙ โกฏิกบั ๑ แสน(๙๐ ล้าน ๑ แสน) นาเงิน
ที่ได้ไปซื้ อที่ดินถวายพระภิกษุสงฆ์ แล้วสร้างปราสาท(โลหปราสาท) ๒ ชั้น มีห้อง ๑,๐๐๐ ห้อง
จัดหาปัจจัยสี่ ถวายภิกษุสงฆ์ รวมแล้ว นางวิสาขาบริ จาคทรัพย์ท้ งั สิ้ น ๒๗ โกฏิ (๒๗๐ ล้าน) ไว้
ในพระพุทธศาสนา คือ บริ จาคซื้ อที่ดิน ๙ โกฏิ บริ จาคสร้างวิหาร ๙ โกฏิ บริ จาคจัดงานฉลอง
วิหาร ๙ โกฏิ การดาเนินงานก่อสร้างวิหาร ใช้เวลา ๙ เดือนจึงเสร็ จสมบูรณ์ โดยมีพระมหาโมค
คัลลานะเป็ นผูอ้ านวยการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ
ในวันฉลองวัด นางวิสาขารู ้สึกปลื้อมปี ติอย่างยิง่ ตานานบอกว่า นางจัดงานฉลองวัดเป็ น
เวลา ๔ เดือน ในวัดสุ ดท้ายในตอนบ่าย เดินรอบปราสาทพร้อมด้วยบุตรธิดา หลาน และเหลน
กล่าวอุทานด้วยเสี ยงไพเราะว่า
เราคิดอยูเ่ สมอว่า ‘เรื่ อไรจะได้ถวายปราสาทใหม่ ฉาบด้วยปูนขาวและดิน เมื่อไร
จะได้ถวายเตียง ตัง่ ฟูก และหมอน เมื่อไรจะได้ถวายสลากภัตผสมด้วยเนื้อ
สะอาด เมื่อไรจะได้ถวายผ้ากาสี ผ้าเปลือกไม้ และผ้าฝ้าย เมื่อไรจะได้ถวายเนย
ใส เนยข้น น้ าผึ้ง น้ ามัน และน้ าอ้อย’ บัดนี้ ความคิดของเราบรรลุความสาเร็ จ
สมบูรณ์แล้ว
ภิกษุสงฆ์ในวัดบุพพาราม ได้ยนิ เสี ยงของนางวิสาขากล่าวอุทานอย่างนี้ บางรู ปคิดว่า
“วิสาขาคงไม่ สบาย วิกลจริ ตเสียแล้ วกระมังถึงมาเดินละเมอรอบปราสาทอย่ างนี”้ พระพุทธเจ้า
๑๔
ตรัสบอกภิกษุสงฆ์วา่ “นางวิสาขาไม่ ได้ ป่วย ไม่ ได้ วิกลจริ ต แต่ กล่ าวอุทานด้ วยความยินดีปรี ดาที่
ความปรารถนาบรรลุความสาเร็ จ”
ตั้งแต่พรรษาที่ ๒๑–๔๔ พระพุทธเจ้า วันที่ทรงรับอาหารในเรื อนของนางวิสาขา จะเสด็จ
ออกทางประตูดา้ นทิศใต้ ไปประทับอยูใ่ นพระเชตวันของอนาถบิณฑิกเศรษฐี วันที่ทรงรับอาหาร
ในเรื อนของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จะเสด็จออกทางประตูดา้ นตะวันออก ไปประทับอยูใ่ นบุพพาราม
ทรงปฏิบตั ิอย่างนี้ เป็ นประจา ตานานบอกว่า “ประทับที่พระเชตวัน ๑๙ พรรษา ประทับที่บุพพา
ราม ๖ พรรษา”
คุณธรรมประจาใจ
๑. คนและสั ตว์รวม ๔ พวกไม่ ควรวิง่
สมัยหนึ่ง มีงานประจาปี ในเมืองสาเกต เรี ยกงานนี้วา่ “นักขัตฤกษ์เปิ ด(วิวฏนักขัต
