Professional Documents
Culture Documents
POL-4100-1-64
POL-4100-1-64
POL-4100-1-64
3. การคาดเดาคาตอบ คือขั้นตอนใดของการแสวงหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์
1. การสังเกตและระบุปัญหา 2. การตั้งสมมติฐาน 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. การสรุปผล
ตอบ 2 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Method) มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
1. การสังเกตและระบุปัญหา (Observation and Problem Identification) เป็นการรับรู้ผ่านประสาท
สัมผัสทั้ง 5 และเกิดความสงสัยจนนาไปสู่การตั้งคาถามการวิจัย
2. การตั้งสมมุติฐาน (Assumption /Hypothesis) เป็นขั้นตอนหลังจากตั้งคาถามการวิจัยแล้ว นักวิจัยจะต้อง
คาดเดาคาตอบล่วงหน้า ถ้าไม่ทาจะไม่สามารถกาหนดแนวทางในการค้นหาคาตอบได้
3. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) เช่น การเก็บข้อมูลด้วยการสังเกต การเก็บข้อมูลจากเอกสาร
ขั้นต้น การสอบถามผู้รู้โดยวิธีการสนทนากลุ่ม (Focus Group)
4. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) เป็นการนาข้อมูลมาจัดเรียงหรือพิจารณาว่าข้อมูลดิบที่ได้นั้นสามารถ
นามาใช้ตอบคาถามได้หรือไม่
5. การสรุปผล (Conclusion) เป็นการนาคาตอบที่ค้นพบได้มากล่าวอย่างย่อ ๆ ซ้าอีกรอบหนึ่ง
ข้อสอบ POL 4100 1/64 2
6. การศึกษารัฐศาสตร์ในยุคคลาสสิคเป็นการศึกษาประเด็นใด
1. การเมืองเปรียบเทียบ 2. การปกครองเปรียบเทียบ 3. สถาบันทางการเมือง
4. ปรัชญาการเมือง 5. พฤติกรรมทางการเมือง
ตอบ 4 ยุคคลาสสิค (Classical) เป็นยุคแรกเริ่มของการศึกษาการเมืองไม่มีการแยกสาขาของความรู้ โดยถือ
กาเนิดจากยุคกรีกซึ่งเกิดจากคาถามพื้นฐานของมนุษย์รับและผู้มีอานาจ เช่น ผู้นาที่ดีต้องมีคุณสมบัติอย่างไร
การเมืองที่ดีควรจะเป็นอย่างไร ฯลฯ ซึ่งความเป็นสากลของคาถามพื้นฐานเหล่านี้สามารถตั้งคาถามชุดเดียวกัน
โดยไม่จากัดกรอบเวลาหรือวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมีคาตอบได้หลากหลาย ดังนั้นการศึกษา
รัฐศาสตร์ในยุคนี้จึงมีลักษณะเป็นการศึกษาแนวปรัชญาการเมือง (Political Philosophy Approach)
8. การตอบคาถามของการวิจัย คือขั้นตอนใดของการแสวงหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์
1. การสังเกตและระบุปัญหา 2. การตั้งสมมติฐาน 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล
4. การวิเคราะห์ข้อมูล 5. การสรุปผล
ตอบ 4 ดูคาอธิบายข้อ 3. ประกอบ
ข้อสอบ POL 4100 1/64 3
9. ยุคย้อนกลับแห่งการศึกษาการเมืองแบบยุโรป เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ยุคใด
1. ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ 2. ยุคปรัชญาการเมือง 3. ยุคสถาบันนิยม
4. ยุคพฤติกรรมศาสตร์ 5. ยุคเปลี่ยนผ่านสู่รัฐศาสตร์สมัยใหม่
ตอบ 1 ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ (Post-Behavioral Period) เป็นยุคของการศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบันคือ
ยุคตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันในยุคนี้ถือเป็นยุคแห่งการกลับมาของการศึกษาแบบเดิมที่ถูกละ
ทิ้งและไม่ให้ความสนใจจากการพยายามครอบงาของพวกพฤติกรรมศาสตร์การศึกษาแบบปรัชญาการเมืองและ
การศึกษาแบบสถาบันจึงได้เริ่มกลับมาได้รับความสนใจและทาการศึกษากันอีกครั้งหนึ่ง นักวิชาการบางคนจะ
เรียกยุคดังกล่าวว่า ยุคย้อนกลับแห่งการศึกษาการเมืองแบบยุโรป (Period of Re-Europeanization)
5. นายชูศักดิ์เลือกการนาเสนอด้วยตารางแทนการเขียนพรรณนาทั้งหมด
ตอบ 3 การเขียนที่มาและความสาคัญของปัญหาการวิจัยที่เหมาะสม ผู้วิจัยต้องคานึงถึงหลักสาคัญดังนี้คือ
1. การเขียนให้ตรงประเด็น ไม่เยิ่นเย้อหรืออ้อมค้อมวกวน
2. การเขียนให้ครอบคลุมประเด็นสาคัญของปัญหา
3. การเขียนให้มีความยาวเหมาะสมไม่สั้นจนเกินไป
4. การหลีกเลี่ยงการนาตัวเลขและตารางยาว ๆ หรือข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมาใส่
5. มีการอ้างอิงแหล่งที่มาของเอกสารประกอบอย่างสมบูรณ์เสมอ
6. ผู้วิจัยต้องขมวดหรือสรุปประเด็นในย่อหน้าสุดท้ายให้มีส่วนเชื่อมโยงกับหัวข้อในวัตถุประสงค์การวิจัยเป็นต้น
28. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษารัฐศาสตร์ในยุคพฤติกรรมศาสตร์
1. การศึกษาแนวปทัสฐานนิยม 2. การศึกษาแนวปฏิฐานนิยม 3. วิทยาศาสตร์การเมือง
4. วิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ 5. การศึกษาแบบมุ่งทานาย
ตอบ 1 ยุคพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Period) เป็นยุคที่ปรากฏในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.
1950-1960) ซึ่งพบว่าการวิจัยในทางรัฐศาสตร์นั้นมีลักษณะเป็นแบบ “ปฏิฐานนิยม” (Positivism) และยังเน้น
การทานายพฤติกรรมทางการเมือง การตัดสินใจในทางการเมือง ดังนั้นการศึกษาในยุคนี้จึงเป็นการศึกษาแบบมุ่ง
ทานาย ไม่เน้นพรรณนาบรรยายอย่างในยุคก่อนหน้า ซึ่งในยุคนี้รัฐศาสตร์ถูกเรียกว่า “วิทยาศาสตร์การเมือง”
(Political Science) เพราะต้องการเน้นย้าให้เห็นว่าเป็นวิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างเช่น การศึกษา
จิตวิทยาผู้นาทางการเมือง พฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง วัฒนธรรมทางการเมือง เป็นต้น
38. รายงานการวิจัยประเภทใดที่สามารถเกิดขึ้นได้ในขณะที่การวิจัยยังไม่เสร็จสิ้น
1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น
3. บทความตีพิมพ์ลงในวารสาร 4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย 5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย (Interim Report) เป็นรายงานการวิจัยที่เขียนขึ้นในช่วงที่การ
วิจัยยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่จาเป็นต้องมีรายละเอียดในส่วนของขอบเขตการวิจัยและผลการศึกษา แต่
ผู้วิจัยจะมีเป้าหมายเพื่อรายงานผลการวิจัยแก่ผู้ให้ทุนหรือหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะ ๆ ซึ่งรายงาน
ข้อสอบ POL 4100 1/64 10
ความก้าวหน้าดังกล่าวจะมีความสาคัญอย่างมากต่อการพิจารณาจัดสรรงบประมาณต่อเนื่องให้แก่ผู้วิจัย หรือการ
ตัดงบประมาณและระงับการให้ทุนได้หากผลการวิจัยไม่เป็นไปตามเงื่อนไขหรือสัมฤทธิผลที่ได้ทาสัญญากันไว้และ
ยังมีผลในการพิจารณาขยายระยะเวลาส่งงานวิจัยตามกาหนดอีกด้วย
40. รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักย่อส่วนมาให้มีขนาดสั้นลงเพื่อความสะดวกในการเผยแพร่วางบนชั้นหนังสือใน
ห้องสมุด 1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น 3. บทความตีพิมพ์ลงในวารสาร
4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย 5. การเขียนรายงานการวิจัยทุกประเภท
ตอบ 2 รายงานการวิจัยฉบับสั้น เป็นรายงานการวิจัยที่มีรายละเอียดย่อส่วนลงมาจากรายงานการวิจัยฉบับ
สมบูรณ์ โดยให้มีขนาดสั้นลงเพื่อความสะดวกในการเผยแพร่และวางบนชั้นหนังสือในห้องสมุด ซึ่งมักมีความหนา
ประมาณ 50 หน้ากระดาษ A4
41. รายงานการวิจัยประเภทใดที่มีผลต่อการพิจารณาขยายระยะเวลาส่งงานวิจัยตามกาหนดให้แก่ผู้วิจัย
1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น 3. บทความตีพิมพ์ลงในวารสาร
4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย 5. การเขียนรายงานการวิจัยทุกประเภท
ตอบ 4 ดูคาอธิบายในข้อ 38. ประกอบ
43. รายงานการวิจัยประเภทใดที่จาเป็นต้องมีลายเซ็นของคณะกรรมการการสอบวิทยานิพนธ์ปรากฏอยู่เสมอ
1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น 3. บทความตีพิมพ์ลงในวารสาร
4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย 5. การเขียนรายงานการวิจัยทุกประเภท
ตอบ 1 รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เป็นรายงานที่มีความหนามากที่สุดในบรรดาการเขียนรายงานทั้งหมด
ทั้งนี้เนื่องจากเป็นรายงานที่มีรายละเอียดของการทาวิจัยครบทั้งหมด มีรูปแบบเคร่งครัด ส่วนใหญ่ใช้คาศัพท์ทาง
วิชาการ เป็นการนาเสนอที่ผ่านขั้นตอนต่างๆ จนพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มสมบูรณ์แบบ โดยประกอบไปด้วย
ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนประกอบตอนท้าย ซึ่งเป็นรายงานประเภทนี้จาเป็นต้องมีลายเซ็นของ
คณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์ปรากฏอยู่เสมอ
ข้อสอบ POL 4100 1/64 11
44. รายงานการวิจัยประเภทใดที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย
1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น 3. บทความตีพิมพ์ลงในวารสาร
4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย 5. การเขียนรายงานการวิจัยทุกประเภท
ตอบ 3 ดูคาอธิบายข้อ 42. ประกอบ
45. รายงานการวิจัยประเภทใดที่ผู้วิจัยส่งให้หน่วยงานผู้สนับสนุนทุนวิจัยได้ดาเนินการวิจัยไปได้ครึ่งทาง
1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น 3. บทความตีพิมพ์ลงในวารสาร
4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย 5. การเขียนรายงานการวิจัยทุกประเภท
ตอบ 4 ช่วงที่ 2 ของการรายงานความก้าวหน้าของการวิจัยก็คือ ‘’ช่วงของการรายงานความก้าวหน้า”
(Interim Report) ซึ่งหมายถึง รายงานที่จัดทาขึ้นภายหลังจากที่ได้ดาเนินการวิจัยไปแล้วระยะหนึ่งตามที่ผู้วิจัย
ได้ทาการตกลงหรือทาสัญญาไว้กับผู้ให้ทุน โดยทั่วไปแล้ว รายงานความก้าวหน้ามักส่งให้หน่วยงานผู้สนับสนุนทุน
วิจัยได้ดาเนินการวิจัยไปได้ครึ่งทางหรือในช่วงระยะเวลาร้อยละ 50 ของระยะเวลาตามสัญญา เช่น ถ้าเป็น
งานวิจัย 1 ปี ก็จะรายงานในช่วง 6 เดือน เป็นต้น
46. รายงานการวิจัยประเภทใดที่ผู้วิจัยต้องแสดงให้เห็นถึงแผนการดาเนินงานในช่วงเริ่มต้น
1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ 2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น 3. บทความตีพิมพ์ลงในวารสาร
4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย 5. การเขียนรายงานการวิจัยทุกประเภท
ตอบ 4 ช่วงที่ 1 ของรายงานความก้าวหน้าของการวิจัยก็คือ “ช่วงของการรายงานผลวิจัยขั้นต้น” (Inception
Report) ซึ่งหมายถึง การสรุปผลการดาเนินงาน หลังจากที่ผู้วิจัยได้รับการอนุมัติหัวข้อวิจัยและโครงร่างนาเสนอ
การวิจัย โดยรายงานการวิจัยในขั้นต้นนี้ผู้วิจัยต้องแสดงให้เห็นถึงแผนการดาเนินงานในขั้นแรกหรือในช่วงเริ่มต้น
ตลอดจนรายละเอียดของการปรับแก้ในส่วนต่าง ๆ ตามที่คณะกรรมการพิจารณาโครงร่างได้เสนอแนะไว้
49. งานวิจัยประเภทใดที่ให้ความสาคัญกับการสร้างรายได้ของภาครัฐและเอกชน
1. งานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 2. งานวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
3. งานวิจัยเชิงนโยบาย 4. งานวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน
5. งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ
ตอบ 1 งานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เป็นงานวิจัยที่มีเป้าหมายเพื่อผลตอบแทนหรือการลงทุนเป็นหลัก
และให้ความสาคัญกับการสร้างรายได้ของภาครัฐและเอกชน โดยผู้วิจัยสามารถสารวจความต้องการของภาคการ
ผลิตต่าง ๆ เป็นรายสาขาเพื่อนาไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่อุตสาหกรรมต้นน้ากลางน้าและปลายน้า ดังนั้น
ธรรมชาติของงานวิจัยประเภทนี้จึงมักสอดคล้องกับกลไกตลาดและนักวิจัยอาจไม่สามารถเปิดเผยผลการวิจัย
ทั้งหมดได้ เนื่องจากความจาเป็นในการแข่งขันทางด้านการตลาด
51. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับขั้นตอนการวิจัยทางรัฐศาสตร์
1. นายธีระวัฒน์มีความสนใจเรื่องการแพร่ระลาดของไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์โอไมครอน ขั้นตอนแกรกที่ต้องทา
คือการกาหนดปัญหาการวิจัย
2. นายจักรทิพย์ได้ตั้งคาถามการวิจัยเรื่องการสอบสวนของตารวจไทยแล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ต้องทาคือการไปศึกษา
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
3. นายอนุทินทาการออกแบบการวิจัยเสร็จแล้ว จะต้องเขียนโครงร่างการวิจัยเพื่อขอสอบหัวข้อการวิจัยก่อนที่จะ
ทาการเก็บข้อมูล
4. นายรณรงค์มีความสนใจเรื่องการซื้อขายสินค้าออนไลน์ของพิมรี่พาย ขั้นตอนแรกที่ต้องทาคือ การวิเคราะห์
ข้อมูล
5. นายกรรชัยทาการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคาตอบของการวิจัยเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือต้องเขียน
รายงานผลการวิจัยออกมาเป็นรูปเล่มและเผยแพร่ผลการวิจัย
ตอบ 4 ขั้นตอนของการวิจัยทางรัฐศาสตร์ มี 7 ขั้นตอน สรุปได้ดังนี้
ข้อสอบ POL 4100 1/64 13
55. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลรูปแบบใดที่ถูกนามาใช้อย่างมากทั้งในการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ
1. การสัมภาษณ์ 2. แบบสอบถาม 3. การสนทนากลุ่ม
4. การสังเกต 5. การทบทวนวรรณกรรม
ตอบ 2 แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมที่ถูกนามาใช้อย่างมากทั้งใน
การวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งส่วนมากวิธีการนี้มักจะถูกใช้ในการรวบรวมข้อมูลในการวิจัยเชิง
สารวจ ในกรณีที่กลุ่มตัวอย่างหรือประชากรที่จะรวบรวมข้อมูลนั้นอยู่ในลักษณะที่กระจัดกระจายกันมาก ๆ
เรียงลาดับตามตัวอักษรให้เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งในปัจจุบันประเภทหรือระบบการอ้างอิงที่ได้รับความนิยมใน
งานวิจัยหรืองานวิชาการในสายสังคมศาสตร์ ได้แก่การอ้างอิงระบบเอพีเอ (American Psychological
