Professional Documents
Culture Documents
PG101_1_8
PG101_1_8
สาระสาคัญ
จิต วิทยาเป็ นวิชาที่ศึก ษาเกี่ยวกับ พฤติกรรมโดยใช้ว ิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ โดยมี
จุดมุ่งหมายเพื่ออธิบาย ทาความเข้าใจ ทานาย ควบคุมพฤติกรรมมนุ ษย์ ในปจั จุบนั จิตวิทยาได้
แตกออกเป็นสาขาต่าง ๆ มากมาย เพื่อให้เหมาะสมกับการประยุกต์ใช้ในวงการวิชาชีพต่าง ๆ
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว ผูเ้ รียนสามารถ
1. อธิบายความหมายของจิตวิทยา และพฤติกรรมได้
2. อธิบายจุดมุง่ หมายของการศึกษาจิตวิทยาได้
3. อธิบายบทบาทและหน้าทีข่ องนักจิตวิทยาสาขาต่าง ๆ ได้
ภาพการทดสอบด้วยเครื่องจับเท็จ
ปฏิ กิริยาตอบสนองต่ อเครื่องจับเท็จ
ปริ มาณน้ อย ปริ มาณมาก
3
อัตราการหายใจ อัตราการหายใจ
เหงื่อ เหงื่อ
อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการเต้นของหัวใจ
ส่ ว นสถานที่ท่ีนั ก จิต วิท ยาเข้า ไปท างาน พบว่ า มากที่สุ ด คือ ท างานปฏิบ ัติใ น
ห้องทดลองพิเศษ 33 % รองลงมา คือ ทางานในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย 28% และ 16%
ทางานในโรงพยาบาลหรือคลินิค
คาถามท้ายบท
1. จงอธิบายจุดมุ่งหมายของการศึกษาจิตวิทยา ได้แก่ การบรรยาย (Description) การทาความ
เข้าใจพฤติก รรม (Understanding) การท านาย (Prediction) และการควบคุ ม (Control) จาก
งานวิจยั ต่อไปนี้
ธีระชน พลโยธา (2559) วิจยั เชิงคุณภาพแบบปรากฏการณ์วทิ ยา โดยมีวตั ถุประสงค์
เพื่อศึกษารูปแบบการดาเนินชีวติ รูปแบบการอบรมเลีย้ งดูความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ ครู และ
นัก เรียน ของนัก เรียนระดับชัน้ ประถมศึกษาที่พ่ อ แม่ท างานในโรงงานอุ ต สาหกรรม รวมทัง้
ศึกษาผลกระทบที่เกิดแก่นักเรียนจากการทางานของพ่อแม่ กลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก คือ บุคคลที่
เป็ นพ่ อแม่ท่ที างานในโรงงานอุต สาหกรรม จานวน 17 คน และผู้ให้ข้อมูล เสริม คือ ครู ผู้นา
ชุมชน พนักงานในโรงงาน นักเรียน รวมทัง้ สิ้น 17 คน ผลการวิจยั พบว่า พนักงานในโรงงานมี
รูปแบบการดาเนินชีวติ คือ ใช้เวลาในช่วงเช้าและหลังเลิกงานในการจัดการภาระงานบ้านใน
ครอบครัว ส่วนใหญ่เป็ นหน้าทีข่ องผูห้ ญิง ในบางครอบครัวทีแ่ ม่ทางานในโรงงานและพ่อทางาน
ทีบ่ ้าน มีการสลับบทบาทให้พ่อทางานบ้าน ผูท้ าหน้าที่ดูแลเด็กส่วนใหญ่ คือ แม่ รองลงมา คือ
พ่อ โดยในบางครอบครัวจะมีญ าติผู้ใหญ่ เป็ นผู้ช่วยเหลือในกรณีท่พี ่อแม่ไม่อยู่บ้านไปทางาน
ครอบครัวทีภ่ รรยาไปทางานในโรงงาน แล้วสามีทางานทีบ่ า้ น พ่อมีบทบาทหลักในการดูแลบุตร
และดูแลบ้าน โดยมีแม่คอยกากับ ด้านรูปแบบการอบรมเลีย้ งดูบุตร พบว่า มี 3 รูปแบบ ได้แก่
การอบรมเลีย้ งดูแบบรักสนับสนุน การอบรมเลีย้ งดูแบบใช้เหตุผล การอบรมเลีย้ งดูโดยมีตวั แบบ
นอกจากนี้ พ่อแม่มกี ารใช้เทคนิควิธกี ารลงโทษด้วย ด้านความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กบั ลูก พ่อ
แม่จะสื่อสารกับเด็กเกี่ยวกับความคาดหวังและความวิตกกังวลทีพ่ ่อแม่มตี ่อลูก นอกจากนี้ พ่อ
แม่มกี ารเตรียมความพร้อมและการวางแผนการศึกษาให้แก่ลูก สนับสนุ นการทากิจกรรมทีเ่ ป็ น
ประโยชน์ รวมทัง้ จัดระบบระเบียบการทาการบ้านและการเรียนรูข้ องลูก สาหรับความสัมพันธ์
ระหว่างครูและนักเรียน ครูสร้างความสัมพันธ์ท่ดี กี บั นักเรียน ด้วยการให้ความอบอุ่น เอาใจใส่
เกื้อกูล ห่วงใย ทัง้ ในด้านวิชาการ ด้านพฤติกรรม ด้านอารมณ์เมื่ออยู่ในโรงเรียน และด้านการ
ดาเนินชีวติ ประจาวัน ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กบั ครูจะเป็ นในรูปแบบของความร่วมมือ
ในการดูแลเด็ก พ่อแม่ได้รบั บันทึกจากทางโรงเรียน เมื่อครูรายงานพฤติกรรมของลูกให้ทราบ
พ่อแม่ส่วนใหญ่ จะเชื่อฟงั นอกจากนี้ ครูไปพบพ่อแม่ของเด็กเป็ นรายบุคคลด้วยการไปเยี่ยม
บ้าน และการประชุมผู้ปกครอง ซึ่งมีประชุมปี ละ 2 ครัง้ ผลกระทบที่เกิดแก่ นักเรียนที่พ่ อแม่
ทางานในโรงงานอุตสาหกรรม เด็กที่เป็ นกลุ่มเสี่ยงจะมีพฤติกรรมเบี่ยงเบน ได้แก่ ครอบครัวที่
พ่อแม่ทางานโรงงานทัง้ คู่และเด็กไม่มผี ู้ใหญ่ดูแล ครอบครัวที่พ่อแม่ทางานโรงงานและเป็ นคน
ต่างถิน่ ซึง่ จะส่งลูกไปให้ปยู่ ่าตายายทีต่ ่างจังหวัดเลีย้ งดู และครอบครัวทีบ่ า้ นพักอยู่ในโรงงานที่
พ่อแม่อบรมเลีย้ งดูแบบปล่อยปละละเลย
9
ข้อ เสนอแนะจากการวิจ ยั ควรส่ งเสริม ให้พ่ อ แม่ อ บรมเลี้ยงดูแบบรัก สนับ สนุ น ใช้
เหตุผลมากกว่าอารมณ์ และมีตวั แบบทีด่ สี าหรับเด็ก ให้พ่อแม่พยายามแบ่งเวลาสื่อสารกับลูก มี
การเตรียมความพร้อมและการวางแผนทางการศึกษาของเด็กในอนาคต จัดสิง่ แวดล้อมทางการ
เรียนรูท้ ่บี ้าน ส่งเสริมให้ครูให้ความอบอุ่นแก่เด็กและสร้างความเป็ นมิตรกับพ่อแม่ เพื่อสร้าง
ความร่วมมือในการดูแลเด็ก
2. จับคู่แต่ละสาขาย่อยของจิตวิทยากับประเด็นหรือคาถามที่กาหนด
a. ประสาทวิทยาเชิงพฤติกรรม b. จิตวิทยาการทดลอง c. จิตวิทยาการรูค้ ดิ
d. จิตวิทยาพัฒนาการ e. จิตวิทยาบุคลิกภาพ f. จิตวิทยาสุขภาพ
g. จิตวิทยาคลินิก h. จิตวิทยาการให้คาปรึกษา i. จิตวิทยาการศึกษา
j. จิตวิทยาโรงเรียน k. จิตวิทยาสังคม l. จิตวิทยาอุตสาหกรรม
1. แอนเป็ น นิ ส ิต ใหม่ เธอมีค วามวิต กกัง วลเรื่อ งผลการเรีย นของเธอ เธอมีค วาม
จาเป็ นต้องเรียนรูท้ กั ษะการทางานร่วมกับผูอ้ ่นื และการจัดการกับปญั หา
2. เด็ก ๆ โดยทัวไปช่่ วงวัยใด เริม่ รูส้ กึ ผูกพันทางอารมณ์กบั พ่อของพวกเขา
3. เป็ นทีเ่ ชื่อกันว่าภาพยนตร์ลามกอนาจารที่แสดงถึงความรุนแรงต่อผู้หญิง อาจกระตุ้น
ให้พฤติกรรมก้าวร้าวในผูช้ ายบางคนเกิดขึน้
4. สารเคมีในสมองอะไรบ้างที่ถู กปล่อยออกมาในร่างกายมนุ ษ ย์อ ันเป็ นผลมาจากการ
เผชิญเหตุการณ์ตงึ เครียด และสารเคมีเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมหรือไม่
5. จอนนี่มลี กั ษณะเฉพาะในการตอบสนองต่อสถานการณ์วกิ ฤตด้วยอารมณ์และมุมมอง
เชิงบวก
6. ครูของนักเรียนอายุ 8 ขวบ มีความกังวลว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เขาพบนักเรียนคนหนึ่งมักมี
พฤติกรรมหลีกเลีย่ งทางสังคมและแสดงความสนใจในการเรียนเพียงเล็กน้อย
7. งานของเจนี่มมี ากและเครียด เธอสงสัยว่าการใช้ชวี ติ ของเธอ ทาให้เธอมีแนวโน้มทีจ่ ะ
เจ็บปว่ ยด้วยโรคบางอย่าง เช่น โรคมะเร็งและโรคหัวใจมากขึน้
8. นักจิต วิทยาค้นพบว่าบางคนมีความไวต่ อสิ่งเร้าที่ทาให้รู้สกึ เจ็บปวดมากกว่าสิง่ เร้า
อื่นๆ
9. ความหวาดกลัวต่อการอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างมาก ทาให้ชายหนุ่ มพยายามหาทาง
รักษาปญั หาของเขา
10. กลยุทธ์ทางความคิดใดทีเ่ กีย่ วข้องกับการแก้ปญั หาคาศัพท์ทซ่ี บั ซ้อน
11. วิธ ีก ารจัด การเรีย นรู้แ บบใดที่ม ีป ระสิท ธิภ าพที่สุ ด ในการกระตุ้ น นั ก เรีย นระดับ
ประถมศึกษาประสบความสาเร็จทางวิชาการ
12. สมชายถูกขอร้องให้พฒ ั นากลยุทธ์การจัดการทีจ่ ะส่งเสริมการปฏิบตั งิ านในโรงงานให้
มีความปลอดภัยยิง่ ขึน้
10
สาระสาคัญ
จิตวิทยามีประวัตคิ วามเป็ นมาตัง้ แต่สมัยกรีก ต่อมาใช้วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์เข้ามา
ศึกษาจิตวิทยา ทาให้จติ วิทยาแยกจากปรัชญามาเป็ นวิทยาศาสตร์ กลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยามี
หลายกลุ่ ม แต่ ล ะกลุ่ ม มีแ นวคิดในการอธิบ ายพฤติกรรมที่ต่ างกัน ท าให้ค วามรู้ค วามเข้าใจ
จิตวิทยามีความลึกซึง้ ยิง่ ขึน้
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว ผูเ้ รียนสามารถ
1. อธิบายประวัตคิ วามเป็นมาของจิตวิทยาได้
2. อธิบายสาระสาคัญของแต่ละกลุ่มแนวคิดทางจิตวิทยาได้
3. น ำควำมรู้ค วำมเข้ำใจแนวคิด ทำงจิต วิท ยำกลุ่ ม ต่ ำง ๆ ไปอธิบ ำยพฤติก รรมใน
ชีวติ ประจำวันของตนได้
สถาบัน อุ ด มศึก ษาที่ไ ด้ม ีก ารจัด ตัง้ หลัก สู ต รระดับ ปริญ ญาตรีข้ึน เป็ น แห่ ง แรกใน
ประเทศไทย คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยสถาปนาเป็ นภาควิชาหนึ่งในคณะศิลปศาสตร์
(Faculty of Liberal Arts) ในปี พ.ศ. 2507 โดยได้รบั การสนับ สนุ น ด้านบุ ค ลกรในการจัด ท า
หลักสูตรการเรียนการสอนจากสมาคมฟุ ลไบรท์ไทย (Thai Fulbright Association : TFA) เพื่อ
ทาหลักสูตรให้มคี วามทันสมัยทัดเทียมต่างประเทศ
ม.ล ตุ้ ย ชุ ม สาย ซึ่ง เป็ น ผู้ บุ ก เบิก งานด้ า นจิต วิท ยาทดลอง งานด้ า นการสร้า ง
แบบทดสอบ และวิชาสถิติศาสตร์ แต่งานวิจยั ทางจิตวิทยาในช่วงนัน้ ยังมิได้เริม่ อย่างชัดเจน
กระทัง่ ในปี พ.ศ. 2495 สถานวิจยั ทางจิต วิทยาก็ได้เริม่ ต้น อย่างเป็ นทางการขึ้นที่ วิทยาลัย
วิช าการศึ ก ษาประสานมิต ร โดยมีช่ื อ ว่ า สถาบัน ระหว่ า งชาติ ส าหรับ ค้ น คว้ า เรื่อ งเด็ ก
(International Institute for Child Study) สถานบัน แห่ งนี้ เปิ ด ขึ้น โดยอาศัย ความร่ว มมือ ของ
UNESCO กับรัฐบาลไทย ปจั จุบนั คือ สถาบันวิจยั พฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ
โรฒ ซึง่ มีบทบาททัง้ ด้านการวิจยั และการผลิตบัณฑิตสาขาพฤติกรรมศาสตร์
กลุ่มโครงสร้างทางจิ ต (Structuralism)
ผู้นากลุ่มที่สาคัญ คือ วิลเฮล์ม วุ้นดต์ (Wilhelm Wundt,1832 - 1920) กลุ่มนี้ให้ความ
สนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสานึก (Consciousness) ทีไ่ ด้นาเอาวิชาเคมีมาใช้อธิบายในเชิง
จิตวิทยา โดยเทียบกับองค์ประกอบของธาตุต่างๆ ซึ่งกลุ่มคิดว่าเป็ นโครงสร้างทางจิต เรียกว่า
จิ ตธาตุ (Mental Elements) นัน่ คือ พยายามทีจ่ ะค้นหาให้พบว่าจิตประกอบด้วยอะไรบ้าง และ
พบว่าจิตธาตุประกอบด้วย
1. การรับสัมผัส (Sensation) คือ การทางานของอวัยวะรับสัมผัสทัง้ 5
2. ความรู้สึก (Feeling) คือ การตีความหรือแปลความหมายของการสัมผัสตาม
การรับรู้
ต่ อ มา เอ็ด เวิร์ด ทิช เนอร์ (Edward B. Tichener) ผู้น ากลุ่ ม โครงสร้างทางจิต
ศิษย์ของวิลเฮล์ม วุ้นต์ ที่นาความคิดของกลุ่มนี้ไปเผยแพร่ท่สี หรัฐอเมริการ ได้เพิม่ เติมอีก 1
อย่าง คือ
15
(Relationship) นั ก จิต วิท ยากลุ่ ม Neo-Freudians ได้แ ก่ อัล เฟรด แอดเลอร์ (Alfred Adler),
แอนนา ฟรอยด์ (Anna Freud) บุตรีของซิกมันด์ ฟรอยด์, คาเรน ฮอร์นาย (Karen Horney),
คาร์ล จุง (Carl Jung), ออตโต้ แรงค์ (Otto Rank) และ อีรคิ อีรคิ สัน (Erik Erikson)
กลุ่มมนุษยนิ ยม (Humanism)
ผูน้ าทีส่ าคัญในกลุ่มคือ คาร์ล อาร์ โรเจอร์ส (Carl R. Rogers) และอับราฮัม เอ็ช มาส
โลว์ (Abraham H. Maslow) แนวความคิดนี้ เกิดขึน้ ในศตวรรษที่ 20 บางทีเรียกกันว่าเป็ นพลัง
19
คาถามท้ายบท
จากบทสัมภาษณ์ ของผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธีระชน พลโยธา “วาเลนไทน์ ท าไม
ต้องพรีเซนต์ตวั เอง ?” ในมติชนทีว ี
“จากการสังเกตการณ์กลุ่มคนทีน่ ิยมพรีเซนต์ตวั เอง ในช่วงวันวาเลนไทน์หรือเทศกาล
แห่งความรัก ที่มที งั ้ กลุ่มคนที่โสดและผูท้ ม่ี คี ่แู ล้วที่ลว้ นกระหน่ า สเตตัสกันตามโซเชียลมีเดีย ว่า
กรณีเช่นนี้ถอื เป็ นธรรมชาติของคนทีต่ ้องการและแสวงหาการยอมรับจากผูอ้ ่นื ต้องการทีจ่ ะเป็ น
ส่วนหนึ่งของสังคมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าพูดถึงเฉพาะเรื่อ งของความรัก ก็พฒ ั นามาตัง้ แต่ วยั รุ่นแล้ว
วัยรุน่ ก็จะพยายามสร้างเอกลักษณ์ขน้ึ มา ไม่ว่าจะเป็น เอกลักษณ์ของตัวเอง เอกลักษณ์ทางเพศ
แต่พอก้าวเข้าสู่วยั ผูใ้ หญ่หรืออายุมากขึน้ ก็แสวงหาความเป็ นเราจากผูอ้ ่นื ยิง่ ทุกวันนี้กจ็ ะมีพวก
สื่อต่าง ๆ เกิดขึน้ มากมาย ก็จะมีวธิ ีการหรือกลยุทธ์ท่จี ะแสวงหาคนที่จะมาเป็ นคู่ ไม่ว่าจะเป็ น
20
สาระสาคัญ
การวิจยั ทางจิตวิทยาเป็นการศึกษาพฤติกรรมและกระบวนการทางจิตอย่างเป็นระบบ
เพื่อนาผลการวิจยั ทีไ่ ด้ไปใช้ในการบรรยาย การอธิบาย การทานาย การควบคุม และการพัฒนา
การวิจยั ทางจิต วิทยาที่ส าคัญ เช่น การวิจยั เชิงสารวจ การวิจยั เชิงสหสัมพันธ์ การวิจยั เชิง
ทดลอง การศึกษาบุค คลเป็ นรายกรณี การวิจยั แต่ละประเภทใช้วธิ กี ารศึกษาทางจิตวิทยาที่
