Professional Documents
Culture Documents
Thai Land Bridge Project
Thai Land Bridge Project
รายงานผลการศึกษา
Thai Land Bridge Project
Phase 1 – Proof of Concept
สรุ ปสาระสาคัญ
ผลการศึกษาของ Dubai World
Thai Land Bridge Project: Phase 1: Proof of Concept
30 มีนาคม 2552
1. ความเป็ นมา
เมื่อวัน ที่ 22 พฤษภาคม 2551 ได้ มีก ารลงนามบัน ทึก ความเข้ าใจระหว่างสานัก งาน
นโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม กับบริ ษัท Dubai World เพื่อ
ร่วมกันสารวจความเป็ นไปได้ ของระบบสะพานเศรษฐกิจ (land bridge) ข้ ามพืน้ ที่ภาคใต้ ของ
ประเทศไทย การศึกษาความเป็ นไปได้ ดงั กล่าวแบ่งออกเป็ นสองส่วนสาคัญ โดยระยะที่ 1 เป็ นการ
ตรวจสอบแนวความคิดในการศึกษา (Proof of Concept) และระยะที่ 2 เป็ นการจัดทาแผนแม่บท
ตามกรอบการศึกษาทังหมด ้ วัตถุประสงค์ของการศึกษาระยะที่ 1 ซึ่งได้ นาเสนอในรายงานฉบับนี ้
เพื่อนาเสนอกรอบแนวคิดของสะพานเศรษฐกิจต่อรัฐบาลไทยเพื่อแสดงให้ เห็นศักยภาพและความ
เป็ นไปได้ ทางเศรษฐกิจและพาณิชยกรรม และแนวทางในการนาแนวความคิดดังกล่าวไปสู่การ
ดาเนินการจริงต่อไป
2
แนวพื ้นที่ในการพัฒนาระบบสะพานเศรษฐกิจที่เสนอโดนสนข.ตังอยู ้ ่ในแนวพืน้ ที่ ระหว่าง
จังหวัดสตูลและจังหวัดสงขลา ในบริ เ วณส่วนที่แคบที่ สดุ ของคอคอดของแนวพื น้ ที่ ภาคใต้ ของ
ประเทศ โดยพืน้ ที่ ค อคอดมีแนวภูเ ขาต่อเนื่ องในพื น้ ที่ ตอนกลางของภาคใต้ โดยมีช่องเว้ น ให้
สามารถเชื่อมโยงระหว่างสองฝั่ งผ่านทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 406 โดยพื ้นที่บริเวณนี ้ยังมีสภาพ
เป็ นชนบทเป็ นหลัก มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สาคัญได้ แก่การปลูกพืชผลการเกษตร การทาสวน
ยางพาราและปาล์มนา้ มัน รวมทัง้ การทาฟาร์ มขนาดเล็ก มีหมู่บ้านและพืน้ ที่ ที่พัฒนาเป็ นเมือง
กระจายอยู่ทั่วไป โดยมีจุดศูนย์กลางเมืองหลัก เป็ นศูนย์กลางการให้ บริ การของจังหวัดรายล้ อม
ด้ วยพื ้นที่ชนบท พื ้นที่ที่มีความเป็ นเมืองยังมีขนาดเล็กโดยมีลกั ษณะการรวมศูนย์ที่สาคัญอยู่เพียง
บริ เ วณพื น้ ที่ สงขลา-หาดใหญ่ ซึ่งยังมีลัก ษณะเป็ นเมืองคู่มากกว่าเป็ นศูน ย์ก ลางเดีย ว โดยมี
ประชากรราว 1.5 ล้ านคนอาศัยในเมืองทังสอง ้ โดยเมืองหาดใหญ่มีประชากรราว 185,000 คน
3
ตะวันตกและตะวันออก ส่วนปริ มาณไฟฟ้าที่ให้ บริ การยังมีพอเพียงสาหรับสะพานเศรษฐกิจ แต่
ต่อไปจะต้ องการโรงไฟฟ้าเพิ่มเติมในกรณีที่มีการพัฒนาคลัสเตอร์อตุ สาหกรรมหนัก ส่วนน ้ายังเป็ น
ประเด็นที่น่าห่วงใยเนื่องจากความจาเป็ นต้ องใช้ ในภาคการเกษตรมีถึงร้ อยละ 60 อยู่เดิมแล้ ว แม้
จะมีโครงการพัฒนาแหล่งน ้าและท่อส่งนา้ ในอนาคต ก็ยังต้ องพัฒนาแหล่งนา้ มากขึ ้นเพื่อรองรับ
คลัสเตอร์อตุ สาหกรรมหนักต่อไป
4
ระดับชาติดาเนินการโดยสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
โดยผ่านวิธีการกาหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในแผนพัฒนาฯฉบับที่ 10 (ปี
2551-2555) เป็ นแผนแรกที่ได้ ปรับเปลี่ยนประเด็นที่ม่งุ เน้ นจากการพัฒนาโครงสร้ างพืน้ ฐานไปสู่
การพัฒนาด้ านสังคม ธรรมาภิบาลและการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศ
สศช.ยังคงมีบทบาทในด้ านการจัดทาแผนระดับภาคร่วมกับกระทรวงมหาดไทย โดยมีการจัดทา
แผนพัฒนาภาคระยะ 20 ปี ซึ่งมีการปรับแผนทุกระยะ 5 ปี โดยแผนพัฒนาภาคยังมิได้ กาหนด
ทิศทางของการพัฒนาและมีผลกระทบเพียงเล็กน้ อยต่อการกระจายการพัฒนาสู่พื น้ ที่ ในด้ านการ
ใช้ ที่ดินและการพัฒนาโครงสร้ างพื ้นฐาน โดยโครงสร้ างของแผนในปั จจุบันมีความอ่อนแอและจะ
ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจได้ และยัง มี ความซา้ ซ้ อนเป็ นอันมากของแผนงาน
โครงการภายใต้ กระทรวงต่างๆที่จดั ทาขึ ้นเพื่อเป็ นการสนองต่อประเด็นความต้ องการเฉพาะหน้ า
และเพื่ อสนองประโยชน์ เ ฉพาะกรณี โดยขาดการบูรณาการระหว่างแผนระดับ ภาคและระดับ
ท้ องถิ่น ด้ วยเหตุดงั กล่าวจึงขาดแผนงานที่เป็ นรายลักษณ์อกั ษรรองรับการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจ
และมีความจาเป็ นอย่างยิ่งที่แผนงานของกระทรวงต่างๆจะต้ องบูรณาการเพื่อให้ มียุทธศาสตร์ ที่มี
ทิศทางเดียวกันในการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจ
5
พัฒนาเป็ นระบบขนส่งอิสระก็ได้ โดยที่การพัฒนาสะพานขนส่งนา้ มันจะไม่มีความเกี่ยวข้ องกับ
การพัฒนาที่รองรับปฏิบตั ิการของระบบขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์หรือสินค้ าเทกองแต่ประการใด
6
ทุ่นลอยน ้าต้ องอยู่ห่างจากชายฝั่ งมีผลต่อความยาวของท่อ นา้ มันและการที่จะต้ องเพิ่มสมรรถนะ
ของสถานีสบู น ้ามันซึ่งทาให้ มีคา่ ใช้ จ่ายเพิ่มขึ ้นอีกมาก
7
หรือมีปลายทางการขนส่งที่ต้องการสินค้ าจานวนน้ อย แม้ เรือขนาด VLCC จะมีความประหยัดต่อ
หน่วยมากกว่าด้ วยความสามารถในการเดินทางในระยะไกลที่ทาให้ อตั ราค่าขนส่งต่อหน่วยถูกกว่า
แต่ยัง มีห ลายเหตุผลที่ ต้ องใช้ เ รื อขนาด Aframax ขนส่งน า้ มัน จากอ่าวอาหรับ มายังภูมิภาค
ตะวัน ออกไกล เช่ น การลดความเสี่ ย งจากระดับ ราคาน า้ มัน ที่ ผัน ผวน อัต ราค่า เช่ าเรื อโดย
เปรียบเทียบระหว่างเรือทังสอง
้ สมรรถนะของท่าเรื อในการรองรับขนาดของเรื อ และความจากัด
ของปริมาณการรองรับสินค้ าของท่าเรือแต่ละแห่ง
8
ผลได้ จากส่วนต่างในการแปรรูปนา้ มัน (Gross Refining Margins: GRM) ที่สงู กว่าจะบ่งชีถ้ ึ ง
ความเหมาะสมในการลงทุน แต่ GRM ก็อาจไม่สะท้ อนในราคาทางการตลาดซึ่งเป็ นเหตุใ ห้
โครงการลงทุนก่อสร้ างโรงกลัน่ นา้ มัน ถูกเก็บใส่ลิ ้นชัก ล่าช้ าหรื อแม้ กระทั่งล้ มเลิกไป เพื่อให้ มีค่า
GRM ที่มีความเป็ นไปได้ โรงกลัน่ น ้ามันในอนาคตซึ่งจะตังอยู ้ ่ในสะพานน ้ามันจาเป็ นต้ องมีผลผลิต
ปิ โตรเลียมผสมผสาน (product slate) โดยจะสามารถสร้ างรายได้ ได้ สงู สุดจากผลิตผลประเภทที่
เบาเช่น นา้ มันเครื่ องบิ น นา้ มัน (gasoline) ก๊ าซธรรมชาติ และนา้ มัน คุณภาพสูง โดยมีผลผลิต
หนักประเภทน ้ามันดีเซล (Fuel oil) ที่ไม่มาก โดยโรงกลัน่ ที่ต้องผลิตผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากก็
ต้ องใช้ เงินลงทุนมากขึ ้นด้ วย
ในการวิเคราะห์ขนต้
ั ้ นได้ วิเคราห์จากราคาตลาดปั จจุบันในการขนส่งนา้ มันดิบและบน
สมมุติฐ านว่าจะมีการใช้ เรื อขนาด Aframax ต่อไป จากการวิเคราะห์ศกั ยภาพทางการตลาดที่
เป็ นอยู่และโครงสร้ างการตลาดพบว่าแม้ จะมีอปุ สงค์ในอนาคตในระดับ ที่สูงในภูมิภาคเอเชี ย
ตะวัน ออกทัง้ ต่อนา้ มันดิ บและน า้ มันแปรรู ปจากอ่าวอาหรับ ยังมีความเป็ นไปได้ ว่าแม้ สะพาน
น ้ามันจะแสดงให้ เห็นถึงประโยชน์ที่ชดั เจนต่อโรงกลัน่ น ้ามันในภูมิภาค อย่างไรก็ดีจะยังมีการขนส่ง
น า้ มัน ส่วนใหญ่ ไปยังเอเชี ย ตะวัน ออกโดยใช้ เ รื อขนาด VLCC ดังนัน้ จึง ยังต้ องพิ จ ารณาถึ ง
สถานการณ์อื่นๆที่จ ะสามารถสร้ างการขนส่งโดยใช้ สะพานนา้ มันเพิ่มเติมและการลดต้ นทุนต่อ
หน่วยในการขนส่งผ่านทางท่อส่งน ้ามันด้ วย
9
จากชายฝั่ งด้ านตะวันออกโดยเรื อขนาด VLCC ขนาดการกิ นนา้ ลึกของเรื อขนาด ULCC มิได้
แตกต่างจากเรือขนาด VLCC เท่าใดนักจึงไม่กระทบต่อค่าใช้ จ่ายในการลงทุนด้ านสินทรัพย์ถาวร
(CAPEX) ในด้ านระบบท่อขนส่งน ้ามัน การขนส่งขาเข้ าโดยใช้ เรื อขนาด ULCC จะลดต้ นทุนการ
ขนส่งต่อบาเรล ส่วนการขนส่งขาออกโดยใช้ เรื อ VLCC จะมีความเหมาะสมทางเศรษฐกิจในการ
ขนส่งสูต่ ลาดเป้าหมายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งเป็ นตลาดที่ใหญ่ที่สดุ
ฉะนันหากยั
้ งมี Asian premium อยู่ก็จะเป็ นโอกาสในการขายนา้ มันจากสงขลาที่ลดค่า
premium นี ้ออกไปเพื่อสร้ างความสนใจจากตลาด การสร้ างจุดจาหน่ายนา้ มันจากอ่าวอาหรับขึ ้น
ในภาคใต้ ของไทยจะเป็ นการสร้ างสภาพแวดล้ อมที่เหมาะสมที่จะทาให้ สะพานน ้ามันที่สงขลาเป็ น