Association : APA) และการอ้างอิงระบบทูราเบียน (Turabian)
61. ข้อใดต่อไปนี้เรียงลาดับการเขียนรายงานความก้าวหน้าของการวิจัยได้อย่างถูกต้องที่สุด
1. Inception Report Interim Report Final Report
2. Inception Report Final Report Interim Report
3. Interim Report Inception Report Final Report
4. Interim Report Final Report Inception Report
5. Final Report Interim Report Inception Report
ตอบ 1 การเขียนรายงานความก้าวหน้าของการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ช่วงเวลาซึ่งสามารถเรียงลาดับได้ดังนี้
ช่วงที่ 1 ช่วงของการรายงานผลการวิจัยขั้นต้น (Inception Report)
69. ให้นักศึกษาดูตารางด้านล่างนี้
กิจกรรม เดือนที่ 1 – 3 เดือนที่ 4 – 6 เดือนที่ 7 – 6 เดือนที่ 10- 12
(1) การนาเสนอโครงร่างการวิจัย
(2) การสัมภาษณ์
(3) การเขียนรายงานการวิจยั
(4) การนาเสนอและเผยแพร่ผลการวิจยั
78. การอธิบายว่างานวิจัยที่มีมาก่อนหน้านี้แตกต่างจากผลการศึกษาของงานเราอย่างไรปรากฏอยู่ในบทใดต่อไปนี้
1. บทที่ 1 บทนา 2. บทที่ 2 ทฤษฎี งานวิจัยที่เกี่ยวข้องและกรอบแนวคิดของการวิจัย
3. บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 4. บทที่ 4 ผลการศึกษา
5. บทที่ 5 สรุปผล การอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ
ตอบ 5 บทที่ 5 การสรุปผล การอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์นั้นพบว่า การ
อภิปรายผลเป็นการเขียนเพื่อประเมินและขยายความผลการวิจัยที่ได้ เพื่อยืนยันให้ผู้อ่านได้เห็นว่าผลการวิจัยที่ได้
นั้นน่าเชื่อถือ ถูกต้อง และเป็นจริง โดยชี้ให้เห็นว่าผลการศึกษานั้นสอดคล้องกับงานวิจัยที่มีมาก่อนหน้าอย่างไร
หรือมีความแตกต่างจากผลการศึกษาของงานเราอย่างไร ซึ่งผู้วิจัยจะต้องขยายความต่อว่าเพราะเหตุใดหรือปัจจัย
ใดที่อาจส่งผลให้ผลการศึกษาดังกล่าวไม่สอดคล้องกับงานวิจัยชิ้นอื่น
89. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่เหมาะสมมากที่สุด
1. การเขียนที่สามารถลงมือทาได้จริงได้หรือไม่ก็ได้
2. การเขียนที่สามารถเขียนเป็นประโยคปฏิเสธและแบ่งเป็นข้อ ๆ
3. การเขียนที่อยู่ในรูปของวิธีการดาเนินการ
4. การเขียนให้มีจานวนข้อน้อยที่สุดเพื่อให้ทาวิจัยง่ายที่สุด
5. การเขียนที่คานึงถึงระยะเวลาที่เหมาะสมในการทาวิจัย
ตอบ 5 การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่เหมาะสม ได้แก่
1. การเขียนให้มีความชัดเจน เพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าผู้วิจัยต้องการศึกษาอะไร
2. การเขียนให้อยู่ในขอบเขตของการวิจัยที่ได้ตั้งเอาไว้
3. การเขียนที่สามารถลงมือทาได้จริงได้
ข้อสอบ POL 4100 1/64 22
4. การเขียนที่สามารถเขียนเป็นประโยคบอกเล่า โดยแบ่งเป็นข้อ ๆ
5. การเขียนไม่ควรอยู่ในรูปของวิธีการดาเนินการ
6. การเขียนไม่ควรมีจานวนข้อมากเกินไป
7. การเขียนที่คานึงถึงระยะเวลาที่เหมาะสม ฯลฯ
90. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของโครงร่างการวิจัย
1. ระเบียบวิธีวิจัย 2. วัตถุประสงค์ในการวิจัย 3. ภาคผนวก
4. ความสาคัญของปัญหา 5. คาถามวิจัย
ตอบ 3 โครงร่างการวิจัย ประกอบด้วย
1. ชื่อเรื่อง 2. สภาพปัญหาหรือ “ความสาคัญของปัญหา” หรือ “ที่มาของปัญหา”
3. คาถามในการวิจัย 4. วัตถุประสงค์ในการวิจัย 5. สมมติฐาน
6. การทบทวนวรรณกรรมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย 7. ขอบเขตของการวิจัย
8. ประโยชน์ที่จะได้รับ 9. นิยามศัพท์สาคัญ 10. วิธีการในการดาเนินการวิจัยหรือระเบียบวิธีวิจัย
91. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการตั้งคาถามการวิจัย
1. คาถามการวิจัยประเภท “อย่างไร” ต้องการทราบสาเหตุของปรากฏการณ์ทางการเมือง
2. คาถามการวิจัยประเภท “อะไร” ต้องการให้อธิบายกระบวนการของปรากฏการณ์ทางการเมือง
3. คาถามการวิจัยประเภท “ทาไม” เป็นการหาคาตอบในลักษณะบรรยาย
4. การตั้งคาถามการวิจัยที่ดีควรใช้คาถาม “ทาไม อย่างไร อะไร”
ตอบ 4 การตั้งคาถามการวิจัย (Research Question) ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการวิจัยภายหลังจากที่ผู้วิจัย
สังเกตเห็นถึงปัญหาต่าง ๆ รอบตัว การตั้งคาถามที่ดีนั้นไม่ควรใช้คาถาม “ใช่หรือไม่” แต่ควรใช้คาถาม “ทาไม
อย่างไร อะไร” ซึ่งคาถามประเภท “ทาไม” จะเป็นคาถามที่ต้องการทราบสาเหตุหรือเหตุผลของปรากฏการณ์ทาง
การเมือง คาถามประเภท “อย่างไร” จะเป็นคาถามที่ต้องการให้อธิบายกระบวนการของปรากฏการณ์ทาง
การเมือง ส่วนคาถามประเภท “อะไร” จะเป็นคาถามที่มุ่งให้ค้นหาคาตอบในลักษณะบรรยาย
92. ข้อใดต่อไปนี้คือการคัดลอกผลงานโดยไม่มีการอ้างอิง
1. Plagiarism 2. Report 3. Recycle
4. Reference 5. Research
ตอบ 1 การคัดลอกผลงานโดยไม่มีการอ้างอิง หรือที่เรียกว่า “Plagiarism” เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยหรือผู้อ่านที่จะนา
วิจัยไปใช้ประโยชน์ต้องพึงระวังอย่างมาก เพราะถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงอย่างมากในวงวิชาการ ซึ่งในปัจจุบัน
การตรวจสอบสามารถกระทาได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์สาหรับการ
ตรวจสอบการคัดลอกผลงาน เช่น โปรแกรมอักขราวิสุทธิ์ หรือโปรแกรมเทิร์น อิท อิน (Turn it in) เป็นต้น
93. ข้อใดต่อไปนี้ปรากฏในส่วนท้ายของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
1. ประวัติการศึกษาและอาชีพของคณะผู้วิจัย
2. ข้อจากัดของงานวิจัยที่ผู้วิจัยพบระหว่างการทาวิจัย
3. กิตติกรรมประกาศ 4. ลายเซ็นของคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ข้อสอบ POL 4100 1/64 23
5. ผลการศึกษา
ตอบ 1 ประวัติย่อผู้วิจัย (Vitae) ซึ่งปรากฏในส่วนท้ายของ “รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์” จะเป็นส่วนที่
แสดงให้เห็นถึงประวัติของนักวิจัย/คณะผู้วิจัย ซึ่งมักจะประกอบไปด้วย ชื่อ – สกุล ประวัติการศึกษา อาชีพ
ตาแหน่ง สถานที่ทางาน เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น
94. “.....ส่วนที่ผู้วิจัยต้องการแสดงข้อมูลหรือส่วนขยายเพิ่มเติมของรายงานการวิจัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น พระราชบัญญัติหรือเนื้อความจากกฎหมายฉบับเต็ม เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล รายละเอียด
เกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูล หรือตารางแสดงตัวเลขต่าง ๆ ....” สอดคล้องกับตัวเลือกใดมากที่สุด
1. บรรณานุกรม 2. รายการดัชนี 3. ภาคผนวก
4. สารานุกรม 5. บทคัดย่อ
ตอบ 3 ภาคผนวก (Appendix) ซึ่งปรากฏในส่วนท้ายของ “รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์” จะเป็นส่วนที่
ผู้วิจัยต้องการแสดงข้อมูลหรือส่วนขยายเพิ่มเติมของรายงานการวิจัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น
พระราชบัญญัติหรือเนื้อความจากกฎหมายฉบับเต็ม เครื่องมือการเก็บรวบรวมข้อมูล รายละเอียดเกี่ยวกับการ
วิเคราะห์ข้อมูล หรือตารางแสดงตัวเลขต่าง ๆ เป็นต้น
96. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับแนวการวิเคราะห์ระบบ
1. ได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิดในทางชีววิทยา
2. ถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งของระบบการเมืองทางานผิดพลาด อาจทาให้ระบบการเมืองมีปัญหาทั้งระบบได้
3. นักรัฐศาสตร์คนสาคัญของแนวการิเคราะห์ระบบ เข่น Harold Lasswell, Robert Dahl
4. ปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้น คือ ผลลัพธ์ของการทาหน้าที่ของระบบที่ทาเพื่อรักษาหรือดารงไว้ซึ่ง
ระบบทางสังคม
5. หากระบบการเมืองใดไม่ทาหน้าที่เพื่อรักษาหรือดารงไว้ซึ่งระบบทางสังคม ระบบการเมืองก็จะล่มสลาย
ตอบ 3 แนวการวิเคราะห์เชิงระบบ (System Approach/Functional Approach)
98. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกระบวนการแสวงหาความรู้แบบวิทยาศาสตร์
1. ปฏิฐานนิยม 2. เน้นภาวะวิสัย 3. สามารถอธิบายได้
4. สามารถพิสูจน์ซ้าได้ 5. ไม่แยกค่านิยมออกจากสิ่งที่ศึกษา
ตอบ 5 ดูคาอธิบายข้อ 24. ประกอบ
99. ตัวแปรในข้อใดสัมพันธ์กับระดับของอุณหภูมิของปรากฏการณ์โลกร้อน
1. Nominal Scale 2. Ordinal Scale 3. Internal Scale
4. Ration Scale 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 Internal Scale เป็นมาตรวัดที่สามารถกาหนดช่วงห่างของความแตกต่างได้อย่างแน่นอน บอกความ
แตกต่างระหว่างกลุ่มได้ สามารถนาข้อมูลมาเปรียบเทียบและคานวณได้ และยังสามารถบวกและลบกันได้ แต่
ศูนย์ของข้อมูลประเภทนี้เป็นศูนย์สมมติ ไม่มีศูนย์แท้ เช่น ระดับของอุณหภูมิ คะแนนสอบ IQ เป็นต้น
โทรปรึกษาการเรียน 081-4969907
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 1
............................................................................................................................................................................................
การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
…………..
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 21
............................................................................................................................................................................................
การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
…………..
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 37
............................................................................................................................................................................................
การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562
..................
➢ คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (มีข้อสอบทั้งหมด 100 ข้อ)
1. ข้อใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการตั้งปัญหาในการวิจัย
1. เพื่อบรรยาย 2. เพื่ออธิบาย 3. เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
4. เพื่อการทำนาย 5. เป็นจุดมุ่งหมายทุกข้อ
ตอบ 3. จุดมุ่งหมายของการตั้งปัญหาในการวิจัยมีดังนี้
1. เพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้ 2. เพื่อบรรยาย
3. เพื่ออธิบาย 4. เพื่อทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
2. ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อของการวิจัย
1. ความเป็นไปได้ 2. ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์
3. ความสนใจของผู้วิจัย 4. ความยากง่ายในการศึกษา 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 4. หลักเกณฑ์ในการเลือกหัวข้อของการวิจัย
1. ความสำคัญของปัญหา 2. ความเป็นไปได้
3. ความน่าสนใจและทันต่อเหตุการณ์ 4. ความสนใจของผู้ที่จะวิจัย
5. ความสามารถที่จะทำให้บรรลุผล
3. ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้นๆมากำหนดความสัมพันธ์เรียกว่าปัญหาประเภท
ใด 1. ปัญหาเชิงวิเคราะห์ 2. ปัญหาเชิงประจักษ์
3. ปัญหาเชิงปทัสถาน 4. ปัญหาเชิงสังเคราะห์ 5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2. ปัญหาเชิงประจักษ์ (Empirical Problems) คือลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นใน
สถานการณ์นั้น ๆมากำหนดความสัมพันธ์
4. ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ความคิด ความรู้ในเชิงวิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎ หรืออ้างอิงจากแนวคิด
ทฤษฎี หรือนักวิชาการ เรียกว่าปัญหาประเภทใด
1. ปัญหาเชิงวิเคราะห์ 2. ปัญหาเชิงประจักษ์ 3. ปัญหาเชิงปทัสถาน
4. ปัญหาเชิงสังเคราะห์ 5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3. ปัญหาเชิงปทัสถาน (Normative Problems) คือ ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ความคิดความรู้เชิง
วิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎ หรือใช้การอ้างอิงจากตำราวิชาการ แนวคิดทฤษฎี หรือนักวิชาการ ตลอดจน
ผู้ทรงคุณวุฒิ มายืนยันและตรวจสอบความถูกต้อง
5. วัตถุประสงค์ในการวิจัย “เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่าภูมิหลังของบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง” เป็น
วัตถุประสงค์ประเภทใด
1. วัตถุประสงค์เชิงพรรณนา 2. วัตถุประสงค์เชิงอธิบาย 3. วัตถุประสงค์เชิงทำนาย
4. ปัญหาเชิงเปรียบเทียบ 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัยมีดังนี้ 1. วัตถุประสงค์เชิงพรรณนา เช่น เพื่อศึกษาการมีส่วน
ร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี เป็นต้น 2. วัตถุประสงค์เชิงเปรียบเทียบ เช่น เพื่อศึกษาความ
แตกต่างระหว่างภูมิหลังของบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็นต้น
6. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในวัตถุประสงค์ข้างต้นเป็นตัวแปรประเภทใด 1. ตัวแปรอิสระ
2. ตัวแปรแทรกซ้อน 3. ตัวแปรต้น 4. ตัวแปรตาม 5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4. ตัวแปรที่กำหนดความสัมพันธ์โดยตรง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 38
............................................................................................................................................................................................
1. ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) หรือตัวแปรต้น เป็นตัวแปรที่เป็นสาเหตุหรือเป็น
ความสัมพันธ์ตั้งต้นที่ก่อให้เกิดผล เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดตัวแปรตาม มักจะใช้สัญลักษณ์แทนเป็นตัว x เช่น ระดับ
การศึกษาที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงคะแนน, ภูมิหลังของบุคคล, การอยู่อาศัยในท้องถิ่น เป็นต้น
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นผลหรือเปลี่ยนแปลงตามอิทธิพลของ
ตัวแปรอื่น มักจะใช้สัญลักษณ์แทนเป็นตัวอักษร Y เช่น ผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ, การมีส่วน
ร่วมทางการเมือง, ความพึงพอใจในการทำงาน, ประสิทธิหผลในการทำงาน เป็นต้น
7. ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์เชิงพรรณนา
1. เพื่อศึกษาความแตกต่างระหว่างภูมิหลังของบุคคลกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
2. เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดนนทบุรี
3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ของประชาชนกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง
4. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 5 ประกอบ
8. กระบวนการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมในการศึกษากับสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตได้แก่
1. กรอบแนวความคิด 2. มาตรวัด 3. ตัวบ่งชี้เชิงประจักร
4. นิยามความหมาย 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 2. มาตรวัด (Measurement) คือ กระบวนการระหว่างสิ่งที่เป็นนามธรรมในการศึกษากับสิ่งที่เป็น
รูปธรรมที่สังเกตได้
9. วิธีการวิเคราะห์ปรากฏการณ์ที่เป็นระบบ มีเหตุมีผลและเป็นวัตถุวิสัย เพื่อที่จะบรรยาย อธิบายหรือทำนาย
ปรากฎการณ์ที่สามารถสังเกตเห็นได้ เรียกวิธีการนั้นว่าอะไร
1. ทฤษฎี 2. สมมุติฐาน 3. ศาสตร์ 4. องค์ความรู้ 5. กรอบแนวคิด
ตอบ 3. ศาสตร์ หมายถึง วิธีการวิเคราะห์ปรากฎการณ์ที่เป็นระบบ มีเหตุมีผลและเป็นวัตถุวิสัย
(Objectivity) เพื่อที่จะบรรยาย อธิบาย และทำนายปรากฎการณ์ที่สามารถสังเกตเหตุได้
10. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกรอบของทฤษฎีที่ผู้วิจัยคาดว่าจะเกิดขึ้นและรอการพิสูจน์ เรียกว่าอะไร
1. ตัวแปร 2. สมมุติฐาน 3. ศาสตร์ 4. องค์ความรู้ 5. กรอบความคิด
ตอบ 2. สมมุติฐาน (Hypothesis) คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรตามกรอบของทฤษฎีที่ผู้วิจัยคาดว่าจะ
เกิดขึ้น และรอการพิสูจน์ต่อไป
11. ภูมิหลังของประชากร ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ การศึกษา เรียกว่าตัวแปรประเภทใด
1. ตัวแปรเชิงพัฒนา 2. ตัวแปรมาตรฐาน 3. ตัวแปรหลัก
4. ตัวแปรองค์ประกอบ 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 2. ตัวแปรมาตรฐาน คือ ตัวแปรที่จำเป็นตัวมีในการวิจัยทุก ๆ เรื่อง ได้แก่ คุณสมบัติของสิ่งที่ศึกษา เช่น
ภูมิหลังของประชากร ได้แก่ เพศ อายุ อาชีพ การศึกษา เป็นต้น
12. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรซึ่งเมื่อตัวแปรตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปทำให้ตัวแปรอีกตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลไปด้วย
ในลักษณะคงที่ เรียกความสัมพันธ์นั้นว่าอย่างไร
1. ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล 2. ความสัมพันธ์เชิงซ้อน 3. ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง
4. ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้ 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 . ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรซึ่งเมื่อตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจะทำให้
ตัวแปรอีกตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปด้วยในลักษณะคงที่ เช่น ปริมาณที่ขายสินค้ากับรายได้ เป็นต้น
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 39
............................................................................................................................................................................................
13. ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว ที่มีทิศทางของความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันโดยไม่ทราบลำดับก่อนหลังของตัว
แปร เรียกความสัมพันธ์นั้นว่าอย่างไร
1. ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล 2. ความสัมพันธ์เชิงซ้อน 3. ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง
4. ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้ 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4. ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว ที่มีทิศทางของความสัมพันธ์ซึ่งกัน
และกันโดยไม่ทราบลำดับก่อนหลังของตัวแปร
14. ตัวแปรที่พิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์กันโดยทราบลำดับก่อนหลังและพิสูจน์ได้ว่าไม่มีสิ่งใดมาแทรกซ้อน เรียก
ความสัมพันธ์นั้นว่าอย่างไร
1. ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล 2. ความสัมพันธ์เชิงซ้อน 3. ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรง
4. ความสัมพันธ์เชิงตอบโต้ 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1. ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร 2 ตัว โดยที่ตัวแปรสาเหตุ (x) จะต้อง
เกิดก่อนตัวแปรที่เป็นผล (Y) นั่นคือ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่พิสูจน์ได้ว่ามีความสัมพันธ์กันโดยทราบลำดับ
ก่อนหลังและพิสูจน์ได้ว่าไม่มีสิ่งใดมาแทรกซ้อน
15. ข้อใดเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างมาตรวัด 1. ข้อคำถาม
2. นิยามปฏิบัติการ 3. ตัวแปร 4. ดัชนีชี้วัด 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 5. สิ่งจำเป็นในการสร้างมาตรวัด คือกำหนดนิยามปฏิบัติการของตัวแปรและตัวชี้วัดหรือดัชนีชี้วัดที่
สัมพันธ์กัน ต่อจากนั้นจึงกำหนดข้อคำถามที่ตรงกับตัวชี้วัดก็จะได้มาตรวัดตัวชี้วัดก็จะได้มาตรวัดตามที่ต้องการ
16. เพศ เป็นการวัดระดับใด
1. Nominal Scale 2. Ordinal Scale 3. Interval Scale
4. Ratio Scale 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1. Nominal Scale เป็นวิธีการวัดที่ง่ายที่สุด เพียงแต่การกำหนดเกณฑ์แบ่งแยกประชากรที่ศึกษา
ออกเป็นกลุ่ม แล้วตั้งชื่อให้แต่ละกลุ่มที่มีคุณสมบัติเหมือนกันให้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ตัวเลขหรือสัญลักษณ์เป็นเพียงแต่
ชื่อไม่สามารถเอามาคำนวณทางเลขคณิตได้ เช่น เพศ สถานภาพการสมรส ภูมิลำเนา อาชีพ เป็นต้น
17. อายุ เป็นการวัดระดับใด
1. Nominal Scale 2. Ordinal Scale 3. Interval Scale
4. Ratio Scale 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4. Ratio Scale เป็นการวัดที่มีคุณสมบัติของมาตรวัดแบบช่วงทุกประการแต่มีคุณสมบัติเพิ่ม คือ มี
จุดเริ่มต้นที่ศูนย์ที่แท้จริง เช่น อายุ น้ำหนัก ความสูง เงินเดือน รายได้ เป็นต้น
18. การศึกษา เป็นการวัดระดับใด
1. Nominal Scale 2. Ordinal Scale 3. Interval Scale
4. Ratio Scale 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2. Ordinal Scale เหมือนกับการแบ่งกลุ่ม แต่สามารถจัดอันดับอัตราความแตกต่างระหว่างกันและกัน
ได้ ซึ่งอาจใช้ข้อความว่า มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย น้อยที่สุด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่แสดงไม่มีผลต่อการคำนวณ
แต่จะบอกความสำคัญเท่านั้น ไม่สามารถบอกปริมาณและความแตกต่างได้ เช่น ระดับการศึกษา เกรด ความคิดเห็น
ความพึ่งพอใจ เป็นต้น
19. จุดประสงค์ในการใช้สถิติ t – Test ใช้เพื่อทดสอบอะไร
1. ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม
2. ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม
3. ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 40
............................................................................................................................................................................................
4. ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร 5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1. สถิติ t – Test ใช้เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่มโดยมีเงื่อนไขในการใช้ คือ
ต้องมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ ข้อมูลของตัวแปรตามต้องมีระกับการวัดเป็น Interval Scale ขึ้นไป และใช้เพื่อ
ทดสอบสมมุติฐานความแตกต่างระหว่างตัวแปร
20. จุดประสงค์ในการใช้สถิติ F – Test ใช้เพื่อทดสอบอะไร
1. ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม
2. ทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม
3. ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
4. ทดสอบปัจจัยที่มีอิทธิพลระหว่างตัวแปร 5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2. สถิติ F – Test หรือ Oneway ANOVA ใช้เพื่อทดสอบความแตกต่างระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า
2 กลุ่ม โดยมีเงื่อนไขในการใช้เหมือน t – Test แต่ไม่จำเป็นต้องมีการแจกแจงแบบโค้งปกติ
21. จุดประสงค์ในการใช้สถิติ Correlation ใช้เพื่อทดสอบอะไร
1. ทดสอบความแตกตางระหว่างตัวแปรที่มี 2 กลุ่ม
2. ทดสอบความแตกตางระหว่างตัวแปรที่มีมากกว่า 2 กลุ่ม
3. ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
4. ทดสอบปัจจัยที่อิทธิพลระหว่างตัวแปร 5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3. สถิติ Correlation ใช้เพื่อทดสอบความแตกตางระหว่างตัวแปร โดยข้อมูลทั้งตัวแปรอิสระและตัว
แปรตามต้องมีระดับการวัดเป็น Interval Scale แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าตัวใดเป็นเหตุหรือตัวใดเป็นผล ทราบแต่
เพียงความสัมพันธ์ของตัวแปรและขนาดของความสัมพันธ์เท่านั้น
22. Rating Scale เป็นมาตรวัดระดับใด
1. Nominal Scale 2. Ordinal Scale 3. Interval Scale
4. Ratio Scale 5. ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2. Rating Scale เป็นมาตรวัดระดับ Ordinal Scale ที่ใช้ในการกำหนดค่าคะแนนให้กับคำถามที่
ใช้วัดตัวแปรต่างๆโดยมีคะแนนแตกต่างกันตามลักษณะของตัวแปรเช่น 3 5 7 9 หรือ 11 ดังนั้นการใช้ Rating
Scale ผู้ให้คะแนนควรมีความรู้ในการให้คะแนนเป็นอย่างดี
23. เทคนิคการทดสอบสหสัมพันธ์เฉลี่ยระหว่างข้อเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การทดสอบทฤษฎี 2. การทดสอบบความแม่นตรงของมาตรวัด
3. การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด 4. ไม่มีข้อถูก 5. ถูกทั้งข้อ 1 2 และ 3
ตอบ 3. เทคนิคการทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด มีดังนี้
1. เทคนิคการทดสอบซ้ำ (Test-Retest)
2. เทคนิคการทดสอบแบบแบ่งครึ่ง (Split-Half)
3. เทคนิคการทดสอบคู่ขนาน (Parallel Form)
4. เทคนิคการทดสอบสหสัมพันธ์เฉลี่ยระหว่างข้อ (Average Inter Correlation)
24. Content Validity เกี่ยวข้อกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การทดสอบทฤษฎี 2. การทดสอบบความแม่นตรงของมาตรวัด
3. การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด 4. ไม่มีข้อถูก 5. ถูกทั้งข้อ 1 2 และ 3
ตอบ 2. Zeller & Cammines ได้จำแนกความแม่นตรงของมาตรวัดออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. ความแม่นตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity)
2. ความแม่นตรงที่สัมพันธ์กับมาตรฐาน (Criterion-Related Validity)
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 41
............................................................................................................................................................................................
3. ความแม่นตรงเชิงโครงสร้าง (Construct Validity)
25. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของเครื่องมือวัด 1. การทดสอบทฤษฎี
2. การทดสอบความแม่นตรงของมาตรวัด 3. การทดสอบความเชื่อถือได้ของมาตรวัด
4. การมีความหมายของการวัด 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 1. คุณภาพของเครื่องมือวัดมีเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้ 1. ความเชื่อถือได้ 2. ความแม่นตรง
3. ความเป็นปรนัย 4. ความแม่นยำ 5. ความไวในการแบ่งแยก
6. การมีความหมายของการวัด 7. การนำเครื่องมือนั้นไปปฏิบัติได้ง่าย
8. การมีประสิทธิภาพสูง
26. ข้อใดไม่ถูกต้อง
1. ตัวแปรที่มีความซับซ้อนอาจใช้ดัชนีหลายๆอันประกอบกัน
2. การสร้างมาตรวัดทำความเข้าใจประเภทของตัวแปรและระดับการวัดของตัวแปร
3. มาตรวัดระดับสูงสามารถลดระดับลงมาเป็นระดับต่ำได้
4. มาตรวัดระดับต่ำสามารถยกระดับให้สูงได้ 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 4. ข้อสังเกตที่สำคัญของมาตรวัดคือมาตรฐานระดับสูงนั้นสามารถลดระดับลงมาแบบต่ำได้แต่มาตรวัด
ระดับต่ำไม่สามารถยกระดับให้สูงขึ้นได้
27. ท่านสามารถใกล้ชิดกับเกย์ได้เพียงใด 1. นั่งใกล้ๆ ได้
2. กินข้าวร่วมกันได้ 3. อยู่บ้านเดียวกันได้ 4. นอนห้องเดียวกันได้
เป็นมาตรวัดประเภทใด 1. Likert Scale 2. Guttman Scale
3. Semantic Differential Scale 4. Rating Scale 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2. Guttman Scale เป็นคำตอบในมิติเดียว โดยแต่ละคำถามจะถูกการกลั่นกรองและเรียงลำดับข้อที่
ได้คะแนนสูงกว่าจะมีการสะสมข้อที่ได้คะแนนน้อยกว่า ตัวอย่างเช่น
คำถาม : ท่านสามารถใกล้ชิดกับเกย์ได้มากน้อยเพียงใด
คำตอบ : 1. นั่งใกล้ๆได้ 2. กินข้าวร่วมกันได้ 3. อยู่บ้านเดียวกันได้ 4. นอนห้องเดียวกันได้
ถ้าตอบข้อ 1 ท่านสามารถทำข้อ 1 ได้เพียงข้อเดียว
ถ้าตอบข้อ 2 ท่านสามารถทำทั้งข้อ 1 และข้อ 2 ได้
ถ้าตอบข้อ 3 ท่านสามารถทำทั้งข้อ 1 และ 2 และ 3 ได้
ถ้าตอบข้อ 4 ท่านสามารถทำได้ทุกข้อ
28. ความรู้สึกต่อชีวิตประจำวันของท่านเป็นอย่างไร
ชีวิตไร้ค่า_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ ชีวิตมีค่า
สิ้นหวัง_ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ _ มีความหวัง
เป็นมาตรวัดประเภทใด
1. Likert Scale 2. Guttman Scale 3. Semantic Differential Scale
4. Rating Scale 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3. Semantic Differential Scale เป็นมาตรวัดที่พัฒนาขึ้นโดย Osgood และคณะเพื่อศึกษามิติ
ความแตกต่างโดยมาจากการตัดสินคำศัพท์คู่ที่ตรงข้าม โดยแต่ละแนวคิดจะปรากฏอยู่ตรงกันข้ามภายใต้คะแนน
7-11 และให้ผู้ตอบตัดสินแนวคิด โดยเลือกช่วงที่เหมาะสมกับความรู้สึกมากที่สุด ตัวอย่างเช่น
คำถาม : ความรู้สึกต่อชีวิตปัจจุบันของท่านเป็นอย่างไร
คำตอบ : ชีวิตไร้ค่า ชีวิตมีค่า
สิ้นหวัง มีความหวัง
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 42
............................................................................................................................................................................................