หลากหลาย ภายใต้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว ผูเ้ รียนสามารถ
1. มีความรูพ้ น้ื ฐานเกี่ยวกับการวิจยั ทางจิตวิทยา
2. มีความรู้ ความเข้าใจเบือ้ งต้นเกีย่ วกับขัน้ ตอนการทาวิจยั ทางจิตวิทยา
3. สามารถนาความรูท้ างการวิจยั ทางจิตวิทยาไปประยุกต์ใช้ในการทางานด้านต่าง ๆ
อ้างอิง (Inference) ไปยัง ประชากรเป้า หมายได้อ ย่างถู ก ต้ อ ง หรือ สามารถน าผลไปสรุป ใช้
(Generalize) ในสถานการณ์อ่นื ที่คล้ายคลึงกันได้อย่างถูกต้อง หากกลุ่มตัวอย่างที่มขี นาดเล็ก
จนเกินไป หรือมีผลเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อาจนาไปสู่ขอ้ สรุปทีผ่ ดิ พลาด
การวิจ ยั ทางจิต วิท ยาใช้ ว ิธ ีก ารทางวิท ยาศาสตร์ม ีล ัก ษณะที่เ ป็ น ขัน้ เป็ น ตอน แต่
บางครัง้ ข้อมูลหรือความคิดใหม่ ๆ ทีเ่ กิดขึน้ ในขณะทีว่ จิ ยั หรืออาจจะค้นพบภายหลังจากทีไ่ ด้ทา
การวิจยั เสร็จสิ้น ก็เป็ นสาเหตุท่ที าให้นักวิจยั ต้องย้อนกลับไปทาการวิจยั ซ้าใหม่อกี ครัง้ ดังนัน้
ในแต่ละขัน้ ตอนนัน้ ผู้วจิ ยั จะต้องสังเกตว่ามีอะไรเกิดขึ้น และเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด
เพื่อให้ได้ขอ้ มูลทีถ่ ูกต้อง ครอบคลุม นาไปสู่การสรุปผลทีม่ คี วามชัดเจน
คาถามท้ายบท
การวิจยั เชิงสารวจ การวิจยั เชิงสหสัมพันธ์ การวิจยั เชิงทดลอง การศึกษาบุคคลเป็ น
รายกรณีมปี ระโยชน์อย่างไร
งานที่มอบหมาย
ให้นิสติ แบ่งกลุ่ม ๆ ละ 4 คน เลือกประเด็นปญั หาทางจิตวิทยาทีส่ นใจมา 1 เรื่อง และ
ดาเนินการศึกษา โดยอาศัยกระบวนการวิจยั ทางจิตวิทยา
29
สาระสาคัญ
ช่ว งชีว ิต ของมนุ ษ ย์แ บ่งออกเป็ นวัยต่ างๆ โดยเริม่ ตัง้ แต่ ปฏิส นธิ วัยทารก วัยเด็ก
วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยกลางคนและวัยชรา พัฒนาการและพฤติกรรมของมนุ ษย์ปกติในแต่ละวัย
่ ทัง้ พัฒนาการทางกาย สติปญั ญา อารมณ์ สังคม มีลกั ษณะเฉพาะ การศึกษาลักษณะ
โดยทัวไป
ทัวไปของพั
่ ฒนาการมนุษย์ในแต่ละช่วงวัยจะทาให้เข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ได้ดยี งิ่ ขึน้
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว ผูเ้ รียนสามารถ
1. อธิบายความหมายของพัฒนาการและวุฒภิ าวะได้
2. อธิบายลักษณะทัวไปของพั
่ ฒนาการมนุษย์ ในแต่ละช่วงวัยได้
ความหมายของพัฒนาการ
พัฒนาการ (Development) หมายถึง กระบวนการของเปลี่ยนแปลงของมนุ ษย์ทงั ้
ทางร่างกายและจิตใจที่ผสมผสานกันไปอย่างเป็ นระบบระเบียบ มีทศิ ทางตามลาดับขัน้ จาก
ช่ว งเวลาหนึ่ง ไปสู่อีก ช่ว งเวลาหนึ่ง ต่ อ เนื่อ งกัน ไปนับตัง้ แต่ เ ริม่ ปฏิสนธิจนสิ้นอายุขยั ความ
เปลี่ยนแปลงของมนุ ษย์น้ีเป็ นไปทัง้ ในเชิงปริมาณและคุณภาพ จากความเรียบง่ายไปสู่มคี วาม
ละเอียดซับ ซ้อ นขึ้น ตามวัย พัฒ นาการทัง้ ร่า งกายและจิต ใจได้รบั อิท ธิพ ลมาจากป จั จัยทาง
พันธุกรรมและวุฒภิ าวะตามธรรมชาติ (Nature) หลายประการ อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่จะได้รบั การ
สนับสนุนจากอิทธิพลของบุคคลทีอ่ ยูแ่ วดล้อมและสิง่ แวดล้อมทางกายภาพ (Nurture)
พัฒนาการ (Development) ไม่ใช่การเจริญเติบโต (Growth) เพราะการเจริญเติบโต
หมายถึง การเปลี่ย นแปลงของร่ า งกายที่ เ พิ่ม ขึ้น ในเชิง ปริม าณ (Quantity) และเป็ น การ
เปลีย่ นแปลงทางด้านโครงสร้างร่างกาย เช่น ขนาด รูปร่าง น้ าหนัก ส่วนสูง สัดส่วน ความหนา
ตลอดจนกระดูกและกล้ามเนื้อ ดังนัน้ เมือ่ พูดถึงความเจริญเติบโตของมนุ ษย์ มักหมายถึง การที่
บุคคลมีน้ าหนักที่เพิม่ ขึน้ มีส่วนสูง ที่เพิม่ ขึ้น หรือมีระบบอวัยวะในร่างกายส่วนต่างๆ ที่ขยาย
เพิม่ ขึน้ ไป
ดังนัน้ ในการทีเ่ ราจะได้เข้าใจถึงธรรมชาติของชีวติ มนุ ษย์ในแต่ละวัยนับตัง้ แต่ปฏิสนธิ
จนถึงสิน้ อายุขยั นัน้ เราต้องศึกษาเพื่อทาความเข้าใจเกี่ยวกับพัฒนาการมนุ ษย์ในแต่ละด้าน ไม่
ว่าจะเป็ นด้านร่างกาย สติปญั ญา อารมณ์ สังคม บุคลิกภาพ หรือจริยธรรม ก็เพราะพัฒนาการ
มนุษย์ไม่ว่าจะเป็ นในวัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผูใ้ หญ่ หรือวัยสูงอายุ ล้วนแต่มกี ารเปลีย่ นแปลง
30
กระบวนการหลักที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการ
แซนทรอค (สุ ว รี ศิวะแพทย์. 2549:13-14 อ้างอิงจาก Santrock. 1997) อธิบายว่า
การเปลีย่ นแปลงพัฒนาการนัน้ เป็นผลมาจากองค์ประกอบ 3 ประการ ได้แก่
1) กระบวนการทางชี ว วิ ท ยา (Biological Process) เป็ น การเปลี่ย นแปลงทาง
สรีรวิทยาตามธรรมชาติของแต่ ล ะบุค คล เช่น ยีน (Genes) ที่ได้รบั การถ่ ายทอดจากพ่อ แม่
พัฒนาการทางสมอง น้ าหนัก ส่วนสูง การกระทาที่อาศัยทักษะทางร่างกาย (Motor Skill) หรือ
แม้แต่การเปลีย่ นแปลงฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น สิง่ เหล่านี้ เป็ นอิทธิพลทางด้านชีวภาพทีส่ ่งผลต่อ
พฤติกรรม
2) กระบวนการทางด้ า นความรู้ค วามเข้ า ใจ (Cognitive Process) เกี่ย วข้อ ง
ทางด้านการคิด เชาวน์ ปญั ญา ภาษา เช่น การทีเ่ ด็กมองตามโมบายทีแ่ ขวนเป็ นสภาพการณ์ท่ี
เกิด จากการรับรู้จากสิ่ง เร้าที่มากระตุ้นประสาทสัมผัส การแก้ปญั หาโจทย์ค ณิต ศาสตร์ การ
จินตนาการหรือการคาดเดาเหตุการณ์ทจ่ี ะเกิดขึน้ ต่อไป สิง่ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นกระบวนการคิด
ซึง่ เป็นพัฒนาการของเด็ก
3) กระบวนการทางอารมณ์ ในสภาพสัง คม (Sociomotional Processes) เป็ น
การเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ บุคลิกภาพ เพื่อสร้างสัมพันธภาพต่อบุคคลอื่น ๆ หรืออาจ
กล่าวได้ว่า เป็ นการปรับตัวหรือการมีปฏิสมั พันธ์ต่อสังคมนัน่ เอง เช่น การยิม้ ของทารก เป็ นการ
ตอบสนองจากการสัมผัสของมารดา เป็ นสื่อสัมพันธ์แทนภาษา ความก้าวร้าวของเด็กในการเล่น
กับเพื่อน การกล้าแสดงออกทีเ่ หมาะสม (Assertive) ของเด็กผู้หญิง หรือการไปร่วมงานรื่นเริง
ของเด็กวัยรุน่ สิง่ เหล่านี้ลว้ นแสดงให้เห็นกระบวนการพัฒนาเกีย่ วกับอารมณ์ เพื่อการปรับตัวให้
เหมาะสมกับสภาพการณ์และสังคม
จากที่ก ล่าวมา กระบวนการดังกล่ าวมีค วามเกี่ยวข้อ งกันอย่างยิง่ และมีอิทธิพลต่ อ
พัฒนาการของบุคคลดังกล่าว
31
ทีม่ า : http://www.mhhe.com/socscience/devel/ibank/image/0022.jpg
ลักษณะทัวไปของพั
่ ฒนาการมนุษย์
ลักษณะทัวไปของพั
่ ฒนาการมนุษย์สามารถสรุปได้ดงั นี้
1. พัฒนาการของมนุ ษย์เป็ นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ และมีแบบ
แผนทีค่ ล้ายคลึงกัน (Sequence) เช่น จะมีการคว่าก่อนคลาน คลานก่อนนัง่ นังก่ ่ อนยืน ยืนก่อน
เดิน และเดินก่อนวิง่ เป็นต้น
2. พัฒนาการจะเกิดเป็ นทิศทางเฉพาะ (Developmental Direction) พัฒนาการไม่ว่า
ด้านใดจะเริม่ จากส่วนใหญ่ไปสู่ส่ วนย่อย เช่น เด็กจะใช้มอื กาและจับของก่ อนใช้น้ิว หยิบของ
สามารถมองเห็นภาพวัตถุใหญ่ก่อนวัตถุเล็ก จากส่วนบนไปสู่ส่วนล่าง และจากส่วนกลางไปสู่
ส่วนข้างทีไ่ กลตัวออกไป ศีรษะของเด็กจะเจริญเติบโตเร็วกว่าส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เป็นต้น
3. อัต ราพัฒ นาการของแต่ ล ะคนจะแตกต่ างกัน ตามความแตกต่ า งระหว่ า งบุ ค คล
(Ratio) คนรุ่นเดียวกันบางคนเจริญเร็วกว่า บางคนช้ากว่า ขณะเดียวกันอัตราการพัฒนาการใน
ส่วนต่างๆ ของร่างกายคนเราทุกคนก็จะแตกต่างกันตามช่วงวัย กล่าวคือ บางส่วนจะเจริญเร็ว -
ช้ากว่าบางส่วน เช่น ขนาดสมอง จะเจริญเร็วมากเมื่ออายุ 6 – 8 เดือน ด้านความคิดสร้างสรรค์
จะเจริญอย่างรวดเร็วในช่วงวัย 2 ระยะ คือ ช่วงวัยเด็ก และช่วงวัยรุน่ เป็นต้น
4. ล าดับขัน้ พัฒนาการ (Stage of Development) แต่ ล ะขัน้ ก็จ ะมีค วามแตกต่ างกัน
เป็ นลักษณะเฉพาะในแต่ละขัน้ แต่ พฒ ั นาการทางด้านร่างกาย สติปญั ญา อารมณ์ สังคม จะ
ดาเนินไปพร้อมๆ กัน และมักมีความสัมพันธ์กนั เช่น เด็กที่มสี ติปญั ญาดี มักมีอารมณ์ ดแี ละ
สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ง่าย หรือเด็กที่มสี ติปญั ญาต่ า มักจะมีปญั หาทางด้านอารมณ์
ปรับตัวเข้ากับสังคมได้ยาก พัฒนาการกับการเสื่อมจะดาเนินควบคู่ กนั ไป เช่น พัฒนาการของ
ฟนั ฟนั น้ านมของเด็ก จะต้องผุและหักก่อน แล้วฟนั แท้จะขึน้ ตามมา เป็นต้น
32
วุฒิภาวะ
วุฒภิ าวะ (Maturation) หมายถึง พัฒนาการทางชีวภาพที่เป็ นไปตามยีนซึง่ ได้รบั การ
ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งเป็ นการแสดงความพร้อมทางสรีระ เช่น ระบบประสาท ระบบต่อม
ระบบกล้ามเนื้อ ที่ความพร้อมเหล่านี้จะไปกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมขึน้ เองตามธรรมชาติ โดย
ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิง่ เร้าใดๆ ทัง้ สิน้ เช่น การยืน การเดิน การนัง่ การวิง่ การเปล่งเสียง ฯลฯ ที่
เมือ่ ถึงวัยทีเ่ หมาะสม ก็สามารถจะกระทาได้เองตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องเรียนรู้ สิง่ เร้า หรือการ
ฝึ ก ฝนใดๆ วุฒ ิภาวะของแต่ ล ะบุ ค คลจะพัฒนาไปตามล าดับวัย ทัง้ ทางร่างกาย สติป ญ ั ญา
อารมณ์ และสังคม วุฒภิ าวะเป็ นภาวะของการบรรลุถงึ ขัน้ สุดยอดของการเจริญเติบโตเต็มทีใ่ น
ระยะใดระยะหนึ่ง และพร้อมทีจ่ ะประกอบกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งได้เหมาะสมกับวัย วุฒภิ าวะ
จึงเปรียบเสมือนพิมพ์เขียว (Blueprint) ของแต่ละคนทีม่ กี ารวางโครงสร้าง โดยการถ่ายทอดทาง
ยีน จากบรรพบุรุษ ซึง่ จะมีลาดับขัน้ ทีก่ าหนดไว้แล้ว ส่วนการจะเจริญงอกงามต่อไปนัน้ ก็จะเป็ น
หน้าทีข่ องประสบการณ์และการเรียนรูข้ องบุคคลต่อไป
ภาพแสดงวุฒภิ าวะในการเคลื่อนไหวของทารก
ทีม่ า : www.mhhe.com/socscience/ intro/ibank/set1.htm
33
อีกทัง้ ทารกยังมีความอยากรูอ้ ยากเห็นต่อสิง่ ต่างๆ ทีอ่ ยู่รอบตัวอย่างมาก ชอบรือ้ ค้น สิง่ ต่างๆ
ซึง่ ในความอยากรูอ้ ยากเห็นนี้ ก็อาจจะมีอุบตั เิ หตุเกิดขึน้ ตามมา เช่น ตกเตียง เดินชนข้าวของ
ล้มคว่า หรือทีร่ า้ ยแรงมาก เช่น หยิบของมีคม นิ้วแหย่ปลักไฟ ๊ แหย่พดั ลม เล่นไฟ ดังนัน้ พ่อแม่
หรือผูเ้ ลีย้ งดูจะต้องระมัดระวังให้มากเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ทารก
จะเห็นได้ว่า ทารกมีพฒั นาการด้านต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และ
ต่อเนื่องดังนัน้ การมีความเข้าใจในเรื่องพัฒนาการของทารกจะทาให้เราสามารถสังเกตความ
เปลี่ย นแปลงของทารกได้เ ป็ น อย่า งดี และเมื่อ พบความผิด ปกติ ก็อ าจจะใช้ว ิธ ีการกระตุ้น
พัฒนาการได้ ในการส่ งเสริมพัฒนาการให้ดีนั ้น สามารถทาได้หลายประการ เช่น การดูแล
สุขภาพร่างกายของทารก ให้การพักผ่อนที่เพียงพอ การฉีดวัคซีนครบถ้วนตามข้อกาหนดของ
โรงพยาบาล การให้นมและอาหารเสริมที่เหมาะสมกับวัย การส่งเสริมให้ทารกได้ใช้ประสาท
สัมผัสต่างๆ เช่น การแขวนโมไบล์สไี ว้ทเ่ี ปล การให้ทารกได้เดิน การเล่นต่อบล็อก การให้หยิบ
จับสิง่ ของเพื่อฝึกกล้ามเนื้อมัดใหญ่มดั เล็ก ตลอดจนส่งเสริมการใช้ภาษาและการได้ยนิ ด้วยการ
ฝึกพูด การเล่านิทานให้ฟงั การเห่กล่อม การสอนให้รอ้ งเพลงและทาท่าทางประกอบ เป็ นต้น
พฤติ กรรมทางกาย
การเจริญเติบโตขึน้ ทางร่างกาย น้ าหนัก ส่วนสูงระบบกล้ามเนื้อ ในวัยนี้ม ี
การเปลี่ยนแปลงอย่างสม่ าเสมอ รวมทัง้ อวัยวะภายในพัฒนาเกือบทุกระบบ ส่ ว นสูงพัฒนา
มากกว่าส่วนกว้าง โดยจะสูงเพิม่ ขึน้ ประมาณ 2-3 นิ้วต่อปี เด็กผู้หญิงจะมีการเจริญเติบโตและ
วุฒภิ าวะเร็วกว่าเด็กชาย ในช่วงอายุประมาณ 11 – 12 ปี เป็ นช่วงทีเ่ ตรียมตัวเข้าสู่วยั รุ่น ต่อม
ต่าง ๆ ของร่างกายเริม่ ทางานเต็มที่ สัดส่วนร่างกายและโครงสร้างกระดูกมีการเปลีย่ นแปลง
พฤติ กรรมทางสติ ปัญญา
เด็กจะเริม่ รูจ้ กั คิดวิเคราะห์และใช้เหตุผลในการแก้ปญั หาได้มากขึน้ มีความ
สนใจใฝร่ ู้ ชอบการแสวงหาความรูใ้ หม่ๆ มีความสนใจในเรือ่ งธรรมชาติ สัตว์เลีย้ ง การท่องเทีย่ ว
การดู ภ าพยนตร์ ดู ก าร์ ตู น มีค วามคิด สร้ า งสรรค์ แ ปลกใหม่ รู้ ส ึ ก เชื่อ มัน่ และภู ม ิใ จใน
ความสามารถของตนเอง โดยทัวไปเด็ ่ กผู้ชายจะสนใจคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การพิสูจน์