จุดกาหนดราคาน ้ามันดิบให้ กบั พื ้นที่เอเชียตะวันออก การจัดตังศู
้ นย์การจาหน่ายน ้ามันขนาดใหญ่
ขึ ้นที่สงขลาที่มีการบริ การให้ มีความคล่องตัวของอุป ทานนา้ มันมากขึ ้นโดยสามารถให้ บริ การได้
มากกว่า 1.5 ล้ านบาเรลต่อวัน ขึ ้นไปจะสามารถยกระดับให้ สงขลาเป็ นศูนย์ กลางการกระจาย
น ้ามันที่สาคัญ
10
ในการจัดตังโรงกลั
้ น่ นา้ มันดังกล่าวจาเป็ นต้ องมีศกั ยภาพในการกลัน่ นา้ มันดิบจากอ่าว
อาหรับซึ่งปั จจุบนั มีสารหนักที่ทาให้ มคี วามยากในการกลัน่ มากขึ ้นแต่ในขณะเดียวกันต้ องสามารถ
ผลิตน ้ามันที่มีความสะอาดยิ่งขึ ้นเพื่อให้ สามารถผ่านมาตรการด้ านการการปล่อยสารพิษที่เข้ มงวด
ยิ่งขึ ้นซึ่งรัฐบาลต่างๆในภูมิภาคเอเชียกาหนดขึ ้น เป็ นเหตุให้ ต้องเป็ นโรงกลัน่ ที่มีระบบการกลัน่ ที่
ซับซ้ อนมากยิ่งขึ ้นและยังต้ องสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความสามารถในการแข่งขันในตลาด แม้
วิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2551-2552 จะช่วยลดต้ นทุนการก่อสร้ างและวัตถุดิบลงบ้ างแล้ วก็ตามแต่
โรงกลัน่ ที่จะสร้ างขึ ้นใหม่จะต้องแข่งขันกับโรงกลัน่ ที่สร้ างขึ ้นในยุคทศวรรษ 1970-1980 ซึ่งมีต้นทุน
ที่ต่ากว่ามาก
11
การค้ าน ้ามันเป็ นส่วนสาคัญส่วนหนึ่งในการสร้ างอุปสงค์ให้ มากยิ่งขึ ้น ในการใช้ เรื อขนาด
VLCC/Aframax ร่วมกัน การใช้ ศกั ยภาพท่อน ้ามันอย่างเต็มที่จะไม่เกิดขึ ้นจนกว่าจะมีการจัดการ
ด้ านกระบวนการที่ดี การวิเคราะห์ความเป็ นไปได้ ทางการเงินและการกาหนดค่าธรรมเนียมการใช้
ท่อน ้ามันเป็ นประเด็นที่ส่งผลกระทบอย่างสูงต่อการกาหนดราคานา้ มันที่ปลายทาง และจะเป็ น
ปั จจัยที่สง่ เสริมให้ มีการใช้ ท่อขนส่งนา้ มันถึงระดับ 1.5 ล้ านบาร์ เรลต่อวันภายในระยะเวลาที่สนั ้
เมื่อเริ่มกระบวนการแล้ ว รวมทังเป็ ้ นผลกระทบที่สาคัญต่อความเป็ นไปได้ ของแนวคิดการดาเนิน
โครงการ
12
แนวคิ ดของสะพานนา้ มันสามารถทาให้ มีความเป็ นไปได้ อีก ประการหนึ่งจากการเพิ่ ม
ประมาณการใช้ ท่อโดยกิจกรรมใหม่ๆที่ยังไม่เคยมีการศึกษามาก่อน จากการศึกษาที่แล้ วมากับ
การศึกษาในระยะแรกของการศึกษาครัง้ นี ้มุ่งประเด็นไปที่การใช้ เรื อขนาด VLCC/Aframax อย่าง
ผสมผสาน ซึ่งมีความเป็ นไปได้ ทางการเงินที่ไม่ดีนัก แต่หากเพิ่มขนาดของเรื อเป็ น ULCC/VLCC
โดยคานวณความเสี่ยงในการพัฒนาโรงกลัน่ และการค้ านา้ มันแล้ ว จะส่งผลให้ มีการขนส่งที่มาก
ขึ ้นและสร้ างรายได้ เพิ่มขึ ้นและในระยะเวลาที่เร็วขึ ้นอีกด้ วย
อย่างไรก็ดีด้วยความอ่อนไหวของประเด็นด้ านการพัฒนาอุตสาหกรรมหนักในประเทศ
ไทย จึงควรพัฒนาในรูปของคลัสเตอร์ อตุ สาหกรรม โดยตังอยู
้ ่ใกล้ บริ เวณที่ตงท่
ั ้ าเรื อด้ านชายฝั่ ง
ตะวันออก ซึ่งเมื่อพิจารณาผลกระทบด้ านสิ่งแวดล้ อมและด้ านความพร้ อมของแรงงานแล้ วมีความ
เป็ นไปได้ สงู กว่าทางด้ านชายฝั่ งทะเลตะวันตก
2.3.1 อุตสาหกรรมถลุงอลูมิเนียม
13
พบว่าในปี 2550 ไทยนาเข้ าอลูมิเนียมชันสองประมาณ
้ 4 แสนตันต่อปี เมื่อพิจารณาจากปริ มาณ
ก๊ าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ใช้ ในการผลิตไฟฟ้าแล้ ว จะพบว่ามีศกั ยภาพขันต้
้ นในการถลุงอลูมิเนียม
ได้ ประมาณ 250,000-300,000 ตันต่อไป ซึ่งเพียงพอต่อการบริโภคภายในประเทศ
สัดส่วนหลักของต้ นทุนในการตังโรงงานถลุ
้ งอลูมิเนียมได้ แก่ต้นทุนด้ านพลังงาน คิดเป็ น
มูลค่าประมาณหนึ่งในสามของต้ นทุนทังหมด ้ ประเด็นที่ต้องขบคิดจึงได้ แก่แหล่งที่มาของพลังงาน
ว่าจะเป็ นพลังงานที่ผลิตจากภายในประเทศ เช่น จากโรงไฟฟ้าต่างๆ หรื อเป็ นการน าเข้ าจาก
ภูมิภาคอื่นรวมทังประเภทของพลั
้ งงานที่ต้องใช้ โดยสาหรับโรงถลุงอลูมิเนียมจะต้ องการพลังงาน
จานวนมหาศาลที่มีเสถียรภาพสูงในการนาส่งสูโ่ รงงาน ซึ่งจาเป็ นต้ องมีเทคโนโลยีระดับสูงในการ
ผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีลกั ษณะดังกล่าว เมื่อพิจารณาด้ านลักษณะที่ตงของประเทศกั
ั้ บความรู้สึก
ต่อต้ านการตังโรงไฟฟ
้ ้ าถ่านหิน และความขาดแคลนโรงไฟฟ้าพลังนา้ ในภาคใต้ ของประเทศแล้ ว
จะเห็น ได้ ว่า โรงไฟฟ้าพลังก๊ า ซธรรมชาติเ ป็ นแหล่งที่ มี ความเป็ นไปได้ มากที่ สุด เมื่อพิ จ ารณา
ทางเลือกในระยะสัน้
เนื่องจากการตังโรงถลุ
้ งอลูมิเนียมจะต้ องใช้ พลังงานไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าพลัง ก๊ าซขนาด
400 เมกกะวัต ต์ แหล่งพลังงานที่ เ ป็ นไปได้ ไ ด้ แก่ แหล่ง พัฒนาร่ วมไทย-มาเลเซี ย (Thailand-
Malaysia Joint Development Area: JDA) โดยประมาณว่าโรงไฟฟ้าขนาด 400 เมกกะวัตต์ต้อง
ใช้ วตั ถุดิบเป็ นก๊ าซราว 85 ล้ านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งต้ องเจรจาต่อรองกับบริ ษัทปตท.ซึ่งร่ว มกับ
มาเลเซียขุดเจาะก๊ าซในแหล่งพัฒนาร่วมในเรื่องปริมาณก๊ าซที่ต้องการและเรื่องราคาต่อไป
14
ประมาณว่าหากไทยจะผลิตอลูมิเนียมชัน้ หนึ่งจะมีต้นทุนด้ านพลังงานถึงร้ อยละ 63 ของ
ค่าใช้ จ่ายทัง้ หมดจากอัต ราค่าไฟฟ้าในปั จ จุบัน โดยยังไม่รวมค่าใช้ จ่ายในการลงทุน และภาษี
ดังนันหากจะท
้ าให้ สามารถตังโรงถลุ
้ งอลูมิเนียมชันหนึ
้ ่งจะต้ องลดค่าใช้ จ่ายด้ านพลังงานให้ เหลือ
เพียงร้ อยละ 50 เพื่อให้ เป็ นระดับเดียวกับต้ นทุนโดยเฉลี่ยของโลกในการจัดตังโรงถลุ
้ งดังกล่าว
2.3.2 เหล็กและเหล็กกล้ า
15
บริเวณชายฝั งทะเลภาคตะวันออกจึงสนใจที่จะให้ มีโรงถลุงเหล็กในบริ เวณที่ใกล้ ตนเองมากที่สดุ
หรื อได้ แก่ สถานที่ ท างเลือกในการตัง้ โรงถลุงเหล็ก ในภาคใต้ ที่ อ ยู่ตอนบนสุด อย่ างไรก็ ดีเ มื่ อ
พิจารณาต้ นทุนในการขนส่งเหล็กจากสงขลาโดยเปรียบเทียบกับแนวทางเลือกดังกล่าวทัง้ สี่แห่งก็
มิได้ มีความแตกต่างเป็ นอันมากแต่อย่างใด
ในการพิจารณาด้ านที่ตงของอุ
ั้ ตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้ าจะต้ องพิจารณาด้ านการ
จัดหาแรงงานด้ วย โดยพื ้นฐานแล้ วจะต้ องจ้ างแรงงานจานวน 1,000 คนต่อการผลิตเหล็กกล้ า 1
ล้ านตัน ต่อปี โดยหากจัดตัง้ เป็ นคลัสเตอร์ อุตสาหกรรมเหล็กจะสร้ างงานถึ ง 15,000 ตาแหน่ง
เพื่อให้ สามารถบรรลุเป้าหมายในการผลิตให้ ได้ 15 ล้ านตันต่อปี อย่างไรก็ดีอตุ สาหกรรมเหล็กและ
เหล็กกล้ ายังเกิดขึ ้นได้ จากผลของตัวทวี (multiplier effect) โดยจากแรงงาน 1 คน จะสามารถสร้ าง
งานเพิ่มขึ ้นได้ อีก 3.5 คน ฉะนันการเพิ
้ ่มกาลังการผลิตเหล็กกล้ าดังกล่าวจะทาให้ เกิดงานต่างๆที่
เกี่ยวข้ องได้ อีก 52,500 ตาแหน่งงาน ที่ตงอยู
ั ้ ่ใกล้ คลัสเตอร์ ซึ่งยังมีแรงงานไม่เพียงพอในเขตเมือง
ขยายของเมืองหาดใหญ่ -สงขลา จึงมีความจ าเป็ นต้ องพัฒนาแรงงานร่วมกับ การเคลื่อนย้ าย
แรงงานจากถิ่นอื่นเข้ ามา โดยแหล่งที่เป็ นไปได้ คือจากภาคเหนือและภาคตะวันออกโดยต้ องวาง
ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมในการเคลื่อนย้ ายแรงงานด้ วย
16
2.3.3 ปิ โตรเคมี
ในขันเริ
้ ่มแรกรัฐบาลมุ่งความสนใจในภาคปิ โตรเคมีต้นนา้ โดยร่วมมือกับผู้ประกอบการ
ภาคเอกชน ส่วนในด้ านปิ โตรเคมีปลายนา้ ได้ ป ล่อยให้ ภ าคเอกชนดาเนิ นการไปตามลาพัง ใน
แผนพัฒนาอุตสาหกรรมปิ โตรเคมีระยะที่สอง (ปี 2532-2548) เป็ นช่วงที่ มีการเปิ ดเสรี ซึ่งสร้ าง
ความสนใจยิ่งขึ ้นในภาคเอกชน โดยมีการพัฒนาด้ านโอเลฟิ นส์และอะโรมาติกเพื่อลดการนาเข้ า
อีกด้ วย ส่วนในช่วงแผนพัฒนาปิ โตรเคมีระยะปั จจุบนั (ปี 2547-2561) ได้ มงุ่ ไปที่การเสริ มสร้ างขีด
ความสามารถในการแข่งขัน การบูรณาการด้ านสินทรัพย์ การสร้ างพันธมิตรทางกลยุทธ์เพื่อรองรับ
การพัฒนาและสร้ างมูลค่าเพิ่ม
17
โรงไฟฟ้าเป็ นสาคัญและมิได้ ใช้ ในการผลิตด้ านปิ โตรเคมี โดยโรงแยกก๊ าซมีผลผลิตสาคัญได้ แก่
ก๊ าซปิ โตรเลียมเหลวและก๊ าซธรรมชาติเหลวเพื่อใช้ เป็ นเชื ้อเพลิง แต่มิได้ ผลิตโอเลฟิ นส์ อะโรมาติก
และแนฟทา ซึ่ ง ใช้ ในอุต สาหกรรมปิ โตรเคมี ซึ่ ง ยัง คงมี ค วามเป็ นไปได้ ในกระตุ้นให้ เกิ ด