เบื่อหน่าย น่าสนใจ
ยาก ง่าย
29. การเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสาร โดยกำหนดประเด็นที่ต้องการศึกษาและทำการค้นคว้าหาข้อมูลจากหลักฐาน
เอกสารต่างๆที่เกี่ยวข้องเป็นการวิจัยประเภทใด
1. Survey Research 2. Documentary Research 3. Field Research
4. Experimental Research 5. Descriptive Research
ตอบ 2. การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เป็นการวิจัยแบบหนึ่งที่มีการเก็บรวบรวม
ข้อมูลเอกสาร สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือสื่อข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต โดยกำหนดประเด็นที่ต้องการศึกษา และทำการค้นคว้า
หาข้อมูล ซึ่งต้องใช้ทักษะด้านการอ่านมากที่สุดในการศึกษา จากหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น หนังสือพิมพ์
เอกสารราชการ หนังสือ ตำรา คลิป YouTube รวมไปถึงหลักฐาน/เอกสารทางประวัติศาสตร์ โบราณวัตถุ และสิง
ปรักหักพัง ศิลาจารึก เป็นต้น
30. ผู้วิจัยสามารถควบคุมตัวแปรต่างๆ โดยวิธีกำหนดกลุ่มควบคุมและกลุ่มเปรียบเทียบเพื่อให้การวิจัยมีความ
เชื่อถือได้สูงเป็นการวิจัยประเภทใด
1. Survey Research 2. Documentary Research 3. Field Research
4. Experimental Research 5. Descriptive Research
ตอบ 4. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยสามารถควบคุมสิ่งแวดล้อม
และตัวแปรต่างๆดดยวิธีกำหนดกลุ่มควบคุมและกลุ่มเปรียบเทียบเพื่อให้การวิจัยมีความเชื่อถือได้สูง ซึ่งวิธีการวิจัยใน
ลักษณะนี้แทบจะไม่ค่อยได้นำมาใช้ในทางรัฐศาสตร์ แต่มักจะถูกนำมาใช้มากในศึกษาศาสตร์
31. การวิจัยโดยจัดทำแบบสอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของหน่วยการศึกษาเป็นการวิจัยประเภทใด
1. Survey Research 2. Documentary Research 3. Field Research
4. Experimental Research 5. Descriptive Research
ตอบ 1. การวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) เป็นการวิจัยที่เน้นการสำรวจข้อมูลพื้นฐานทั่วไป ซึ่งส่วน
ใหญ่ไม่ได้ลงลึกมากนัก โดยจัดทำแบบสอบถามไปยังกลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนของหน่วยในการศึกษา การวิจัยนี้จะไม่
เน้นการอธิบายหรือวิเคราะห์ถึงสาเหตุการเกิดขึ้นของข้อมูลแต่จะมุ่งเก็บข้อมูลที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตเห็นได้ง่าย
ตัวอย่างเช่น การสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งของไทยในการเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2562 ว่ามีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนกี่คน ไม่มาช้
สิทธืกี่คน เป็นต้น
32. การวิจัยที่ผู้วิจัยเลือกหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งหรือพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเพื่อทำการศึกษาเพื่อให้เข้าใจในพื้นที่นั้นๆเป็น
การวิจัยประเภทใด
1. Survey Research 2. Documentary Research 3. Field Research
4. Experimental Research 5. Descriptive Research
ตอบ 3. การวิจัยสนาม (Field Research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยเลือกหมู่บ้านใดหมู่บ้านหนึ่งหรือพื้นที่ใด
พื้นที่หนึ่งเพื่อทำการศึกษา เพื่อให้เข้าใจพื้นที่นั้นๆดดยการวิจัยประเภทนี้มีข้อจำกัดอยู่ว่า ไม่สามารถนำมาขยายผลใน
พื้นที่อื่นได้ เพราะผลการวิจัยเป็นลักษณะเฉพาะของแต่ละพื้นที่แต่จะมีข้อดีคือ เข้าใจตัวอย่างที่ศึกษาได้อย่างละเอียด
คลอบคลุมในทุกประเด็นที่ต้องการศึกษา
33. การวิจัยเพื่อมุ่งหาข้อเท็จจริงใหม่ๆ เท่านั้น ไม่ต้องการอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นการวิจัยประเภทใด
1. Survey Research 2. Documentary Research 3. Field Research
4. Experimental Research 5. Descriptive Research
ตอบ 5. การวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Research) เป็นการวิจัยเพื่อมุ่งหาข้อเท็จจริงใหม่ ๆเท่านั้น
ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่ออธิบายว่าปรากฏการณ์ที่ศึกษานั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไร หรือมีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิด
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 43
............................................................................................................................................................................................
34. ข้อใดที่การสุ่มตัวอย่างไม่สามารถเป็นตัวแทนประชากรทั้งหมดได้
1. การสุ่มตัวอย่างแบบง่ายๆ 2. การสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบ
3. การเลือกตัวอย่างแบบกำหนดโควตา 4. การสุ่มตัวอย่างแบบแยกประเภทสุ่ม
5. การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งเป็นกลุ่ม
ตอบ 3. การกำหนดกลุ่มตัวอย่างโดยไม่ใช้หลักความน่าจะเป็น เป็นการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงเจตนาใช้
ความสะดวกหรือความสนใจของผู้วิจัยเป็นหลัก ซึ่งไม่สามารถเป็นตัวแทนประชากรทั้งหมดได้ เช่นการเลือกตัวอย่าง
แบบกำหนดโควตา การเลือกตัวอย่างโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญระบบ การเลือกตัวอย่างแบบลูกโซ่ เป็นต้น
35. ข้อใดเป็นสถิติอนุมาน 1. การแจกแจงความถี่ 2. การวัดการกระจาย
3. การประมาณค่า 4. ไม่มีข้อถูก 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 3. สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) แบ่งออกเป็น 3 เทคนิคย่อย ได้แก่
1. การประมาณค่า 2. การทดสอบสมมุติฐาน 3. การกระจายของกลุ่มประชากร
36. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยตามหลัก “SMART”
1. สามารถวัดและตรวจสอบได้ 2. สามารถทำได้จริง 3. สอดคล้องกับปัญหา
4. ใช้ระยะเวลาอย่างเต็มที่ไม่จำกัด 5. มีความเหมาะสมกับผู้วิจัย
ตอบ 4. วัตถุประสงค์ที่มีลักษณะ “SMART” ประกอบด้วย ความเหมาะสม (Sensible : S) การวัดและ
ตรวจสอบได้ (Measurable : M) การบรรลุและทำได้จริง (Attainable : A) ความสมเหตุสมผลสอดคล้องกับ
ปัญหา (Reasonable : R) และการคำนึงถึงระยะเวลาที่เหมาะสม (Time : T)
37. ข้อใดต่อไปนี้เป็นการเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหาที่เหมาะสม
1. การเขียนอารัมภบทให้น่าอ่านและได้อรรถรส
2. การเขียนบางประเด็นที่น่าสนใจมากกว่าความครอบคลุมทั้งหมด
3. การอ้างอิงแหล่งที่มาเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
4. การนำตัวเลขและตารางมาประกอบให้มากที่สุด
5. การขมวดประเด็นที่จะศึกษาในย่อหน้าสุดท้าย
ตอบ 5. การเขียนที่มาและความสำคัญของปัญหาที่เหมาะสมผู้วิจัยต้องคำนึงถึงหลักสำคัญได้แก่ 1. การ
เขียนให้ตรงประเด็นไม่เยิ่นเย้อหรืออ้อมค้อม 2. การเขียนให้ครอบคลุมประเด็นสำคัญทั้งหมด 3. การเขียนให้มีความ
ยาวเหมาะสมไม่สั้นจนเกินไป 4. การหลีกเลี่ยงการนำตัวเลขและตารางยาวๆหรือข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องมาใส่
5. การอ้างอิงแหล่งที่มาของเอกสารประกอบอย่างสมบูรณ์เสมอ 6. การขมวดหรือสรุปประเด็นที่จะศึกษาในย่อหน้า
สุดท้ายเป็นต้น
38. การเขียนบทนำให้มีความชัดเจนและดึงดูดผู้อ่านสามารถเริ่มจากสิ่งใดได้
1. ปัญหาสังคมในวงกว้าง 2. ข่าวสารบ้านเมืองทั่วไป 3. ความลับของนักการเมือง
4. เรื่องเล่าเกี่ยวกับดารา 5. ประเด็นที่นักวิจัยต้องการศึกษาเป็นส่วนตัว
ตอบ 1. การเขียนบทนำให้มีความชัดเจนและดึงดูดผู้อ่านให้ได้ โดยทั่วไปแล้วควรเริ่มต้นจากสภาพการณ์หรือ
เหตุการณ์บางอย่างที่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมอย่างกว้างๆเพื่อชี้ให้เห็นว่าสังคมกำลังมีความเดือดร้อนหรือความ
ยุ่งยากอย่างไรบ้างถ้าหากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องไม่รีบหาทางแก้ไขปัญหาเหล่านั้นย่อมนำไปสู่ความสูญเสียที่มากขึ้นได้
39. คำว่า “การออกแบบงานวิจัย” ตรงกับข้อใดต่อไปนี้
1. Research Result 2. Research Project 3. Research Design
4. Research Outcome 5. Research Method
ตอบ 3. บทนำ เป็นเนื้อหาที่มีความสำคัญอย่างมากในการเปิดประเด็นให้ผู้อ่านเห็นถุงความสำคัญของ
การศึกษาปัญหาวิจัย อันจะนำไปสู่ “การออกแบบงานวิจัย” Research Design ต่อไป
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 44
............................................................................................................................................................................................
40. ข้อตกลงที่เรียกว่า “สัญญา” ในการทำวิจัย สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
1. ความสำคัญของการศึกษา 2. วัตถุประสงค์ 3. สมมุติฐาน
4. ประโยชน์ในการทำวิจัย 5. ข้อตกลงในการทำวิจัย
ตอบ 2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย เป็นการอธิบายที่ต้องการบอกเป้าหมายหรือความต้องการของงานวิจัยว่า
ผู้วิจัยต้องการทราบอะไรเพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบการวิจัยที่มีความเหมาะสมต่อไป หรืออาจกล่าวอีกนัย
หนึ่งว่า วัตถุประสงค์ของการวิจัยเปรียบเทียบได้กับ “สัญญา” ที่ผู้วิจัยได้กระทำไว้ว่าผู้อ่านจะได้รับทราบข้อมูล
เหล่านั้นในรายงานการวิจัยฉบับนี้ได้
41. ประโยคที่ว่า “.......เพื่อแก้ปัญหาในการดำเนินงานของหน่วยงานที่ทำวิจัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ในเชิง
วิชาการ เพื่อบริการให้ความรู้แก่ประชาชน......” เป็นตัวอย่างของข้อใดต่อไปนี้
1. ความสำคัญของการศึกษา 2. วัตถุประสงค์ 3. สมมุติฐาน
4. ประโยชน์ในการทำวิจัย 5. ข้อตกลงในการทำวิจัย
ตอบ 4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในการทำวิจัย เป็นการแสดงให้ผู้อ่านได้เห็นคุณค่าหรือประโยชน์ของข้อ
ค้นพบที่ได้จากการศึกษาวิจัย ทั้งนี้ผู้วิจัยจำเป็นต้องแสดงประโยชน์ให้อยู่ในขอบเขตของวัตถุประสงค์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง
ผู้วิจัยสามารถแสดงได้หลายทาง ตัวอย่างเช่น เพื่อแก้ปัญหาในการดำเนินงานของหน่วยงานที่ทำวิจัย เพื่อสร้างองค์
ความรู้ใหม่ในเชิงวิชาการ เพื่อบริการความรู้ให้แก่ประชาชน เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจ เป็นต้น
42. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ขอบเขตของการทำวิจัย
1. ขอบเขตด้านประชากร 2. ขอบเขตด้านเนื้อหา 3. ขอบเขตด้านเวลา
4. ขอบเขตด้านสถานที่ 5. ขอบเขตด้านวิธีการวิจัย
ตอบ 5. ขอบเขตของการวิจัย เป็นการทำให้ผู้อ่านเห็นภาพทั้งหมดของงานวิจัยว่า การศึกษาของผู้วิจัยนั้น
ครอบคลุมในประเด็นใด พื้นที่ใด หรือระยะเวลาใดบ้าง ซึ่งการกำหนดขอบเขตที่ชัดเจนนั้นจะทำให้ผู้วิจัยตีกรอบที่
ชัดเจนว่างานวิจัยมีความเกี่ยวข้องกับอาณาบริเวณของคลังข้อมูลจำนวนมหาศาลเพียงใด ดังนั้นขอบเขตของงานวิจัย
จึงสามารถปรากฏได้ในหลายลักษณะ เช่น ขอบเขตด้านสถานที่ ประชากร เนื้อหาสาระ เวลา เป็นต้น
43. การทำให้ผู้อ่านทราบถึงปัญหาความคลาดเคลื่อน (Error) ในช่วงระหว่างการวิจัย โดยที่ผู้วิจัยไม่สามารถ
ควบคุมหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวได้ จนกระทั่งอาจส่งผลต่อผลการศึกษาหรือข้อค้นพบของงานวิจัยนั้น
หมายถึงข้อใดต่อไปนี้ 1. ข้อตกลงในการทำวิจัย 2. ข้อจำกัดของการวิจัย
3. นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย 4. ขอบเขตของการวิจัย 5. ประโยชน์ในการทำวิจัย
ตอบ 2. ข้อจำกัดของการวิจัย เป็นการทำให้ผู้อ่านทราบถึงปัญหาความคลาดเคลื่อนในช่วงระหว่างการวิจัย
โดยที่ผู้วิจัยไม่สามารถควบคุมหรือหลีกเลี่ยงปัจจัยดังกล่าวได้จนกระทั่งอาจส่งผลต่อผลการศึกษาหรือข้อค้นพบของ
งานวิจัยนั้น
44. คำว่า “ขนมชั้น” มักปรากฏให้เห็นในส่วนใดของการวิจัย
1. ความสำคัญของการศึกษา 2. นิยามศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย 3. การทบทวนวรรณกรรม
4. การเก็บข้อมูลการวิจัย 5. การเขียนข้อเสนอแนะ
ตอบ 3 คำว่า “ขนมชั้น” ในงานวิจัย หมายถึง การเรียงเอกสารงานวิจัยตามรายชื่อหรือปีที่มีการเผยแพร่ต่อ
กันไปเรื่อย ๆ ซึ่งมักปรากฏให้เห็นในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการทบทวนวรรณกรรมและรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้อง
45. คำว่า “ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง” สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
1. Research Methodology 2. Research Result 3. Research Conclusion
4. Recommendation 5. Research Findings
ตอบ 1. บทที 3 วิธีดำเนินการวิจัย ของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์จะเกี่ยวข้องกับระเบียบวิธีวิจัย
(Research Methodology) ซึ่งเป็นการแสดงให้ผุ้อ่านได้เห็นว่าการค้นหาคำตอบตามวัตถุประสงค์ข้างต้นนั้นได้ใช้
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 45
............................................................................................................................................................................................