ทดลอง ผูห้ ญิงจะสนใจเกีย่ วกับสิง่ ทีใ่ ห้ความรูส้ กึ อ่อนโยนประโลมใจ
พฤติ กรรมทางอารมณ์
เด็กวัยนี้มคี วามละเอียดอ่อนทางอารมณ์มากขึน้ สามารถเข้าใจอารมณ์และ
ความรูส้ กึ ของตนเองและผูอ้ ่นื ได้ดี รูจ้ กั ควบคุม อารมณ์ของตนเองและแสดงพฤติกรรมออกไปได้
อย่างเหมาะสมมากขึ้น ไม่โกรธง่าย หรือหากโกรธก็จะไม่ร้องกรี๊ด หรือ ลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เหมือนตอนเป็นเด็กเล็ก ๆ แต่จะใช้วธิ เี ก็บความโกรธไว้ในใจ หรือไม่กห็ ลีกหนีจากสถานการณ์ท่ี
ไม่พอใจ จะระมัดระวังในการกระทาทีจ่ ะทาให้ผอู้ ่นื เสียใจหรือกระทบกระเทือนใจมากขึน้ รูจ้ กั มี
ความรักมีน้าใจช่วยเหลือผูอ้ ่นื รวมทัง้ ต้องการให้ครอบครัวและผูอ้ ่นื แสดงความรักต่อตน จะรูส้ กึ
กลัวการไม่มเี พื่อนและไม่เป็ นที่ยอมรับของกลุ่ม ไม่ชอบการแข่งขัน ไม่อยากเด่นหรือด้อยกว่า
ใคร ไม่ชอบการทีต่ นเองถูกนาไปเปรียบเทียบกับผูอ้ ่นื อีกทัง้ ช่วงปลายของวัยนี้จะเริม่ วิตกกังวล
เกีย่ วกับรูปร่างหน้าตา เพราะต้องการให้ตนดูดสี วยงาม
พฤติ กรรมทางสังคม
เด็กจะให้ความสาคัญกับสัมพันธภาพระหว่างบุคคลทัง้ คนที่ใกล้ชดิ หรือคน
อื่น ๆ ทัง้ วัย เดีย วกัน และต่ า งวัย เด็ก มัก จะหาเพื่อ นที่ม ีค วามคล้ า ยคลึ ง กับ ตนทัง้ ในด้ า น
บุค ลิกภาพและความต้องการ มักยึดมันในกลุ ่ ่ มเพื่อน มีค วามผูกพันและเป็ นเจ้าของกลุ่ ม มี
พฤติก รรมและการแต่ ง กายคล้า ยกลุ่ ม มีสงั คมเฉพาะกลุ่ ม เพื่อ นเพศเดีย วกัน การส่ ง เสริม
พัฒนาการของเด็กวัยนี้ ควรแนะนาให้เด็กรู้จกั ใช้เวลาว่างให้ประโยชน์ ต่อสุขภาพ เช่น ออก
กาลังกาย เล่นกีฬา เล่นดนตรี รวมทัง้ รับประทานอาหารที่มปี ระโยชน์ ครบทุกหมู่ถูกต้องตาม
หลัก โภชนาการ แนะนาให้เ ด็ก หาวิธ ีการที่จะผ่ อ นคลายความตึงเครียดโดยหางานอดิเ รกที่
ตนเองชื่นชอบทา รวมทัง้ ฝึกให้เด็กแสดงพฤติกรรมกับผูอ้ ่นื อย่างเหมาะสม รูจ้ กั การเสียสละเพื่อ
คนอื่น การเล่นกับผูอ้ ่นื ต้องรูแ้ พ้ รูช้ นะ รูอ้ ภัย และไม่ให้เด็กคาดหวังอะไรจากคนอื่นจนเกินไป
44
5. วัยรุ่น (Adolescence)
วัยรุ่นอายุจะอยู่ในช่วงประมาณ 12 – 19 ปี เป็ นวัยทีฮ่ อร์โมนมีบทบาทสาคัญกับ
พัฒนาการทางสมองและการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ความเป็ นวัยรุ่นจะถูกกาหนดออกมาใน
ช่วงเวลาที่มคี วามเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงทาง
โครงสร้าง การเปลีย่ นแปลงเกีย่ วกับลักษณะของยีนภายในเซลล์ต่างๆ นันคื ่ อ ช่วงเวลาทีม่ คี วาม
วุ่ น วายทางชี ว ภาพเป็ น อย่ า งมาก และสมองส่ ว นหน้ า ก็ ต้ อ งต่ อ สู้ เ พื่ อ ปรับ ตั ว เข้ า กั บ
สภาพแวดล้อ มนัน้ ในการที่จะต้องเผชิญ กับการเพิม่ ขึ้นของสิ่งที่กล่าวมานี้ ซึ่งเป็ นเรื่องยาก
พอสมควรสาหรับสมองส่วนหน้าทีเ่ ป็นปกติ ทีจ่ ะต้องผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านี้เพื่อนาไปสู่การเป็ น
วัยรุ่น สมองส่ วนหน้ า คือ ส่ วนของสมองที่ทาให้เ รามีการวางแผนอนาคต และเกี่ยวข้องกับ
ลักษณะทางจิตของเรา เช่น ความรับผิดชอบตนเอง การตัดสินการกระทา การควบคุมตนเอง
เป็ นต้น สมองส่วนนี้ต้องพัฒนาสิง่ สาคัญหลักเหล่านี้ เพื่อที่จะเป็ นก้าวสาคัญในการที่จะพัฒนา
เติบโตไปเป็ นวัยรุ่นที่มคี ุณภาพ จากการทีส่ มองส่วนทีร่ บั ผิดชอบเกี่ยวกับเหตุผล การตัดสินใจ
และการควบคุมตนเองกาลังพัฒนาอยู่ วัยรุน่ จึงเป็ นช่วงของความสับสนวุ่นวาย สมองของวัยรุ่น
ถึงจะเริม่ สับสนวุ่นวาย (Lahey. 2001: 343-346; Kalat. 1990: 226-229)
พฤติ กรรมทางกาย
ในช่วงวัยเด็กทัง้ เด็กชายและเด็กหญิงจะมีความสูงเพิม่ ขึน้ ในแต่ละปี ดว้ ยอัตราที่
เท่ากัน แต่เมื่อเริม่ ก้า วเข้าสู่วยั รุ่น ตัง้ แต่ 10 ปี ข้นึ ไป ส่วนสูงของเด็กผู้หญิงจะเพิม่ ในอัตราที่
มากกว่าเด็กชาย แต่หลังจากอายุ 12 ปีผ่านไป ปริมาณความสูงทีเ่ พิม่ ขึน้ ของผูห้ ญิงจะมีอตั ราที่
ลดลง แต่ในทางตรงกันข้ามเด็กผูช้ ายจะเพิม่ ขึน้ ในอัตราที่สูงกว่า จนกระทังอายุ ่ ประมาณ 14 ปี
เป็ นต้นไป อัต ราการเพิ่มส่ ว นสูงของเด็กชายก็จะค่ อ ย ๆ ลดลงเช่นกัน (Tanner et al. 1966
citing Lahey. 2001: 344) ดังกราฟ
อายุ (ปี )
45
ความคิด สร้า งสรรค์ท่ีจ ะพัฒ นางานของตนให้ด ีข้ึน รวมทัง้ พยายามค้น หาป ญ ั หาที่ท้า ทาย
ความสามารถของตนด้วย
พฤติ กรรมทางอารมณ์
วัยผูใ้ หญ่ตอนต้นจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี เพราะมีความมันคงทางจิ
่ ตใจสูง
กว่าวัยรุ่น รูจ้ กั การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ยอมรับตนเองและผูอ้ ่นื ได้ดขี น้ึ และแสดงพฤติกรรมอย่าง
สมเหตุสมผลมากขึน้ อารมณ์รกั ก็มหี ลายรูปแบบและเริม่ ปรารถนาทีจ่ ะใช้ชวี ติ คู่
พฤติ กรรมทางสังคม
บุคคลจะพัฒนาความรักความผูกพัน รวมทัง้ การแสวงหามิตรภาพที่สนิทสนม
มันคง
่ มีความสัมพันธ์กนั อย่างไว้เนื้อเชื่อใจ นับถือซึง่ กันและกัน แต่จานวนสมาชิกในกลุ่มเพื่อน
จะลดลง แต่เพื่อนแท้ยงั คงอยู่และผูกพันกันมากขึน้ และมักเป็ นเพศเดียวกัน เพราะบุคคลในวัยนี้
จะมีค วามสัม พันธ์ก ับ ครอบครัว เพิ่มขึ้น เนื่อ งจากเริม่ ใช้ชีว ิ ต ครอบครัว กับคู่ข องตนมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ในการใช้ชวี ติ คู่ช่วงแรกๆ อาจจะต้องมีการปรับตัวอย่างมาก จนเมื่อเวลาผ่านไป
ระยะหนึ่ ง จนกระทัง่ ปรับ ตัว ได้ ดี มีค วามรัก ความเอาใจใส่ กัน มีค วามอดทนพร้อ มที่จ ะ
ประคับประคองชีวติ คู่ให้เป็ นไปอย่างราบรื่น ชีวติ คู่ก็จะมีความสุขและส่ งผลต่อการใช้ชวี ติ ด้าน
อื่นๆ ให้มคี วามสุขตามไปด้วย และต่อมาหากมีบุตรก็จะต้องปรับบทบาทครัง้ ใหม่ เพราะต้อง
เป็ นพ่อและแม่ แม่จะมีบทบาทต่อการเลีย้ งดูลูกมากโดยเฉพาะแม่ทต่ี ้องทางานนอกบ้านไปด้วย
ดังนัน้ พ่อจะต้องมีทาหน้าทีเ่ ป็ นผูช้ ่วยแม่ในการเลี้ยงดูลูกด้วย จะช่วยเสริมสร้างกาลังใจให้กบั
แม่ได้มาก และทีส่ าคัญสามีภรรยาจะได้มกี ารเรียนรูค้ วามรักทีย่ งิ่ ใหญ่ในอีกรูปแบบหนึ่งเพิม่ ขึน้
ในอดีตผู้ชายจะมีบทบาทในการทางานหารายได้ให้กบั ครอบครัว ส่วนผู้หญิงจะ
เป็ นแม่บา้ นมีหน้าทีใ่ นการดูแลปรนนิบตั สิ ามีและบุตร รวมทัง้ จัดการกับงานบ้านให้เป็ นระเบียบ
เรียบร้อย แต่สงั คมในปจั จุบนั ผูห้ ญิงออกไปทางานนอกบ้านเช่นเดียวกับผูช้ าย บทบาทหน้าทีใ่ น
การเป็ นแม่บ้านดังเช่นในอดีตก็ดูเ หมือนจะลดน้ อยลงไป แต่ผู้หญิงบางคนก็ส ามารถบริหาร
จัดการชีวติ ได้ดแี ละทาหน้าทีท่ งั ้ 2 อย่างได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ขณะทีบ่ างคนเรื่ องงานกับ
ครอบครัวดูเหมือนว่าจะสร้างปญั หาและเกิดความขัดแย้งได้ไม่น้อย มีผลการวิจยั ทีส่ ร้างความ
ประหลาดใจและมีป ระเด็น ที่น่ า สนใจให้ต้ อ งขบคิด โดยผลการวิจ ัย ได้พ บว่ า ผู้ห ญิง ที่ใ ห้
ความสาคัญกับอาชีพมากกว่าครอบครัว มีแนวโน้ มที่จะมีปญั หาในชีวติ สมรสน้ อยกว่าผูห้ ญิงที่
อยู่เป็ นแม่บา้ นอย่างเดียว แทนทีจ่ ะเป็ นสาเหตุของการทะเลาะเบาะแว้งกับสามี แต่การวิจยั ทีล่ ง
ตีพมิ พ์ในวารสารเจอร์นัล ออฟ แฟมิล ี อิชชูส์ กลับระบุว่า ผู้หญิงที่ออกไปทางานนอกบ้านมี
แนวโน้มน้อยลงถึง 50% ทีจ่ ะมีปญั หาชีวติ คู่ถงึ ขัน้ บ้านแตกสาแหรกขาด ทัง้ นี้ ผลการวิจยั ล่าสุด
ให้ขอ้ สรุปว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้หญิง ทาให้ชวี ติ แต่งงานมีความยืดหยุ่นและยืนนาน
กล่าวคือภรรยาทีท่ างานเต็มเวลา จะทาให้สถานการณ์การเงินของครอบครัวเป็ นปึกแผ่นขึน้ ซึง่
อาจช่วยเป็ นเกราะคุ้มครองยามที่ภาวะเศรษฐกิจตกสะเก็ด (ผู้จดั การออนไลน์ . 25 เมษายน
2549) อย่างไรก็ด ี ปจั จัยทางเศรษฐกิจหรือเรื่อ งเงินเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ สงิ่ ที่จะชี้ว ดั
49
คุ ณ ภาพชีว ิต ครอบครัว เสมอไป งามตา วนิ น ทานนท์ และคณะ (2545: 99-101) ได้ศึก ษา
วิเคราะห์ดชั นีเชิงเหตุและผลของคุณภาพชีวติ สมรสในครอบครัวไทย พบว่า ความสัมพันธ์ทไ่ี ม่ดี
ระหว่างสามีก ับภรรยา (บิดากับมารดา) มีส าเหตุ มาจาก การมีล กั ษณะทางจิต ใจด้านความ
ใกล้ชดิ ผูกพันกับคู่สมรสน้อย มีทศั นคติทด่ี ตี ่อคู่สมรสน้อย มีการสื่อสารระหว่างกันน้อย รับรูว้ ่าคู่
สมรสของตนให้ความสาคัญด้านชีวติ ครอบครัวน้อย และยังรับรูว้ ่าเขาหรือเธอปฏิบตั ติ ามหลัก
ศาสนาน้อยด้วย
อย่างไรก็ด ี ปจั จุบนั พบว่ามีคนจานวนไม่น้อยที่นิยมจะใช้ชีวติ โสด อาจเพราะ
ต้องการความเป็ นอิสระ อุทศิ ชีวติ ให้กบั งาน ภาคภูมใิ จในตนเองจนคิดว่าไม่มใี ครคู่ควร หรือ
อาจจะมีทศั นคติท่ไี ม่ดตี ่อการมีชวี ติ คู่ แต่ถึงกระนัน้ คนโสดก็ต้องมีการปรับตัว เพราะบางคน
เพื่อนทีเ่ คยคบกันมาก็ไปแต่งงานกันหมด คนโสดจึงมักคบกับคนโสดเช่นเดียวกัน และพยายาม
หาอะไรทาแก้เหงา เช่น บางคนก็ส นุ กสนานกับการปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ เข้าเป็ นสมาชิกใน
ชมรมต่างๆ และบางคนอาจเข้าวัดฝึกปฏิบตั ธิ รรม ก็เป็นได้
เมื่อ เข้า สูร ะยะปลายของวัย นี้ บุ ค คลเริ่ม เตรีย มตัว เข้า สู่ ก ารเป็ น ผู้สูง อายุท่ีม ี
คุณภาพ คนทีด่ ูแลตนเองมาเป็ นอย่างดี ตัง้ แต่วยั ก่อนหน้านี้ ก็จะทาให้ความเสื่อมของร่างกาย
ยืดระยะเวลาออกไปอีก การเตรียมตัวเข้าสู่การเป็ นผูส้ ูงอายุอย่างมี คุณภาพ เริม่ ตัง้ แต่การออก
กาลังกายที่เหมาะสมกับสภาวะสุขภาพและโรคประจาตัว การเตรียมเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ที่อยู่
อาศัย และการใช้ชวี ติ ในวัยสูงอายุ การรูจ้ กั ปล่อยวางกับบางเรื่องทีไ่ ม่อาจจัดการได้ รวมทัง้ การ
เข้าร่วมกิจกรรมทีเ่ กีย่ วข้องกับการเตรียมตัวเข้าสู่วยั สูงอายุ
คาถามท้ายบท
ให้นิสตอ่านบทความต่อไปนี้ และวิเคราะห์พฤติกรรมในวัยชราของโจวเหวินฟะ สาเหตุ
และผลของพฤติกรรม
โจวเหวินฟะ ตานานนักแสดงฮ่องกงชื่อดัง เตรียมบริจาคทรัพย์สมบัตทิ งั ้ หมดทีม่ ใี ห้แก่
การกุศล ฝนั อยากมีชวี ติ เป็ นคนธรรมดา วางแผนใช้เงินแค่เดือนละ 3 พัน
สาระสาคัญ
นัก จิต วิท ยาได้อ ธิบ ายแนวคิด ของตนในทฤษฎีต่ า งๆ หลายทฤษฎีด้ว ยกัน ที่ม ี
ชื่อเสียง คือ ทฤษฎีพฒ ั นาการความต้องการทางเพศ ทฤษฎีพฒ ั นาการทางจิตสังคม ทฤษฎี
พัฒนาการทางการรูค้ ดิ และทฤษฎีพฒ ั นาการทางจริยธรรม การศึกษาทฤษฎีพฒ ั นาการมนุษย์
จะช่วยให้เราเข้าใจพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละช่วงวัยได้ดยี งิ่ ขึน้
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว ผูเ้ รียนสามารถ
1. อธิบ ายและสรุ ป แนวคิด เกี่ ย วกับ หลัก พัฒ นาการและทฤษฎี พ ัฒ นาการของ
นักจิตวิทยาทีม่ ชี ่อื เสียงได้
2. วิเคราะห์พฤติกรรมของมนุษย์โดยอ้างอิงทฤษฎีพฒ ั นาการต่าง ๆ ได้
ในความสามารถ แต่ ถ้า พ่ อ แม่ทาแทนเด็กทุ ก อย่า ง จะทาให้เ ด็ก ไม่ ม นใจในตนเอง ั่ การให้
ประสบการณ์ ท่ที าให้เ ด็กได้รู้จกั แก้ปญั หาบ้างก็จะทาให้เ ด็กได้รู้จกั เรียนรู้ การแก้ปญั หาและ
นาไปสู่การพึง่ พาตนเอง
ขัน้ ที่ 3 ความคิ ด ริ เ ริ่ ม - ความรู้ สึ ก ผิ ด (Initiative vs. Guilt) (4-5 ปี ) เด็ ก มี
ความคิดริเริม่ มีเหตุผล และมีความสามารถในการทากิจกรรมต่างๆ พ่อแม่ควรให้การสนับสนุ น
การกระทาของลูก อย่างเหมาะสม เช่น เมื่อเด็กเกิดความสงสัย หรือมีปญั หาในการทากิจกรรม
พ่อแม่ควรให้คาแนะนาลูกด้วยความเต็มใจ แต่ไม่ต้องไปช่วยเหลือเด็กทุกอย่าง เพราะจะทาให้
เด็กเกิดความไม่พอใจ รูส้ กึ ว่าความผิดของตนเองทีต่ อ้ งให้คนอื่นมาช่วยเหลือ
ขัน้ ที่ 4 ความขยันหมันเพี ่ ยร - ความรู้สึกด้อย (Industry vs. Inferiority) (6-11
ปี ) เด็ก เมื่อ อยู่ใ นวัย ต้อ งเข้าโรงเรีย น ต่ า งมุ่ง หวังที่จะประสบความส าเร็จ ในการเรียน หรือ
คาดหวังความสาเร็จจากงานทีเ่ ขาทา เด็กจะมีความพยายามเอาใจใส่ทางานอย่างจริงจัง ดังนัน้
หากเด็กได้รบั คาชมเชยและได้รบั กาลังใจ ก็จะทาให้เด็กเกิดความขยัน แต่ถ้าเด็กประสบความ
ล้มเหลวในการทางาน ความรูส้ กึ ด้อยก็จะเกิดขึน้
ขัน้ ที่ 5 การมี เ อกลั ก ษณ์ - ความสั บ สนในบทบาท (Identity vs. Role
Confusion) (12-18 ปี) วัยรุ่นมักแสวงหาความเป็ นตัวของตัวเองและเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึง่ จะ