อุตสาหกรรมปิ โตรเคมีได้ หลายประเภทโดยใช้ วตั ถุดิบก๊ าซธรรมชาติในอ่าวไทย อุตสาหกรรมซึ่งได้
เกิดขึ ้นแล้ วในพื ้นที่บริเวณชายฝั่ งทะเลภาคตะวันออกจะเกิดการขยายตัวขึ ้นได้ โดยธรรมชาติพร้ อม
กับการใช้ ประโยชน์จากน ้ามันที่นาเข้ ามาตามสะพานน ้ามัน โดยจะเกิดการพัฒนาทังในทางต้ ้ นนา้
และปลายนา้ เช่น การกลัน่ นา้ มัน เคมีภณ ั ฑ์ การอบพ่นสี เครื่ องสาอาง เครื่ องมือแพทย์ ปุ๋ยเคมี
เชื ้อเพลิงชีวภาพ เอทานอล และอุตสาหกรรมเคมีปลายน ้าอื่นๆ
ปั จ จุบัน การนิ ค มอุต สาหกรรมแห่ ง ประเทศไทย (กนอ.) ได้ ศึก ษาถึ ง แหล่งที่ มี ความ
เหมาะสมเป็ นที่ตงอุ ั ้ ตสาหกรรมปิ โตรเคมีซึ่งจะอยู่ภายในนิคมอุตสาหกรรม โดยได้ พิจารณาจุดที่ตงั ้
ในสี่จงั หวัด ซึ่งรวมทังจั้ งหวัดสุราษฎร์ธานีและจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งจากการหารือกับ กนอ.ได้
เสนอแนะให้ ใช้ พื ้นที่จงั หวัดนครศรีธรรมราช โดยในระยะที่ทาการศึกษาครัง้ นี ้ (ของ Dubai World)
ที่ตงของอุ
ั้ ตสาหกรรมที่มีความสัมพันธ์กบั แนวสะพานเศรษฐกิจยังมิได้ รับการพิจารณา
2.3.4 ข้ อสรุป
18
แล้ ว แม้ วา่ ในปั จจุบนั อุปสงค์ภายในประเทศด้ านอุตสาหกรรมหนักมีอยู่จากัด แต่ไทยยังสามารถ
สนองตอบต่ออุปสงค์ภายนอกทางทิศเหนือของประเทศโดยใช้ การขนส่งระบบราง หรื อมุ่งสู่การ
ส่งออกไปยังเอเชีย ตะวันออกโดยใช้ ท่าเรื อของระบบสะพานเศรษฐกิจ โดยเฉพฟาะท่าเรื อด้ าน
ชายฝั่ ง ตะวัน ออก โดยมีอุป ทานทัง้ จากภายในประเทศและจากนานาชาติรองรับ การพัฒนา
ดังกล่าว ยิ่งไปกว่านันความส
้ าเร็จในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรมขนาดเบาจะค่อยๆสร้ างอุปสงค์ที่
เคยขาดหายไปจากระดับท้ องถิ่นในพื ้นที่ตอ่ เนื่องกับโครงการด้ วย
2.4 อุตสาหกรรมจากภาคอุตสาหกรรมเบาและภาคบริการ
ไทยตังอยู
้ ่ในทาเลที่ตงทีั ้ ่สามารถแข่งขันได้ สาหรับการผลิตสินค้ าและประกอบธุรกิจ จาก
การวิเคราะห์ต้นทุนและปั จจัยอื่นๆพบว่าไทยมีศกั ยภาพในการแข่งขันสูงกว่าจีนและเวียดนาม โดย
ไทยมักถูกพิจารณาในด้ านความต่ากว่าในด้ านต้ นทุนปฏิบัติการบางอย่าง ต้ นทุนค่าแรงงานที่ต่า
เป็ นปั จจัยดึงดูดหลักต่อนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมประเภทที่ใช้ แรงงานสูง จีน
และเวียดนามมีต้นทุนค่าแรงงานสาหรับแรงงานไร้ ทกั ษะฝี มือที่ต่ามากในเอเชีย ทว่าโรงงานของจีน
ก็ยงั ย้ ายมาตังที
้ ่ไทย แม้ เงินเดือนค่าจ้ างในระดับบริหารจัดการในไทย เวียดนามและอินเดีย จะอยู่
ในระดับเดียวกัน
19
เช่น ภาคเหนือ ตะวันออกหรื อแม้ แต่ภาคใต้ ส่วนอื่นที่ มีค่าแรงต่าและมีก ารเข้ าถึงโดยโครงสร้ าง
พื ้นฐานที่ดี
20
บริเวณชายฝั่ งทะเลภาคตะวันออก พื ้นที่โดยรอบกรุงเทพมหานคร และบริ เวณแหลมฉบัง -ระยอง
นันมี
้ การดึงดูดแรงงานมาสูพ่ ื ้นที่ดงั กล่าวจานวนมากจากส่วนต่างๆของประเทศ ซึ่งสภาพการขาด
แคลนแรงงานในพื ้นที่สะพานเศรษฐกิจไม่ควรเป็ นอุปสรรคต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดเบาซึ่ง
ต้ องการแรงงานจานวนมาก โดยควรมีหลักประกันว่าแรงงานในบริเวณนีจ้ ะได้ รับค่าแจ้ งแรงงานที่
ไม่แตกต่างกับพื ้นที่อื่น ซึ่งไม่รวมถึงอุตสาหกรรมประเภทที่ใช้ แรงงานเป็ นหลักในกระบวยการผลิต
โดยควรดาเนินการให้ สอดคล้ องกับนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริ มให้ มีการจ่ายค่าจ้ างแรงงานสูงขึ ้นใน
กิจการอุตสาหกรรมที่สร้ างมูลค่าเพิ่มสูง
การเป็ นจุด แวะพัก สิน ค้ าในพื น้ ที่ ยังเป็ นโอกาสในการแปรรู ป และรวบรวมสิน ค้ า เช่ น
ชิ น้ ส่ว นของสิ น ค้ าที่ ม าจากจี น เวี ย ดนาม หรื ออิ น เดีย อาจถูก ส่ง ไปสู่ศูน ย์ แ ปรรู ป ในสะพาน
เศรษฐกิจเพื่อเป็ นสินค้ าสาเร็จรูปที่พร้ อมส่งออกไปยังลูกค้ าโดยตรง ซึ่งจะลดค่าใช้ จ่ายในการไป
ผลิตที่แหล่งอื่นและสร้ างชื่อเสียงให้ แก่ประเทศในการเป็ นศูนย์การแปรรูปสินค้ าที่น่าเชื่อถือ โดย
จะต้ องมีการพัฒนาศูนย์โลจิกติกส์ให้ มีศกั ยภาพทัดเทียมกับสิงคโปร์ ฮ่องกงและศรี ลงั กา โดยผู้ค่า
ปลีกจะสามารถติ ดต่อผู้ค้าส่งในเอเชี ยใต้ และเอเชี ย ตะวันออกให้ ติดต่อสัง่ ซือ้ สิน ค้ าที่ผลิตจาก
สะพานเศรษฐกิจได้ โดยจะมีการนาเข้ ามาในปริมาณสูงเพื่อนามาสร้ างมูลค่าเพิ่มโดยกระบวนการ
ทาความสะอาด คัดแยก อัดบรรจุ ประกันคุณภาพ ติดตราผลิตภัณฑ์ บรรจุหีบห่อ และนาส่งใน
ลักษณะเป็ นสินค้ าขายปลีก ทางคอนเทนเนอร์ ไปยังประเทศเป้าหมายหรื อไปยังคลังสินค้ าเพื่ อ
กระจายสินค้ าในลักษณะสินค้ าขายปลีกต่อไป
21
สาคัญเมื่อเปรียบเทียบการเข้ าถึงระบบการขนส่งทางทะเล แต่ก็ยงั มีประเด็นที่ดงึ ดูดอื่นๆ เช่น การ
ผสมผสานระหว่างอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมขนาดเบาจะช่วยดึงดูดการเข้ ามาให้ บริ การ
ของระบบการขนส่งทางทะเลที่ดี
2.5 เขตเศรษฐกิจพิเศษ/เขตเสรี
ปั จจุบนั มีการตังเขตเศรษฐกิ
้ จพิเศษหรือเขตเสรีทงในประเทศไทยเองและในประเทศคู
ั้ ่แข่ง
ที่อยู่ใ กล้ กับ ไทยโดยเรี ย กชื่อในลัก ษณะต่างๆอยู่เ ป็ นจ านวนมาก โดยลักษณะทั่วไปที่ มีความ
คล้ ายคลึงกันได้ แก่การยกเว้ นอากรนาเข้ าและภาษี ในประเภทต่างๆในกรณีที่สินค้ านัน้ ยังคงอยู่ใน
เขต รวมทังการลดหย่
้ อนภาษี นิติบคุ คลและการยกเว้ นข้ อจากัดด้ านเงินลงทุน ซึ่งกรณีของสะพาน
เศรษฐกิ จ ย่ อมต้ องมีมาตรการที่ ดึงดูดเป็ นพิ เ ศษเช่น กัน เช่น การพัฒนาโครงสร้ างพื น้ ฐานใน
สะพานเศรษฐกิจหรือในเขตที่จะกระตุ้นการสัญจรมากขึ ้นสูส่ ะพานเศรษฐกิจ
การดาเนินการในขันสู
้ งสุดในพื ้นที่สะพานเศรษฐกิจได้ แก่การพัฒนาเป็ นเขตพัฒนาพิเศษ
เต็มรู ป แบบพร้ อมระบบบริ ห ารจัด การที่ เ หมาะสม โดยยังไม่ถึ งขัน้ เป็ นเขตการลงทุน หรื อเขต
อุตสาหกรรมที่มีอานาจในตัวเองอย่างเต็มที่ โดยต้ องสอดคล้ องกับ ศักยภาพของแนวพืน้ ที่ แต่มี
ลักษณะที่ดงึ ดูดความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศและมีความสามารถในการแข่งขัน
โดยสาหรับในบริเวณท่าเรือทังสองฝั
้ ่ งทะเลจะต้ องพัฒนาเป็ นท่าเสรี (Free port) หรื อเขต
การค้ าเสรี (Free Trade Zone) โดยที่การเคลื่อนย้ ายของสินค้ าเข้ า -ออกดาเนินการได้ โดยปลอด
22
ภาษี หากสินค้ านันยั
้ งคงอยู่ในเขต เช่นเดียวกันสินค้ าขนถ่ายที่อยู่ในเขตท่าเรื อในเขตควบคุมทาง
ศุลกากร (Customs Control Zone) โดยการขนถ่ ายสิน ค้ าข้ ามสะพานเศรษฐกิ จระหว่างเขต
ควบคุมทางศุลกากรสองฝั่ งสามารถดาเนินการโดยปลอดอากรและภาษี เช่นกัน ส่วนผู้นาสินค้ าเข้ า
ประเทศก็ยงั คงต้ องดาเนินการตามพิธีการศุลกากรเช่นเดียวกับการส่งออก ในกรณีนี ้น่าจะเป็ นการ
ไม่ยากลาบากในด้ านการบริหารจัดการ แต่สิ่งที่ยากไปกว่าได้ แก่การปรับ เปลี่ยนด้ านตัวระบบของ
ศุลกากรให้ สามารถแข่งขันได้ กบั ระบบ TradeNet ของสิงคโปร์ ซึ่งเป็ นผู้นาด้ านการตลาด ปั จจุบัน
ระบบการศุลกากรของไทยใช้ ระบบ ASYCUDA ซึ่งสามารถพัฒนาเป็ นระบบไร้ เอกสารเพื่อให้ ศนู ย์
การศุลกากรในท่าเรือเหล่านี ้มีความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ดีระบบงานศุลกากรของไทย
ยังต้ องพัฒนาต่อไปอีกมากจากที่เดิมมีงานขนถ่ายสินค้ าปริ มาณเพียงเล็กน้ อยและส่วนใหญ่เป็ น
การขนถ่ายทางถนนกับผ่านทางประเทศเพื่อนบ้ าน กับยังต้ องขึ ้นอยู่กบั ปั จจัยแวดล้ อมอื่นๆอีกมาก
กล่าวโดยสรุ ป ได้ ว่าการขนถ่ ายสิน ค้ าโดยระบบไร้ เอกสารเป็ นสิ่ง ที่ ต้องมีใ ห้ บริ ก ารในสะพาน
เศรษฐกิจ
การพั ฒ นาอุต สาหกรรมในพื น้ ที่ ช ายฝั่ ง ด้ านตะวัน ออกใกล้ กับ ท่ า เรื อ ต้ อ งเป็ นเขต
อุตสาหกรรมทั่วไปเขต 3 (Zone 3 General Industrial Zone: GIZ) หรื อเป็ นการผลิตเพื่อส่งออก
(Export Processing Zone: EPZ) เพื่อให้ ดึงดูดต่อนักลงทุน โดยมีกิจกรรมหลักได้ แก่การนาเข้ า
วัตถุดิบและการส่งออกผลิตภัณฑ์แปรรูปผ่านทางท่าเรือด้ านฝั่ งทะเลตะวันออก เนื่องจากมีอปุ สงค์
ภายในต่อสินค้ าที่จากัด ทังนี