วิธีการในการแสวงหาคำตอบอย่างไร มีรูปแบบการวิจัยประชากรและกลุ่มตัวอย่าง พื้นที่ที่ใช้ในการวิจัย วิธีการสร้าง
เครื่องมือ การตรวจสอบเครื่องมือ การทดสอบเครื่องมือ วิธีการและขั้นตอนในการเก็บรวบรวมข้อมูล การประมวลผล
และการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไร
81. ประยุทธต้องการศึกษาหมอกควันในเขตกรุงเทพมหานครเปรียบเทียบกับหมอกควันในจังหวัดเชียงใหม่
“หมอกควัน” ในทางการวิจัยเรียกว่าอะไร
ตอบ 4. หน่วยในการวิเคราะห์ (Unit of Analysis) หมายถึง หน่วยของสิ่งที่นักวิจัยนำลักษณะหรือ
คุณสมบัติของสิ่งๆนั้นมาวิเคราะห์
82. มุ่งเก็บข้อมูลที่เป็นรูปธรรมที่สังเกตได้ง่าย ตัวอย่างของการวิจัยเช่นนี้ก็เช่น การสำรวจผู้มีสิทธิเลือกตั้งของไทยใน
การเลือกตั้ง ปี พ.ศ. 2562 ว่ามีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนกี่คน
ตอบ 5. ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ
83. การศึกษารัฐธรรมนูญผ่านตำราและเอกสารการวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการวิจัยนี้เรียกว่าอะไร
ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ
84. ตัวแปรตาม
ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ
85. ตัวแปรตั้งต้น
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ
➢ ตั้งแต่ข้อ 86. – 91. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถาม
1. Research Question 2. Observation 3. Research Objective
4. Approach 5. Method
86. ไม่ควรตั้งในลักษณะปลายปิด
ตอบ 1. คำถามการวิจัย (Research Question) หมายถึง คำถามที่ต้องการหาคำตอบจากปรากฎการณ์ที่
นำมาศึกษาวิจัย โดยจะต้องเป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ หรือเป็นคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบได้โดยง่าย หรือมี
คำตอบแต่ยังไม่ชัดเจน ใช้คำถามปลายเปิดเป็นส่วนใหญ่ ไม่ควรตั้งในลักษณะปลายปิด และจะต้องเป็นคำถามที่
น่าสนใจที่จะหาคำตอบด้วยซึ่งคำถามในการวิจัยนั้นมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่
1. คำถามประเภท “อะไร” เช่น ทฤษฎีในการพัฒนาเศรษฐกิจมีกี่ประเภท อะไรบ้าง ฯลฯ
2. คำถามประเภท “ทำไม” เช่น ทำไมน้ำจึงท่วมในเขตกรุงเทพมหานครง่ายมาก ฯลฯ
3. คำถามประเภท “อย่างไร” เช่น ประเทศไทยเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้อย่างไร ฯลฯ
87. เป็นขั้นตอนแรกที่สุดของการเริ่มต้นวิจัย
ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 61 ประกอบ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 51
............................................................................................................................................................................................
88. วิธีการตั้งประโยคต้องใช้คำขึ้นต้นคำว่า “เพื่อ”
ตอบ 3. วัตถุประสงค์ในการทำวิจัย (Research Objective) คือการบอกจุดมุ่งหมาย ในการทำวิจัยว่าจะ
ทำไปเพื่ออะไร ซึ่งจะมีวิธีการตั้งประโยคด้วยการใช้คำขึ้นต้นว่า “เพื่อ” เช่น เพื่อสำรวจ เพื่อพรรณนา เป็นต้น
89. ต้องตั้งด้วยประโยคประเภท “อะไร ทำไม อย่างไร”
ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ
90. วิธีการเก็บข้อมูล
ตอบ 5. คำว่า Method หมายถึง วิธีการของคน ๆ หนึ่งที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเพื่อนำมาทำความเข้าใจหรือใช้
อธิบายบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งอาจจะแปลเป็นภาษาไทยว่า วิธีการ
91. การวิเคราะห์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ
ตอบ 4. แนวการวิเคราะห์ (Approach) หมายถึง กรอบหรือเค้าโครงทางความคิดอย่างกว้าง อันเป็น
พื้นฐานในการพรรณนาความหรือการอธิบายหรือการวิเคราะห์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะโดยใน Approach
หนึ่งๆ จะประกอบไปด้วยสมมุติฐานเบื้องต้นเกี่ยวกับการเมืองในเรื่องนั้น ๆ เช่น ทฤษฎีเกม (Game Theory)
➢ ตั้งแต่ข้อ 92. – 95. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถาม
1. Institutional Approach 2. Rational Choice Approach
3. Historical Approach 4. System Approach 5. Psychological Approach
92. ถ้าอยากเข้าใจการเมืองไทยให้ไปศึกษารัฐธรรมนูญ
ตอบ 1. แนวการวิเคราะห์แบบสถาบันนิยม (Institutional Approach) เป็นการที่ศึกษารัฐศาสตร์ที่
เน้นหนักในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญ และอิทธิพลของโครงสร้างทางการเมืองที่มีต่อการเมือง โดยเชื่อว่าโครงสร้างทาง
การเมืองหรือสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมมนุษย์ นักรัฐศาสตร์สมัยใหม่แนวสถาบันนิยม ได้แก่
1. เฮอร์มัน ไฟเนอร์ ผู้เขียนงานเรื่อง The Theory and Practice of Modern Government
2. วูดโรว์ วิลสัน ผู้เขียนงานเรื่อง Congressional Government : A Study in American Politics
93. เชื่อว่าในทุกสังคมนั้นมีลักษณะเป็นระบบที่ทำการรักษาตนเองให้อยู่รอดเสมอๆนักคิดคนสำคัญได้แก่ Gabriel
Almond
ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 75 ประกอบ
94. Maximize Utility และ Maximin
ตอบ 2. แนวคิดวิเคราะห์แบบการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (Rational Approach) จะมีสมมุติฐานที่สำคัญ
คือ มนุษย์ทุกคนเป็นมนุษย์ที่มีเหตุผล เวลาจะทำอะไรแล้วจะคำนวณอยู่ตลอดเวลาว่าตนเองได้ประโยชน์อย่างไรและ
เสียประโยชน์อย่างไร และเมื่อคำนวณดูผลลัพธ์ในทางต่างๆแล้วคนๆนั้นก็จะทำตามในทางที่ตนเองได้ประโยชน์มาก
ที่สุด (Maximize Utility) หรือในกรณีตนเองไม่มีทางจะได้ประโยชน์ คน ๆ นั้นก็จะเลือกวิธีการที่ตนเองจะ
เสียเปรียบน้อยที่สุด (Maximin)
95. ถ้าอยากเข้าใจปรากฏการณ์ปัจจุบัน จำเป็นจะต้องไปศึกษาเหตุการณ์ก่อนหน้า
ตอบ 3. แนวทางการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ (Historical Approach) มีสมมุติฐานว่า ปรากฏการณ์
ต่างๆที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นมีที่มาจากพัฒนาการที่คลี่คล้ายตามลำดับเหตุการณ์อันเชื่อมโยงมาจากเหตุการณ์ที่
สำคัญๆก่อนหน้านั้น ด้วยเหตุนี้เองนักรัฐศาสตร์ที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมืองต่างๆ ตามช่วงเวลาในอดีตหรือ
ปัจจุบัน นักรัฐศาสตร์ก็จำเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปดูวิวัฒนาการของเหตุการณ์ก่อนหน้าในช่วงยาว แล้วพิจารณาดูว่า
เหตุการณ์ไหนเป็นเหตุการณ์ตั้งต้นที่เป็นสาเหตุของเหตุการณ์ในปัจจุบัน
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 52
............................................................................................................................................................................................
96. คำถามที่ใช้มาตรวัดแบบ Likert Scale จัดเป็นคำถามในลักษณะใด
1. Check-List Question 2. Multiple Choice Question
3. Multi-Response Question 4. Rank Primary Question
5. Rating Scale Question
ตอบ 5. คำถามในลักษณะมาตรส่วนประมาณค่า Rating Scale Question จัดเป็นแบบสอบถามปลาย
ปิดชนิดหนึ่ง โดยแบบที่นิยมใช้และรู้จักกันอย่างแพร่หลายได้แก่ มาตรวัดแบบ Likert Scale, มาตรวัดแบบ
Guttman Scale, มาตรวัดแบบ Osgood Scale, มาตรวัดแบบ Thurstone Scale เป็นต้น
97. ข้อใดไม่ใช่เกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคุณภาพของเครื่องมือวัด
1. ความแม่นตรง 2. ความเชื่อถือได้ 3. การมีประสิทธิภาพ
4. การมีความหมาย 5. ความเป็นปรนัย
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 25 ประกอบ
98. ในการทดสอบความเชื่อถือได้ (Reliability) ต้องพิจารณาในเรื่องใด
1. ความมีเสถียรภาพ 2. การทดแทนซึ่งกันและกันได้ 3. การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
4. ข้อ 1 และ 3 ถูก 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 5. การทดสอบความเชื่อถือได้ต้องพิจารณาดังนี้ 1. ความมีเสถียรภาพ (Stability)
2. การทดแทนซึ่งกันและกันได้ (Equivalence) 3. การเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity)
99. ข้อใดเป็นข้อจำกัดของการใช้แบบสอบถาม
1. สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย 2. เกิดความลำเอียงหรืออคติได้งาย
3. ต้องอาศัยผู้มีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ
4. ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลกับผู้ที่อ่านเขียนหนังสือไม่ได้ 5. สามารถกลับไปซักถามต่อได้
ตอบ 4. ข้อจำกัดของการส่งแบบสอบถาม มีดังนี้
1. ไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่ได้ตรงกับความจริงหรือไม่ถ้าเครื่องมือวัดไม่ดีพอ
2. มีลักษณะยืดหยุ่นน้อย 3. มักได้แบบสอบถามกลับคืนมาจำนวนน้อย
4. ไม่สามารถใช้กับประชากรที่ไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ 5. ไม่สามารถกลับไปซักถามต่อได้
100. ข้อใดคือลักษณะทั่วไปของการวิจัยเชิงปริมาณ
1. ตีความจากเอกสาร 2. ใช้การสอบถามเป็นหลัก
3. มีลักษณะเป็นNormative 4. ทดสอบทฤษฎีด้วยเครื่องมือทางสถิติ
5. ให้ความสำคัญกับความหมายของสิ่งที่ศึกษา
ตอบ 4. ลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ คือ 1. ต้องการทดสอบทฤษฎีด้วยเครื่องมือทางสถิติ
2. เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข 3. มีทฤษฎีเป็นกรอบการศึกษา
4. เป็นการเลือกประชากรทั้งหมด
5. มีวิธีการเก็บข้อมูล โดยใช้การสอบถามและการสัมภาษณ์ตามแนวเป็นหลัก
6. สรุปจากข้อเท็จจริงที่รวบรวมมาได้โดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 53
............................................................................................................................................................................................
การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561
………………
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 69
............................................................................................................................................................................................
การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561
..................
➢ คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (มีข้อสอบทั้งหมด 100 ข้อ)
➢ จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 1. - 5.
1. Inductive Reasoning 2. Deductive Reasoning 3. Positivism
4. Anti-Positivism 5. Rational Approach
1. การเริ่มต้นจากข้อเท็จจริงเฉพาะได้จากประสบการณ์หรือเหตุการณ์และนำข้อสรุปกฎเกณฑ์เรียกว่าการแสวงหา
ความรู้แบบใด
ตอบ 1. เหตุผลเชิงอุปมาน (Inductive Reasoning) เป็นวิธีเริ่มต้นจากข้อเท็จจริงเฉพาะซึ่งได้จาก
ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่ศึกษาและนำไปสู่ข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์เป็นการหาจากส่วนย่อยไปสู่ส่วนใหญ่ เช่น
การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นต้น
2. วิธีที่เริ่มจากหลักเกณฑ์ทั่วไปและนำไปทดสอบยืนยันด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริง เรียกว่าอะไร
ตอบ 2. เหตุผลเชิงอนุมาน (Deductive Reasoning) เป็นวิธีที่เริ่มจากหลักเกณฑ์หรือข้อเท็จจริงทั่วไป
และนำไปทดสอบยืนยันด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงเป็นการหาจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อย เช่น การวิจัยเชิง
ปริมาณ เป็นต้น
3. ความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆที่มีอยู่ในธรรมชาติ
และมนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 3. ปฏิฐานนิยม Positivism ได้แก่ แนวคิดที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์หรือการวิจัยเชิงปริมาณเป็น
เครื่องมือ โดยมีความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆที่มีอยู่ใน
ธรรมชาติ และมนุษย์สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5
4 แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเองตามความเชื่อของแต่ละบุคคลอยู่ภายใต้แนวคิดใด
ตอบ 4. อัตภาวะนิยม ภายใต้แนวคิดของกลุ่มคัดค้านปฏิฐานนิยม (Anti-Positivism) คือ แนวความคิดที่
เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเอง ตามความเชื่อของแต่ละบุคคลซึ่งเป็นความจริงอัตวิสัย
5. การเข้าใจกฎต่างๆของธรรมชาติโดยนำหลักพื้นฐานที่มีอยู่มาประมวลผลให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์
ที่เป็นสาเหตุของปัญหาเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 5. แนวการวิเคราะห์แบบการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลRational Approach คือการเข้าใจกฎต่างๆของ
ธรรมชาติโดยนำหลักพื้นฐานที่มีอยู่มาประมวลให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสถานการณ์ที่เป็นสาเหตุของปัญหา
➢ จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ต้องคำถามข้อ 6. - 10.
1. Institutionalism 2. Phenomenology 3. Ethnomethodolog
4. Symbolic Interactionism 5. Empirical Approach
6. แนวคิดที่เชื่อว่าโครงสร้างทางการเมืองเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์
ตอบ 1. แนวการวิเคราะห์แบบสถาบันนิยม (Institutionalism / Institutional Approach) เป็น
การศึกษารัฐศาสตร์ที่เน้นหนักในเรื่องกฎหมายรัฐธรรมนูญและอิทธิพลของโครงสร้างทางการเมืองที่มีต่อการเมืองโดย
เชื่อว่าโครงสร้างทางการเมืองหรือสถาบันทางการเมืองต่าง ๆ เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์นักรัฐศาสตร์
สมัยใหม่แนวสถาบันนิยม ได้แก่
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 70
............................................................................................................................................................................................