ทาให้เขารูว้ ่า เขาคือส่วนใดของสังคม ความรูส้ กึ ว่าได้รบั การยอมรับจากเพื่อนเป็ นสิง่ ที่สาคัญ
ที่สุ ด ของวัยรุ่น การไม่สามารถยึดถือ เอกลักษณ์เ ป็ นของตนจะทาให้เ กิดความรู้สกึ สับสนใน
บทบาท
ขัน้ ที่ 6 ความผูก พัน - การแยกจากกลุ่ ม (Intimacy vs. Isolation) (Young
adult) วัยผู้ใหญ่ตอนต้นจะรูจ้ กั ปรับตนให้เข้ากับผู้อ่นื มีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม มี
ความสุขจากการได้รกั ผูอ้ ่นื และผูอ้ ่นื มารักตน หากบุคคลทีไ่ ม่สามารถทาตนให้เป็นทีย่ อมรับจาก
ผูอ้ ่นื หรือเป็นบุคคลทีส่ งั คมไม่ตอ้ งการ ก็จะแยกตัวออกไป และใช้ชวี ติ อย่างโดดเดีย่ ว
ขัน้ ที่ 7 ความรับผิ ดชอบและความสนใจตนเอง (Generativity versus Self -
Absorption) (Middle age) วัยผูใ้ หญ่หรือวัยกลางคนจะมีความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสังคม
เป็ นวัยที่เริม่ สนใจปญั หาของสังคมมากกว่าปญั หาของตนเอง รูส้ กึ เป็ นสุขใจที่ได้ทาประโยชน์
และดูแลผูอ้ ่นื ส่วนบุคคลทีส่ นใจแต่เฉพาะตนเอง ก็จะทาให้เป็นผูใ้ หญ่ทไ่ี ม่น่านับถือ
ขัน้ ที่ 8 มีความสุขสมบูรณ์ ในชี วิต และความสิ้ นหวัง (Integrity vs. Despair)
(Old age) วัยชราจะมีความสุขกับชีวติ ที่ประสบความสาเร็จ หากเป็ นผู้ทม่ี คี วามพอใจในชีวติ ที่
ผ่านมา แต่ถา้ บุคคลทีไ่ ม่ประสบความสาเร็จหรือผิดหวังกับชีวติ ทีผ่ ่านมา ก็จะมีความทุกข์ใจและ
สิน้ หวัง เพราะเวลาของชีวติ ทีเ่ หลืออยู่ ไม่เอื้ออานวยให้ต่อสูด้ ้นิ รนเพื่อสิง่ ทีห่ วัง อีกต่อไป จึงทา
ให้เกิดบุคลิกภาพและอารมณ์ทแ่ี ปรปรวนในวัยชรา
59
ขัน้ ที่ 2 ขัน้ ความคิ ดก่อนปฏิ บตั ิ การ (Preoperational Stage) อายุในช่วง 2-7 ขวบ
เพียเจต์อธิบายว่าเด็กเริม่ พัฒนาการใช้สญ ั ลักษณ์ต่างๆ ในการทาความเข้าใจและแสดงออกกับ
สิง่ แวดล้อม เด็กจะพยายามใช้ภาษาในการสื่อสาร เช่น เรียกชื่อสิง่ ของ ถึงแม้ว่าอาจจะสับสนไป
บ้างก็ตาม การคิดของเด็กยังผูกพันกับการรับรูอ้ ย่างมาก เด็กเริม่ รูจ้ กั ใช้เหตุผลบางประการใน
การคิด แต่ยงั ไม่ลกึ ซึง้ พอ ไม่สามารถวิเคราะห์เกินเลยไปจากสิง่ ทีเ่ ห็น ซึง่ แตกต่างไปจากผูใ้ หญ่
เด็กจะไม่เข้าใจ เรื่อง การอนุ รกั ษ์ปริมาณ (Conservation of Quantity) ได้ เขาไม่สามารถเข้าใจ
สิง่ ทีเ่ ท่ากัน แม้จะเปลีย่ นรูปร่าง หรือแปรสภาพ หรือเปลีย่ นทีว่ าง วัตถุนนั ้ จะยังคงอยูเ่ ท่ากัน
62
พัฒนาการด้านการคิ ดอนุรกั ษ์
การอนุรกั ษ์ (Conservation) เป็ นความคิดรวบยอดขัน้ พืน้ ฐานของพัฒนาการทาง
สติปญั ญาทีเ่ พียเจต์อธิบายว่า การอนุ รกั ษ์เป็นหลักการอธิบายความคงทีข่ องวัตถุ ไม่ว่าวัตถุนนั ้
จะมีการเปลีย่ นรูปร่างของวัตถุนนั ้ ไปอย่างไรก็ตาม ตัวอย่างการอนุรกั ษ์ปริมาตร เช่น
(Operation) คือ การจัดกระทาต่ อ วัต ถุ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่ างวัต ถุ ใ ห้เ กิด ขึ้น ซึ่งจะ
นาไปสู่การคิดอย่างมีเหตุผลทางตรรกศาสตร์ พัฒนาการทางความคิดจะสูงขึน้ การค้นหาความ
จริงเกี่ยวกับวัตถุจะมีแบบแผน และไม่ตดิ กับการรับรูล้ กั ษณะภายนอกของสิง่ เร้าดังเช่นในขัน้
ก่อนหน้า เด็กจะพิจารณาสิง่ ต่างๆ โดยยึดตนเองเป็ นศูนย์กลางน้อยลง อย่างไรก็ตาม การคิด
แบบมีเหตุผลที่ถูกต้อง ต้องอาศัยเวลา ซึ่งเด็กจะต้องมีอายุทส่ี ูงพอที่จะเกิดความเข้าใจในเรื่อง
ต่างๆ เกีย่ วกับวัตถุทเ่ี พิม่ ขึน้
ในขัน้ ก่อนปฏิบตั กิ าร เด็กจะพิจารณาวัตถุในสองมิตพิ ร้อมกันไม่ได้ แต่เด็กในขัน้
ปฏิบตั กิ ารคิดด้วยรูปธรรมจะสามารถคิดอนุ รกั ษ์ได้ คือ ความสามารถด้านการคิดของเด็กในการ
จัดการกับปญั หาทีเ่ กีย่ วข้องกับวัตถุต่างๆ เด็กวัยนี้เริม่ เข้าใจว่าวัตถุอย่างเดียวกันมีขนาดเท่ากัน
เมื่อถูกเปลีย่ นรูปร่างไปก็ยงั มีขนาดเท่ากันเช่นเดิม รูจ้ กั การคิดประเภทการจัดลาดับ สามารถใช้
ความคิดเหตุผลในเรื่องของความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการคิดทบทวนไปมา (Reversibility) โดย
ธรรมชาติเด็กในระดับอายุ 7 – 11 ปี จะเกิดการคิดปฏิบตั กิ ารทีส่ าคัญ คือ
1. การทวนกลับ (Reversibility) เป็ นตัวปฏิบตั กิ ารที่จะสามารถคิดย้อนกลับไปสู่
จุด เริ่มต้น และกลับมาสู่จุดจบได้ เช่ น ถ้ าเทน้ าจากแก้ว C กลับไปยัง แก้ว B ตามเดิม จะได้
ปริมาณเท่าเดิม นัน่ คือของเหลวมีปริมาณเท่ากัน เพียเจต์ให้ความสาคัญกับการคิดแบบทวน
กลับเป็ นอย่างมาก ว่าเป็ นการแสดงถึงระดับสติปญั ญาทีจ่ ดั ว่าอยูใ่ นขัน้ สูง
2. การรวมเข้าด้วยกัน (Combinativity) เป็ นการปฏิบตั กิ ารของการจัดประเภทสิง่
ต่างๆ รวมเข้าด้วยกันเป็นองค์ประกอบใหม่ เช่น สุนัขสีดารวมกับสุนขั สีขาว เมื่อรวมประเภทจะ
จัดเป็นพวกสุนขั ได้
3. การเชื่อมความสัมพันธ์ (Associativity) เป็ นปฏิบตั ิการที่หาวิธตี ่างๆ ในการ
รวมเข้าด้วยกัน แต่ ผลที่ได้อ ย่างเดียวกัน เช่น การนาไม้ยาว 10 เซนติเ มตร 4 อัน และ ไม้
บรรทัดยาว 12 นิ้ว 2 อัน มาเรียงกัน โดยอาจจะเรียงไม้อนั สัน้ ก่อน หรือเรียงไม้อนั ยาวก่อนหรือ
สลับกันก็ได้
4. ความเป็ นเอกลักษณ์ (Identity) เป็ นปฏิบตั กิ ารที่เป็ นการรวมส่วนประกอบอัน
ใดอันหนึ่งเข้ากับส่วนที่ประกอบที่ตรงกันข้ามแล้วเกิดผลลัพธ์เป็ นศูนย์ เช่น มีน้ า 1 หน่ วย ตั ก
ออกไป 1 หน่ วย ผลลัพธ์ทเ่ี กิดขึน้ คือ ศูนย์ (0) ไม่มนี ้ าเลย หรือ จากการอนุรกั ษ์ปริมาตรน้ าใน
แก้วใหม่ทม่ี าจากน้ าแก้วเดิม โดยไม่ได้มกี ารเพิม่ น้ าเข้าไปหรือเทออก ฉะนัน้ ปริมาณน้ าก็ยงั คง
เดิม
เมนเดลสัน (Mendelson. 1984: 1789-1790) ได้ศกึ ษาการรับรูท้ างสายตาของเด็ก โต
พบว่า เด็กโตจะใช้ลกั ษณะการตัดสินเชิงปริมาณภายในของภาพ เป็ นตัวตัดสินการแบ่งภาพ แต่
เด็กเล็กจะใช้โครงสร้างและลักษณะภายนอกของสิง่ เร้า เช่น ความสูง -ต่ า มาเป็ นตัวตัดสินการ
จัดแบ่งภาพ เป็นต้น การตัดสินเชิงปริมาณและการใช้โครงสร้างหรือองค์ประกอบเชิงเส้นและมุม
จะส่งผลต่อการรับรูท้ างสายตาโดยเฉพาะในเด็กเล็ก และส่งผลน้อยลงในเด็กทีโ่ ตขึน้ เพราะเมื่อ
65
คาถามท้ายบท
ให้นิสติ เลือกทฤษฎีพฒ ั นาการ เพื่ออธิบายพัฒนาการของวัยรุน่ ไทย
สิง่ ที่ผู้ใหญ่ “ท้อแท้ สิ้นหวัง” ในตัวเด็กไทย ณ วันนี้ จึงมีมากมายหลายประการ เช่น
ด้านความประพฤติ ขาดความเป็ นไทย การไม่รกั ษา ขนบธรรมเนียมประเพณีไทย เรียนรูแ้ ละ
ทดลองเรื่องเพศเร็วเกินไป ด้านความคิดที่เห็นผิดเป็ นชอบโดยการติดยาเสพติด การมีสมั มา
คาราวะลดน้อยลงการประพฤติปฏิบตั ติ วั ต่อผูใ้ หญ่ ไม่เหมาะสม มีการแสดงความกล้าในทางทีผ่ ดิ
ทาตัวเป็ นอันธพาล ซึง่ ผูใ้ หญ่โดยส่วนใหญ่คดิ ว่า ปญั หาของเด็กมีมากขึน้ นี้ เนื่องจากสังคมไทย
ไม่ค ิดจะช่วยเด็ก อย่างเต็มที่ การดูแลเอาใจใส่ เด็กยังไม่มากพอ (ฝ่ายข่าวการศึกษา. 2548:
Online) (http://dusitpoll.dusit.ac.th/2549/2549_004.html)
สิง่ ทีน่ ่ าเป็ นห่วงคือ พ่อแม่ในสังคมยุคปจั จุบนั มักจะปล่อยปละละเลยบุตร โดยเฉพาะ
อย่างยิง่ เด็กวัยรุ่น ศูนย์ประชามติ สถาบันวิจยั และพัฒนามหาวิทยาลัยรามคาแหง สารวจความ
คิ ด เห็ น ของประชาชน 1,416 คน โดยส่ ว นใหญ่ ร้ อ ยละ 73.9 เป็ นวั ย รุ่ น อายุ 19-25 ปี
มหาวิทยาลัยรามคาแหง สารวจความคิดเห็นวัยรุ่นพบเกือบครึง่ เห็นว่าพ่อแม่ผู้ปกครองเอาแต่
ทางานเป็ นที่ปรึก ษาไม่ค่ อ ยได้ โดยเฉพาะเรื่อ งความรักและการมีเพศสัมพันธ์ ส่ ว นใหญ่ จงึ
ปรึกษาเพื่อ น วัยรุ่นให้ความส าคัญ กับเพื่อนมากและต้อ งการเป็ นที่ ยอมรับของเพื่อน จึงมัก
เลียนแบบทัศนคติและความชอบของเพื่อน เลือกคบเพื่อนทีม่ คี วามสนใจคล้ายคลึงกันกับตนเอง
หรือสามารถสนองความพึงพอใจของตนเองได้ ซึง่ เพื่อนทีม่ คี ุณสมบัตทิ ก่ี ล่าวมานี้ จะทาให้วยั รุ่น
เกิดความรูส้ กึ ใกล้ชดิ ไว้วางใจ ยอมรับซึง่ กันและกัน จนสามารถเปิ ดเผยความรูส้ กึ หรือความลับ
บางอย่างต่อกันได้ เพื่อนจึงมีความสาคัญกับวัยรุ่น ดังนัน้ ถ้าวัยรุ่นคบเพื่อนดี ชักชวนกันทา
68
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว ผูเ้ รียนสามารถ
1. อธิบายความสาคัญของการถ่ายทอดทางพันธุกรรมทีม่ ตี ่อพฤติกรรมได้
2. อธิบายโครงสร้างการทางานของสมองทีเ่ กีย่ วข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ได้
พันธุกรรม
พันธุ กรรม (Heredity) และสิง่ แวดล้อ ม (Environment) เป็ นสิง่ ที่ธรรมชาติร่วมสร้าง
ขึน้ มา เพื่อร่วมกันทางานอย่างประสานกัน บางลักษณะพันธุกรรมอาจทางานเป็ นหน้ าที่หลัก
โดยมีส ิ่งแวดล้อ มช่ ว ยเสริม เติม พัฒ นาการ และบางครัง้ สิ่ง แวดล้อ มก็จ ะมีอิท ธิพ ลอยู่เ หนื อ
พันธุกรรม อธิบายดังนี้
พันธุกรรม (Heredity) คือ ลักษณะต่าง ๆ ทัง้ ทางกายและทางพฤติกรรมที่ถ่ายทอด
จากบรรพบุรษุ สู่ลูกหลาน เป็ นปจั จัยพืน้ ฐานอันมีผลให้มนุ ษย์เรามีความแตกต่างกัน ทัง้ ทางด้าน
ร่างกาย สติปญั ญา อารมณ์ บุคลิกภาพ การถ่ายทอดนี้ผ่านทางเซลล์สบื พันธุข์ องพ่อและแม่ เมื่อ
เกิดการปฏิสนธิ (Fertilization) ระหว่างเซลล์เพศของชาย คือ สเปอร์ม (Sperm) และเซลล์เพศ
ของหญิงคือ ไข่ (Ovum) เกิดเป็นเซลล์ชวี ติ เล็กๆ เรียกว่า ไซโกต (Zygote) เซลล์น้ปี ระกอบด้วย
นิวเคลียสทีล่ อ้ มรอบไปด้วยไซโตพลาสซึมและผนังเซลล์ (Membrane)
การปฏิส นธิของอสุจแิ ละไข่ทาให้ได้เ ซลปฏิส นธิค ือไซโกต (Zygote) แบ่งตัวเรื่อยๆ
แบบทวีคูณ เรียกว่า แบ่งตัวแบบไมโตซีส (Mitosis) การแบ่งเซลล์แบบไมโตซีส เป็ นกรรมวิธ ี
สร้างเซลล์ 2 เซลล์ ขึน้ มาจากเซลล์ๆ เดียว ธรรมชาติจงึ ทาหน้าที่ทเ่ี ราเรียกว่า การสังเคราะห์
DNA สายใหม่ เหมือนกับการถ่ายสาเนาขนาดใหญ่ ซึ่งมีโครโมโซมบนพื้นฐานของโครโมโซม
ต้ น แบบ โครโมโซมสามารถสัง เคราะห์ DNA สายใหม่ ๆ ได้ ด้ ว ยตัว ของมัน เอง ไซโกต
เจริญเติบโตต่อไปเป็ นเอมบริโอ (Embryo) และฟีตสั (Fetus) รวมระยะเวลาอยู่ในครรภ์ประมาณ
280 วัน จึงคลอดจากครรภ์ ทีน่ ิวเคลียสของสเปอร์มและไข่ต่างก็ม ี 23 โคโมโซม
70
ภาพแสดงการปฏิสนธิ
ทีม่ า : http://trc.ucdavis.edu/biosci10v/bis10v/week10/fertilization.gif
ฝาแฝดขาว-ดา’ความงดงามหนึ่งในล้าน
เรมี หนัก 51 ปอนด์ 15 ออนซ์ ผมสีบลอนด์ และผิวขาว
แต่คแี อนทีค่ ลานตามออกมาหนึ่งนาทีให้หลัง หนัก 61 ปอนด์ ผิวดา
(ผูจ้ ดั การออนไลน์ 23 กุมภาพันธ์ 2549)
ทีม่ า: http://palungjit.com/feature/showphoto.php?photo=295
บุคลิกภาพ (แสดงตัว)
แฝดเทียม
แฝดแท้
สติปัญญา
โครงสร้างของเซลล์ประสาท
ระบบประสาท (Nervous system) ประกอบด้ว ย เซลล์ป ระสาท (Neuron) มีหลาย
ประเภท แต่จะมีโครงสร้างเหมือนกัน คือ มีแอกซอน (Axon) และเดรนไดรท์ (Dendrite) เป็ น
แขนงทีย่ ่นื ออกมาเพื่อทาหน้าทีต่ ดิ ต่อสื่อสารกับเซลล์ประสาทอื่นๆ เซลล์ประสาทจะมีเดนไดรท์
จานวนมากแต่มแี อกซอนเดียว แอกซอนมีหน้าที่ในการส่งสัญญาณและเดรนไดรท์มหี น้าที่รบั
สัญ ญาณ สัญ ญาณนี้ จ ะประกอบด้ ว ยคลื่น ไฟฟ้ าที่เ ซลล์ป ระสาทสร้า งขึ้น บริเ วณจุ ด รับ ส่ ง
สัญญาณซึง่ อยู่ระหว่างบริเวณเชื่อมแอกซอนกับเดรนไดรท์ จะมีช่องว่างเล็กๆ เรียกว่า ไซแนปส์
(Synapse) การส่งสัญญาณข้ามช่องว่างนี้จะต้องอาศัยสารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ซึ่ง
อยู่บริเวณปลายแอกซอน เพื่อไปจับตัวกับเดรนไดรท์บริเวณข้างเคียง กระตุ้นต่อเนื่องไปยัง
เซลล์อ่นื ๆ ได้อีก การเชื่อมโยงของเซลล์ประสาทในลักษณะที่เป็ นโครงข่ายรูปแบบต่างๆ จึง
ก่อให้เกิดพฤติกรรมทางกายและทางจิตขึน้ (Coon & Mitterer. 2007:52-53)
ในส่วนของใยประสาท ยังพบส่วนประกอบทีส่ าคัญ ได้แก่
1. เซลล์ชวันน์ (Schwann Cell) เป็ นเซลล์ค้าจุนชนิดหนึ่ง ที่ช่ว ยสนับสนุ นการ
ทางานเซลล์ประสาท โดยสร้างเยือ่ ไมอีลนิ พันหุม้ ใยประสาท
2. โนออฟแรนเวียร์ (Nod of Ranvier) เป็ นบริเวณใยประสาทที่ไม่มไี มอีลนิ หุ้ม
ซึง่ พบเป็นช่วง ๆ ตลอดใยประสาท
3. เยื่อไมอีลนิ (Myelin Sheath) เป็ นเยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ชวันน์ ที่พนั รอบใย
ประสาทหลายชัน้ โดยพบเป็ นช่วง ๆ ตลอดความยาวของใยประสาท เป็ นเยื่อที่ประกอบด้วย
สารไขมัน คือ ลิปิด (lipid) เยือ่ ไมอีลนิ จะมีสขี าวซึง่ มักพบในแอกซอนมากกว่าเดนไดรท์