้ ้โดยไม่จาเป็ นต้ องดาเนินการในพืน้ ที่นิคมของการนิคมอุตสาหกรรม
แห่ ง ประเทศไทย โดยที่ ดิ น ที่ ถื อ กรรมสิ ท ธิ์ อ ยู่โ ดยทั่ว ไปนอกเขตจะสามารถดึง ดูด นัก ลงทุน
ต่างประเทศได้ มากกว่า โดยที่อาจต้ องมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบเพื่อให้ นักลงทุนยังคงได้ สิทธิ
ประโยชน์ใ นการส่งเสริ มการลงทุน กล่าวได้ ว่านอกจากโรงกลัน่ นา้ มันที่ ต้องอยู่ในพืน้ ที่ สะพาน
นา้ มัน แล้ ว อุต สาหกรรมหนัก ชนิด อื่น ๆควรสามารถตัง้ อยู่ใ นสถานที่ แห่งใดก็ ได้ ในภาคใต้ ที่ ซึ่ง
สามารถสร้ างท่าเรือได้ โดยมิต้องขึ ้นอยู่กบั จุดที่ตงของท่
ั้ าเรื อทางฝั่ งทะเลด้ านตะวันออก ฉะนัน้ จึง
ต้ องมีมาตรการส่งเสริมให้ นกั ลงทุนเข้ ามาเลือกพืน้ ที่ในการพัฒนาหากจะมีการพัฒนาท่าเรื อของ
สะพานเศรษฐกิจ
23
ทังนี
้ ้ความจาเป็ นในการจัดเป็ นสวนโลจิสติกส์ยงั ไม่สาคัญเท่าใดนัก ประเด็นที่สาคัญได้ แก่
การสงวนที่ดินไว้ สาหรับการพัฒนาเป็ นศูนย์ยทุ ธศาสตร์ทางการขนส่งโดยมีสว่ นหนึ่งที่รักษาไว้ เพื่อ
จัดตังเป็
้ นศูน ย์ตรวจปล่อยทางบก (Inland Clearance Depot) โดยมีกระบวนการตรวจปล่อย
สินค้ าเข้ า-ออกที่ ปราศจากค่าธรรมเนี ยม เช่น การขนส่งสินค้ าไปยังท่าเรื อหรื อขนส่งสินค้ าจาก
ท่าเรื อของประเทศเพื่ อนบ้ าน เช่น มาเลเซี ย อาจดาเนิ น การโดยใช้ มาตรฐานสิน ค้ าทัณ ฑ์ บ น
เดียวกัน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลด้ านท่าเรือที่สาคัญๆในบริเวณอ่าวไทยและอ่าวเบงกอลเพื่อศึกษา
สภาพการแข่งขันของท่าเรื อต่างๆกับท่าเรื อของสะพานเศรษฐกิจ สามารถแบ่งท่าเรื อออกได้ เป็ น
สองประเภทได้ แก่ ท่าเรื อเพื่ อการส่งออก และท่าเรื อศูน ย์ กลาง โดยท่าเรื อเพื่อการส่งออกมีไว้
รองรับพื ้นที่การผลิตที่อยู่ติดต่อกันหรือพื ้นที่ตอ่ เนื่องตามแนวพื ้นที่ภาคพื ้นดิน ส่วนท่าเรือศูนย์กลาง
เป็ นทัง้ ท่าเรื อเพื่อการส่งออกสาหรับพืน้ ที่ติดต่อกันและที่สาคัญกว่านัน้ ยังเป็ นท่าเรื อเพื่อการขน
ถ่ายรองรับท่าเรือเพื่อการส่งออกอื่นๆ โดยหลักแล้ วท่าเรือเพื่อการส่งออกจะเป็ นลูกค้ าของสะพาน
เศรษฐกิจ ในการขนส่งสิน ค้ าคอนเทนเนอร์ ระหว่างภูมิภาค โดยมีท่าเรื อศูน ย์ กลางเป็ นคู่แข่งที่
สาคัญ
แผนการพัฒนาท่าเรือน ้าลึกทังสองแห่
้ งต้ องใช้ เงินลงทุนมหาศาลและจะประสบปั ญหาร่อง
น า้ ที่ ตื น้ เขิ น โดยรอบซึ่ง ท าให้ มี ค่าใช้ จ่า ยในการขุด ลอกร่ องน า้ จ านวนมาก โครงการพัฒ นา
Diamond Harbor โดย DP World ที่เ มืองกัลพีจึงเกิดความไม่แน่นอนและอาจเปลี่ย นสถานที่
ก่อสร้ างไปยังเมืองกัลกัตตา
24
ส่วนพม่าประสบปั ญหาจากแม่น ้าอิระวดีซึ่งไหลผ่านพม่าทังประเทศ
้ โดยมีปริมาณตะกอน
มหาศาลไหลลงสู่ไหล่ทวีปด้ านอ่าวมะตะบันและทะเลอันดามันตอนเหนือ ท่าเรื อย่างกุ้งที่ ตงอยู
ั้ ่
บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น ้ามีร่องน ้าลึกเพียง 7-9 เมตรและสามารถรองรับได้ เพียงขนาด
Feeder ส่วนการพัฒนาท่าเรือถิละวาโดยบริษัทฮัทชิสนั ทางตอนล่างก็มีขนาดร่องนา้ ลึกเพียง 9.5
เมตร แผนพัฒนาความเชื่อมโยงสูจ่ ีนทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ ผา่ นทางพม่าก็ประสบปั ญหาสภาพ
ถนนและทางรถไฟที่ไร้ ประสิทธิภาพและยากที่จะพัฒนาให้ ดีได้ หากแต่จีนจะเป็ นผู้ลงทุนเสียเอง
ส่วนการพัฒนาท่าเรื อที่ Kyaukphyu และทวายที่ชายฝั่ งทะเลอันดามันเป็ นการพัฒนาที่ไกลเกิน
เอื ้อมและมีโอกาสการพัฒนาต่อเนื่องที่เป็ นไปได้ ยาก
ในขณะที่สถานการณ์ของท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบังก็เป็ นไปในลักษณะเดียวกัน
โดยเป็ นเพียงท่าเรือส่งออกที่มีท่าเรือที่เป็ นพื ้นที่รองรับขยายไปในกลุม่ ประเทศเพื่อนบ้ าน ทังในลาว
้
กัมพูชาและพม่า ท่าเรือกรุงเทพซึ่งเป็ นท่าเรือในแม่น ้ามีขนาดร่องน ้าลึกเพียง 8.5 เมตรและรองรับ
ได้ เพี ยงเรื อ Feeder และยังมีข้อจากัดจากการที่มีสถานที่ตงั ้ อยู่ใ จกลางกรุงเทพมหานครและ
รัฐบาลได้ กาหนดข้ อจากัดด้ านสมรรถนะการใช้ ท่าเรือไว้
25
ท่าเรื อ ขนถ่ า ยเนื่ องจากลัก ษณะที่ ตงั ้ ทางภูมิศ าสตร์ ที่ ตงั ้ อยู่ก้ น อ่าวไทยเป็ นผลให้ ไม่ส ามารถ
ให้ บริการในฐานะท่าเรือที่เป็ นศูนย์กลางได้
หากแนวคิดในการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจเพื่อรองรับสินค้ าคอนเทนเนอร์มีการพัฒนาขึ ้น
จริง คาดว่าเรือ Feeder จากอ่าวเบงกอลทังจากท่ ้ าเรือจิตตะกอง กัลกัตตา/ฮาลเดีย วิสาขาปั ทนัม
และย่างกุ้งจะมุง่ มาสู่ท่าเรื อทางฝั่ งทะเลด้ านตะวันตก ส่วนปริ มาณการจราจรมาสู่ท่าเรื อด้ านฝั่ ง
ทะเลด้ านตะวัน ออกยังไม่ชัด เจนเนื่ องจากสภาพที่ อยู่โดดเดี่ย วของท่าเรื อ ฉะนัน้ การเดิน เรื อ
เชื่อมโยงระหว่างท่าเรื อแหลมฉบังกับท่าเรื อด้ านฝั่ งทะเลตะวันออกจะมีความสาคัญมากในการ
เชื่อมโยงสูบ่ ริการโดยท่าเรือ Feeder ฝั่ งตะวันตก
ท่าเรือศูนย์กลางที่มีอยู่จะเป็ นภัยคุกคามต่อแนวคิดในการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจในด้ าน
การให้ บริการขนส่งในภูมิภาค เนื่องจากการพัฒนาท่าเรือของสะพานเศรษฐกิจได้ วางแผนไว้ ให้ เป็ น
ท่าเรื อศูน ย์ ก ลางเพื่ อรองรับ การขนส่งในภูมิภาคซึ่ งมีก ารให้ บ ริ ก ารขนถ่ ายอยู่แล้ วโดยท่าเรื อ
ศูนย์กลางที่มีอยู่ก่อน โดยท่าเรื อหลักเหล่านีซ้ ึ่งมีบทบาทในด้ านการเป็ นท่าขนถ่ายสินค้ าจะต้ อง
พยายามรักษาปริมาณการใช้ ท่าเรือของตนในสภาพการแข่งขันที่ มีสงู ขึ ้น
การแข่ง ขัน ในการเป็ นท่ าเรื อ ศูน ย์ ก ลางจะเกิ ด ขึน้ ในสองกรณี ได้ แ ก่ การแข่ง ขัน กับ
มาเลเซีย/สิงคโปร์ในด้ านตะวันออก และกับอินเดีย/ศรี ลงั กาในด้ านตะวันตก ปั จจัยสาคัญที่ต้อง
พิจารณาได้ แก่ความใกล้ ชิดทางภูมิศาสตร์ ต่อเส้ นทางเดินเรื อของสายการเดินเรื อหลักหรื อความ
เป็ นจุดยุทธศาสตร์ นั่นเอง โดยทางด้ านเบงกอลมีข้อจากัดด้ านความตื ้นของร่องนา้ และปริ มาณ
26
สินค้ าที่สามารถรวบรวมได้ จากพื ้นที่หลังท่าที่จากัด โดยสามารถพิจารณาคูแ่ ข่งของการเป็ นท่าเรื อ
ศูนย์กลางทังสองแห่
้ งของสะพานเศรษฐกิจได้ ดงั นี ้
ทัง้ นี ป้ ั จ จัย คุก คามหลัก น่าจะมาจากทางด้ านตะวัน ออกเนื่ อ งจากสภาพภูมิ ศาสตร์ ที่
ได้ เปรียบในการเป็ นจุดศูนย์รวมของการขนส่งทางทะเล ทัง้ จากเรื อของสายการเดินเรื อหลักจาก
ยุโรปและตะวันออกกลางที่จะเดินทางมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และจากตะวันออกไกลผ่าน
มายังช่องแคบมะละกา รวมทังจากแอฟริ ้ กามายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกไกล และ
จากชายฝั่ งตะวันตกของสหรัฐอเมริ กากับตะวันออกกลางและคาบสมุทรอินเดีย รวมทัง้ สินค้ าขน
ถ่ายบริ เวณช่องแคบมะละกาเองอีก ด้ วย โดยประมาณว่าท่าเรื อคอนเทนเนอร์ ในภูมิภาคเอเชี ย
ตะวันออกเฉียงใต้ สามารถรองรับบริการขนถ่ายสินค้ าได้ ราวร้ อยละ 25 ของสินค้ าขนถ่ายทัง้ หมด
โดยที่ปอร์ ทกลาง ท่าเรื อตันหยงเปลาปั สและสิงคโปร์ ได้ ขยายสมรรถนะเพื่อรองรับตลาดที่สร้ าง
รายได้ อย่างงดงามนี ้แล้ ว โดยท่าเรือเหล่านี ้ต่างได้ แข่งขันกันเอง เช่น ระหว่างตันหยงเปลาปั สและ
สิงคโปร์ โดยสิงคโปร์ยงั สามารถรักษาความเป็ นผู้นาไว้ ได้
27
สามารถให้ บ ริ ก ารได้ ถึ ง 5.5 ล้ านหน่วย ส่วนปอร์ ท กลางให้ บ ริ ก ารขนถ่ ายสิน ค้ าน้ อยที่สุดโดย
ปริมาณร้ อยละ 45 เป็ นสินค้ า O/D
ทังท่
้ าเรือตันหยงเปลาปั สและปอร์ทกลางต่างมีแผนพัฒนาที่มงุ่ หวังจะดึงดูดสินค้ าขนถ่าย
จากสิงคโปร์ แต่ปัจจัยของความสาเร็จอยู่ที่ความคงตัวของอัตราความเติบโตและศักยภาพในการ
ขยายตัวที่ทนั ต่ออุปสงค์ แต่โดยที่มีสภาพของตลาดที่หดตัวลงในปั จจุบนั ท่าเรือทัง้ สามจึงน่าจะยัง
มีบทบาทหลักต่อไปในอนาคต
สภาพการณ์ของท่าเรือต่างๆในซีกตะวันตกในประเทศอื่นก็มีสภาพเช่นเดียวกับท่าเรื อฝั่ ง
ตะวันตกของสะพานเศรษฐกิจของไทย โดยจะยิ่งมีความสามารถในการแข่งขันน้ อยกว่าท่าเรื อของ