1. เซอร์มันไฟเนอร์ (Herman Finer) ผู้เขียนงานเรื่อง The Theory and Practice of Modern
Government
2. วุตโรว์ วิสสัน (Woodrow Wilson) ผู้เขียนงานเรื่อง Congressional Government A Study in
American Politics เป็นต้น
7. แนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกที่จะรู้สึกนึกคิด เป็นตัวกำหนดประสบการณ์ของแต่ละบุคคลเกี่ยวข้องกับ
เรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 2. ปรากฏการณ์นิยม (Phenomenology) เชื่อว่ามนุษย์ทุกคนมีจิตสำนึกที่จะรู้สึกนึกคิดเป็น
ตัวกำหนดประสบการณ์ของแต่ละบุคคลไม่ควรเชื่อจากคำพรรณนาของสื่อมวลชน แต่ให้แสวงหาข้อเท็จจริงจาก
ประสบการณ์ตรงในเรื่องนั้น
8. แนวคิดที่เชื่อว่า การให้ความหมายต่อโลกแห่งชีวิตประจำวันในแต่ละสังคมมีความเชื่อต่อกันอย่างไร
เป็นการศึกษาให้เข้าใจกิจกรรมต่างๆที่มนุษย์มีต่อกันภายใต้สังคมใดสังคมหนึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 3. ชาติพันธุ์วิทยา (Ethnomethodology) คือ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ด้วยการให้
ความหมายต่อโลกแห่งชีวิตประจำวันในแต่ละสังคมมีความเชื่อต่อกันอย่างไร ปฏิบัติต่อกันอย่างไร และเป็น
การศึกษาให้เข้าใจกิจกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์มีต่อกันภายใต้สังคมใดสังคมหนึ่ง
9. แนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งต่างๆบนพื้นฐานของความหมายที่เขาให้แก่สิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
มากที่สุด
ตอบ 4. สัญลักษณ์ปฏิสัมพันธ์นิยม (Symbolic Interactionism) เชื่อว่ามนุษย์มีปฏิสัมพันธ์ต่อสิ่งต่าง ๆ
บนพื้นฐานของความหมายที่เขาให้แก่สิ่งนั้น ซึ่งจะมีกระบวนการให้ความหมายและตีความหมายแก่สิ่งต่าง ๆ โดยผ่าน
สัญลักษณ์และเกิดขึ้นในบริบทของสังคม
10. ความจริงที่สังเกตุได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าและนำมาพิสูจน์ความเชื่อว่าสิ่งที่สัมผัสได้นั้นถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องใด
มากที่สุด
ตอบ 2. แนวทางเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) คือแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับความจริงที่สังเกตได้ด้วย
ประสาทสัมผัสทั้ง 5 และนำมาพิสูจน์ความเชื่อว่าสิ่งที่สัมผัสได้นั้นถูกต้อง เช่น การนับจำนวนคำว่า “ประชาธิปไตย”
ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในประเทศไทยตลอดปี พ.ศ. 2560
11. การใช้ตรรกะหรือแนวทางในความเป็นเหตุและผลที่กำหนดวิธีการในการแก้ปัญหามาเป็นข้อพิสูจน์ความถูกต้อง
ของแนวคิดเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. Scientific Approach 2. Normative Approach 3. Rational Approach
4. Objective Truth 5. Subjective Truth
ตอบ 1. แนวทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Approach) เป็นการใช้ตรรกะหรือแนวทางในความเป็นเหตุ
และผลที่กำหนดวิธีการในการแก้ปัญหา โดยใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์มาเป็นข้อพิสูจน์ความถูกต้องของแนวคิด
12. การนับจำนวนคำว่า“ ประชาธิปไตย” ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในประเทศไทยตลอดปี พ.ศ. 2560 เกี่ยวข้องกับ
เรื่องใดมากที่สุด
1. Scientific Approach 2. Normative Approach 3. Rational Approach
4. Objective Truth 5. Subjective Truth
ตอบ 2 . ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ
13. การแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็นสภาพความเป็นจริงเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
มากที่สุด 1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด
2. การเก็บรวบรวมข้อมูล 3. การวิเคราะห์ข้อมูล
4. การเขียนรายงานการวิจัย 5. การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 71
............................................................................................................................................................................................
ตอบ 1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัดเป็นการแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็น
สภาพความเป็นจริงเพื่อช่วยให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้
14. การสังเกตการสัมภาษณ์และการออกแบบสอบถามเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การวิเคราะห์ข้อมูล 4. การเขียนรายงานการวิจัย
5. การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นกระบวนการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่ตอบปัญหาการวิจัยโดยมีวิธีการต่าง ๆ
คือ การได้ข้อมูลปฐมภูมิ ได้แก่ การสังเกต การสัมภาษณ์ การออกแบบสอบถาม และการได้ข้อมูลทุติยภูมิ ได้แก่ การ
รวบรวมเอกสารหรืองานวิจัยเป็นต้น
15. การเปรียบเทียบข้อมูลหรือการใช้สถิติเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การวิเคราะห์ข้อมูล 4. การเขียนรายงานการวิจัย
5. การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 3. การวิเคราะห์ข้อมูลเป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมมาได้มาวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบข้อมูลหรือใช้
สถิติเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่จะตอบปัญหาการวิจัย
➢ จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 16. – 20.
1.ขอบข่ายและการตั้งปัญหาการวิจัย 2.การสำรวจและการทบทวนวรรณกรรม
3.การกำหนดสมมติฐานเพื่อการทดสอบ 4.การเลือกรูปแบบการวิจัย
5.การกำหนดประชากรเป้าหมายและการสุมตัวอย่าง
16. การกำหนดหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 1. ขอบข่ายและการตั้งปัญหาการวิจัยเป็นการกำหนดหัวเรื่องที่ต้องการศึกษาหรือวิจัย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นใน
การศึกษาหรือวิจัย และจะมีผลต่อกระบวนการวิจัยลำดับต่อไป
17. การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเพื่อให้ได้คำตอบของปัญหาการวิจัยเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
มากที่สุด
ตอบ 2 การสำรวจและการทบทวนวรรณกรรมเป็นการรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
เพื่อให้ได้คำตอบของปัญหาการวิจัยซึ่งอาจจะประมวลจากเอกสารทางวิชาการผลงานวิจัยและเอกสารทาง
ราชการอื่น ๆ
18. การกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือแนวคิดเพื่อการทดสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
มากที่สุด
ตอบ 3. การกำหนดสมมุติฐานเพื่อการทดสอบเป็นการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรหรือแนวคิดเพื่อ
การทดสอบว่าเป็นความจริงหรือไม่การพิสูจน์โดยรวบรวมข้อมูลมายืนยันตามสมมุติฐานที่กำหนดโดยเฉพาะการวิจัย
เชิงปริมาณจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีสมมุติฐาน
19. การกำหนดวิธีการที่สัมพันธ์กับปัญหา เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 4. การเลือกรูปแบบการวิจัย เป็นการกำหนดวิธีการศึกษาที่สัมพันธ์กับปัญหา กรอบความคิด และ
เลือกวิธีการเก็บข้อมูลที่สอดคล้องกับสมมุติฐาน โดยการเลือกรูปแบบการวิจัยต้องเลือกวิธีการศึกษาโดยกำหนด
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ต้องการทำ ตั้งแต่การเลือกตัวแปรการเลือกวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและเลือกวิธีวิเคราะห์ข้อมูลที่
จะตอบปัญหาการวิจัย
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 72
............................................................................................................................................................................................
20. การกำหนดพื้นที่เป้าหมายและกำหนดหน่วยในการศึกษาเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 5. การกำหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่างเป็นการกำหนดหน่วยในการศึกษาหรือหน่วยที่ใช้
ในการเก็บข้อมูลอาจเป็นคุณสมบัติของบุคคลกลุ่มองค์การสังคมหรือพื้นที่แล้วแต่เป้าหมายการวิจัยซึ่งจะมีผลต่อการ
เก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูลฯ และจะแตกต่างไปตามเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
21. การจัดทำแผนในการวิจัยเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การวิเคราะห์ข้อมูล 4. การเขียนรายงานการวิจัย
5. การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 5. การจัดทำโครงร่างการวิจัยหรือการเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย(Research Proposal) เป็น
กระบวนการเบื้องต้นที่ผู้วิจัยต้องจัดทำแผนในการวิจัยเพื่อให้ผู้สอนหรือกรรมการพิจารณาโครงร่างก่อนที่จะ
ดำเนินการทำวิจัยจริง
22. การเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการวิจัยเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การวิเคราะห์ข้อมูล 4. การเขียนรายงานการวิจัย 5. การตั้งคำถามการวิจัย
ตอบ 2. การเขียนรายงานการวิจัยถือเป็นสิ่งสำคัญในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย เพื่อเป็นหลักฐานการวิจัย
และนำไปเผยแพร่ให้ผู้สนใจได้ศึกษาและนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
23. ความสนใจของผู้วิจัย เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. เพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้ 2. เพื่อบรรยาย 3. เพื่ออธิบาย
4. เพื่อทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 5. เพื่อตั้งปัญหาการวิจัยตอบ
ตอบ 3. จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้ (Exploration) เป็นการตั้งปัญหา
ในลักษณะที่ยังไม่มีผู้ศึกษามาก่อนและผู้วิจัยสนใจในการศึกษ าโดยทำการประมวลเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและ
จัดเป็นระบบ
24. เมื่อทราบความสัมพันธ์ของตัวแปรต่างๆ จากกรอบทฤษฎีผ่านการตรวจสอบความเป็นจริงจนแน่ใจว่าถูกต้อง
สามารถนำไปสรุปในเรื่องใดได้
1. เพื่อบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้ 2. เพื่อบรรยาย 3. เพื่ออธิบาย
4. เพื่อทำนายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 5. เพื่อตั้งปัญหาการวิจัยตอบ
ตอบ 4. จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่อทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น (Predictable) เป็นการนำผล
การศึกษาเพื่อทำนายอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้นโดยผลการศึกษาจะต้องมาจากวิธีการอธิบายเมื่อทราบความสัมพันธ์ของตัว
แปรต่าง ๆ จากกรอบทฤษฎีและผ่านการตรวจสอบความเป็นจริงจนแน่ใจว่าถูกต้อง
25. ความหมายของการวิจัยสมัยใหม่อาจจะเทียบได้กับสิ่งใดในพระธรรมปิฎก
1. เหตุผล 2. ความรู้ 3. ปัญญา 4. ความจริง 5. ทักษะ
ตอบ 3. พระธรรมปิฎกได้กล่าวถึง “การวิจัย” ไว้ว่าเป็นคำที่ใช้ในความหมายสมัยใหม่ในวงวิชาการเป็น
กิจกรรมอย่างหนึ่งของสังคมสมัยใหม่ซึ่งอาจเทียบได้กับภาษาบาลีว่า “ปัญญา” เพราะการวิจัยนั้นเป็นลักษณะหนึ่ง
ของการใช้ปัญญาทำให้เกิดปัญญาหรือทำให้ปัญญาพัฒนาขึ้น
26. ข้อใดไม่ใช่เป้าหมายของการวิจัย 1. เพื่อบรรยาย
2. เพื่ออธิบาย 3. เพื่อทำนาย
4. เพื่อควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ 5. ทุกข้อเป็นเป้าหมายการวิจัย
ตอบ 5. นงลักษณ์ วิรัชชัย ได้กำหนดเป้าหมายที่สำคัญของการวิจัย คือ เพื่อบรรยายเพื่ออธิบาย เพื่อทำนาย
และเพื่อควบคุมปรากฏการณ์ต่าง ๆ อันจะช่วยพัฒนาชีวิตและความเป็นอยู่ของมวลมนุษย์และสังคมให้ดีขึ้น
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 73
............................................................................................................................................................................................
27. การศึกษาปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาระบบประชาธิปไตยว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้างการศึกษาในลักษณะ
ดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่ออะไร
1. การบุกเบิกหรือรวบรวมแหล่งความรู้ 2. การบรรยาย 3. การอธิบาย
4. การท้านายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 5. การตั้งปัญหาการวิจัย
ตอบ 3. จุดมุ่งหมายในการตั้งปัญหาเพื่ออธิบาย (Explanation) เป็นการกล่าวถึงความสัมพันธ์ของตัวแปร
ต่าง ๆ ที่เป็นเหตุและผลซึ่งกันและกัน โดยอธิบายว่าตัวแปรใดเป็นสาเหตุให้เกิดผลตามที่มุ่งหวังไว้ เช่น การศึกษา
ปัญหาอุปสรรคในการพัฒนาระบบประชาธิปไตยว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เป็นต้น
28. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ
1. เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม 2. เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก
3. ต้องการทดสอบทฤษฎีด้วยเครื่องมือทางสถิติ 4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย
5. ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
ตอบ 3. ลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพคือ 1. เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม 2. เป็น
การศึกษาระยะยาวและเจาะลึก 3. เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษาเป็นกรณีศึกษา 4. ศึกษาปรากฏการณ์ใน
สภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ 5. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัยเป็นต้น
29. ข้อใดเป็นลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ
1. เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม 2. เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก
3. ต้องการทดสอบทฤษฎีด้วยเครื่องมือทางสถิติ 4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย
5. ศึกษาปรากฏการณ์ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ
ตอบ 3. ลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณคือ 1. ต้องการทดสอบทฤษฎีด้วยเครื่องมือทางสถิติ 2. เน้น
ข้อมูลที่เป็นตัวเลข 3. มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา 4. เป็นการเลือกประชากรทั้งหมด 5. สรุปจากข้อเท็จจริงที่
รวบรวมมาได้โดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์ เป็นต้น
30. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงปริมาณ 1. ต้องการทดสอบทฤษฎี
2. เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข 3. มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา
4. เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษา 5. สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์
ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ
31. ข้อใดเป็นลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ 1. ต้องการทดสอบทฤษฎี
2. เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข 3. มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา
4. เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษา 5. สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์
ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ
32. การเชื่อมโยงระหว่างกรอบแนวคิดกับสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้ เกี่ยวข้องกับเรื่องใด
1. Variable 2. Concept 3. Hypothesis 4. Attribute 5. Measurement
ตอบ 5. มาตรวัด (Measurement) คือ กระบวนการเชื่อมโยงระหว่างกรอบแนวคิดกับสิ่งที่สามารถ
สังเกตเห็นได้มาสู่ตัวบ่งชี้ในสถานการณ์ที่เป็นจริง
33. แนวคิดที่มีมากกว่า 1 ค่าเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
1. Variable 2. Concept 3. Hypothesis 4. Attribute 5. Measurement
ตอบ 1. ตัวแปร (Variable) หมายถึงแนวคิดที่มีมากกว่า 1 ค่าเช่นเพศ (แบ่งเป็นเพศ ชายเพศหญิง), อาชีพ
(แบ่งเป็นรับราชการ ธุรกิจส่วนตัว รับจ้าง) เป็นต้น
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 74
............................................................................................................................................................................................
34. ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในสถานการณ์นั้น ๆ มากำหนดความสัมพันธ์เรียกว่าปัญหา
ประเภทใด 1. ปัญหาเชิงวิเคราะห์ 2. ปัญหาเชิงประจักษ์
3. ปัญหาเชิงปทัสถาน 4. ปัญหาเชิงสังเคราะห์ 5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 2. ปัญหาเชิงประจักษ์ (Empirical Problems) คือ ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ในสถานการณ์นั้น ๆ มากำหนดความสัมพันธ์
35. ลักษณะของปัญหาที่ต้องใช้ความคิดความรู้ในเชิงวิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎหรืออ้างอิงจากแนวคิด
ทฤษฎี หรือนักวิชาการ เรียกว่าปัญหาประเภทใด
1. ปัญหาเชิงวิเคราะห์ 2. ปัญหาเชิงประจักษ์ 3. ปัญหาเชิงปทัสถาน
4. ปัญหาเชิงสังเคราะห์ 5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3. ปัญหาเชิงปทัสถาน (Normative Problems) คือ ลักษณะของที่ต้องใช้ความคิดความรู้เชิง
วิชาการมาประมวลเป็นข้อสรุปหรือกฎหรือใช้การอ้างอิงวิชาการแนวคิดทฤษฎีหรือนักวิชาการตลอดจน
ผู้ทรงคุณวุฒิมายืนยันและตรวจสอบ
36. Predictable คืออะไร 1. การทำนายถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น
2. หยั่งรู้ถึงสิ่งต่างๆว่าดำรงอยู่อย่างไร 3. การให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ
4. การอธิบายถึงรายละเอียดของปรากฏการณ์ 5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 24. ประกอบ
37. Non-Value Free เกี่ยวข้องกับข้อใดที่สุด 1. ห้ามใช้อคติเข้ามาศึกษา
2. ห้ามใช้ทัศนคติตัดสินสิ่งต่าง ๆ ในทางการเมือง 3. การศึกษาต้องเป็นแบบวิทยาศาสตร์เท่านั้น
4. การเมืองเป็นสิ่งแยกไม่ออกจากการใช้ความรู้สึก ความเชื่อ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษา
5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4. การศึกษาที่ได้แยกคุณค่าออกจากสิ่งที่ศึกษา (Non-Value Free) เป็นรูปแบบศึกษาที่ผู้ศึกษาจะ
คิดวิเคราะห์ไตร่ตรองด้วยตนเองในเรื่องที่เกี่ยวกับการเมืองที่ควรจะเป็นดังนั้นจึงทำให้การเมืองเป็นสิ่งที่แยกไม่ออก
จากการใช้ความรู้สึก ความเชื่อ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษา
38. ในช่วงเวลาใดต่อไปนี้ถือได้ว่าการวิจัยในทางรัฐศาสตร์นั้นมีลักษณะเป็นแบบปฏิฐานนิยม (Positivism)
มากที่สุด 1. ค.ศ. 1800–1810 2. ค.ศ. 1850-1860
3. ค.ศ. 1890-1900 4. ค.ศ. 1901-1910 5. ค.ศ. 1950-1960
ตอบ 5. ยุคพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Period) เป็นยุคที่ปรากฏในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ.