ตะ)” ในเทศกาลนี้ ทุกคนในเมืองออกไปเที่ยวกัน คนที่ไม่เคยออกไปไหนเลยก็จะออกไป
เที่ยวงานนี้ เดินเท้าไปที่แม่น้ า สมัยนั้น วิสาขาอายุประมาณ ๑๕–๑๖ ปี ออกจากบ้านไป
เที่ยวงานนี้ดว้ ย เป็ นเวลาเดียวกันกับที่มิคารเศรษฐีส่งพราหมณ์ ๘ คนไปแสวงหญิงที่มี
ลักษณะเบญจกัลยาณี มาเพือ่ ให้แต่งงานกับปุณณวัฒนกุมารผูเ้ ป็ นบุตรชาย
ขณะที่วิสาขาเดินไปถึงฝั่งแม่น้ า ฝนตกลงมาพอดี ทุกคนต่างวิ่งหาที่หลบฝนกัน แต่
วิสาขาไม่วงิ่ เหมือนคนอื่น เดินไปตามปกติ พราหมณ์ ๘ คนเห็นกิริยาอาการของวิสาขา
รู ้สึกแปลกใจที่ไม่วิ่งเหมือนคนอื่น จึงถามว่า “นาง ฝนตกหนักอย่างนี้ ทาไมจึงไม่วิ่งหลบ
ฝนเล่า ?” วิสาขาตอบว่า คนและสัตว์รวม ๔ ประเภท วิ่งแล้วไม่งาม คือ
๑.๑ พระราชาที่ทรงอภิเษก ประดับประดาด้วยเครื่ องอาภรณ์พร้อมสรรพ ไม่ควรวิ่ง
จะไม่สง่างาม
๑.๒ ช้างมงคลของพระราชา คือช้างทรงที่ประดับประดาด้วยเครื่ องประดับต่าง ๆ
ไม่ควรวิ่ง จะไม่สง่างาม
๑.๓ บรรพชิต คือนักบวช เช่น ภิกษุสามเณร หรื อคนนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีล ไม่
ควรวิง่ จะไม่สง่างาม
๑.๔ สตรี ไม่ควรวิ่ง จะไม่สง่างาม
๒. สตรีคือแก้วประจาตระกูล
๗
ภาษาบาลีวา่ “อิท มยฺห มาตุ เทถ, อิท มยฺห ปิ ตุ เทถ, อิท มยฺห ภาตุ เทถ, อิท
มยฺห ภคินิยา เทถ” ดู มหามกุฏราชวิทยาลัย, ธมฺมปทฏฺฐกถา (ตติโย ภาโค), พิมพ์ครั้งที่ ๒๕,
(กรุ งเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒), หน้า ๕๙.
๑๖
๘
คาว่า “นิครนถ์” หมายถึงนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ที่เป็ นสาวกของนิครนถนาฏบุตร ปัจจุบนั ก็
คือ นักบวชในศาสนาเชน
๑๗
มรดกธรรมจากพระพุทธเจ้ า
๑. ทีใ่ ดมีรัก ทีน่ ั่นมีทุกข์
นางวิสาขาถึงจะมีบุตรธิดา หลานและเหลนมาก แม้กระนั้นก็ประสงค์จะมีให้มากขึ้น
ไปอีก สมัยหนึ่ง หลานสาวของนางเสี ยชีวิต นางวิสาขาเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่โลหปราสาท
ในบุพพาราม กรุ งสาวัตถี พระพุทธเจ้าตรัสถามว่าตอนหนึ่งว่า “วิสาขา เธอต้องการมีบุตร
และหลานจานวนเท่ากับชาวกรุ งสาวัตถีหรื อ” นางกราบทูลว่า “พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉัน
ประสงค์อย่างนั้น”พระพุทธเจ้าตรัสให้ขอ้ คิดแก่นางว่า