ไทยเสียอีก โดยยังไม่สามารถจุดดุลยภาพในปั จจุบนั เมื่อพิจารณาด้ านโครงสร้ างพื ้นฐานของท่าเรือ
และความสามารถในการให้ บริ ก าร มีเ พี ย งท่า เรื อโคลัมโบเพี ย งเดีย วที่ มี ที่ ตงั ้ ที่ ดี โดยเป็ นจุด
เชื่อมโยงการขนส่งโดยเรือ Feeder เข้ าสูอ่ า่ วเบงกอลจากซีกตะวันตก กล่าวคือ ยุโรป และชายฝั่ ง
ตะวันออกของสหรัฐอเมริกา รวมทังการขนส่ ้ งย้ อนกลับไป ความสาเร็จของท่าเรื อโคลัมโบรวมทัง้
เชนไนซึ่งเป็ นท่าเรือคูแ่ ข่งหลักเป็ นผลจากปริมาณการขนส่งสินค้ าที่เพิ่มขึ ้นสู่อ่าวเบงกอลกับการที่
ท่าเรื อทังสองมี
้ พื ้นที่รองรับที่เหมาะสม
28
โดยสรุปแล้ ว จึงเป็ นที่ประจักษ์ วา่ ท่าเรือศูนย์กลางทางซี กตะวันตกมีบทบาทสาคัญกว่าใน
การขนส่งสินค้ าเข้ า-ออกอ่าวเบงกอลจากตะวันออกกลาง ยุโรปและฝั่ งตะวันออกของสหรัฐอเมริกา
ส่วนท่าเรือศูนย์กลางทางซีกตะวันออกจะรองรับการขนส่งสินค้ าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ตะวันออกไกล (เอเชียเหนื อและตะวันออก) และชายฝั่ งตะวันตกของสหรัฐอเมริ ก า แนวคิดการ
พัฒนาสะพานเศรษฐกิจจึงต้ องประสบกับการแข่งขันอย่างหนักเพื่อให้ บรรลุถึงจุดดุลยภาพในการ
เป็ นศูนย์กลางที่สามารถเป็ นทางเลือกได้ โดยในการพัฒนาให้ เกิดท่าเรื อศูนย์กลางในทัง้ สองฝั่ ง
ทะเลของสะพานเศรษฐกิจจะต้ องมีปริมาณการสินค้ าที่พอเพียงที่มาใช้ บริ การขนส่งและจะต้ องมี
บริการขนส่งที่พอเพียงด้ วย
ทังนี
้ ้สินค้ าคอนเทนเนอร์ที่ขนส่งในเส้ นทางดังกล่าวจัดอยู่ในตลาดขนาดกลาง (มีปริ มาณ
การขนส่งเที่ยวไป-กลับประมาณปี ละ2.5 ล้ าน TEU) โดยใช้ เรือคอนเทนเนอร์ขนส่งขนาดโดยเฉลี่ย
ประมาณ 3,500 TEU โดยผู้ให้ บริการขนส่งคอนเทนเนอร์ ระหว่างตลาดตะวันออกไกล-ตะวันออก
กลาง ยังให้ บริการระหว่างตลาดตะวันออกไกล-เอเชียใต้ ด้วย โดยมีลกั ษณะที่แยกการให้ บริ การ
และตารางการเดินเรือ
29
การขนส่ งสินค้ าคอนเทนเนอร์ ในอ่ าวไทย
30
กรณีการสร้ างสะพานเศรษฐกิจรองรับการให้ บริ การขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์ ที่ประสบ
ความสาเร็จได้ แก่เส้ นทางรถไฟในสหรัฐอเมริกาและปานามา โดยมีสดั ส่วนการขนส่งถึงร้ อยละ 15
ของการขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์ของประเทศ (โดยรวมถึงปริมาณสินค้ าขนถ่ายด้ วย) และคิดเป็ น
ร้ อยละ 1 ของการขนส่งผ่านคลองปานามา ซึ่งสามารถวิเคราะห์ประเด็นที่นาไปสู่ความสาเร็จได้
ดังนี ้
ทาให้ สายการเดินเรือสามารถใช้ เรือขนาดใหญ่ที่สร้ างความประหยัดต่อหน่วย
ทาให้ สายการเดินเรือไม่ต้องประสบภาวะความขาดแคลนโครงสร้ างพื ้นฐาน
ทาให้ เกิดทวิภาวะทังในการขนส่
้ งจากท่าเรือ-ดินแดนตอนในและท่าเรือสูท่ ่าเรือ
เป็ นตัวเชื่อมระหว่างเรือในสายการเดินเรือหลักกับเรือ Feeder
สนับสนุนโครงข่ายการขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์โดยสายการเดินเรือหลักสามารถ
แบ่งสินค้ าบางส่วนมาใช้ เส้ นทางสะพานเศรษฐกิจในขนส่งต่อไปกับขนถ่ายสินค้ า
อีกส่วนหนึ่งไปยังท่าเรือนอกสะพานเศรษฐกิจหรือสูต่ ลาดในท้ องถิ่นนันๆ
้
เมื่อพิจารณาตามกรอบแนวคิดการพัฒนาสะพานเศรษฐกิจ ประโยชน์ที่สะพานเศรษฐกิจ
จะพึงได้ รับได้ แก่การเป็ นทางเลือกในการเดินเรืออีกทางหนึ่งจากการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกา
โดยมีเส้ นทางให้ บริการขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์ที่สนกว่ั ้ าโดยผ่านทางท่าเรือฝั่ งอันดามันกับมีการ
บริ การขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์ จากทางฝั่ งอ่าวไทยที่มีระยะสันกว่ ้ าด้ วยเช่นกัน โดยประมาณ
ระยะทางขนส่งสันลงประมาณ
้ 896 ไมล์ทะเล (หรือเวลาเดินทางประมาณ 1.7 วัน) อย่างไรก็ตาม
เมื่อเปรียบเทียบกับระยะทางของสะพานเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งใช้ เวลาเดินทางประมาณ 18 วันต่อ
เที่ยวแล้ วการประหยัดเวลาเพียงน้ อยกว่า 2 วันจากสะพานเศรษฐกิจของไทยอาจไม่สร้ างความจูง
ใจต่อผู้ให้ บริการขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์ ได้ อย่างสะพานเศรษฐกิจของสหรัฐ ประเด็นสาคัญจึ ง
อยู่ที่วา่ จะทาอย่างไรให้ สายการเดินเรือหลักไม่เข้ าเทียบท่าที่สิงคโปร์ซึ่งเป็ นท่าเรือศูนย์กลางที่ใหญ่
ที่สดุ ในภูมิภาค โดยหากสิงคโปร์พยายามปรับสถานะให้ เป็ นท่าเรือที่ต้องเข้ ามาใช้ บริ การสาหรับผู้
ขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์แล้ ว ประโยชน์จากระยะทางที่สนลงของสะพานเศรษฐกิ
ั้ จของไทยอาจไม่
เป็ นที่สนใจก็ได้ โดยผู้ให้ บริการขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์มีความเห็นว่าเป็ นการยากที่จะทาให้ เชื่อ
ได้ วา่ จะมีปริมาณสินค้ าคอนเทนเนอร์ที่จะขนส่งได้ พอเพียงโดยไม่ต้องแวะเทียบท่าที่ท่าเรือหลักที่มี
อยู่เดิมในภูมิภาคนี ้ด้ วย
31
มีเครือข่ายเรือ Feeder ที่ใช้ กนั อย่างแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีระบบการ
เชื่อมโยงที่เป็ นที่ยอมรับว่ามีคณุ ภาพยอดเยี่ยม ทังยั้ งเป็ นต้ นกาเนิดของการขนส่งคอนเทนเนอร์ ใน
ทวีปเอเชียโดยสายการเดินเรือขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์หลัก โดยทางการตลาดเห็นว่าสิงคโปร์เป็ น
ท่าเรือที่ใหญ่เกินกว่าจะไม่เข้ ามาใช้ บริการและเป็ นการคาดที่ผิดว่าท่าเรือของสะพานเศรษฐกิจจะ
สามารถดึงดูดให้ เรือเปลี่ยนเส้ นทางจากมาเลเซียและสิงคโปร์ได้ โดยแม้ แต่ท่าเรื อตันหยงเปลาปั ส
ของมาเลเซียก็ยังสามารถดึงดูดผู้เข้ ามาใช้ บริ การได้ เพียง 2 สายการเดินเรื อหลัก (Maersk และ
Evergreen) ท่าเรื อที่จะเป็ นศูนย์กลางการขนถ่ายสินค้ าแห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียง
ใต้ จะต้ องปฏิบตั ิการอยู่ภายใต้ การตลาดที่ตงึ ตัวที่ถกู ควบคุมไว้ โดยสิงคโปร์ โดยสัญญาระยะยาวที่
ยังมีผลบังคับอยู่ โดยสายการเดินเรือ 9 ใน 20 รายของโลกล้ วนยังมีข้อผูกพันในสัญญาระยะยาว
กับท่าเรือสิงคโปร์/ปอร์ทกลาง/ตันหยงเปลาปั ส และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง 7 ใน 10 รายที่เป็ นสายการ
เดินเรือขนาดใหญ่ล้วนยังมีข้อผูกพันระยะยาวกับท่าเรื อสามแห่งนี ้ โอกาสที่จะมีให้ แก่ท่าเรื อศูนย์
การขนถ่ายสินค้ าแห่งใหม่จึงมีน้อยมากและยังมีอปุ สรรคต่างๆอีกมากมาย
32
จากกรุงเทพไปยังจิตตะกองจะประหยัดเวลาได้ เพียง 0.6 วัน เมื่อเปรียบเทียบกับการประหยัดเวลา
ของ Land bridge ของสหรัฐซึ่งประหยัดเวลาได้ ถึง 7 วันแล้ ว จึงมีผลประโยชน์เพียงเล็กน้ อยเมื่ อ
เปรียบเทียบกับการขนส่งผ่านช่องแคบมะละกา ทังนี้ ้ยังไม่รวมถึงโอกาสที่จะมีการล่าช้ าในการรอ
เรือ Feeder เข้ าเทียบท่าอีกด้ วย
33
บริการจากเส้ นทางไป-กลับระหว่างตะวันออกไกล-ยุโรป ตะวันออกไกล-ตะวันออกกลาง ชายฝั่ ง
ตะวันตกของสหรัฐ-ตะวันออกกลาง และชายฝั่ งตะวันตกของสหรัฐ-ชายฝั่ งตะวันตกของอินเดีย
34
ปั จจุบัน ณ ท่าเรื อสงขลามีการขนส่งสินค้ า 139,000 TEU ซึ่งเป็ นสินค้ าส่งออก 82,000
TEU และเป็ นตู้เปล่าถึง 53,000 TEU โดยมีอตั ราการเติบโตในช่วงที่ผา่ นมาระหว่างร้ อยละ 4 ถึง -
16 แต่หากใช้ ฐานการเติบโตระหว่างร้ อยละ 4-7 ต่อปี จะมีการขนส่งเพิ่มขึ ้นเป็ นระหว่าง 190,000-
240,000 TEU ในปี 2558 และเพิ่มขึ ้นเป็ น 415,000-835,000 TEU ในปี 2558 หากไม่ปล่อยให้ มี
ตู้วา่ ง
35
ปริมาณสินค้าคอนเทนเนอร์ ท่ ีจะมาใช้ ท่าเรือด้ านฝั่ งตะวันตก
สถานการณ์ 2558 2563 2568 2573 2578
ต่า 235,500 294,000 366,500 469,500 581,000
ปานกลาง 291,500 395,000 521,000 699,500 944,000
สูง 352,500 497,500 689,500 985,500 1,456,500
36
300 ไมล์อาจไม่ดงึ ดูดพอและทาให้ การถึงจุด critical mass ไม่สามารถเป็ นไปได้ จึงทาให้ ท่าเรื อที่
ปากบาราเป็ นได้ เพียงท่าเรือแวะรับสินค้ า (wayport call) แต่มิใช่ท่าเรือหลัก (terminal port)
ฉะนัน้ ประเด็นสาคัญที่จะทาให้ มีความเป็ นไปได้ ของ Thai Land bridge ได้ แก่การหา