1950-1960) ซึ่งพบว่าการวิจัยในทางรัฐศาสตร์นั้นมีลักษณะเป็นแบบ “ปฏิฐานนิยม” (Positivism) มากที่สุดโดยนัก
รัฐศาสตร์ในยุคนี้มองว่า การศึกษาการเมืองจำต้องใช้วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ในการหาความรู้ กล่าวคือ การศึกษา
การเมืองไม่ควรเป็นไปในลักษณะเดิม คือ ศึกษาโครงสร้างและสถาบันหรือศึกษาในเชิงปรัชญาการเมืองอีกต่อไป
ตัวอย่างของแนวทางการศึกษาแบบนี้ ได้แก่ การศึกษาจิตวิทยาผู้นำทางการเมืองการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นต้น
39. ตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันในทางการศึกษารัฐศาสตร์ถือว่าเป็นยุคใด
1. Pre-Behavioral Period 2. Political Philosophy Period
3. Institutional Period 4. Post-Behavioral Period 5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4. ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ (Post-Behavioral Period) เป็นยุคของการศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
คือยุคตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันในยุคนี้ถือเป็นยุคแห่งการกลับมาของการศึกษาแบบเดิมที่ถูกละ
ทิ้งและไม่ให้ความสนใจจากการพยายามครอบงำของพวกพฤติกรรมศาสตร์การศึกษาแบบปรัชญาการเมืองและ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 75
............................................................................................................................................................................................
การศึกษาแบบสถาบันจึงได้เริ่มกลับมาได้รับความสนใจและทำการศึกษากันอีกครั้งหนึ่ง นักวิชาการบางคนจะเรียก
ยุคดังกล่าวว่า ยุคย้อนกลับแห่งการศึกษาการเมืองแบบยุโรป (Period of Re-Europeanization)
40. จากตัวเลือกดังต่อไปนี้ช่วงเวลาใดที่การศึกษาการเมืองหรือรัฐศาสตร์ในประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลมาจาก
การศึกษาการเมืองแบบอเมริกันมากที่สุด
1. ช่วงสิบปีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 2. ช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 กับสงครามโลกครั้งที่ 2
3. ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
4. รัฐศาสตร์ในประเทศไทยไม่เคยได้รับอิทธิพลจากการศึกษาการเมืองแบบอเมริกัน
5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3. ในช่วงหลังปี พ.ศ. 2490 รัฐศาสตร์ในประเทศไทยนั้นได้รับอิทธิพลมาจากการศึกษาการเมืองแบบ
อเมริกันมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตลอดจนได้รับเงินช่วยเหลือสนับสนุนทางการศึกษาจาก
อเมริกาเป็นจำนวนมากทั้งในด้านของการให้ทุนการศึกษาใบเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาและการส่งผู้เชี่ยวชาญอาจารย์
จากอเมริกามาสอนที่คณะรัฐศาสตร์ในประเทศไทย
41. Institutional Approach เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ที่เน้นหนักในเรื่องอะไรต่อไปนี้มากที่สุด
1. เน้นเรื่องการทำนายปรากฏการณ์ทางการเมืองใช้เครื่องมือทางสถิติ
2. กฎหมายรัฐธรรมนูญและอิทธิพลของโครงสร้างทางการเมืองที่มีต่อการเมือง
3. เน้นหนักในด้านปฏิกิริยาทางการเมืองและการศึกษาถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติในทางการเมือง
4. อธิบายปฏิสัมพันธ์ของกลุ่มทางการเมืองต่าง ๆ 5. ถูกทุกข้อ
ตอบ 2. คูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ
42. “ การพยายามค้นหาคำตอบจากปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งผ่านการสังเกตอย่างรอบด้านหรือการเก็บข้อมูลที่จะ
ใช้นำมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบมีแบบแผนซึ่งข้อมูลที่ว่านี้อาจจะได้มาจากการค้นหาตามเอกสารต่าง ๆ หรือ
การลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์หรือด้วยวิธีการอื่น ๆ ที่ทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ต้องการและเมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็นำมา
วิเคราะห์ด้วยเครื่องมือต่าง ๆ หรือขบคิดอย่างละเอียดจนได้มาซึ่งคำตอบที่ต้องการ” ข้อความดังกล่าวเกี่ยวข้อง
กับตัวเลือกใดมากที่สุด 1. Epistemology
2. Philosophy 3. Ethics 4. Research 5. Economics
ตอบ 4. การวิจัย (Research) หมายถึง การพยายามค้นหาคำตอบจากปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ผ่านการ
สังเกตอย่างรอบด้าน หรือการเก็บข้อมูลที่จะใช้น้ำมาวิเคราะห์อย่างเป็นระบบมีแบบแผน ซึ่งข้อมูลที่ว่านี้อาจจะได้มา
จากการค้นหาตามเอกสารต่างๆ หรือการลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์หรือด้วยวิธีการอื่นๆ ที่ทำให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่ต้องการและ
เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วก็นำมาวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือต่างๆ หรือขบคิดอย่างละเอียดจนได้มาซึ่งคำตอบที่ต้องการ
43. “องค์ความรู้ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับวิธีการต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการวิจัยตลอดจนจะเป็นการศึกษาถึงแนวคิดพื้นฐาน
ความเชื่อต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การวิจัยในแต่ละแบบ” ข้อความดังกล่าวเกี่ยวข้องกับตัวเลือกให้มากที่สุด
1. Methodology 2. Epistemology 3. Phenomenology
4. Philosophy 5. Positivism
ตอบ 1. Methodology หมายถึง องค์ความรู้ที่มุ่งศึกษาเกี่ยวกับวิธีการต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในการวิจัย
ตลอดจนจะเป็นการศึกษาถึงแนวคิดพื้นฐาน ความเชื่อต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การวิจัยในแต่ละแบนซึ่งในภาษาไทยมักจะ
คนแปลว่า “ระเบียบวิธีวิจัย” นั่นเอง
44. Approach ใดต่อไปนี้เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ในยุค Classic
1. Institutional Approach 2. Behaviorism 3. Communication Approach
4. Developmental Approach 5. Political Philosophical Approach
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 76
............................................................................................................................................................................................
ตอบ 5. ยุคคลาสสิค (Classical Period) เป็นยุคแรกเริ่มของการศึกษาการเมือง ไม่มีการแยกสาขาของ
ความรู้ โดยถือกำเนิดจากยุคกรีกซึ่งเกิดจากคำถามพื้นฐานของมนุษย์กับรัฐและผู้มีอำนาจเช่น ผู้นำที่ดีต้องมีคุณสมบัติ
อย่างไรการเมืองที่ดีควรจะเป็นอย่างไร ฯลฯ ซึ่งความเป็นสากลของคำถามพื้นฐานเหล่านี้สามารถตั้งคำถามชุดเดียวกัน
โดยไม่จำกัดกรอบเวลาหรือวัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถมีคำตอบได้หลากหลาย ดังนั้นการศึกษารัฐศาสตร์
ในยุคนี้จึงได้กษณะเป็นแนวการวิเคราะห์เชิงปรัชญาการเมือง (Political Philosophical Approach)
45. ตัวเลือกใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเป้าหมายของการวิจัย
1. เป็นการต้องการค้นหาคำตอบที่สงสัย 2. ต้องเชื่อถือได้และใช้วิธีการแบบ Positivism
3. อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง 4. บรรยายปรากฏการณ์ทางการเมือง
5. ข้อ 1 และ 2 กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการวิจัย
ตอบ 5. ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ
➢ ตั้งแต่ข้อ 46. – 52. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถามมากที่สุด
1. Positivism 2. Post-Behavioral Period 3. Transitional Period
4. Classical Period 5. Institutional Period
46. การก่อตั้งสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน (American Political Science Association – APS4) ในปี 1908
เกิดขึ้นในยุคใด
ตอบ 3 . ยุคเปลี่ยนผ่านสู่รัฐศาสตร์สมัยใหม่ (Transitional Period) เป็นยุคที่มีการก่อตั้งสมาคมรัฐศาสตร์
อเมริกัน (American Political Science Association – AESA) ในปี 1903 โดยนักรัฐศาสตร์อเมริกันเริ่มมอง
ว่า วิธีการศึกษาแบบเก่าหรือการศึกษาเชิงโครงสร้างไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริงออกมาได้ ดังนั้นการศึกษาในยุค
นี้จึงเป็นการเริ่มกรุยทางไปสู่ศักราชใหม่ของรัฐศาสตร์แบบวิทยาศาสตร์การเมือง อย่างไรก็ตาม วิธีการศึกษาแบบเก่า
คือสถาบันนิยมยังคงมีอิทธิพลอยู่เพียง แต่เริ่มมีการท้าทายจากวิธีการศึกษาแบบอเมริกัน
47. เป็นยุคที่นักรัฐศาสตร์อเมริกันเริ่มมองว่าวิธีการศึกษาแบบเก่าหรือการศึกษาเชิงโครงสร้างไม่สามารถสะท้อน
ความเป็นจริงออกมาได้
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
48. นักวิชาการบางคนจะเรียกยุคดังกล่าวว่ายุคย้อนกลับแห่งการศึกษาการเมืองแบบยุโรป (Period of Re-
Europeanization)
ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ
49. นักรัฐศาสตร์โดยทั่วไปในยุคนี้จะมองว่าการศึกษาการเมืองจำต้องใช้วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ในการหาความรู้
กล่าวคือการศึกษาการเมืองไม่ควรเป็นไปในลักษณะเดิมคือศึกษาโครงสร้างและสถาบันหรือศึกษาในเชิงปรัชญา
การเมืองอีกต่อไป
ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ
50. วิธีการศึกษาแบบเก่าคือสถาบันนิยมยังคงมีอิทธิพลอยู่เพียงแต่เริ่มมีการท้าทายจากวิธีการศึกษาแบบอเมริกัน
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
51. เป็นยุคของการศึกษารัฐศาสตร์ในปัจจุบัน
ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ
52. ตัวอย่างของแนวทางการศึกษาแบบนี้ ได้แก่ การศึกษาจิตวิทยาผู้นำทางการเมืองการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
วัฒนธรรมทางการเมืองเป็นต้น
ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 77
............................................................................................................................................................................................
53. ก่อนปี พ.ศ. 2490 ประเทศไทยมีการศึกษารัฐศาสตร์ในลักษณะใด
1. การศึกษาโดยได้รับอิทธิพลจากอเมริกันเต็มที่
2. มีการศึกษาหาความรู้ทางการเมืองในประเทศไทย
3. มีการศึกษาโดยใช้วิธีการทางสถิติผสมกับการศึกษาแบบปรัชญาการเมือง
4. มีการสอนในเรื่องโครงสร้างของรัฐและรูปแบบการปกครองรัฐ
5. ศึกษาแบบปรัชญาการเมืองเรานั้น
ตอบ 4. ก่อนปี พ.ศ. 2490 การเรียนการสอนรัฐศาสตร์ในประเทศไทยนั้นพบว่ายังไม่มีการศึกษาหาความรู้
ทางการเมืองหรือสอนวิชาเพื่อทำความเข้าใจการเมือง แต่อย่างใดมีเพียงผลิตข้าราชการ แต่เพียงอย่างเดียวซึ่งในปี
พ.ศ. 2477 ได้มีการก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ขึ้นตามเจตนารมณ์ของคณะราษฎรโดยวิชาที่สอนจะเน้นในเรื่อง
โครงสร้างของรัฐรูปแบบการปกครองรัฐสิทธิหน้าที่พลเมืองเป็นต้น
54. “การสรุปผลข้อมูล” ข้อความดังกล่าวสัมพันธ์กับตัวเลือกใดมากที่สุด 1. Approach
2. Method 3. Conclusion 4. ไม่มีข้อใดถูกต้อง 5. Theory
ตอบ 3. การสรุปผล (Conclusion) เป็นการสรุปผลข้อมูลหรือผลการวิเคราะห์เกิดขึ้นจากการเก็บข้อมูล
โดยอาจจะสรุปว่าสมมติฐานที่ตั้งมานั้นถูกหรือผิด หรือผลของการทดลองหรือผลจากการเก็บข้อมูลเป็นอย่างไร
55. ลักษณะใดต่อไปนี้ไม่ใช่ลักษณะของการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ 1. Reliability
2. Objective 3. Verify 4. Predictive 5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 1. ลักษณะของการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์คือการเน้นภาวะวิสัย (Objective) โดยความรูต้ ้องสามารถ
สังเกตได้อย่างมีระบบสามารถทำได้มีการแยกค่านิยมออกจากสิ่งที่ศึกษา (Value Free) และมีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อ
เป็นการพิสูจน์ (Verify) การอธิบาย (Explanation) และการทำนาย (Predictive)
➢ ตั้งแต่ข้อ 56. – 60 จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถามมากที่สุด
1. Experimental Research 2. Pure Research 3. Analytical Research
4. Documentary Research 5. Quantitative Research
56. บางครั้งการวิจัยที่มีไว้เพื่อตอบคำถาม ไม่ได้มีไว้เพื่อการพัฒนาต่อยอดหรือใช้ในเชิงพาณิชย์เสมอไป
ตอบ 2. การวิจัยบริสุทธิ์ (Pure Research) เป็นการวิจัยที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ในทางวิชาการ
ซึ่งพบว่าบางครั้งการวิจัยก็มีไว้เพื่อตอบคำถามไม่ได้มีไว้เพื่อการพัฒนาต่อยอดหรือใช้ในเชิงพาณิชย์เสมอไป
57. เป็นการวิจัยที่แทบจะไม่ค่อยได้นำมาใช้ในทางรัฐศาสตร์
ตอบ 1. การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental (Research) เป็นการวิจัยที่ผู้วิจัยจะทำการควบคุม
สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อหาตัวแปรหรือปัจจัยตั้งต้นและเพื่อดูความเชื่อมโยงระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งวิธีการวิจัยใน
ลักษณะนี้แทบจะไม่ค่อยได้นำมาใช้ในทางรัฐศาสตร์ แต่มักจะถูกนำไปใช้มากในทางศึกษาศาสตร์
58. ใช้เครื่องมือทางสถิติมาศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมือง
ตอบ 5. การวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) เป็นข้อมูลที่วัดได้เป็นตัวเลขและหา
ความสัมพันธ์ระหว่างค่าตัวแปรนั้น ๆ โดยใช้เครื่องมาศึกษาปรากฏการณ์ เช่นระดับรายได้ ระดับการศึกษา เป็นต้น
59. การศึกษาคำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีผ่านคลิป YouTube ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557-2560 วิธีการดังกล่าวเป็น
การวิจัยผ่านวิธีการใด
ตอบ 4. การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) เป็นการวิจัยแบบหนึ่งที่ใช้ข้อมูลหลักมาจาก
เอกสารสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ หรือสื่อข้อมูลทางอินเตอร์เน็ต เช่น หนังสือพิมพ์ เอกสารราชการ หนังสือ ตำรา คลิป
YouTube เป็นต้น
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 78
............................................................................................................................................................................................