คุณลักษณะของเซลล์ประสาท
เซลล์ประสาทมีลกั ษณะ ดังนี้
1. Receptor Cell ทาหน้าทีร่ บั สัมผัสสิง่ เร้าต่าง ๆ และเปลีย่ นพลังงานต่าง ๆ ให้
เป็นสัญญาณประสาท
2. Effector Cell ท าหน้ า ที่ร ับ สัญ ญาณและท าการตอบสนองสิ่ง เร้า โดยอาศัย
อวัยวะต่าง ๆ ในการทางาน เช่น กล้ามเนื้อ ต่อม เป็นต้น
3. Conductor Cell ทาหน้ าที่เป็ นเซลล์ประสานมีคุณสมบัติทงั ้ ในการนาและส่ ง
สัญญาณประสาท
79
Nod of Ranvier
การทางานของเซลล์ประสาท
เซลล์ประสาทมีการทางานดังนี้
1. Electrical Signal เป็ นการส่ ง สั ญ ญาณประสาทภายในเซลล์ เ กิ ด การ
เปลี่ยนแปลงความต่ างศักย์ทางด้านไฟฟ้า อันเป็ นผลจากการเคลื่อนย้ายโซเดียม (Na+) และ
โพแทสเซียม (K+) ดังนัน้ ถ้าขาดสารดังกล่าวเซลล์ประสาทไม่สามารถสร้างสัญญาณประสาทได้
อย่างมีประสิทธิภาะ
2. Chemical Signal ใช้ ส าหรับ การสื่อ สารระหว่ า งเซลล์ ป ระสาท โดยเซลล์
ประสาทจะมีการสร้างสารเคมีท่เี รียกว่า สารสื่อประสาท (Neurotransmitter) ซึ่งจะส่งไปตาม
เซลล์ประสาทต่าง ๆ ทาให้เกิดปฏิกริ ยิ าการทางานของสมอง สารเคมีในสมองมีมากมาย หลาย
ชนิด ทีส่ าคัญ คือ (Coon & Mitterer. 2007:55-56)
อะเซทิ ลโคลีน (Acetylcholine) เป็นสารเคมีทม่ี หี น้าทีเ่ กีย่ วกับความจา
เอนดอร์ฟิน (Endorphins) เป็ นสารเคมีทท่ี าให้เรารูส้ กึ ผ่อนคลายหายเจ็บปวด
การทางานของเอนดอร์ฟิ นที่เ กิดขึ้นในสมอง จะคล้าย ๆ การทางานของสารหรือยามอร์ฟี น
(Morphine) ทีใ่ ช้ในทางการแพทย์ ในคนไข้ทไ่ี ด้รบั ความเจ็บปวดมาก ๆ เมื่อฉีดมอร์ฟีน เข้าไป
จะทาให้ ความเจ็บปวดลดลง เกิดอาการผ่อนคลาย สารเอนดอร์ฟินในสมองก็มกี ารทางานแบบนี้
เช่นกัน
80
ระบบประสาทส่ ว นปลาย (Peripheral Nervous System หรือ PNS) ซึ่ง เป็ น โครงข่ า ยของ
เส้นประสาทรับและส่งข้อมูลกระจายอยูท่ วร่
ั ่ างกาย
สภาพเดิม แต่ ป ระตู ข องโพแทสเซีย มปิ ด ช้า กว่ า ประตู ข องโซเดีย ม จึง ท าให้เ ซลล์เ ป็ น ลบ
(hyperpolarization) แล้วจึงกลับเข้าสู่ระยะพัก
2. เส้นประสาททีม่ ไี มอีลนิ หุม้ ช่องประตูสาหรับโซเดียมและโพแทสเซียมจะพบที่
ปุ่ ม แรนเวีย ร์ (nod of ranvier) ซึ่ง มีข นาด 1 ไมครอน การเกิ ด ศัก ย์ ท างานโซเดีย มและ
โพแทสเซียมเข้าออกตรงปุ่มนี้เท่านัน้ การนากระแสไฟฟ้าจึงเสมือนกระโดดไปจนถึงปลายแอก
ซอน
พอล แมคลีน เป็ นผู้ค้นพบ triune brain theory ด้วย เขาได้เสนอว่าได้มวี วิ ฒ ั นาการ
ภายในโครงสร้างสมองของมนุ ษย์ คือ สมองส่วนสัตว์เลื้อยคลาน (Reptiles) ซึ่งมีหน้าที่ในส่วน
ของสัญชาตญาณ (Instinct) และสมองนี้จะมีความเล็กกว่าส่วนที่เราเรียกว่าก้านสมอง ซึ่งเขา
เรียกว่า Archipallium หรือ สมองส่วนสัตว์เลือ้ ยคลาน (Reptiles brain) สมองส่วนนี้จะรวมไปทัง้
Medulla, Cerebellum, Pons, และ Olfactory bulbs ที่เ หนื อ กว่ า นี้ ค ือ Paleopallium หรือ Old
mammalian brain นี่คอื ระบบลิมบิค และส่วนของสมองที่เรียกว่า Old cortex นัน่ คือเราได้เพิม่
อารมณ์ไปยังสมองส่วนสัตว์เลื้อยคลานด้วย ซึ่งเผื่อให้สาหรับการเรียนรูท้ ่ไี ม่ซบั ซ้อน และที่อยู่
บน Paleopalliumคือ Neopallium เรียกว่า New Mammalian หรือ สมองส่วนเหตุผล (Rational
brain or Neocortex) ซึง่ เป็นสมองส่วนทีค่ วบคุมกิจกรรมขัน้ สูง รวมทัง้ การมีสติ (Awareness)
ไขสันหลัง (Spinal Cord) ประกอบด้วยช่องสัญญาณจานวนมากที่ทาหน้าที่สาหรับ
การรับและส่งสัญญาณประสาท เป็ นส่วนที่ต่อเนื่องมาจากสมองส่วนปลายมีจุดตัง้ ต้นมาจาก
บริเวณ base of skull ลงมาตามกระดูกสันหลัง (vertebral column) มีความยาวประมาณ 42-45
ซม. มีเส้นประสาทไขสันหลัง (Spinal Nerve) จานวน 31 คู่ออกจากไขสันหลัง ไขสันหลัง เป็ น
ศูนย์กลางของระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) เป็ นทางเดินของกระแส
ประสาทททีต่ ดิ ต่อระหว่างไขสันหลังและสมอง ไขสันหลังสามารถประมวลสัญญาณทีส่ ่งผ่านเข้า
มาโดยไม่ต้องรอคาสังจากสมอง
่ ปฏิกริ ยิ าสะท้อน (Reflex) ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของไขสัน
หลัง การกระตุ ก หัว เข่าเป็ นตัวอย่างการทางานของไขสันหลัง หากเคาะที่เ อ็นหัว เข่า จะดึง
กล้ามเนื้อ ที่ติด กับเอ็นนัน้ ให้ย ืดออก ไขสัน หลังเมื่อ รู้ว่ากล้ามเนื้อ ยืด ก็จะรีบส่ ง สัญ ญาณให้
กล้ามเนื้อหดตัว ถ้าเคาะเข่าไม่กระตุกแสดงว่าต้องมีความผิดปกติเกิดขึน้
86
ระบบต่อม
ร่างกายประกอบด้วยต่อม 2 ชนิดคือ ต่อมมีท่อ และ ต่อมไร้ท่อ
1. ต่ อ มมี ท่ อ (Exocrine) เป็ น ต่ อ มที่ส ร้า งสาร แล้ ว ปล่ อ ยสารไปตามท่ อ ที่
เชื่อมต่อต่อมนี้ไปสู่อวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย หรือออกไปสู่ภายนอกร่างกาย เช่น เหงือ่ น้าลาย
2. ต่ อมไร้ท่อ (Endocrine) ทาหน้ าที่สร้างฮอร์โมนโดยตรงแล้วปล่อยเข้าเส้น
เลือดโดยตรง ส่งไปยังอวัยวะเป้าหมาย เซลล์ในอวัยวะเป้าหมายจะรับฮอร์โมนทีม่ เี ฉพาะ เพื่อ
กระตุ้นหรือยับยัง้ การทางานของร่างกาย ปจั จุบนั พบว่าร่างกายสร้างฮอร์โมนได้มากกว่า 100
ชนิด ต่อมไร้ท่อประกอบด้วยต่อมต่างๆ เช่น
87
การศึกษาการทางานของสมอง
เครือ่ งมือทีใ่ ช้ตรวจการทางานของสมองทีส่ าคัญ มีดงั นี้
1. ก า ร ต ร ว จ CT Scan (Computerized Tomography) ห รื อ เ อ ก ซ เ ร ย์
คอมพิวเตอร์ หมายถึง การบันทึกภาพตัดขวางของร่างกายในระดับทีต่ ่างกัน เป็ นการถ่ายภาพ
ทีไ่ ม่สามารถเห็นได้ดว้ ยการถ่ายเอกซเรย์โดยทัวไป
่ ซึง่ จะให้ภาพเพียง 2 มิติ คือ กว้างและยาว
ไม่สามารถบอกความลึกได้ และจะให้ภาพรวมของทัง้ อวัยวะ ซึง่ เป็ นข้อจากัด เมื่อเทียบกับ CT
Scan ซึง่ จะให้ภาพเป็ น 3 มิติ โดยการนาภาพที่ถ่ายด้วยรังสีเอกซ์หลายๆ ภาพมาประกอบกัน
มีจุดประสงค์ห ลัก ๆ คือ เพื่อ ตรวจหาความผิดปกติใ นเนื้อ เยื่อ กระดู ก หรือ โครงสร้างของ
ร่างกาย และใช้ช่วยในการบอกตาแหน่งทีแ่ ม่นยาในการนาเครือ่ งมือเข้าไปรักษา
2. การตรวจ MRI (Magnetic Resonance Imagine) เป็นเครือ่ งตรวจร่างกาย
โดยใช้การสร้างเสมือนจริง โดยใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูง โดยการส่งคลื่นความถี่วทิ ยุเข้าสู่
ร่างกายและรับคลื่นสะท้อนกลับ นามาประมวลผลเป็นภาพคอมพิวเตอร์ทใ่ี ห้รายละเอียดคมชัด
ทาให้สามารถมองเห็นจุดผิดปกติของร่างกายได้โดยไม่เกิดอันตรายต่อผูร้ บั การตรวจ
88
คาถามท้ายบท
ให้นิสติ อ่านเนื้อหาต่อไปนี้ แล้วสรุปว่า พฤติกรรมของคนทีเ่ ป็ นโรคจิตเภทเกี่ยวข้อง
กับการทางานของสมองอย่างไร
สาระสาคัญ
การรับรูเ้ ป็ นการเลือกและตีความสิง่ เร้า โดยสมองจะตีความโดยอาศัยประสบการณ์
เดิม จากนัน้ ส่งข้อมูลไปยังอวัยวะตอบสนอง แสดงพฤติกรรมหรือการกระทา การรับรูท้ ่สี าคัญ
คือ การเห็น การได้ยนิ การได้กลิน่ การรับรส และการสัมผัส มนุ ษย์มกี ารจัดระบบการรับรู้ และ
มีปจั จัยที่ส่งผลต่อการรับรูม้ อี ยู่มากมายหลายประการด้วยกัน เช่น ปจั จัยทางกายภาพ พยาธิ
สภาพทางจิต ความเคยชิน การคาดหวัง การปรับตัว เป็นต้น
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว ผูเ้ รียนสามารถ
1. อธิบายความหมาย ความสาคัญและประเภทของการรับรูไ้ ด้
2. เข้าใจลักษณะการทางานของอวัยวะรับความรูส้ กึ ทุกประเภทและการตอบสนองได้
3. อธิบายถึงการจัดระบบการรับรูไ้ ด้
4. อธิบายถึงปจั จัยต่างๆ ทีม่ ผี ลต่อการรับรูไ้ ด้
เทรชโฮลด์ (Threshold)
ระบบประสาทของเราจะมีความไวต่อการรูส้ กึ เป็นอย่างมาก เราสามารถรูส้ กึ ได้แม้จะมี
ความเข้มของสิง่ เร้าในปริมาณทีน่ ้อยก็ตาม รวมทัง้ สามารถจาแนกความแตกต่างระหว่างสิง่ เร้าที่
มีความใกล้เคียงกันได้ การศึกษาความเข้มของสิง่ เร้ากับความเข้มของการรูส้ กึ นี้ เรียกว่า จิต
ฟิ สกิ ส์ (Psychophysics) พลังงานที่น้อยที่สุดที่ทาให้เราเริ่มรับรูไ้ ด้ หรือ เริม่ รู้สกึ ว่า “มี” อะไร
เกิดขึน้ เรียกว่า เทรชโฮลด์ (Threshold) เทรชโฮลด์ของการรูส้ กึ แบ่งออกเป็ น 2 ชนิด คือ เทรช
โฮลด์สมบูรณ์ (Absolute Threshold) และ เทรชโฮลด์ความแตกต่าง (Difference Threshold)
เทรชโฮลด์สมบูรณ์ (Absolute Threshold) เรานิยมเรียกเทรชโฮลด์เพียงคาเดียว ใช้
อักษรย่อว่า T หรือ RL (R มาจากภาษาเยอรมันว่า ไรช์ (Reiz) แปลว่า ตัวกระตุ้น L มาจาก
ภาษาลาตินว่า ไลเมน (Limen) แปลว่า ประตูหรือจุดเริม่ ต้น) ตัวอย่างเทรชโฮลด์สมบูรณ์ เช่น
94
การเห็น (Vision)
การรับรส (Taste)
การได้กลิ่ น (Smell)
การสัมผัส (Touch)
105 - 100
แทนค่าในสูตร k 0.05
100
จากสูตร I = kI
= 0.05 x 200
= 10 กรัม
ดังนัน้ ถ้ามีน้าหนัก 200 กรัม น้าหนักต้องเพิม่ ขึน้ อีก 10 กรัมถึงจะทาให้รสู้ กึ
97
อวัยวะรับความรู้สึกและการตอบสนอง
การเห็น (Vision)
การมองเห็นจะเกิดขึน้ ได้เมื่อมีแสงจากวัตถุทเ่ี รากาลังมองอยู่ตกกระทบกับตัวรับภาพ
ในดวงตา (Photoreceptor) และส่งข้อมูลไปยังสมอง สมองส่วนรับภาพจะจัดเรียงแปลผลข้อมูล
และสร้างเป็นภาพให้รสู้ กึ มองเห็นได้
แสงเข้าสู่ตาทางแก้วตาและถูกปรับให้ภาคคมชัดบนจอรับภาพทีอ่ ยูด่ า้ นหลังของลูกตา
ทีซ่ ง่ึ เซลล์รบั แสง (Photoreceptors) เปลีย่ นเป็ นสัญญาณไฟฟ้าผ่านประสาทตาไปยังสมอง เพื่อ
แปลความหมายของภาพ Photoreceptors มี 2 ชนิ ด Rod cells มี ประมาณ 125 ล้านเซลล์
เป็ นเซลล์ท่ีไวแสง แต่ไม่สามารถแยกสีได้ และ Cone cells มีประมาณ 6 ล้านเซลล์ ไม่ไวแสง
แต่สามารถแยกสีได้ แบ่งเป็ น Cone สีแดง, สีเขียว และ สีน้าเงิน fovea เป็ นบริเวณทีม่ แี ต่ cone
cells ไม่ม ี rod cell ตามีความสาคัญมาก ช่วยให้เรามองเห็นสิง่ ต่างๆ รอบตัว และเมื่อมองวัตถุ
ด้วยตาข้างใดข้างหนึ่ง จะทาให้กะระยะผิดไป การที่มองด้วยตาทัง้ สองข้าง ทาให้เรากะระยะ
ต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยา
ปจั จัยทางทัศ นคติและอารมณ์ มคี วามสัมพันธ์ก ับ การโต้ต อบของรูม่านตาสามารถ
สังเกตได้จากสิง่ เร้ามากมาย ตัวอย่างเช่น อาหาร ภาพเกี่ยวกับการเมือ ง ภาพโรคที่มคี วาม
ผิดปกติทางผิวหนัง (Schiffman. 1996:69) ส่วนกิจกรรมทางสมองที่มผี ลต่อการเปลีย่ นขนาดรู
ม่านตานัน้ มีต ัว อย่างจากการศึก ษาของ Hess & Plot พวกเขาให้ก ลุ่ ม ตัว อย่ างแก้ ป ญ ั หาที่
เกี่ยวกับ ถ้อ ยค าภาษาที่เป็ น เรื่อ งราวเป็ น ตอนๆ ต่ อ เนื่ อ งกัน จากตอนหนึ่งไปสู่อีกตอนหนึ่ ง
เช่นเดียวกัน รูม่านตาของกลุ่มตัวอย่างแต่ละคนจะค่ อยๆ เพิม่ ขึน้ เริม่ ตัง้ แต่การนาเสนอปญั หา
และตาจะเบิก กว้างมากที่สุ ดอย่างฉับพลันก่ อ นที่จะให้ถ้อ ยค าที่เป็ นค าตอบ ปญั หาที่มคี วาม
ยุ่งยากมากขึน้ รูม่านตาก็เพิม่ ขนาดขึ้น นอกจากนี้ Schluroff พบว่าการเบิกรูม่านตากว้างมาก
น้อยนัน้ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความซับซ้อนของไวยากรณ์ของประโยคทีถ่ ูกนามาเสนอให้
ได้ยนิ ขณะที่งานวิจยั เกี่ยวกับ Pupillometry ค่อนข้างมีการโต้เถียงกันนัน้ ข้อค้นพบที่ได้ก็เป็ น
เครื่องแสดงให้เห็นว่าขนาดของรูม่านตาสะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของสมอง เฮสได้เสนอ
ว่าขนาดของรูม่านตามีบทบาทในลักษณะการสื่อสารที่ไม่ใช้ ภาษาอย่างแน่ นอน เช่น ในการมี
ปฏิสมั พันธ์ทางสังคม การมีรมู ่านตาทีเ่ บิกกว้างมักชอบการคบค้าสมาคมและเชื่อว่ามีการสื่อสาร
เชิงบวก ดังเช่น การมีมติ รจิตมิตรใจ มีความดึงดูดใจ เป็นต้น
การได้ยิน (Hearing)
คลื่นเสียงเมื่อ เดินทางผ่านเข้าสู่ช่องหูชนั ้ นอก (External Auditory Canal) ไปสู่หูชนั ้
กลาง (Middle Ear) ซึ่งมีเยื่อแก้วหู (Lympanic Membrane) คลื่นเสียงทาให้อากาศสันสะเทื ่ อน
ส่งผลให้เยื่อแก้วหูสนกระทบกั
ั่ บกระดูกหูรปู ฆ้อน กระดูกรูปทังและกระดู
่ กรูปโกลน ทาให้เกิด
98
การสันสะเทื
่ อนไปยังของเหลวในหูส่วนใน (Inner Ear) ซึง่ คลื่นของเหลวนี้จะไปกระตุ้นเซลล์รบั
เสียงส่งต่อไปยังประสาทรับเสียง (Auditory Nerve) แปรเป็ นสัญ ญาณประสาทไฟฟ้าก่ อนที่จะ
ถูกส่งไปยังศูนย์กลางรับเสียงในสมอง ซึง่ แปลความรูส้ กึ เป็นเสียงต่างๆ
ระบบการรับรูท้ างเสียงของมนุ ษย์นัน้ บุคคลจะมีความไวในการรูส้ กึ อย่างไรขึน้ อยู่กบั
การกาหนดความถีข่ องเสียง (Pitch) และ ความเข้มของเสียง (Sound Intensity) หมายถึง ความ