ปริมาณสินค้ าที่ต้องการขนส่งจากแหล่งอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้ ท่าเรื อมี critical mass ซึ่งได้ แก่แหล่ง
ต่างๆดังนี ้
อุตสาหกรรมหนักจากคลัสเตอร์อตุ สาหกรรมด้ านฝั่ งทะเลตะวันออก
การขนส่งโดยเรือ Feeder จากอ่าวเบงกอล
สินค้ าส่งออกจากไทยไปยังยุโรป ตะวันออกกลางและเอเชียใต้
สินค้ าขนส่งจากภาคเหนือของมาเลเซีย
สินค้ าขนส่งจากภาคตะวันตกเฉียงใต้ ของจีน
หากพิ จ ารณาในด้ า นการจั ด ตัง้ คลัส เตอร์ อุต สาหกรรมที่ เ ป็ นไปได้ พ บว่า จากสาม
อุตสาหกรรมหลัก ด้ านอุป สงค์ ที่ เ ป็ นไปได้ ใ นภูมิภาค ทัง้ อุตสาหกรรมอลูมิเ นี ย มและปิ โตรเคมี
สามารถขนส่งแบบสินค้ าคอนเทนเนอร์โดยขึ ้นอยู่กบั ประเภทของผลิตภัณฑ์แปรรูป โดยผลิตภัณฑ์
จากเหล็กและเหล็กกล้ ามีความเป็ นไปได้ น้อยที่สดุ ที่จะสามารถส่งออกแบบคอนเทนเนอร์ โดยที่มี
มูลค่าต่อหน่วยต่าทาให้ ต้องขนส่งเป็ นปริ มาณที่สงู มากซึ่งมิใช่การขนส่งในตู้คอนเทนเนอร์ และ
สินค้ าเหล่านี ้ยังมีเป้าหมายการส่งออกไปด้ านตะวันออกจึงต้ องใช้ ท่าเรื อด้ านตะวันออกโดยมิใช่
ท่าเรือปากบารา โดยมีตลาดเพียงส่วนน้ อยทางด้ านตะวันตก
37
และจะทาให้ ท่าเรือปากบาราไม่เป็ นเพียงผู้ขนส่งสินค้ าแต่จะกลายเป็ นจุดรวมการขนถ่ายสินค้ า
(transshipment point) แม้ มิใช่ศนู ย์กลางการขนถ่ายสินค้ า (transshipment hub) เนื่องจากยังมี
ท่าเรือปลายทางทางด้ านตะวันตกไม่มากแห่งนัก ทังนี ้ ้การดาเนินการขนถ่ายสินค้ ามีความเป็ นไป
ได้ เนื่องจากไม่ต้องพึ่งพาการขนส่งจากภายนอกท่าเรือ
2.8 ข้ อสรุป
38
ตะวันออกไม่น่าจะมีความเป็ นไปได้ ในการดึงดูดสายการเดินเรือต่างๆ โดย Thai Land bridge จะ
สามารถดึงดูด การขนส่งสิน ค้ าภายในภูมิภาคระหว่างอ่าวไทย-เอเชี ยเหนือ/ตะวันออก และกับ
ท่าเรือต่างๆในอ่าวเบงกอลโดยการเข้ าถึงตลาดและการสร้ างกาไรจะมีจานวนไม่มาก โดยสินค้ า
ส่งออกส่วนเพิ่มเติมจากภาคใต้ ของไทยเองและจากอุตสาหกรรมขนาดเบาที่อยู่ในเขตการพัฒนา
ของ Thai Land bridge เอง อย่างไรก็ดีสินค้ าโดยรวมจากทุกแหล่งดังกล่าวแล้ วก็ จะยังไม่เพียง
พอที่จ ะดึงดูดให้ สายการเดิ นเรื อหลัก เข้ ามาให้ บริ การและยังไม่ค้ มุ ค่ากับ การพัฒนาเป็ นท่าเรื อ
ขนาดใหญ่
ฉะนันจึ
้ งเกิดแนวคิดที่พัฒนาต่อมาโดยพิจารณาถึงความเหมาะสมของสินค้ าส่งออกไป
ตลาดด้ านตะวันตกที่จะใช้ ท่าเรื อที่ปากบาราแทนที่จะส่งออกผ่านท่าเรื อแหลมฉบัง ไปขนถ่ายที่
ท่าเรื อหลักของซี กโลกตะวันออก (สิงคโปร์ ฯลฯ) ซึ่งเป็ นแนวคิดที่เ น้ น การปรับ ระบบการขนส่ง
ภายในประเทศไปยังตลาดได้ โดยตรงเท่านัน้ และทาให้ Thai Land bridge มีความสาคัญน้ อยลง
โดยมีก ารมุ่ง เน้ น ไปที่ บ ทบาทของท่า เรื อปากบาราในการเป็ นท่าส่งออกในลัก ษณะ wayport
เชื่อมโยงด้ วยระบบรถไฟ โดยมี Land bridge เป็ นตัวช่วยขยายตลาดส่งสินค้ าออกไปถึงจีนและ
มาเลเซียตอนเหนือ
การสร้ างปริ มาณสินค้ าส่งออกให้ ถึงระดับ 400,000 TEU ต่อปี เป็ นปริ มาณต่าสุดที่จ ะ
สามารถดึงดูดสายการเดินเรือหลัก แต่มิใช่เพียงเท่านัน้ การพัฒนารูปแบบการให้ บริ การที่จาเป็ น
ยังมีความสาคัญเพื่อดึงดูดสายการเดินเรือต่างๆรวมทังผู ้ ้ ให้ บริการส่งออกนาเข้ าให้ เข้ ามาใช้ บริการ
ท่าเรื อระดับศูนย์กลางแห่งใหม่ และยังเป็ นปั จจัยที่กระตุ้นปริ มาณสินค้ าให้ มาชดเชยปริ มาณที่
ขาดไปตามแนวคิดแรกเริ่มอีกด้ วย รวมทังเป็
้ นสิ่งที่จะทาให้ การพัฒนา Thai Land bridge มีความ
เป็ นไปได้ ทงส
ั ้ าหรับภาครัฐและนักลงทุนภาคเอกชนต่อไป
39
สินค้ าคอนเทนเนอร์รายหลักๆจะไม่เปลี่ยนมาใช้ เส้ นทาง Land bridge ซึ่งสถานการณ์ดงั กล่าวได้
ส่งผลกระทบต่อแผนการระบบการขนส่งเชื่อมโยงท่าเรือสองฝั่ งทะเล
40
ความจาเป็ น โดยท่าเรือทางฝั่ งตะวันออกจะมีปริมาณสินค้ าไม่พอเพียงที่จะทาให้ การก่อสร้ างทาง
รถไฟเชื่อมโยงคุ้มทุน ฉะนันในการพั
้ ฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อขนส่งสินค้ าตามแนวเหนือ-ใต้ จึงควร
พัฒนาทางรถไฟมายังท่าเรือปากบารา
ประเด็นสาคัญจึงอยู่ที่ในส่วนของการขนส่งทางบกจะมีประสิทธิภาพในด้ านความมัน่ คง
ตามมาตรฐาน SOLAS หรือ ISPS ได้ หรื อไม่ โดยการขนส่งผ่าน Thai Land bridge เปรี ยบได้ กับ
การขนถ่ายสินค้ าที่ท่าเรือศูนย์กลางเช่นสิงคโปร์ ทว่าสถานการณ์ของการขนส่งทางบกไม่สามารถ
ระบุชดั เจนได้ เท่าตามมาตรฐานระหว่างประเทศดังกล่าว
ทังนี
้ ้อาจมีการพัฒนาระบบสินค้ าผ่านแดนที่ลดความซับซ้ อนลงโดยศุลกากรไทยเพื่อให้
สามารถรองรับการขนส่งขนาดมหาศาลได้ อย่างมีประสิทธิภาพระหว่างเขตศุลกากรต้ นทางและ
ปลายทางซึ่งกระทาได้ โดยระบบต่างๆ เช่น block transit entries โดยใช้ manifest extensions
การส่งข้ อมูลด้ วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ และการติดป้าย ซึ่งจะทาให้ เกิดแนวพื ้นที่เสมือนจริง (virtual
corridor) ที่ สิน ค้ าที่ ผ่านเข้ ามามีความปลอดภัย ระหว่างการขนส่งข้ ามประเทศไม่ว่าจะอยู่ใ น
เส้ นทางขนส่งโดยเฉพาะหรืออยู่ในเส้ นทางที่เข้ าถึงได้ โดยสาธารณะ
41
แนวคิดของแนวพื ้นที่เสมือนจริงได้ แก่การที่สินค้ าสามารถผ่านพื น้ ที่ในสภาวะที่ได้ รับการ
ควบคุมดูแล โดยไม่ต้องมีระบบควบคุมที่เห็นได้ ทางกายภาพ เช่น การจัดเป็ นขบวนรถ จุดตรวจ
หรือเส้ นทางควบคุมโดยเฉพาะ โดยการเคลื่อนของสินค้ าถูกควบคุมโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง
ศุลกากรไทยสามารถพัฒนายกระดับจากระบบการตรวจสินค้ าผ่านแดน ASYCUDA โดยเพิ่ ม
ระบบการส่งข้ อความและข้ อมูลร่วมกับระบบค ้าประกับด้ วยเงินฝาก (blanket guarantee) ซึ่งการ
แข่งขันกับสิงคโปร์จะต้ องใช้ ระบบ Tradenet ที่ไร้ เอกสารเพื่อดาเนินการด้ านการขนถ่ายสินค้ าและ
การดาเนินการด้ านสินค้ าผ่านแดนจึงจะประสบความสาเร็จ
42
ลดพื ้นที่ของคลัสเตอร์ลงได้ ถึงกึ่งหนึ่ง ทว่าหากมีการพัฒนาคลัสเตอร์อตุ สาหกรรมขนาดใหญ่แล้ วก็
จะต้ องการใช้ พื ้นที่ผืนใหญ่ขึ ้น
4. ประมาณการปริมาณการจราจร
ปริมาณการปริมาณการจราจรในแต่ละด้ านบนสมมุติฐานต่างๆมีดงั นี ้
ด้ านนา้ มัน
43
อุปสงค์ นา้ มันดิบใน Thai Land bridge ในช่ วงเวลาต่ างๆ (บาเรลต่ อวัน)
สถานการณ์ 2558 2563 2568 2573 2578
ต่า 367,579 405,837 448,077 494,713 546,204
ปานกลาง 590,339 684,365 793,367 919,730 1,066,219
สูง 842,196 1,024,661 1,246,656 1,516,748 12,845,356
อุปสงค์ นา้ มันดิบใน Thai Land bridge ในช่ วงเวลาต่ างๆ (บาเรลต่ อวัน)
สถานการณ์ 2558 2563 2568 2573 2578
4 1,000,000 1,500,000 1,500,000 1,500,000 1,500,000
5 1,000,000 2,000,000 2,000,000 2,000,000 2,000,000
6 1,000,000 2,000,000 3,000,000 3,000,000 3,000,000
สินค้ าคอนเทนเนอร์
44
การขนส่งในปี 2550 ระหว่างเอเชียเหนือและจีนกับยังอ่าวเบงกอลโดยได้ ประมาณการเติบโตรายปี
ในสถานการณ์ตา่ งๆกันซึ่งจะมีอตั ราการเติบโตระหว่างร้ อยละ 11 ต่อปี ถึงร้ อยละ 6 ต่อปี
45
การขนส่ งสินค้ าคอนเทนเนอร์ O/D จากฝั่ งทะเลด้ านตะวันออก
(TEU รวมในช่ วงปี ต่ างๆ)
สถานการณ์ 2558 2563 2568 2573 2578
การขนส่ งที่สร้ างขึน้ บริเวณท่ าเรือสงขลา
ต่า 38,000 46,000 56,000 68,000 83,000
ปานกลาง 43,000 54,500 72,000 95,500 123,000
สูง 48,000 63,000 88,000 123,000 172,000
การขนส่ งที่สร้ างขึน้ จากอุตสาหกรรมขนาดเบาและการแปรรูปต่ างๆ
ต่า 2,500 4,000 6,500 10,500 17,000
ปานกลาง 5,000 10,000 20,000 40,500 82,000
สูง 7,500 18,500 46,500 115,500 287,500
การขนส่ งที่ดึงมาจากกันตัง/ปาดังเบซาร์ /สะเดา
ต่า 109,000 125,000 144,000 167,000 195,000
ปานกลาง 121,500 151,500 190,000 243,500 310,000
สูง 134,000 178,000 236,000 320,000 425,000
รวมการขนส่ งจากแหล่ งเดิมกับอุตสาหกรรมขนาดเบาที่สร้ างขึน้ ใหม่
ต่า 149,500 175,000 206,500 245,500 295,500
ปานกลาง 169,500 216,000 282,000 379,500 515,000