วิสาขา ผูม้ ีสิ่งเป็ นที่รัก ๑๐๐ ก็มีทุกข์ ๑๐๐ ผูม้ ีสิ่งเป็ นที่รัก ๙๐ ก็มีทุกข์ ๙๐
ผูม้ ีสิ่งเป็ นที่รัก ๘๐ ก็มีทุกข์ ๘๐ ผูม้ ีสิ่งเป็ นที่รัก ๗๐ ก็มีทุกข์ ๗๐ ผูม้ ีสิ่ง
เป็ นที่รัก ๖๐ ก็มีทุกข์ ๖๐ … ผูม้ ีสิ่งเป็ นที่รัก ๓ ก็มีทุกข์ ๓ ผูม้ ีสิ่งเป็ นที่รัก
๒ ก็มีทุกข์ ๒ ผูม้ ีสิ่งเป็ นที่รัก ๑ ก็มีทุกข์ ๑ ผูไ้ ม่มีสิ่งเป็ นที่รัก ก็ไม่มีทุกข์
ซึ่งเราเรี ยกว่า ผูห้ มดความโศก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีความคับแค้นใจ …
ความโศก ความคร่ าครวญ และความทุกข์หลากหลายมีในโลกนี้ ย่อมเกิดมี
ได้เพราะอาศัยสิ่ งเป็ นที่รัก เมื่อไม่มีสิ่งเป็ นที่รัก ความเศร้าโศกเป็ นต้น
เหล่านี้กไ็ ม่มี
๒. แม่บ้านยอดกัลยาณี
๑๘
มรดกธรรมจากบิดา
ธนัญชัยเศรษฐีก่อนที่จะส่งวิสาขาไปประกอบพิธี “อาวาหมงคล”๙ กับปุณณวัฒน
กุมาร ที่บา้ นมิคารเศรษฐี ในกรุ งสาวัตถี ได้เตรี ยมเครื่ องอานวยความสะดวกให้แก่ธิดาทุก
อย่าง ที่สาคัญมี ๒ อย่าง คือ ส่งกุฎุมพี(คนมัง่ คัง่ ) ๘ คนไปเป็ นที่ปรึ กษาของวิสาขา คอยให้
คาปรึ กษาและแก้ปัญหาด้านต่าง ๆ ขณะที่วิสาขาอยูใ่ นตระกูลสามี ที่สาคัญที่สุดประการ
ต่อมาก็คือ ธนัญชัยเศรษฐีได้สงั่ สอนวิสาขาไว้ ๑๐ เรื่ อง ดังนี้
๑. ไฟในอย่านาออก หมายถึง เรื่ องที่ไม่ดีภายในครอบครัว เช่น ความผิดพลาด
ข้อเสี ยของคนในครอบครัวสามี อย่านาออกไปพูดนอกบ้าน ไม่วา่ จะเป็ นปัญหาจุกจิกหรื อ
ปัญหาใหญ่โต ไม่ควรนาออกไปพูดข้างนอก ไม่ควรให้คนนอกรับรู ้ ควรจัดการให้เรี ยบร้อย
ภายในครอบครัว
๒. ไฟนอกอย่ านาเข้ า หมายถึง คนบ้านใกล้เรื อนเคียงพูดถึงข้อเสี ย หรื อเรื่ องที่ไม่
ดีของบิดามารดาของฝ่ ายสามี อย่านาเรื่ องที่เขานินทานั้นเข้ามาเล่าให้ครอบครัวสามีรู้ เพราะ
จะทาให้เกิดความขัดแย้ง หรื อสะใภ้เองจะถูกมองว่าสอดรู ้สอดเห็นไม่เข้าเรื่ อง
๓. ควรให้ แก่คนทีใ่ ห้ หมายถึง คนทัว่ ไปหยิบยืมสิ่ งของเครื่ องใช้ไปแล้ว เป็ นคน
ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ส่งคืนให้สิ่งของที่หยิบยืมไปตามกาหนดเวลา ควรให้ความอนุเคราะห์
แก่คนเหล่านั้นตามฐานะ ควรให้หยิบยืมสิ่ งของเครื่ องใช้ทุกคราวที่เขามาขอยืม