ดังหรือความค่อยของเสียง ความถี่ หมายถึง จานวนรอบของคลื่นเสียงทีเ่ กิดขึน้ ในระยะเวลา 1
วิน าที แต่ ล ะรอบเรีย กว่า เฮิรตซ์ (Hertz) หรือ เขีย นเป็ น ค าย่อ ว่า Hz เป็ น หน่ ว ยของการวัด
ความถี่ของคลื่น เสีย ง เพื่อ ให้เกีย รติแ ก่ นัก ฟิ ส ิก ส์ช าวเยอรมัน ชื่อ เฮนริช เฮิรตซ์ (Heinrich
Hertz, 1857 - 1890) คนปกติจะสามารถรับ ความถี่ของคลื่นเสียง ตัง้ แต่ 20-20,000 เฮิรตซ์
นอกจากนี้ อาจกล่ าวอีก นัย หนึ่ งได้ว่ า ความสูงของคลื่น เสียงหรือ ขนาดของการอัด ตัว และ
กระจายตัว ของโมเลกุ ล เรียกว่า แอมปลิจูด (Amplitude) หรือช่วงกว้างของคลื่นเสียง ความ
แตกต่ างของแอมปลิจูดนี้ทาให้เกิดความดังหรือความค่ อยของเสียงแตกต่างกัน ความสูงต่ า
(Pitch) ของเสียงกาหนดโดยความถี่
การได้กลิ่ น (Smell)
เมื่อเราสูดสารเคมีเข้าไปในโพรงจมูก สารเคมีก็จะไปสัมผัสกับเนื้อเยื่อที่ทาหน้าที่รบั
กลิน่ เรียกว่า ออลแฟคทอรี่ อีพทิ เี ลีย่ ม (Olfactory Epithelium) กระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทซึง่
จะส่งต่อไปยัง ปุ่มออลแฟคทอรี่ (Olfactory Bulb) ซึง่ เป็ นส่วนล่างตอนหน้าของสมองทีอ่ ยู่เหนือ
เพดานจมูก จากปุ่มออลแฟคทอรี่ กระแสประสาทจะส่งต่อไปยังสมองส่วนหน้าโดยตรง การส่ง
กระแสประสาทเข้าสู่ส มองของระบบการรู้ส ึกได้กลิ่น จึงสัน้ กว่าระบบประสาทรับสัมผัส อื่น ๆ
(Engen. 1991) ซึง่ จะเป็นอยูอ่ ย่างนี้จนกว่าบุคคลคนนัน้ จะมีอวัยวะรับการรูส้ กึ ได้กลิน่ ทีแ่ ย่ลง
ระบบการรูส้ กึ ได้กลิน่ มีบทบาทสาคัญต่อชีวติ มนุ ษย์ ตัวอย่างเช่น บางคนนากลิน่ มาใช้
ประโยชน์ต่อชีวติ มนุ ษย์โดยผ่านการบาบัดทางกลิน่ ทัง้ แบบ Aromatherapy ความคิดเช่นนี้เป็ น
แรงผลัก ดันทาให้นากลิน่ มาใช้ในการรักษาโรค นัน่ คือ กลิน่ จะมีผ ลกระทบต่อ อารมณ์ ความ
ผิด ปกติท างอารมณ์ เช่ น ความวิต กกัง วล ความซึม เศร้ า จะก่ อ ให้เ กิด อาการทางกายได้
ผลกระทบเหล่ านี้จะส่ งผ่ านไปสู่ระบบลิมบิค (Limbic System) ซึ่งเป็ นบริเวณสมองที่ท างาน
เกี่ย วกับ ปฏิส ัม พัน ธ์ร ะหว่ า งพฤติก รรมทางอารมณ์ กับ การได้ ก ลิ่น (Engen. 1991) กลิ่น มี
ความสาคัญต่อ การมีปฏิสมั พันธ์ระหว่างกันของมนุ ษย์ เนื่องจากกลิน่ เป็ นสิง่ ที่จะดึงดูดหรือไล่
ผูค้ นได้
การรู้รส (Taste)
การรับความรูส้ กึ ทางเคมี (Chemical Sense) คือ ลิน้ และจมูก โดยจมูกรับรูส้ ารเคมีท่ี
ล่ อ งลอยในอากาศ ในขณะที่ล้ิน รับ รู้ส ารเคมีท่ีรบั ประทานเข้าไป ถู ก เคี้ยวบดไปกับ น้ าลาย
ละลายไปสัมผัสกับปุ่มรับรส (Taste Bud) บนผิวลิน้ หรือบริเวณใกล้เคียงปากและคอ อาหารหรือ
99
เครื่องดื่มจึงมีรสชาติต่างๆ กัน ไม่ว่าจะเป็ นรสเค็ม หวาน เปรีย้ ว ขม ซึง่ เป็ นรสชาติพน้ื ฐานของ
มนุ ษย์ และรสชาติท่เี พิม่ เติมขึน้ มาในปจั จุบนั คือ รสชาติของโปรตีนกรดอะมิโน คือ รสอูมามิ
การที่เราสามารถบอกความแตกต่างของรสชาติอาหารที่รบั ประทานได้เนื่องจาก เรามีป่มุ รับรส
เล็กๆจานวนมากมายบนลิน้ เรียกว่า ปาปิลา (Papilla) ปุ่มบนลิน้ เหล่านี้จะประกอบด้วยตุ่มรับรส
(Taste Bud) ประมาณ 10,000 อัน กระจายอยู่บ นลิ้น ในบริเวณต่ างๆ ซึ่ง เป็ น บริเวณที่รบั รส
ต่างกัน
การรู้สึกสัมผัส (Touch)
การสัมผัสทาให้เรามีความเข้าใจลักษณะของวัต ถุได้อย่างลึกซึ้ง เช่น การได้สมั ผัส
เนื้อผ้าของเสือ้ ผ้า จะช่วยทาให้เราเข้าใจคุณภาพของเสือ้ ผ้าได้มากกว่าแค่เพียงวินิจฉัยด้วยการ
เห็นเพียงอย่างเดียว ผลจากการทางานของหน่ วยรับความรูส้ กึ ทีป่ ลายประสาท ยังทาให้เรารับรู้
ถึงการเปลี่ยนแปลงของอุ ณ หภูม ิ และการรับ รู้ส ัม ผัส ยังช่ ว ยให้เราสามารถบอกได้ถึงความ
แตกต่ างของวัต ถุ แต่ ล ะชนิดอีก ด้ว ย ประสบการณ์ ทางการสัมผัสก่ อ ให้เกิดกลไกกระตุ้น การ
ทางานของผิวหนังเมื่อร่างกายสัมผัสกับวัตถุ อย่างไรก็ตาม มนุ ษย์เรารับรูส้ มั ผัสในบริเวณต่างๆ
ของผิวหนังบนร่างกายได้ไม่เท่ากัน เนื่องจากบริเวณต่างๆ ของผิวหนังในร่างกายจะมีปลาย
ประสาทอยูไ่ ม่เท่ากัน บริเวณทีม่ คี วามละเอียดอ่อนน้อยก็จะมีปลายประสาทอยู่น้อย ส่วนบริเวณ
ทีม่ คี วามละเอียดอ่อนมากจะมีปลายประสาทอยู่มาก เช่น ริมฝีปาก และปลายนิ้วมือ เป็ นบริเวณ
ทีม่ คี วามไวในการรูส้ กึ ส่วนบริเวณท้องและหลัง เป็ นบริเวณทีม่ คี วามไวในการรูส้ กึ น้อย บริเวณ
ผิว หนั ง ที่ไ วในการรู้ส ึก สัม ผัส มากจะมีส ัด ส่ ว นของแดนสัม ผัส (Somatosensory Cortex) ที่
มากกว่าบริเวณทีไ่ วในการรูส้ กึ สัมผัสน้อย
การจัดระบบการรับรู้
ปกติเวลาที่เรามองเห็นสิง่ ของต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้า เรามักคิดว่าเรามองเห็นทุกสิง่ ทุก
อย่างที่อยู่ตรงหน้าเราได้ทงั ้ หมด แต่ในความเป็ นจริงเรากลับไมได้รบั รูท้ ุกอย่างทุกอย่างที่เรา
มองเห็นได้อย่างทีร่ สู้ กึ เลย
ตัวอย่างเช่น ให้พจิ ารณาทีภ่ าพนี้
100
มีนกและปลาอย่างละกีต่ วั
กฎความใกล้ชิด (Law of Proximity) หมายถึง สิง่ เร้าใดๆ ทีอ่ ยูใ่ กล้ชดิ กัน
มนุษย์มแี นวโน้มทีจ่ ะรับรู้ สิง่ ต่างๆ ทีอ่ ยูใ่ กล้ชดิ กันเป็นพวกเดียวกัน หมวดหมูเ่ ดียวกัน
ภาพลวงตา (Illusion)
ภาพลวงตาเป็ นการรับรู้ท่มี ลี กั ษณะบิดเบือนไปจากการที่สมองโดยปกติได้จดั
ระเบียบและตีความหมายสิง่ เร้า ภาพลวงตาจะมีบางอย่างที่ปรากฏขึน้ มามากกว่าที่เราเห็นได้
ตามปกติ ภาพลวงตามีค วามส าคัญ เนื่ อ งจากบ่ อ ยครัง้ ที่ภ าพลวงตาไปครอบงาความรู้ส ึก ที่
แท้จ ริง ภาพลวงตาบางภาพสร้างมาจากพื้น ฐานการจัด ระเบีย บการรับ รู้ต ามหลัก การของ
Gestalt การรับรูค้ วามลึกและระยะทาง ภาพเคลื่อนไหว และความคงทีใ่ นการรับรู้ ทีภ่ าพลวงตา
ปรากฏให้เห็นนี้เนื่อ งจากโครงสร้างทางชีว ภาพของการรับสัมผัส ภายในร่างกายมนุ ษ ย์หรือ
เงือ่ นไขภายนอกร่างกายซึง่ เป็ นสิง่ แวดล้อมทางกายภาพ ทีอ่ ยูใ่ นระยะทีบ่ ุคคลนัน้ มองเห็น
Muller-lyer Illusion
เส้นตรงทุกเส้นทีจ่ ริงแล้วยาวเท่ากัน แต่ภาพลวงตาทาให้ดเู หมือนว่า เส้นทีม่ ปี ลาย
ลูกศรกางออกจะดูยาวมากกว่า
Ehrnstein Illusion
105
เส้นตรงเส้นทึบหนาทัง้ สองเส้นมีขนาดเท่ากัน
Ponzo Illusion
C
เส้นตรง A หรือ B ทีเ่ ป็นเส้นตรงเดียวกับเส้นตรง C
A
B
Poggendorff Illusion
Hering Illusion
Zöllner illusion
106
Zöllner illusion
ปัจจัยที่มีผลต่อการรับรู้
มีปจั จัยหลายประการที่ส่งผลต่อการรับรู้ ซึง่ ส่งผลทาให้การรับรูม้ ปี ระสิทธิภาพยิง่ ขึน้
หรืออาจทาให้การรับรูเ้ กิดการผิดพลาดได้ เช่น
1. กายภาพ (Physiological)
อวัยวะรับสัมผัสหากทีความสมบูรณ์กจ็ ะมีความสามารถทีจ่ ะรับรูส้ งิ่ เร้าได้ดี แต่ถ้า
มีความผิดปกติ เช่น ตาบอดสี ซึ่งความบกพร่องในการแยกแยะความแตกต่างของสี ที่พบมาก
ทีส่ ุดคือ ตาบอดสีแดงและสีเขียว ซึง่ ผูท้ ต่ี าบอดสีจะไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างสีแดง
กับสีเขียวได้ นอกจากนี้ยงั มีตาบอดสีแบบที่บอกไม่ได้เลยว่าเป็ นสีอะไร นอกจากสีขาวกับสีดา
เท่านัน้ นอกจากนี้คนทีเ่ ป็ นโรคหูบอด บอดกลิน่ บอดรส ก็มปี ญั หาเกี่ยวกับการรับสัมผัสเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เด็กที่มปี ระสาทสัมผัส บางอย่างบกพร่อง แต่มปี ระสาทสัมผัสส่วนอื่นยังใช้งานได้ด ี
หากมีการพัฒนาประสาทสัมผัสส่ วนที่มอี ยู่นัน้ อย่างเต็มที่ ประสาทสัมผัสส่วนนัน้ ก็จะสามารถ
ทางานได้ดเี ป็ นพิเศษ
2. พยาธิ สภาพทางจิ ต (Psychopathology)
คนที่มพี ยาธิสภาพทางจิตหรือมีความเจ็บป่วยทางจิต ในบางโรคทาให้การรับรู้
เกิดปญั หาได้ คือ รับรูว้ ่ามีสงิ่ เร้าเกิดขึน้ ทัง้ ๆ ทีใ่ นความเป็ นจริง ไม่มสี งิ่ เร้านี้อยูเ่ ลย หรือ สิง่ เร้าที่
มีอ ยู่ถู ก รับ รู้ในลัก ษณะที่บิดเบือ นไป เช่น ผู้ท่ีมอี าการจิต เภท (Schizophrenics) จะมีปญั หา
เกี่ยวกับการแยกยะภาพที่ตนเองจินตนาการขึน้ กับภาพที่เป็ นประสบการณ์จริง ต้องอยู่ในโลก
ของการหลอกหลอน กลัวภาพและกลัวเสียงทีไ่ ม่มจี ริง
3. ความเคยชิ น (Habituation)
การเคยชินเกี่ยวกับการรับสัมผัสเป็ นสิง่ หนึ่งที่ทาให้สงิ่ เร้าหลุดรอดออกไปจาก
ความคงที่ ตัวอย่างเช่น เท้าของเรารูส้ กึ ว่าเราใส่ถุงเท้าเมื่อเราสวมใส่มนั แต่เมื่อเวลาผ่านไปทัง้
วันเราไม่ได้นึกถึงความรูส้ กึ นี้อีกเลย แสดงว่าผิวหนังบริเวณที่สวมใส่ถุงเทาเกิดการชินสั มผัส
หรือ ตัว อย่ า งเกี่ ย วกับ การชิ น เสีย ง เสีย งที่ ไ ด้ ย ิน ไม่ ด ัง นั ก เช่ น เสีย งพั ด ลมจากเครื่อ ง
107
คาถามท้ายบท
ให้นิสติ ตอบคาถามต่อไปนี้
1. การรับรูใ้ นภาพต่อนี้ ควรใช้กฎการรับรูก้ ฎใดมาอธิบาย
(1) (2)
(3) (4)
วัตถุประสงค์
เมือ่ ศึกษาบทเรียนนี้จบแล้ว นิสติ สามารถ
1. บอกความหมายของการเรียนรูไ้ ด้อย่างถูกต้อง
2. อธิบายปจั จัยทีม่ อี ทิ ธิพลต่อการเรียนรู้
3. อธิบายแนวคิดและทฤษฎีการเรียนรูใ้ นแบบต่างๆ
4. อธิบายและยกตัวอย่างวิธกี ารให้การเสริมแรงและการลงโทษในแบบต่างๆ ได้
5. ยกตัวอย่างการนาหลักการเรียนรูไ้ ปใช้ในชีวติ ประจาวันได้
ความหมายของการเรียนรู้
การเรียนรู้ (Learning) คือ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมหรือศักยภาพแห่งพฤติกรรม
ทีค่ ่อนข้างมันคงถาวรโดยอาศั
่ ยประสบการณ์และการฝึกหัด ไม่ใช่พฤติกรรมทีเ่ ปลีย่ นแปลงเป็ น
ครัง้ คราวหรือเกิดขึน้ โดยไม่รตู้ วั เช่น การเจ็บปว่ ย ผลจากการใช้ยา หรือความเมือ่ ยล้าอ่อนเพลีย
และไม่ใช่พฤติกรรมตามธรรมชาติ เช่น วุฒภิ าวะ ปฏิกริ ยิ าสะท้อนต่างๆ เป็ นต้น เช่น การมีวุฒ ิ
ภาวะของเด็กอายุสองขวบสามารถเดินได้เอง ขณะที่เด็ก อายุห้าเดือนไม่สามารถเดินได้ ดังนัน้
การเดินได้จงึ ไม่จดั ว่าเป็นพฤติกรรมการเรียนรู้ แต่เกิดขึน้ เพราะวุฒภิ าวะ กระพริบตาเมือ่ ฝุ่นเข้า
ตา ชัก มือ หนี เ มื่อ โดนของร้อ น พฤติก รรมเหล่ านี้ไ ม่ได้เ กิด จากการเรียนรู้ แต่ เ ป็ น ปฏิก ริย า
สะท้อน (Reflex) ซึง่ เป็นพฤติกรรมทีเ่ กิดขึน้ เองตามธรรมชาติของมนุษย์ เป็นต้น
พฤติกรรมการเรียนรูท้ เ่ี กิดขึน้ ตามหลักการของ เบนจามิน บลูม (Bloom. 1964:245)
ผู้ซ่งึ นักวิชาการศึกษาที่ทวโลกยอมรั
ั่ บ สรุปลักษณะพฤติกรรมโดยจาแนกพฤติกรรมออกเป็ น
3 ส่วนคือ
1. พฤติ กรรมด้ า นพุ ท ธิ ปั ญ ญา (Cognitive Domain) หมายถึ ง พฤติ ก รรมที่
เกี่ยวข้อ งกับการจาข้อ เท็จจริง ต่ างๆ รวมทัง้ ความสามารถและทัก ษะทางสติปญั ญา การใช้
วิจารณญาณเพื่อประกอบการตัดสินใจ พฤติกรรมด้านนี้ประกอบด้วย ความสามารถระดับต่างๆ
คือ ความรู้ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การประยุกต์หรือการนาความรูไ้ ปใช้
110
ความพร้อม ผูเ้ รียนมักจะเกิดความไม่พงึ พอใจ คับข้องใจและมีทศั นคติทไ่ี ม่ดตี ่อสิง่ นัน้ หรือหาก
ผู้เ รียนมีค วามพร้อ มที่จะเรียน แต่ ไม่เ ปิ ดโอกาสให้เ รียนรู้ ย่อ มส่ งผลทางลบต่ อ อารมณ์ และ
ความรูส้ กึ ในการเรียนเช่นกัน
แมคกรอว์ (M.B. McGraw) ได้ทาการทดลองอิทธิพลความพร้อมของวุฒภิ าวะที่
มีผลต่อการฝึ กเด็กนัง่ ขับถ่าย โดยศึกษากับเด็กชาย 2 คน คือ Hugh และ Hilton แม้ว่า Hugh
จะเริม่ ฝึกตัง้ แต่อายุ 50 วัน แต่กไ็ ม่ได้มพี ฒ
ั นาการแต่อย่างใด จนกระทังอายุ
่ ประมาณ 650 วันจึง
ประสบความสาเร็จ ในทางตรงกันข้าม Hilton กลับพัฒนาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการฝึ กหัด
เริม่ ต้นเมือ่ เขามีความพร้อมทางวุฒภิ าวะ
ทฤษฎีการเรียนรู้
ทฤษฎีการเรียนรูอ้ าจแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
1. ทฤษฎีการเรียนรูก้ ลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behavioral Theory) ทฤษฎีในกลุ่มนี้อธิบาย
ว่า การเรียนรูเ้ ป็นการสร้างความสัมพันธ์หรือเชื่อมโยงระหว่างสิง่ เร้ากับการตอบสนอง ทฤษฎีท่ี
สาคัญ ในกลุ่ มนี้ เช่น ทฤษฎีก ารเรียนรู้ว างเงื่อ นไขแบบคลาสสิก ทฤษฎีการเรีย นรู้การวาง
เงือ่ นไขแบบการกระทา ทฤษฎีการเรียนรูแ้ บบสัมพันธ์เชื่อมโยง เป็นต้น
2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่ มปญั ญานิยม (Cognitive theory) ทฤษฎีใ นกลุ่มนี้อ ธิบายว่า
การเรียนรูเ้ ป็ นผลของกระบวนการรับรู้ ความคิดและความเข้าใจ สิง่ เร้าทีม่ ากระตุ้น โดยอาศัย