สูง 189,500 259,500 370,500 558,500 884,500
46
การขนส่ งสินค้ าคอนเทนเนอร์ ณ ท่าเรือฝั่ งตะวันตก
(TEU รวมขาเข้าและขาออกในปี ต่ างๆ)
สถานการณ์ 2558 2563 2568 2573 2578
ต่า 230,500 294,000 366,500 469,500 581,000
ปานกลาง 291,500 395,000 521,000 699,500 944,000
สูง 352,500 497,500 689,500 985,500 1,456,500
การขนส่งสินค้ าข้ าม Thai Land bridge เป็ นการขนส่งสินค้ าผ่านแดน (transfer) เป็ นหลัก
กับอีกส่วนหนึ่งจะได้ จากสินค้ าจากแหล่งผลิตไปยังตลาดปลายทาง (O/D) ซึ่งจะขนส่งทางถนนทัง้
ขาเข้ าและขาออกจากผู้ให้ บริการด้ านส่งออกสินค้ าและผู้นาเข้ า
5. การพิจารณาด้ านเทคนิค
47
ของโรงกลัน่ นา้ มันและอุตสาหกรรมปิ โตรเคมีทางด้ านฝั่ งตะวันออกของ Thai Land bridge ตาม
แผนผังต่อไปนี ้
สถานที่ตงของ
ั ้ Thai Land bridge จะต้ องอยู่ในภาคใต้ ของประเทศไทย โดยท่าเรือด้ านฝั่ ง
ตะวันตกจะต้ องตังอยู ้ ่ ณ จังหวัดสตูล ทางใต้ ของอาเภอทุ่งหว้ า ส่วนท่าเรื อทางด้ านฝั่ งตะวันออก
อาจตังอยู
้ ่ทางทิศเหนือหรือทิศใต้ ของท่าเรือสงขลาปั จจุบัน โดยมี Land bridge เชื่อมโยงระหว่าง
ท่าเรือทังสองโดยส่
้ วนใหญ่เป็ นไปตามแนวทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 406 ในส่วนที่ข้ามเทือกเขา
48
พืน้ ที่ของ Thai Land bridge
ลัก ษณะและขนาดของเรื อสิน ค้ าที่ จ ะเข้ าเทีย บท่า ณ ท่าเรื อของ Thai Land
bridge ว่าจะเป็ นเรื อขนาด Ultra Large Crude Carriers: ULCC หรื อ Very
Large Crude Carriers: VLCC หรื อ Aframax Tankers หรื อ เรื อ Tankers ที่มี
49
ขนาดเล็กกว่า ที่เป็ นเรือใช้ ขนส่งน ้ามันดิบ เป็ นเรื อของสายการเดินเรื อหลัก หรื อ
เป็ นเรือขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์แบบ Feeder
ความพร้ อมของที่ดินรองรับท่าเรือและอุตสาหกรรมประเภทต่างๆและศักยภาพใน
การรองรับขยายตัวที่ดี
สถานที่ตงท่
ั ้ าเรือด้ านฝั่ งตะวันออกและฝั่ งตะวันตกที่ได้ รับการพิจารณามีดงั นี ้
50
ได้ มีการประเมินความเหมาะสมของสถานที่ตงท่ ั ้ าเรื อโดยมี 5 ตัวเลือกทางฝั่ งทะเลด้ าน
ตะวันตกและ 4 ตัวเลือกทางฝั่ งทะเลด้ านตะวันออกโดยมีแนวทางวิเ คราะห์โดยพิจารณาปั จจัย
หลากหลาย (Multi Criteria Analyses: MCA) ประกอบด้ วยปั จจัยดังนี ้
การเข้ าถึงด้ านการเดินเรือ
สภาพการกัดเซาะของชายฝั่ ง
ความเป็ นไปได้ ในเข้ าก่อสร้ างพื ้นที่
ความต้ องการด้ านการขุดลอกร่องน ้าลึก
ความพร้ อมด้ านที่ดิน
การเชื่อมโยงกับพื ้นที่ตอนใน
ปั จจัยด้ านสภาพแวดล้ อม
51
สถานที่ตัง้ ท่ าเรือที่มีศักยภาพ
สถานที่ตัง้ ท่ าเรือที่มีศักยภาพ
52
แนวคิดด้ านโลจิสติกส์ ของสะพานนา้ มัน
53
ทังนี
้ ้องค์ประกอบของสะพานน ้ามันมีดงั นี ้
ทุ่นของ SPM ฝั่ งละหนึ่งทุ่น
ท่อน ้ามันนอกฝั่ งทะเลขนาด 48 นิ ้วทังสองฝั
้ ่ง
คลังน ้ามันขนาด 5 แสนตันบนทังสองด้
้ านของสะพานน ้ามัน
ท่อน ้ามันบนบกขนาด 48 นิ ้วความยาวประมาณ 150 กิโลเมตร
ท่าเรือทังสองฝั
้ ่ งทะเลจะต้ องประสบผลกระทบช่วงฤดูมรสุม จากสภาพความสูง
และความถี่ของคลื่นทาให้ ต้องมีเขื่อนกันคลื่นเพื่อให้ บริ เวณท่าเรื อมีนา้ ที่นิ่งรองรับขนส่ง
สิน ค้ าคอนเทนเนอร์ แ ละการจอดเรื อ ทัง้ นี ก้ ระแสคลื่ น อาจมี ความแรงถึ ง 1.6 น็อ ต
ทางด้ านตะวันตกและถึงขนาด 3.3 น็อตทางด้ านตะวันออกจึงต้ องพิจารณาเตรี ยมการ
รองรับด้ านการกัดเซาะชายฝั่ งโดยเฉพาะด้ านชายฝั่ งตะวันออก กับต้ องเตรี ยมการรองรับ
ลมมรสุมที่ อาจพัดผ่าน Thai Land bridge ส่วนดิน สภาพดิน ของทัง้ สองฝั่ งมีความ
เหมาะสมโดยทังสองฝั
้ ่ งเป็ นผืนทรายซึ่งสามารถใช้ อปุ กรณ์การขุดลอกเพื่อการสร้ างท่าเรื อ
ยื่นออกไปในทะเล โดยจะต้ องมีการสารวจเพิ่มเติม
ท่าเรื อทัง้ สองฝั่ งต้ องการการน าร่ อ งในระยะ 200 เมตร พื น้ ที่ ก ารจอดเรื อ ที่
ปลอดภัยพร้ อมทังจุ้ ดกลับเรือ ท่าเทียบเรื อและพืน้ ที่การให้ บริ การ โดยได้ มีการประมาณ
การตามมาตรฐานสากลในการพัฒนาท่าเรือในแต่ละด้ านช่วงระหว่างปี 2558-2578 ดังนี ้
54
การพัฒนาท่ าเรือด้ านต่ างๆ
ตัวอย่ างของรูปแบบการพัฒนาท่าเรือบนชายฝั่ ง
55
ตัวอย่ างของรูปแบบการพัฒนาท่าเรือแบบอยู่นอกชายฝั่ ง
ทังนี
้ ้สามารถแบ่งแยกค่าใช้ จ่ายในการลงทุนด้ านต่างๆได้ โดยด้ านที่มีค่าใช้ จ่ายสูง ได้ แก่
การขุดลอกร่องน ้า (ร้ อยละ 27) การก่อสร้ างผนังกันช่องทางเข้ าออกของเรือ (ร้ อยละ 15) เครนและ
อุปกรณ์ยกตู้คอนเทนเนอร์ (ร้ อยละ 28) การก่อสร้ างเขื่อนกันคลื่น (ร้ อยละ 11) รวมค่าใช้ จ่ายหลัก
เหล่านี ้ได้ ถึงร้ อยละ 80
ทัง้ นีป้ ระมาณการว่าสามารถก่อสร้ างท่าเรื อของ Thai Land bridge ได้ แล้ วเสร็จภายใน
เวลา 6 ปี โดยใช้ เวลาในการวางแผนแม่บท การศึกษาความเหมาะสม และการสรรหาผู้ก่อสร้ าง 2
ปี และใช้ เวลาในการก่อสร้ างอีก 4 ปี โดยใช้ ผ้ รู ับเหมาก่อสร้ างไทยร่วมกับนานาชาติ
56
5.4 ถนนภายใน Land bridge
การพิจารณาขันสุ
้ ดท้ ายในการพัฒนา Land bridge จึงอยู่ที่การเปรี ยบเทียบค่าใช้ จ่าย
รวมในสองลักษณะของ Land bridge กล่าวคือ สะพานนา้ มัน (Oil bridge) สาหรับการขนส่ง
57
น ้ามันดิบ และ Land bridge สาหรับการขนส่งสินค้ าคอนเทนเนอร์ โดยที่การก่อสร้ างถนนควบคุม
ทางเข้ าออกเพื่ อรองรับ การขนส่งสินค้ าโดยเฉพาะและการสร้ างทางรถไฟไม่มีความเหมาะสม
เนื่องจากต้ นทุนค่าใช้ จ่ายที่สงู ฉะนัน้ ทางเลือกของที่ตงั ้ Land bridge จึงขึ ้นอยู่กับค่าใช้ จ่ายรวม
ของท่าเรือทังสองฝั
้ ่ งเป็ นสาคัญ
6. การวิเคราะห์ ทางการเงินและเศรษฐศาสตร์
58
เปรี ย บเที ย บความแตกต่างของทางเลื อ กในการลงทุน ประมาณการณ์ ด้ า นปริ ม าณสิ น ค้ า
ค่า ใช้ จ่ า ยในการลงทุ น รวม (CAPEX) และค่า ใช้ จ่ า ยในการบริ ห ารโครงการ (Operation
expenditure: OPEX) ในทุกทางเลือกและในสถานการณ์ต่างๆ โดยได้ มีป ระมาณการณ์ด้าน
กระแสเงิน สดเพื่ อประมาณการณ์ระดับ ค่าพิกัดอัตราค่าขนส่ง ที่ เหมาะสมเพื่ อให้ โครงการไปสู่
จุด คุ้ม ทุ น ณ อัต ราผลตอบแทนภายในที่ จุ ด ต่า งๆ โดยอัต ราภาษี ศุล กากร ณ ระดับ อัต รา
ผลตอบแทนภายในต่างๆจะสะท้ อนถึงผลกาไรต่อผู้ลงทุนในโครงการนี ้ (ภาครัฐ/ภาคเอกชน) โดยมี
ระดับอัตราภาษี ศลุ กากรอัตราเดียวตลอดอายุโครงการ
59
ตามลาดับภายในปี 2578 ซึ่งมีอตั ราการเติบโตที่ สงู กว่าการขนส่งโดยแบบ Conventional โดยจะ
สามารถท าให้ ส ามารถบรรลุเ ป้ าหมายได้ ภายในปี 2563 เร็ ว กว่าแบบ Conventional ซึ่งจะ
สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ภายในปี 2568
ประมาณการณ์ต้นทุนของสะพานน ้ามันพิจารณาบนฐานของประมาณการณ์ในส่วนของ
ค่า ใช้ จ่ า ยในการลงทุน รวม (CAPEX) และค่า ใช้ จ่ า ยในการบริ ห ารโครงการ (Operation
expenditure: OPEX) สาหรับการสร้ างท่าเรือในจุดที่คดั เลือกและแนวทางเลือกในการพัฒนาตาม
แนวสะพาน โดยประมาณการณ์ใ นส่วนของค่าใช้ จ่ายในการลงทุนรวมพิ จารณาองค์ป ระกอบ
ต่อไปนี ้
ค่าที่ดินรองรับทุ่นรอรับนา้ มันลอยนา้ (SPM) และสถานที่ สร้ างโรงกับเก็บนา้ มัน
รวมทังบริ
้ เวณที่ท่อน ้ามันขึ ้นฝั่ ง
อุปกรณ์ที่ใช้ บนทุ่นรอรับน ้ามันลอยน ้า (SPM) ทังสองฝั
้ ่ งทะเล
ท่อน ้ามันนอกฝั่ งของทุ่นรอรับน ้ามันลอยน ้าแต่ละด้ าน
ท่อน ้ามันบนบกตลอดแนวสะพานน ้ามัน
สถานีสบู น ้ามันนอกชายฝั่ งด้ านตะวันตก
สถานีสบู น ้ามันนอกชายฝั่ งด้ านตะวันออก
สถานีสบู น ้ามันบนฝั่ งทังสองด้
้ านขนาดตามปริมาณการขนส่ง
60
พิกัดอัตราภาษีศุลกากรที่ควรจัดเก็บในแต่ ละสถานการณ์ ของผลตอบแทนการลงทุน
(ดอลลาร์ /บาร์ เรล)
IRR 6% IRR 10% IRR 14%
สถานการณ์ที่ 1 อัตราปกติ : ต่า 0.56 0.78 1.02
สถานการณ์ที่ 2 อัตราปกติ : ปานกลาง 0.35 0.48 0.63
สถานการณ์ที่ 3 อัตราปกติ : สูง 0.28 0.36 0.46
สถานการณ์ที่ 4 อัตราเร่งลด : ต่า 0.22 0.29 0.37
สถานการณ์ที่ 5 อัตราเร่งลด : ปานกลาง 0.29 0.38 0.47
สถานการณ์ที่ 6 อัตราเร่งลด : สูง 0.24 0.32 0.41
61