๔. ไม่ ควรให้ แก่คนทีไ่ ม่ ให้ หมายถึง คนทัว่ ไปหยิบยืมสิ่ งของเครื่ องใช้ไปแล้ว ไม่
ซื่อสัตย์ เป็ นคนคดโกง ไม่คืนสิ่ งของเครื่ องใช้ตามกาหนดเวลา ต่อไปไม่ควรให้ยมื อีก ไม่
ควรอนุเคราะห์คนเช่นนี้
๕. ควรให้ ท้งั แก่คนทีใ่ ห้ และทีไ่ ม่ ให้ หมายถึง ญาติมิตรที่ยากจนขัดสนหยิบยืม
สิ่ งของเครื่ องใช้ไปแล้ว จะส่งคืนให้ตามกาหนดเวลาหรื อไม่กต็ าม สมควรที่จะอนุเคราะห์ให้
พวกเขายืมทุกครั้งที่มาขอยืม เพราะเป็ นญาติมิตร
๙
คาว่า “อาวาหะ” แปลว่า การพาหญิงมาอยูบ่ า้ นของตน หมายถึง การแต่งงานที่ฝ่ายชายจะนา
ฝ่ ายหญิงที่แต่งงานด้วยมาอยูบ่ า้ นของตน เป็ นประเพณี ของชาวอินเดียฝ่ ายเหนือ เรี ยกว่า “อาวาหมง
คล” คู่กบั คาว่า “วิวาหมงคล”
คาว่า “วิวาหะ” แปลว่า การพาออกไป หมายถึง การแต่งงานที่ฝ่ายชายจะต้องถูกนาไปอยูท่ ี่
บ้านฝ่ ายหญิง เป็ นประเพณี ของชาวอินเดียฝ่ ายใต้
๒๐
นางผู้เป็ น “มงคล”
นางวิสาขามีชื่อเสี ยงในฐานะ “มีบุตรหลานมาก มีบุตรหลานล้วนไม่มีโรค ได้รับยก
ย่องว่าเป็ นมิ่งมงคล” เวลาที่ชาวบ้านมีงานบุญ งานมหรสพ งานฉลอง พวกชาวบ้านเชิญ
นางวิสาขาไปบริ โภคเป็ นคนแรกในงานนั้น ๆ
นางวิสาขาเปรี ยบเหมือนสิ่ งอันเป็ นบุญตาแก่บุคคลผูพ้ บเห็น มีอิริยาบถ ๔ งดงาม
ประชาชนเห็นนางเดินไปวัด(วิหาร)พร้อมด้วยธิดาและหลานสาว ถามว่า “ในหญิงเหล่านี้
คนไหนคือวิสาขา ?” และเมื่อเห็นนางวิสาขาเดินไปก็ชื่นชมในกิริยาท่าทางอันงดงาม คิด
อยูใ่ นใจว่า “บัดนี้ ขอจงเดินไปสักหน่อยเถิด แม่เจ้าเดินของเราเดินไปอยูน่ นั่ แหละ งดงาม
ยิง่ ” เมื่อเห็นนางยืนก็จะคิดว่า “บัดนี้ ขอจงยืนหน่อยหนึ่งเถิด แม่เจ้าของเรานอนอยู่ งดงาม
ยิง่ ” นางวิสาขาเป็ นแบบอย่างที่ดีงามของบ้านเมือง เป็ นปูชนียบุคคลของบ้านเมือง เป็ นผูน้ า
ของอุบาสิ กา
นางผู้เป็ น “มิคารมารดา”
สมัยหนึ่ง นางวิสาขากราบทูลนิมนต์พระพุทธเจ้าไปเสวยภัตตาหารที่บา้ น พวก
นิครนถ์(ชีเปลือย)ทราบข่าว พากันล้อมเรือนมิคารเศรษฐี ไว้ เมื่อจัดแจงทุกอย่างเสร็จ
เรียบร้อย นางวิสาขาส่งคนไปกราบเรียนมิคารเศรษฐี เพื่อให้มาประเคน(อังคาส)ภัตตาหารแด่
พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์
๒๑