ประสบการณ์ ใ นอดีต ที่ผ่ า นมาของบุ ค คล ท าให้ เ กิด การเรีย นรู้ข้ึน ซึ่ง จ าเป็ น ต้ อ งอาศัย
กระบวนการทางปญั ญาเข้ามาเกี่ยวข้องทฤษฎีการเรียนรู้ใ นกลุ่มนี้ ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้
ปญั ญาสังคม การเรียนรูแ้ บบหยังรู
่ ้ เป็ นต้น
112
ระยะที่ 1 ก่อนการวางเงื่อนไข
สันกระดิ
่ ง่ (CS) ไม่เกิดปฏิกริ ยิ าสะท้อน
พ่นผงเนื้อ (UCS)
สุนขั น้ าลายไหล (UCR)
ระยะที่ 2 ระหว่างการวางเงื่อนไข
สันกระดิ
่ ง่ (CS) + พ่นผงเนื้อ (UCS) สุนขั น้ าลายไหล (UCR)
ระยะที่ 3 หลังวางเงื่อนไข
สันกระดิ
่ ง่ (CS) สุนขั น้ าลายไหล (CR)
113
ภาพจาลองแสดงการจัดสภาพการณ์ทดลองของพาฟลอฟ
ทีม่ า : www.geocities.com/skews_me_too/behavior.html
เปรียบเทียบการเสริ มแรงและการลงโทษ
ชนิ ด ผล ตัวอย่าง
นิสติ ได้รบั คาชมเชยจากอาจารย์ เพราะแต่ ง
การเสริมแรง พฤติกรรมเพิม่ ขึน้ เมือ่ มีสงิ่ เร้าที่
กายไม่เรียบร้อยขึน้ ครัง้ ต่อไป เขาจะพยายาม
ทางบวก บุคคลนัน้ ต้องการ
แต่งกายเรียบร้อยขึน้
นิสติ เกิดความวิตกกังวล เมื่ออาจารย์ไม่ยอม
พฤติกรรมเพิม่ ขึน้ เมือ่ สิง่ เร้าทีไ่ ม่
การเสริมแรง ให้นิสติ ที่แต่งกายไม่เ รียบร้อ ยเข้าพบ ดังนัน้
เป็นทีพ่ งึ ปรารถนาถูกทาให้ลดน้อย
ทางลบ เขาจะพยายามแต่งกายเรียบร้อ ยขึ้น เมื่อ มา
หรือหมดไป
พบอาจารย์
นิสติ ถูกหักคะแนนเพราะแต่งกายไม่เรียบร้อย
การลงโทษ พฤติกรรมลดน้อยลงเมือ่ มีสงิ่ เร้าที่
ครัง้ ต่ อไปพฤติกรรมแต่ งกายไม่เ รียบร้อยจะ
แบบที่ 1 เขาไม่พงึ ปรารถนาเกิดขึน้
ลดลง เขาจะแต่งกายเรียบร้อยขึน้
นิสติ ถูกริบเครื่อ งแต่งกาย เพราะแต่งกายไม่
การลงโทษ พฤติกรรมลดน้อยลง เมื่อนาสิง่ เร้า
เรีย บร้อ ย ครัง้ ต่ อ ไปพฤติก รรมแต่ ง กายไม่
แบบที่ 2 ทีเ่ ขาพึงปรารถนาออกไป
เรียบร้อยจะลดลง เขาจะแต่งกายเรียบร้อยขึน้
118
ตารางแสดงรูปแบบการให้การเสริ มแรง
ประเภทการเสริ มแรง วิ ธีการ ตัวอย่าง
การเสริมแรงทุกครัง้ เป็นการเสริมแรงทุกครัง้ ที่ ทุกครัง้ ทีป่ ลาโลมากระโดดรอด
(Continuous) แสดงพฤติกรรม ห่วงได้จะได้อาหารเป็นรางวัล
การเสริมแรงความช่วงเวลาที่ ให้การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ ทุก ๆ สัปดาห์ผสู้ อนจะทาการ
แน่นอน (Fixed - Interval) กาหนด ทดสอบ
การเสริมแรงตามช่วงเวลาที่ เจ้านายจะมาประเมินผลการ
ให้การเสริมแรงตามระยะเวลา
ไม่แน่ นอน (Variable - ปฏิบตั งิ านเพื่อขึน้ เงินเดือน แต่
ทีไ่ ม่แน่ นอน
Interval) ไม่รจู้ ะมาเมือ่ ไหร่
การเสริมแรงตามจานวนครัง้ ให้การเสริมแรงโดยดูจาก
การจ่ายค่าแรงตามชิน้ งานทีท่ า
ของการตอบสนองทีแ่ น่นอน จานวนครัง้ ของการตอบสนอง
ได้
(Fixed – Ratio) ทีถ่ ูกต้องด้วยอัตราทีแ่ น่ นอน
การเสริมแรงตามจานวนครัง้ เมื่อเขาขายของได้ เจ้านายก็จะ
ให้การเสริมแรงตามจานวนครัง้
ของการตอบสนองทีไ่ ม่ ให้ ร างวั ล พิ เ ศษเขา แต่ ไ ม่ ไ ด้
ของการตอบสนองแบบไม่
แน่นอน กาหนดตายตัวว่าขายของได้กช่ี น้ิ
แน่นอน
(Variable - Ratio) จึงจะให้รางวัล
ความยาวคลื่นแสง
กราฟแสดงการแผ่ขยายและการจาแนกกสิง่ เร้า
2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธิ นิยม
ทฤษฎีการเรียนรู้ในกลุ่มพุทธินิยมนี้ให้ความสาคัญกับความสามารถในการตัง้
วัตถุประสงค์ การวางแผน ความตัง้ ใจ ความคิด ความจา การคัดเลือก การให้ความหมายกับสิง่
เร้าต่างๆ ทีไ่ ด้จากการรับรู้ ตัวอย่างทฤษฎีการเรียนรูก้ ลุ่มพุทธินิยม เช่น
2.1 ทฤษฎี การเรียนรู้ด้ วยการหยังเห็
่ น (Insight Learning) ทฤษฎีก ารหยัง่
เห็ น นี้ เ ป็ น การศึ ก ษาทดลองของนั ก จิต วิท ยาชาวเยอรมัน ซึ่ง เรีย กว่ า กลุ่ ม เกสตัล ท์ ซึ่ง
ประกอบด้วยนักจิตวิทยาทีส่ าคัญ 3 คน คือ แมกซ์ เวอร์ไทเมอร์, เคิรท์ คอฟฟ์ก้า และ วูลฟ์ กัง
โคห์เ ลอร์ ค าว่ า เกสตัล ท์ หมายถึง แบบแผนหรือ ภาพรวม โดยนั ก จิต วิท ยากลุ่ ม นี้ ไ ด้ใ ห้
ความสาคัญกับส่วนรวมหรือผลรวมมากกว่าส่วนย่อย ในการศึกษาวิจยั เขาได้พบว่าการรับรู้
ข้อ มูล ของคนเรามัก จะรับ รู้ส่ ว นรวมมากกว่ า รายละเอีย ดปลีก ย่อ ย ในการเรีย นรู้แ ละการ
แก้ปญั หาก็เช่นเดียวกัน คนเรามักจะเรียนอะไรได้ก็ต้องศึกษาภาพรวมก่อน หลังจากนัน้ จึงมา
พิจารณารายละเอียดปลีกย่อยจะทาให้เกิดความเข้าใจในเรือ่ งนัน้ ได้ชดั เจนขึน้
121
ภาพการทดลองของการเรียนด้วยการหยังเห็
่ น
ขัน้ ตอนที่ 1 เด็ก จะถู ก น าไปยัง มุ ม หนึ่ ง ของห้อ งพร้อ มๆ กับ ให้ท า
กิจกรรมทีน่ ่าสนใจ ต่อมาตัวแบบผูใ้ หญ่จะเดินมายังมุมห้องทีอ่ ยู่ตรงกันข้ามและเริม่ ต้นเล่นตุ๊กตา
ของเด็กซึง่ มีไม้ตแี ละตุ๊กตาล้มลุก (Bobo doll) รวมอยู่ในนัน้ ด้วย สักพักหนึ่งผู้ใหญ่ก็เริม่ เล่นกับ
ตุ๊กตาด้วยกิรยิ าก้าวร้าว ส่วนในกลุ่มทีไ่ ม่ได้วางเงื่อนไขความก้าวร้าว ผูใ้ หญ่จะเล่นอย่างเงียบๆ
สุภาพเรียบร้อย และไม่สนใจตุ๊กตา Bobo
ขัน้ ตอนที่ 2 เด็กจะถูกเร้าอารมณ์ก้าวร้าว ด้วยการถูกนาไปยังห้องที่ม ี
ตุ๊กตาทีด่ งึ ดูดใจน่ าเล่น แต่พอเริม่ ทีจ่ ะเล่น เด็กจะถูกบอกว่า ตุ๊กตานี้เป็ นตุ๊กตาทีด่ ที ส่ี ุดทีเ่ ตรียม
ไว้สาหรับเด็กคนอื่นๆ
ขัน้ ตอนที่ 3 เด็ก ถู ก น าไปยัง ห้อ งที่ม ีท ัง้ เด็ก ที่ส ัง เกตตัว แบบแสดง
พฤติกรรมก้าวร้าวและตัวแบบทีไ่ ม่ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ในนัน้ จะมีตุ๊กตา Bobo doll ขนาด
สูง 3 ฟุตและไม้ตี
เด็กจะถูกสังเกตพฤติกรรมการเล่นตุ๊กตาประมาณ 20 นาทีผ่านห้องกระจก
ทางเดีย ว (One-Way Mirror) ผู้ ส ัง เกตการณ์ ท าการบัน ทึก ผลการเลีย นแบบ 3 ประการ
ประกอบด้วย
1. การเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวทางกาย
2. การเลียนแบบพฤติกรรมก้าวร้าวทางวาจา
3. การเลียนแบบการตอบสนองทางวาจาทีไ่ ม่ก้าวร้าว
ผลการทดลองพบว่า
1. เด็ก ๆ ในกลุ่ มสัง เกตตัว แบบพฤติก รรมก้า วร้า วแสดงพฤติก รรม
ก้าวร้าวมากกว่าเด็กทีไ่ ม่มตี วั แบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
2. เด็กชายแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากกว่าเด็กหญิง
3. เด็กชายในกลุ่ มสังเกตตัวแบบพฤติกรรมก้าวร้าวแสดงพฤติกรรม
ก้าวร้าวมากกว่า ถ้าตัวแบบเป็นผูช้ าย
4. เด็กหญิงในกลุ่มสังเกตตัวแบบพฤติกรรมก้าวร้าวแสดงพฤติกรรม
ก้าวร้าวทางกายมากกว่า ถ้าตัวแบบเป็ นผูช้ าย แต่จะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวทางวาจามากกว่า
ถ้าตัวแบบเป็นผูห้ ญิง
การวิจยั ต่อมาก็พบผลในทานองเดียวกัน โดยในการทดลองขัน้ ทีส่ องได้มนี า
เด็กกลุ่มที่ 1 ไปยังห้องพักผ่อน กลุ่มที่ 2 เห็นตัวแบบได้รบั รางวัลเมื่อแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว
ขณะทีก่ ลุ่มที่ 3 เห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวแล้วได้รบั การลงโทษ
ผลการทดลอง พบว่า เด็กๆ ทีเ่ ห็นตัวแบบแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวแล้วได้รบั
การลงโทษ แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวน้อยกว่ากลุ่มทีต่ วั แบบได้รบั รางวัลและกลุ่มทีไ่ ม่ได้รบั อะไร
เลย อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ
124
ภาพแสดงตัวอย่างพฤติกรรมก้าวร้าวของเด็กชายและเด็กหญิงจากการทดลองของแบนดูรา
ผลการทดลองพฤติกรรมก้าวร้าวทีเ่ ป็ นผลมาจากการสังเกตตัวแบบจากภาพยนตร์
ขัน้ ตอนการเรียนรู้โดยการเลียนแบบ
1. ความใส่ใจ (Attention) การเรียนรูจ้ ะเกิดขึน้ ได้ก็ต่อเมื่อผู้เรียนมีความสนใจ
และเอาใจใส่ต่อตัวแบบ และกิจกรรมของตัวแบบ
2. กระบวนการเก็บจา (Retention) ผู้สงั เกตต้องบันทึกสิง่ ที่สงั เกต กิจกรรม
หรือข้อมูลของตัวแบบในระบบความจา เพราะจะทาให้สามารถเกิดแบบแผนในการเลียนแบบตัว
แบบได้ ทัง้ นี้เพื่อ การนาข้อ มูล ที่เ ก็บไว้ใ นระบบความจากลับคืนมาและใช้ต่ อ ไป ถ้าผู้สงั เกต
เข้า รหัส ข้อ มูล ในระบบความจาได้ดี อาจด้ว ยการสร้า งภาพในใจหรือ ด้ว ยภาษาสื่อ สารกับ
ความคิดของตนเองได้ดี ก็สามารถเลียนแบบพฤติกรรมได้ดถี งึ แม้เวลาผ่านไปนานก็ตาม
3. กระบวนการเลียนแบบ (Reproduction) คือ การนาสิ่งบันทึกไว้ในความ
ทรงจา มาเป็ นสิง่ ชีน้ าในการเลียนแบบตามพฤติกรรมของตัวแบบ ซึง่ บางครัง้ อาจไม่ใช่การลอก
แบบอย่างตรงไปตรงมา แต่เป็ นการเลียนแบบทีม่ คี วามรูค้ วามเข้าใจและความพร้อม ดังนัน้ ใน
การเลียนแบบพฤติก รรมจากตัว แบบอย่างเดียวกัน พฤติกรรมของแต่ ล ะบุค คลอาจมีค วาม
แตกต่างกันไป บางคนอาจทาได้ดกี ว่า ทาได้ไม่ดเี ท่า หรือทาได้เท่าเทียมกันกับตัวแบบก็ได้
4. กระบวนการจูง ใจ (Motivation) การจู ง ใจเป็ น สิ่ง ส าคัญ ที่ท าให้เ กิด การ
เลียนแบบมีประสิทธิภาพ ถ้าผู้สงั เกตจะเลียนแบบพฤติกรรมที่ให้ผลดีกบั เขา เช่น ได้รบั แรง
เสริม รางวัล คาชมเชย เป็ นต้น ก็จะช่วยให้เลียนแบบตัวแบบได้ดกี ว่าที่ไม่ได้รบั การเสริมแรง
และมีแนวโน้มทีจ่ ะเลียนแบบพฤติกรรมทีเ่ ขาพอใจ มากกว่าพฤติกรรมที่เขาทาแล้วไม่สบายใจ
ดังนัน้ การจูงใจและการเสริมแรงจะมีอทิ ธิพลต่อการเรียนรูม้ าก แบนดูราได้แบ่งการเสริมแรง
ออกเป็ น 3 ลักษณะ คือ การเสริมแรงโดยตรง การเสริมแรงที่ได้รบั อิทธิพลจากผู้อ่นื และการ
เสริมแรงตนเอง ซึง่ เป็นการเสริมแรงทีส่ าคัญ เพราจะเป็นตัวควบคุมการแสดงพฤติกรรมได้ดี
คาถามท้ายบท
1. พฤติกรรมต่อไปนี้ เกิดจากการเรียนรูห้ รือไม่
1) นายโก๊ะอาเจียนกลางถนนเพราะเมาเหล้า
2) นางเงาะนอนไม่ได้เพราะปวดหลัง
3) นายโก๊ะเมาเหล้าพูดจาไม่รเู้ รือ่ ง ฟงั ไม่ได้ศพั ท์
4) นางเงาะนิ่วหน้าเพราะปวดหลังมาก
5) นายโก๊ะนอนแผ่กลางบ้านเพราะอ่อนเพลีย
6) นางเงาะขึน้ ไปนังหลั
่ บบนเปลเพราะนอนหลับไม่ได้
127
7) นางเงาะหยิบยาดมมาดมเพราะวิงเวียนศีรษะ
8) นางเงาะหายใจแรงๆ เพราะแน่นหน้าอก
9) นายโก๊ะสะดุง้ เพราะเหยียบตะปู
10) นายโก๊ะพยายามเลิกดื่มเหล้า
2. ให้ นิ ส ิต อ่ า นกรณี ศึ ก ษาของ “แต๊ก เดอะวอยซ์ 5” กระบวนการเรีย นรู้ใ นการ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเป็ นเช่นไร โดยอยู่บนพื้นฐานทฤษฎีการเรียนรู้ และมีปจั จัยใดบ้างที่ม ี
อิทธิพลต่อการเรียนรู้
“ชีวติ มันเริม่ ใหม่ได้เสมอ พอเรารักทีจ่ ะคิดดี รักเชื่อในสิง่ ทีถ่ ูกต้อง ผมไม่รหู้ รอกว่าคาพูดนี้ของผมจะไปแตะ
ต้องสัมผัสหัวใจของใครเขาหรือเปล่า แต่ทแ่ี น่ๆ ผมเป็ นพยานได้ว่า ชีวติ มันเริม่ ใหม่ได้จริงๆ”
“คุณแม่เคยบอกกับผมไว้ว่า ผมเป็ นเด็กทีด่ คี นหนึ่ง (ยิม้ ) และผมก็เป็ นอย่างนัน้ จริงๆ ด้วยนิสยั ด้วยลุค เป็ น
เด็กนักเรียนตัวเล็กๆ ใส่แว่น นังแถวหน้
่ า ตัง้ ใจเรียน แม้ว่าสังคมทีบ่ า้ นจะอยูบ่ ริเวณย่านชุมชน 70 ไร่
คลองเตย แต่กไ็ ม่ได้มอี ะไรมาทาให้ผมเปลีย่ นแปลง”
“วัยกาลังแรงพอดี คือแม้ว่าผมจะเกิดทีค่ ลองเตย แต่กเ็ พียงแค่ชว่ งเวลาสัน้ ๆ มีเพื่อนไม่กค่ี นทีว่ งิ่ เล่นด้วยกัน
แล้วเด็กๆ ก็เล่นกันตามประสาเด็ก ไม่ได้จดั จ้านกว่า อย่างทีห่ ลายคนคิด ซึง่ ยิง่ มาบวกอยู่กบั คุณยายในอีก
สังคมหนึ่ง เราก็เลยไม่มอี ะไรตรงนัน้ ติดมา พอต่างถิน่ แปลกทีก่ จ็ ะโดนรังแก แกล้งโน่นแกล้งนี่ “เฮ้ยแว่น มึงไป
ซือ้ ข้าวให้กหู น่อยดิ” “เฮ้ย แว่นมึงหยิบน้ามา” ผมโดนอยู่อย่างนัน้ เป็ นเดือนๆ เราก็ได้แต่เก็บความรูส้ กึ แบบ
นัน้ เอาไว้ โดยตื่นเช้ามาแทบไม่อยากไปเรียนเลย
“พอไม่ได้เรียนแล้วก็ยงั ออกไปจับกลุ่มกับเพื่อนทีเ่ ดิม ใส่ชุดนักเรียน เป็ นเด็กผี วิง่ ไล่ตเี ขา คือเพือ่ ให้ตวั เอง
เป็ นหัวโจกให้ได้ ผมก็ไม่รเู้ หมือนกันว่าจากผมทีเ่ ป็ นเด็กติม๋ โดนแกล้งในตอนแรก กลายเป็ นหัวโจกไปได้ไง
แต่ครัง้ หนึ่ง ผมไปมีเรื่องตรงแถวสะพานข้ามจากอิมพีเรียลบางกะปิ มาฝงั ่ เจซี ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ ก็ไปต่อย
เด็กโรงเรียนอื่น ครัง้ นัน้ เป็ นครัง้ แรกทีผ่ มมีความรูส้ กึ สานึก เพราะว่าเราทาสิง่ เหล่านี้ไปด้วยอะไรก็ไม่รู้ ด้วย
ความคิดอะไรก็ไม่รู้ แต่พอผมทาวันนัน้ แล้วมันมีความรูส้ กึ ว่าทาเขาทาไม เรื่องของเรื่องมันอาจจะเป็ นเพราะ
คนคนนัน้ หน้าตาคล้ายๆ น้องชายเรา แล้วสานึกมันขึน้ มาว่า ถ้าคนนี้เป็ นน้องเรา เราจะรูส้ กึ อย่างไร
130
จะโดนตารวจคุมตัวไหม?