สถานการณ์ที่สามารถสร้ างความคุ้มทุนได้ โดยใช้ เรื อขนาด ULCC ขนนา้ มันดิบเข้ าทางด้ าน
ชายฝั่ งตะวันตกและส่งออกต่อไปจากฝั่ งตะวันออกโดยใช้ เรือผสมผสานระหว่าง VLCC/Aframax
ตามที่ใช้ ในตลาดอยู่เดิม
62
จากการวิเ คราะห์ ท างการเงิ น สาหรั บ ท่าเรื อฝั่ ง ตะวัน ตกและท่าเรื อฝั่ งตะวัน ออกจาก
ปริมาณสินค้ าคอนเทนเนอร์ที่ขนส่ง โดยใช้ การเปรียบเทียบในสถานการณ์ 1-2-3 ที่แตกต่างกันใน
ด้ านความสามารถในการเจาะตลาดการขนส่งสินค้ าผ่านแดนและสิน ค้ าจากแหล่งผลิตไปยัง
ตลาดปลายทาง โดยมิได้ รวมถึงสินค้ าที่เปลี่ยนเส้ นทางการขนส่งมาใช้ Thai Land Bridge แทน
การขนส่งผ่านสิงคโปร์ สาหรับสถานการณ์ที่ 4-5-6 จะคานวณจากสถานการณ์การเติบโตสูงใน
สถานการณ์ ที่ 3 โดยมีจ านวนสินค้ าคอนเทนเนอร์ ที่เ พิ่ มเข้ าไปจากการเร่งและเหนี่ย วน าการ
เติบโตโดยใช้ โอกาสจากเครือข่ายการขนส่งและโลจิสติกส์เพิ่มเข้ าไป โดยประมาณว่าสินค้ าคอน
เทนเนอร์ จานวนหนึ่งในสามที่เพิ่มขึ ้นจะขนส่งไปยังสงขลาทางทะเลและขนส่งข้ าม Thai Land
Bridge โดยสินค้ าคอนเทนเนอร์อีกสองในสามส่วนจะมีการขนส่งทางภาคพื ้นดินมาสู่ Thai Land
Bridge โดยส่วนหนึ่งขนส่งโดยทางรถไฟ และมีส่งออกจากประเทศไทยทางด้ านท่าเรื อฝั่ ง
ตะวันตก
63
มูลค่ าการก่ อสร้ างโรงสินค้ าคอนเทนเนอร์ (ดอลลาร์ สหรัฐ/TEU/ปี การติดตัง้ )
โรงสินค้ า การเติบโตตามปกติ การเติบโตที่มีการเร่ งและ
คอนเทนเนอร์ เหนี่ยวนา
1-ต่ า 2-ปานกลาง 3-สูง 1-ต่ า 2-ปานกลาง 3-สูง
ฝั่ งตะวันตก 594 365 276 183 167 147
ฝั่ งตะวันออก 505 320 246 189 198 185
จะเห็นได้ วา่ มูลค่าการลงทุนสร้ างโรงสินค้ าคอนเทนเนอร์ ต่อ TEU ด้ านท่าเรื อฝั่ งตะวันตก
สูงกว่าด้ านท่าเรือฝั่ งตะวันออกในสถานการณ์ปกติที่ 1-2-3 แต่ในสถานการณ์ที่ 4-5-6 ซึ่งมีการ
เร่งและเหนี่ยวนามูลค่าการลงทุนสร้ างโรงสินค้ าคอนเทนเนอร์ ด้านฝั่ งตะวันตกกลับต่ากว่าด้ าน
ตะวันออก
เช่น เดีย วกับการเปรี ย บเที ยบความเป็ นไปได้ ในด้ านการขนส่งน า้ มัน ในด้ านการขนส่ง
สินค้ าคอนเทนเนอร์ ได้ มีการคานวณปริมาณที่จะได้ กลับคืนจากท่าเรื อทัง้ สองฝั่ งเพื่อให้ ได้ ทราบ
ถึงผลตอบแทนการลงทุนใน 3 สถานการณ์ ซึ่งจะแสดงให้ เห็นถึงความสามารถในการแข่งขันของ
ท่าเรือทังสองแห่
้ งโดยเปรียบเทียบกับท่าเรืออื่นๆในภูมิภาค โดยท่าเรือที่เ ป็ นศูนย์กลางขนาดใหญ่
สามารถเรียกเก็บค่าบริการพิเศษ (premium) แต่ท่าเรื ออื่นๆรวมทัง้ ท่าเรื อของไทยสามารถเรี ยก
เก็บได้ เพียง 50 ดอลลาร์ตอ่ TEU สาหรับตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 20 ฟุต และ 45 ดอลลาร์ สาหรับตู้
คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ในการให้ บริการขนส่ง ฉะนันการสร้ ้ างความคุ้มทุนต่อการลงทุนด้ าน
CAPEX และ OPEX จะได้ จากค่าบริการขนส่งเท่านัน้ โดยในความเป็ นจริงจะมีคา่ ใช้ จ่ายเพิ่มเติม
ที่เก็บได้ จากค่าเก็บสินค้ าในคลัง ค่าบริ การขนส่งเมื่อมีการ re-handling การนาส่งสินค้ าสู่ผ้ รู ับ
(forwarding) ซึ่งจะได้ เป็ นรายรับรวมต่อ TEU โดยประมาณรายรับเพิ่มเติมเหล่านีไ้ ด้ ราวร้ อยละ
20-25 จึงประมาณได้ ว่ามูลค่าการขนส่งรวมประมาณ 55-60 ดอลลาร์ ต่อ TEU เป็ นอัตราที่ มี
ความสามารถในการแข่งขันในตลาด
64
จะเห็นได้ วา่ มีเพียงในสถานการณ์ที่ 4-5-6 ซึ่งมีการเร่งและเหนี่ยวนาเป็ นพิเศษ จึงจะอยู่
ในช่วงที่มีความสามารถในการแข่งขันและถึงจุดคุ้มทุน โดยยังมิได้ รวมถึงมูลค่าการลงทุนที่อาจ
สูงขึ ้นโดยไม่คาดคิดจากการที่ต้องพัฒนาท่าเรื อในบริ เวณที่เป็ นที่ล่มุ และเป็ นที่ชัดเจนว่าระดับ
การลงทุนที่มีมลู ค่าคงที่ทงั ้ ในด้ าน CAPEX และ OPEX ในการก่อสร้ างโรงสินค้ าคอนเทนเนอร์
เป็ นสิ่งที่เ ป็ นไปได้ ย ากอย่ างยิ่ งในลัก ษณะของการให้ สมั ปทานดาเนิ น การแบบ BOT โดยที่
ผลตอบแทนทางธุรกิจจะมีมลู ค่าต่ามาก
65
สามารถลดค่าใช้ จ่ายคงที่ (fixed cost) และชีใ้ ห้ เห็นชัดว่าอาจสร้ างความสามารถในการแข่งขัน
ให้ กับ ท่ าเรื อทัง้ สองได้ ใ นสถานการณ์ ที่ มี ก ารเร่ ง /เหนี่ ย วน าการเติบ โต อย่ า งไรก็ ตามอัต รา
ผลตอบแทนการลงทุนทางธุรกิจที่มากกว่าร้ อยละ 14 นัน้ อยู่ในระดับที่เพียงสามารถบรรลุได้ จึง
จาเป็ นต้ องหาวิธีการยกประโยชน์ให้ กบั ผู้ลงทุนในบางลักษณะเพื่อให้ มีการประกอบการบรรลุถึง
สถานการณ์ที่เหมาะสม
ทังนี
้ ้ ในการศึกษามิได้ ประเมินค่าทางการเงินในการสร้ างความเชื่อมโยงตลอดแนว Thai
Land Bridge โดยอัตราการขนส่งข้ ามแนว Land Bridge ตามแนวถนนอยู่ในอัตราประมาณ 100
ดอลลาร์ ต่อ TEU ฉะนัน้ จึงประมาณรายรับรวมจาการขนส่งได้ 220 ดอลลาร์ (100 + 60 + 60)
โดยหากเปรียบเทียบกับสิงคโปร์ซึ่งเก็บค่าธรรมเนียมราว 132 ดอลลาร์ โดยประมาณรายรับรวม
150 ดอลลาร์ โดยที่อาจสามารถเก็บค่า premium ในการใช้ Thai Land Bridge ได้ อีกโดยต้ อง
คานึงถึงค่าขนถ่ายสินค้ า (Transshipment) ด้ วย ฉะนัน้ จึงชีใ้ ห้ เห็นว่ารัฐ อาจต้ องให้ การอุดหนุน
(subsidy) บางประการเพื่อดูดการขนส่งมาสู่ Thai Land Bridge
66
ALL CAPEX
IRR 6% IRR 10% IRR 14%
คลังสินค้ าคอนเทนเนอร์ด้านตะวันออก
สถานการณ์ที่ 1 แบบปกติ : ต่า 66 75 86
สถานการณ์ที่ 2 แบบปกติ : ปานกลาง 56 64 73
สถานการณ์ที่ 3 แบบปกติ : สูง 50 59 67
สถานการณ์ที่ 4 แบบเร่ง/เหนี่ยวนา : ต่า 44 52 60
สถานการณ์ที่ 5 แบบเร่ง/เหนี่ยวนา : ปานกลาง 43 51 59
สถานการณ์ที่ 6 แบบเร่ง/เหนี่ยวนา : สูง 42 50 58
67
แม้ วา่ ตัวท่าเรื อเองจะสามารถสร้ างงานและสร้ างรายได้ อยู่ในกรอบที่จากัด นอกเสียจากในช่วง
ของการก่อสร้ างและในภาคอุตสาหกรรมขนาดเบาซึ่งจะเป็ นภาคที่ สร้ างงานหลัก อย่างไรก็ดีการ
พัฒนาตามโครงการนี ้จะส่งกระทบสูภ่ าคการบริการซึ่งจะสามารถปรับเปลี่ยนภูมิภาคได้ ซึ่งจะทา
ให้ บรรลุเป้าหมายการพัฒนาของการพัฒนาพื ้นที่ชายฝั่ งทะเลภาคใต้ ดังเช่นในพืน้ ที่ชายฝั่ งทะเล
ภาคตะวันออก ทังนี ้ ้โครงการพัฒนา Thai Land Bridge ยังจะส่งผลกระทบอย่างมากในด้ านราคา
ที่ดินตลอดแนวสะพานเศรษฐกิจซึ่งจะทาให้ เกิดผลประโยชน์ทางด้ านเศรษฐกิจอย่างมาก
7. บทสรุป
การพัฒนาสะพานน ้ามันในขันแรกเพื
้ ่อให้ สามารถรองรับการขนส่งได้ ถึง 1.5 ล้ านบาร์ เรล
ต่อวัน มีมลู ค่าการลงทุนประมาณ 835 ล้ านดอลลาร์ โดยแนวคิดการพัฒนาสะพานนา้ มันจะมี
ความเป็ นไปได้ ก็ตอ่ เมื่อสามารถมีการขนส่งเต็มสมรรถนะภายในระยะเวลา 20 ปี แต่หากยังต้ อง
ได้ รับการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐจากผลตอบแทนทางการเงินที่ต่า อย่างไรก็ตาม หากมี
การลงทุนพัฒนาโรงกลัน่ น ้ามันและทาการค้ าน ้ามันจะทาให้ มีการใช้ สมรรถนะของท่อนา้ มันอย่าง
เต็มประสิทธิภาพภายในระยะเวลาเพียง 5 ปี ซึ่งจะทาให้ โครงการนีม้ ีความเป็ นไปได้ และมีความ
น่าสนใจต่อนักลงทุน ผลประโยชน์ที่จะได้ จากการใช้ ท่อนา้ มันขนส่งมากกว่า 1.5 ล้ านบาร์ เรลต่อ
68
วันมีความเป็ นไปได้ ที่จากัด เนื่องจากปริ มาณการลงทุนที่เพิ่มมากยิ่งขึ ้นและความเสี่ยงจากการ
เข้ ามีสว่ นแบ่งการตลาดจากการขนส่งน ้ามันดิบจากอ่าวอาหรับ-เอเชียที่ต้องเพิ่มมากขึ ้นด้ วย
69
ได้ มีการพิจารณาถึงแนวคิดสะพานนา้ มันและสะพานเศรษฐกิจมาเป็ นเวลานานปี และที่
ผ่านมาล้ วนพบว่าไม่สามารถนาไปสู่การปฏิบัติได้ ทว่าในครัง้ นีไ้ ด้ พบว่ามีความเป็ นไปได้ ในการ
ดาเนินการตามแนวคิดการพัฒนานี ้ต่อไปเนื่องจากสามารถสร้ างความสนใจต่อนักลงทุนรายใหญ่
เช่น ดูไบเวิร์ล และด้ วยความสนใจอย่ า งแรงกล้ าของรัฐ บาล เป็ นที่ ป ระจัก ษ์ อย่ า งชัดเจนว่า
โครงการขนาดใหญ่เช่นนี ้มิอาจปล่อยให้ หลุดมือไป และมีความจาเป็ นที่จะต้ องมีการดาเนินการทัง้
โดยภาครัฐ ลและภาคเอกชนเพื่อให้ เ ป็ นหลักประกัน ได้ ว่าแนวคิดนีไ้ ด้ เริ่ มปรับ เปลี่ยนไปสู่ ก าร
ดาเนินงานที่มีการวางแผนเป็ นขันตอนส
้ าหรับภาคใต้ ของประเทศไทยต่อไป
------------------------------------------
70