จะถูกจับติ ดคุกหรือเปล่า?
เรามาไกลขนาดนี้ ได้อย่างไร?
เป็ นคาถามที่ประเดประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน ชวนให้อลหม่านในความคิ ดจนกลายเป็ นวิ ตกจริต แต่
ทว่ายังไม่ทนั ที่จะคิ ดตก เส้นทางชีวิตและสิ่ งที่ได้ทาไว้ ก็เลือกบีบให้เหลือทางเดิ นไม่มากนัก
“นันก็
่ คอื จุดเปลีย่ นชีวติ ครัง้ สาคัญทีส่ ดุ เข้าสูว่ งจรยาเสพติด”
จากจุดหักเหแรกคือตัดสินใจเองโดยการเลียนแบบในการทาตัวเกเรเหมือนคนอื่น แต่ดว้ ยนิสยั ส่วนตัวทีช่ อบ
ทาอะไรทีม่ นั สุดๆ สุดท้ายกลายเป็ นถูกสิง่ เหล่านัน้ กลืนกินเต็มตัวโดยไม่รเู้ นื้อรูต้ วั - ความเดียงสาถูกแทนที่
ด้วยความกร้านโลก - ความรักความฝนั ทางด้านของดนตรี ผลักให้ ‘เด็กชายอานนท์’ หรือ ‘น้องแต๊ก’ ของ
ครอบครัวค่อยๆ เลือนหายไป
สูงสุดคืนสู่สามัญ
สูงตา่ อยูท่ ี่ทาตัว “เราเอง”
“ทีน้พี อเราว่าง จากทีเ่ รารูจ้ กั เพือ่ น เราก็รจู้ กั รุ่นพี่ ก็เริม่ จับกลุ่มกินเหล้ากัน เล่นกีตาร์ใต้ถุนแฟลต เมาหัวราน้า
ไปวันๆ แต่ไม่ได้มอี ะไรมากกว่านัน้ ”
“มันมีแผล เราก็ยงั กลัว ยังหวาด จึงสุมตัวอยู่เป็ นทีเ่ ป็ นทาง และยาเสพติดก็เริม่ เข้ามา... เข้ามาได้เพราะเรา
เป็ นแบบเดิม เราอยากกลมกลืน กลัวการไม่ยอมรับ รูว้ ่ามันผิดนะ ไม่ดี แต่กท็ า
“ยับเยินไม่เหลือชิน้ ดี”
แต๊กกล่าวย้าด้วยน้าเสียงเคร่งเครียด
“มันทรมานมาก เวลาอยากยาแล้วไม่ได้ น้าหูน้าตาจะไหล ปวดท้องเหมือนคนมาบิดไส้ กินอะไรไม่ได้เพราะ
กินเข้าไปแล้วอ๊อกเขียว อ๊อกเหลือง คืออ้วกน้าย่อยออกมาหมด
“ช่วงทีผ่ มลองผงขาว เริม่ จากการทีร่ วมเงินกันกับเพื่อนๆ ไปซือ้ 300 บาท ได้ 1 บิก๊ หรือว่า ครึง่ หนึ่ง 150
บาท สมัยนัน้ ก็ใส่บุหรีจ่ ุดสูบวนกันคนละครัง้ สองครัง้ ความรูส้ กึ มันเหมือนผมไม่รวู้ ่าอะไรคือความทุกข์ ณ
เวลานัน้ ผมรูแ้ ต่ว่าเราทาแล้วมันดี ไปอยู่ในโลกของเรา ไม่ตอ้ งอยู่กบั ความจริงทีว่ ่าวันนี้มนั ไม่ได้เรื่อง สุดท้าย
แล้ว กว่าจะรูต้ วั อีกทีมนั ก็ตดิ แล้ว
“ทีน้พี อรูต้ วั ก็เครียดเลย เราไม่คดิ ว่าเราจะมาถึงขัน้ นี้ ต่างจากคนอื่นๆ ทีบ่ อกว่าตัวเองติดเพื่อความเท่ แต่ผม
ไม่ เพราะด้วยความทีม่ นั มีภาพบางภาพตอนเด็กๆ เคยเห็นคนตายคาโอ่งโดยทีเ่ ข็มยังคาปกั อยูเ่ ลย เรากลัว
ตกใจ ไม่อยากจะตาย แต่มนั หยุดไม่ได้แล้ว เพราะอาการตรงนัน้ มันยิง่ ห่างยามากเท่าไหร่ มันยิง่ ต้องการมาก
ขึน้ มันเรียกร้อง
“พ่อผมติดผง”
แต๊กสารภาพความรูส้ กึ จริงทัง้ คาพูดและน้าตาอย่างไม่ปิดบัง เพราะด้วยความทรมานจากฤทธิยาที
์ ว่ ่าเลวร้าย
แล้ว ความรูส้ กึ ผิดกับชีวติ ของตัวเองยังกระหน่ าซ้าเติมรุนแรงยิง่ กว่า
“คือตอนนัน้ กลับไปมีชวี ติ ทีด่ แี ล้ว ไปเรียนการศึกษาผูใ้ หญ่ (กศน.) จนจบ ม.3 แล้วไปเรียนทีโ่ รงเรียนศิลปะ
พระนคร แล้วก็เริม่ เล่นดนตรีกบั เพื่อนๆ เป็ นนักร้องนา ทาวงเล่นกลางคืนบ้าง เป็ นพาร์ตไทม์ ทุกอย่างเป็ นไป
ได้สวย แต่เราก็ไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติดอีก เนื่องจากเราไม่เข้มแข็งพอ เราทาเพื่อคนอื่น เราไม่ได้ทาเพื่อ
ตัวเองอย่างจริงจัง คือการทาเพื่อคนอื่น เราจะทาได้ไม่นาน ซึง่ ช่วงทีเ่ รียน จริงอยู่ทเ่ี ราเลิกได้ แต่ เราเลิกเพราะ
กลัว เลิกเพราะคุณพ่อคุณแม่ ตัวเรายังไม่เจอหนทางที่ตวั เองรักและจะทาเพื่อมันจริงๆ ดนตรีทเ่ี ข้ามาก็ยงั
ไม่ได้เป็ นรูปร่างอะไรนัก เราก็ยงั เหมือนเคว้งๆ เพราะพอทุกอย่างดีขน้ึ เราก็กลับไปใช้ชวี ติ ต่างคนต่างใช้ คุณ
พ่อกับคุณแม่แยกทางกัน โอกาสตรงนี้มนั ก็สามารถแทรกเข้ามาได้ โดยเฉพาะถ้ายังมีสภาพแวดล้อมเรื่องนี้อยู่
แม้เพียงน้อยนิด
จากทัง้ ประสบการณ์ ทัง้ อายุที่เพิ่ มมากขึ้นในช่ วงเรียนมหาวิ ทยาลัย การหวนคืนวงการในครัง้ นี้ จึง
นาพาชีวิตของเขาไปไกลสุดเขตแดนสังคม เช่นเดียวกับสิ่ งที่เขากาลังจะบอกเล่าถึงกุญแจสาคัญที่จะ
ปลดล็อกชีวิตให้ห่างไกลยาเสพติ ด
“ครัง้ ที่สอง ออกมาก็เริม่ จะสานึก แต่กย็ งั ไม่ได้ เพราะพอออกมา สิง่ ที่เราจะได้ยนิ ในหูเสมอๆ คือไอ้ขค้ี ุกๆๆ
ไม่รเู้ ป็ นอะไร ถ้าเขาไม่ว่า เราก็จะว่าตัวเอง บวกกับความผิดหวังในเรื่องความรักด้วยในตอนทีอ่ อกมา ก็เลย
ทาให้เป็ นจุดหักเหที่ทาให้ผมรู้สกึ ว่าผมไม่รกั ตัวเองแล้ว แล้วก็ทาทุกอย่างได้ ตอนนัน้ ได้ยนิ ว่าครอบครัวมี
ปญั หา ในขณะทีเ่ รายังหมกตัวอยู่กบั ปญั หาของเรา เรื่องค่าเทอมของน้อง เรื่องค่าใช้จ่ายภายในบ้าน แล้วคุก
มันสอนเราสองอย่าง มันมีทงั ้ ด้านดี ให้เราเลือก และมีดา้ นเลวให้เรารูจ้ กั เราเป็ นคนที่ชอบเรียนรูอ้ ยู่แล้ว ก็รู้
เรียนทัง้ สองด้าน ครบควบวิชา พอออกมาอยู่ในภาวะที่บางครัง้ ต้องตัดสินใจเพื่อความอยู่รอด เป็ นธรรมดา
จากทีเ่ สพ โดนจับครอบครอง ก็กลายเป็ นขาย จาหน่ าย เพราะไปรูจ้ กั กับคนขาย แล้วมันเป็ นการไปคอนเนก
ชั น กั น ไ ปสร้ า ง เครื อ ข่ า ย กั น มั น เป็ นอย่ า งนั ้ น มั น เป็ นคว า มเห็ น ผิ ด นั บ จา กวั น นั ้ น อี ก ครั ้ง ”
และนันก็
่ นามาซึง่ การติดคุกครัง้ ที่ 3 ครัง้ ที่ 4 ในระยะเวลาแค่ไม่กป่ี ี กระทังหนั
่ กสุดในครัง้ ที่ 5 ห่างกันถึงเกือบ
10 ปี สาหรับการจาคุก
“ครัง้ ที่ 5 ผมก็เลยโดนจับอีกครัง้ โทษทัง้ หมด 7 ปี 6 เดือน แต่กถ็ ือว่าโชคยังดี เข้าไปคราวนี้ ได้กลับไปอยู่
แดนเดิม กลับไปอยู่แดนทีเ่ ป็ นดนตรี แดนทีส่ ร้างเรามา เขามีโปรแกรมพัฒนาชีวติ อะไรต่างๆ ซึง่ มันกลายเป็ น
ว่าเราได้วุฒภิ าวะเป็ นผูน้ าจากตรงนัน้ เพราะว่าเรากลายเป็ นนักกิจกรรม ชอบเรียนรู้ เหมือนเราโตในนัน้ เลย
เราเป็ นผู้มหี น้าที่ดี เป็ นรุ่นพี่ท่คี นอื่นนับถือในทางที่ดี แต่ ภูมติ ้านทานตรงนัน้ มันกลับไม่ได้เอามาใช้ตอนที่
ออกมาอยู่ในสังคม
“รอบที่ 5 เข้ามาก็เลยเหมือนดัดนิสยั อีกครัง้ เพราะครัง้ นี้พผ่ี คู้ ุมทีน่ บั ถือ พีเ่ สกมนตร์ สัมมาเพ็ชร์ เขาไม่ให้เรา
แตะเครื่องดนตรีเลย แต่กข็ อบคุณพีเ่ ขามาก เขาเหมือนดัดสันดานเรา เพราะก่อนหน้านัน้ ช่วงรอบที่ 4 คือแก
รักผมมาก ก็เลยกลายเป็ นว่าไม่น่ากลับมาอีก กลายเป็ นเหมือนหมาจริงๆ เพราะเคยพูดไว้ว่าถ้ากลับมา ผม
เป็ นหมา และผมก็กลับมาจริงๆ สุดท้ายต้องยอมรับ ผมเลวจริงๆ คิดไม่ได้เอง ไม่มใี คร เราเองล้วนๆ สุดท้าย
แล้วกลับ เข้าไปจับไม้ก วาด 2 ปี ไปเป็ นโยธากวาดขยะ ท างานต่ า งๆ ที่ใช้แรง แต่ ก็ย ังแอบเป็ นคนคิด ดี
เหมือนเดิม ออกกาลังกาย เพราะว่าผมรูส้ กึ ว่าผมเป็ นประเภททีอ่ ยู่คุกเป็ นแล้ว ไม่นอน ไม่ชอบนอนหนีความ
จริง อยู่กบั ความเป็ นจริง อะไรทีส่ ร้างประโยชน์ได้ เราทา”
จนกระทังทางศู
่ นย์เปิ ดรายการโทรทัศน์ ในวันเสาร์ที่ 9 กันยายน 2555 ซึ่งเป็ นเทปแรกที่ ออกอากาศ
แม้ ว่ า ตนจะไม่ มี โ อกาสได้ ท าตรงนั ้น แต่ ก็ ห ล่ อ เลี้ ย งความฝั น ที่ โ ลดเร่ า อยู่ ลึ ก ๆ ภายในใจ
“เหมือนกับว่า ชีวติ ทีผ่ ่านมา เราหนี ตอนนี้เราก็เริม่ สู้ ลุกขึน้ ทาอะไรเพื่อตัวเอง ลงเรียนหนังสือ ช่วงเวลาทีย่ งั
ไม่ได้แตะเครื่องดนตรี แต่กห็ วังจะได้รบั การยอมรับอีกครัง้ ได้แต่แอบเล่นเพราะเรารักดนตรี และเราได้เห็น
รายการทีเ่ ป็ นเหมือนลูกแก้ววิเศษ คือถ้าเราออกไปก็จะอายุเกือบ 40 หนทางด้านดนตรีมนั ก็รบิ หรี่ แต่รายการ
เดอะวอยซ์เป็ นเวทีท่ใี ช้ความสามารถ ไม่ใช้หน้าตา ก็ทาให้เรามีความหวัง ผมก็เริม่ จากประเมินตัวเองใน
จานวน 8,000-10,000 คน เวลามีงานการประกวดความสามารถร้องเพลง ก็ไม่มีใคร เพราะถ้ามีเขาก็คง
ออกมาโชว์กนั แล้ว ไม่มใี ครเก็บความสามารถในสิง่ ทีต่ วั เองรักเอาไว้
“คือเข้าใจว่าเขาเป็ นไอดอลเรา ซึ่ง เรามองเป็ นพลังอยู่แล้ว เราก็รู้สกึ ดี แล้วเราก็ได้นัง่ คุยกัน ทัง้ ในเนื้อหา
รายการและส่วนตัว พีต่ ูนเขาก็ถามว่าขาดเหลืออะไรไหม แล้วเขาก็ให้กตี าร์โปร่งไฟฟ้าตัวหนึ่ง ตามคาพูดเขา
เลย ซึ่งไม่มีใ ครคิด มีแ ต่ ค นคิดว่ าเขาพูดไปอย่ างนัน้ เพราะเวลามัน ผ่า นไป 3-4 เดือ นหลัง จากออนแอร์
137
“มันไม่ได้ตอบโจทย์อะไรเลยครับเงิน ชีวติ ทีม่ เี งิน มันสะดวกสบายก็จริงอยู่ แต่ชวี ติ ทีไ่ ด้ทาในสิง่ ทีเ่ รารัก มันมี
พลังมากว่า ผมออกมาด้วยความเชื่ออย่างนัน้ แม้จะไม่ทนั โลก ไม่รู้จกั โปรแกรมแชตไลน์ ไม่มเี ฟซบุ๊ก ก็มา
ศึกษาจาก Google มันเป็ นเกราะป้องกันทีด่ มี ากๆ ผมไม่กลับไปอะไรอีกเลย ผมรูส้ กึ ว่าผมเป็ นคนใหม่จริงๆ
เราไม่ขาวก็จริง แต่ไม่ดาแล้ว คือใจเราเป็ นทีต่ งั ้ ใจทีม่ คี วามหวังและเห็นคุณค่าตัวเองทีเ่ ราเริม่ กลับมาเชื่ออีก
ครัง้ ว่าเรามีคุณค่า
“จากทีผ่ ่านมา ทาให้รวู้ ่าคนเรามันมีทางของมัน เรามีทุกคน เรามีทางของเรา ทีจ่ ะภาคภูมใิ จในสิง่ ทีต่ วั องเป็ น
ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมาพร้อมกับสิง่ ที่ตวั เองถนัด อย่างให้ผมไปซ่อมรถ ผมก็ซ่อมไม่ได้ ไม่เก่ง ก็คงต้องไป
138
พึง่ พาคนทีเ่ ขาชอบทาสิง่ เหล่านี้ เราเพียงแต่ตอ้ งหามันให้เจอ คว้ามันให้ได้ ว่าอะไรคือสิง่ ทีเ่ รารัก แล้วอะไรคือ
สิง่ ทีเ่ ราจะใช้ชวี ติ ได้อย่างมีความสุข”