60. เป็นการวิจัยที่มุ่งอธิบายว่าทำไมปรากฏการณ์ทางการเมืองจึงเกิดขึ้นมีที่มาอย่างไร
ตอบ 3. การวิจัยเชิงวิเคราะห์ (Analytical Research) เป็นการวิจัยที่จะวิเคราะห์ความเกี่ยวกันระหว่าง
ตัวแปรต่าง ๆ ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปว่าส่งผลอย่างไรกันกล่าวคือการวิจัยนี้จะมุ่งอธิบายว่าทำไมปรากฏการณ์ทางการเมือง
หนึ่ง ๆ ถึงเกิดขึ้นมีที่มาอย่างไรและทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
➢ ตั้งแต่ข้อ 61. – 66 จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถามมากที่สุด
1. Review Literature 2. Designing Research 3. Data Analysis
4. Collecting Data 5. Hypothesis
61. ผู้วิจัยจำเป็นจะต้องคาดเดาคำตอบล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางหรือเป็นการตีกรอบในการศึกษา
ตอบ 5. การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis) เป็นการคาดเดาคำตอบไว้ล่วงหน้าก่อนลงมือค้นหาคำตอบ ทั้งนี้
เพื่อเป็นแนวทางหรือเป็นการตีกรอบในการศึกษาซึ่งคำตอบล่วงหน้าหรือสมมุติฐานนี้อาจจะผิดหรือถูกก็ได้
ตัวอย่างเช่น นักวิจัยคาดว่าการถ่ายท้องอย่างรุนแรงของชาวเมืองลอนดอนในประเทศอังกฤษน่าจะมาจากการบริโภค
น้ำไม่สะอาด เป็นต้น
62. เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยจะต้องบันทึกข้อมูลที่ได้รับและใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลให้เป็นระบบ
ตอบ 4 การเก็บรวบรวมข้อมูล (Collecting Data) เมื่อได้ออกแบบการวิจัยเรียบร้อยแล้วและโครงร่าง
ได้รับการอนุมัติผู้วิจัยก็จะทำตามสิ่งที่ได้ออกแบบไว้โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่จะนำมาวิเคราะห์เพื่อหา
คำตอบซึ่งผู้วิจัยจะต้องบันทึกข้อมูลที่ได้รับและใช้เครื่องมือเก็บข้อมูลให้เป็นระบบเพื่อให้ง่ายเมื่อจะต้องนำมา
ประมวลผลหรือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาคำตอบ
63. ก่อนการลงมือค้นหาคำตอบ นักวิจัยคาดว่าการถ่ายท้องอย่างรุนแรงของชาวเมืองลอนดอนในประเทศอังกฤษ
น่าจะมาจากการบริโภคน้ำไม่สะอาด
ตอบ 4. ดุคำอธิบายข้อ 61 ประกอบ
64. เมื่อทำการเก็บข้อมูลมาอย่างเพียงพอจนคิดว่าครบถ้วนแล้วผู้วิจัยก็จะนำข้อมูลที่ได้มาหาความสัมพันธ์ ระหว่าง
กันว่า ในข้อมูลที่นักวิจัยได้อะไรคือสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์
ตอบ 3. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) เมื่อทำการเก็บข้อมูลมาอย่างเพียงพอจนคิดว่าครบถ้วนแล้ว
ผู้วิจัยก็จะนำข้อมูลที่ได้มาหาความสัมพันธ์ระหว่างกันว่าในข้อมูลที่นักวิจัยได้อะไรคือสาเหตุของการเกิด
ปรากฏการณ์หรือในทางปริมาณก็อาจจะนำข้อมูลที่ได้มาจัดประเภทว่าอะไรเป็นตัวแปรตั้งต้นและอะไรเป็นตัว
แปรตาม
65. การพิจารณาว่างานวิจัยในอดีตที่เกี่ยวข้องกับงานที่ตัวเองสงสัยนั้นในช่วงเวลาก่อนหน้ามีใครเคยศึกษาไว้บ้าง
ตอบ 1. การทบทวนวรรณกรรม (Review Literature) เป็นการศึกษาถึงงานวิจัยอื่น ๆ ที่เคยทำมาในอดีต
ว่าเคยมีการศึกษาเรื่องที่เราสงสัยไว้แล้วหรือไม่เพราะบางครั้งในอดีตอาจจะมีคนที่สงสัยในเรื่องหนึ่ง ๆ
เช่นเดียวกับเรา
66. เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยพิจารณาเพื่อเลือกเครื่องมือต่าง ๆ ที่จะนำไปเก็บข้อมูล
ตอบ 2 การออกแบบการวิจัย (Designing Research) เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยพิจารณาเพื่อเลือกวิธีการใน
การที่จะเก็บข้อมูลหรือเลือกเครื่องมือต่าง ๆ ที่จะนำไปเก็บข้อมูล เช่น การใช้วิธีการสัมภาษณ์ การเก็บแบบสอบถาม
เป็นต้น
➢ ตั้งแต่ข้อ 67.- 69. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถามมากที่สุด
1. August Comte 2. Sir Isaac Newton 3. Vienna Circle
4. Johannes Kepler 5. Galileo Galilei
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 79
............................................................................................................................................................................................
67. The Stary Messenger เป็นหนังสือที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิด Modern Science ซึ่งงานชิ้น
ดังกล่าวใครเป็นคนแต่ง
ตอบ 5. กาลิเลโอ กาลิเลอิ (Galileo Galilei) เป็นผู้แต่งหนังสือ The Starry Messenger ตีพิมพ์ในปี
ค.ศ. 1610 ซึ่งเป็นหนังสือที่มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิดวิธีการแสวงหาความรู้แบบสมัยใหม่ (Modern
Science)
68.. ใครเป็นคนเขียน Mathematical Principles of Natural Philosophy ตีพิมพ์ ค.ศ. 1687 ที่งานดังกล่าว
เป็นการพยายามอธิบายว่าทำไมดวงดาวในจักรวาลจึงเคลื่อนที่ในรูปแบบเดิมเช่นเดียวกันกับการเดินของนาฬิกา
ที่มีความเที่ยงตรง
ตอบ 2. เซอร์ไอแซค นิวตัน (Sir Isaac Newton) เป็นผู้แต่งหนังสือ Mathematical Principles of
Natural Philosophy ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1687 ซึ่งเป็นการพยายามอธิบายว่าทำไมดวงดาวในจักรวาลจึงเคลื่อนที่
แบบเดิมเช่นเดียวกันกับการเดินของนาฬิกาที่มีความเที่ยงตรง
69. เป็นกลุ่มในศตวรรษที่ 20 ที่เชื่อมั่นในความเป็นหนึ่งเดียวของศาสตร์และปรัชญาความรู้แบบประจักษ์นิยม
(Empiricism or Phenomenalism) ในฐานะที่ประสาทสัมผัสเป็นจุดเริ่มต้นและที่มาของความรู้
ตอบ 3. กลุ่มนักวิชาการเวียนนา (Vienna Circle) เป็นกลุ่มนักคิดในยุคศตวรรษที่ 20 ที่เชื่อมั่นในความ
เป็นหนึ่งเดียวของศาสตร์และปรัชญาความรู้แบบประจักษ์นิยม (Empiricism or Phenomenalism) ในฐานะที่
ประสาทสัมผัสเป็นจุดเริ่มต้นและที่มาของความรู้
➢ ตั้งแต่ข้อ 70.-75. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถามมากที่สุด
1. Psychological Approach 2. System Approach / Functional Approach
3. Institutional Approach 4. Historical Approach
5. Rational Choice Approach
70. โครงสร้างทางการเมืองเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ
71. งานของ Herman Finer ผูเ้ ขียนงานเรื่อง The Theory and Practice of Modern Government
สามารถจัดเป็น Approach ใด
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ
72. "ได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิดในทางชีววิทยา (Biology) ที่มองสังคม หรือรัฐก็เหมือนร่างกายที่ประกอบไปด้วย
อวัยวะต่าง ๆ ทำงานสอดประสานกัน เมื่อใดก็ตามที่อวัยวะหนึ่งทำงานผิดพลาดร่างกายก็จะรวนไปทั้งหมด
เช่นเดียวกันกับสังคมอันประกอบไปด้วยกลไกทางสังคมต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาระบบให้ทำงานต่อไปอย่าง
มีประสิทธิภาพได้” ข้อความดังกล่าวนี้เป็นสมมุติฐานของApproach ใด
ตอบ 2. สมมติฐานของแนวการวิเคราะห์เชิงระบบ(System Approach / Functional Approach)
เชื่อว่าในทุกสังคมนั้นมีลักษณะเป็นระบบที่ทำการรักษาตนเองให้อยู่รอดเสมอ ๆ โดยได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิดในทาง
ชีววิทยา (Biology) ที่มองสังคมหรือรัฐก็เหมือนร่างกายที่ประกอบไปด้วยอวัยวะต่าง ๆ ทำงานสอดประสานกัน
เมื่อใดก็ตามที่อวัยวะหนึ่งทำงานผิดพลาดร่างกายก็จะรวนไปทั้งหมดเช่นเดียวกันกับสังคมอันประกอบไปด้วยกลไกทาง
สังคมต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาระบบให้ทำงานต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพได้
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 80
............................................................................................................................................................................................
73. “ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นมีที่มาจากพัฒนาการที่คลี่คลายตามลำดับเหตุการณ์อันเชื่อมโยงมา
จากเหตุการณ์ที่สำคัญ ๆ ก่อนหน้านั้นด้วยเหตุนี้เองนักรัฐศาสตร์ที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ตาม
ช่วงเวลาในอดีตหรือปัจจุบันนักรัฐศาสตร์ก็จำเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปดูวิวัฒนาการของเหตุการณ์ก่อนหน้า
ในช่วงยาวแล้วพิจารณาดูว่าเหตุการณ์ไหนเป็นเหตุการณ์ตั้งต้นที่เป็นสาเหตุของเหตุการณ์ในปัจจุบัน” ข้อความ
ดังกล่าวนี้เป็นสมมุติฐานของ Approach ใด
ตอบ 4. สมมุติฐานของแนวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์ (Historical Approach) เชื่อว่าปรากฏการณ์
ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนั้นมีที่มาจากพัฒนาการที่คลี่คลายตามลำดับเหตุการณ์อันเชื่อมโยงมาจากเหตุการณ์ที่
สำคัญ ๆ ก่อนหน้านั้น ด้วยเหตุนี้เองนักรัฐศาสตร์ที่ศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ตามช่วงเวลาในอดีตหรือ
ปัจจุบัน นักรัฐศาสตร์ก็จำเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปดูวิวัฒนาการของเหตุการณ์ก่อนหน้าในช่วงยาวแล้วพิจารณาดูว่า
เหตุการณ์ไหนเป็นเหตุการณ์ตั้งต้นที่เป็นสาเหตุของเหตุการณ์ในปัจจุบัน
74. Anthony Downs ผู้เขียนงานเรื่อง An Economic Theory of Democracy, James M. Buchanan
และ Gordon Tullock เจ้าของงานเรื่อง The Calculus of Consent และ Mancur Olson เจ้าของ
ผลงานเรื่อง The logic Collective Action งานเหล่านี้เป็นตัวแบบการศึกษา Approach ใด
ตอบ 5. นักรัฐศาสตร์ในแนวการวิเคราะห์แบบการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล (Rational Approach หรือ
Rational Choice Approach) ได้แก่ 1. แอนโทนี ดาวน์ส (Anthony Downs) ผู้เขียนงานเรื่อง An
Economic Theory of Democracy 2. เจมส์ เอ็ม. บูแคนัน dames M. Buchanan) และกอร์ดอน
ทัลลอค (Gordon Tullock) ผู้เขียนงานเรื่อง The Calculus of Consent 3. แมนเศอร์ โอลสัน (Mancur
Olson) ผู้เขียนงานเรื่อง The logic of Collective Action เป็นต้น
75. งานเรื่อง Power and Personality ของ Harold Dwight Lasswell เป็นตัวอย่างการศึกษาใน
Approach ใด
ตอบ 1. แนวการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา (Psychological Approach) เชื่อว่าสาเหตุในการกระทำเรื่องใด
ๆ ของมนุษย์ทุกคนนั้นมีที่มาจากปัจจัยในด้านจิตวิทยาเป็นหลักซึ่งไม่เว้นแม้แต่พฤติกรรมทางการเมืองของคนในรัฐ
ด้วยนักรัฐศาสตร์ในแนวการวิเคราะห์เชิงจิตวิทยา ได้แก่ แฮโรลด์ ดไวท์ ลาสเวลล์ (Harold Dwight Lasswell)
ผู้เขียนงานเรื่อง Power and Personality และ Psychopathology and Politics เป็นต้น
76. ข้อใดต่อไปนี้หมายถึงการนำเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจา
1. Speaking Proposal 2. Oral Presentation 3. Oral Proposal
4. Mouth Presentation 5. Chart Presentation
ตอบ 2. การนำเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจา (Oral Presentation) เป็นวิธีการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดใน
เชิงวิชาการ ซึ่งในทางปฏิบัติเมื่อผู้วิจัยที่มีรายชื่อในเวทีมีการนำเสนอด้วยวาจาเสร็จแล้ว ผลงานของผู้นำเสนอจะถูก
นำมาตีพิมพ์ในรายงานการประชุมฉบับสมบูรณ์ที่เรียกว่า “Proceedings” แต่หากไม่ได้ขึ้นเวทีนำเสนอก็จะถูกคัด
ออกและไม่ปรากฏอยู่ในรายงานการประชุมฉบับดังกล่าว
77. เมื่อมีการนำเสนอด้วยวาจาเสร็จแล้ว ผลงานวิจัยข้องผู้นำเสนอจะถูกนำมาตีพิมพ์ในรายงานการประชุมฉบับ
สมบูรณ์ รายงานการประชุมดังกล่าวเรียกว่าอะไร
1. Article 2. Research Proposal 3. Proceed
4. Proceedings 5. Progress Report
ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 76 ประกอบ
78.. การนำเสนอด้วยวาจา โดยทั่วไปแล้วผู้นำเสนอมักถูกกำหนดให้นำเสนอในช่วงระยะเวลาเท่าใด
1. 3-5 นาที 2. 15-20 นาที 3. 30-60 นาที
4. 60 นาทีขึ้นไป 5. ไม่มีข้อกำหนดที่ชัดเจนขึ้นอยู่กับผู้นำเสนอเป็นหลัก
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 81
............................................................................................................................................................................................
ตอบ 2. การนำเสนอด้วยวาจา ผู้วิจัยจำเป็นต้องเตรียมสไลด์สำหรับผู้นำเสนอทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการ
ลำดับความคิดและเนื้อหาสำหรับผู้นำเสนอโดยทั่วไปแล้วผู้นำเสนอมักจะถูกกำหนดให้นำเสนอในช่วงระยะเวลาเพียง
15-20 นาทีเท่านั้น
79. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่หลักในการจัดทำสไลด์สำหรับการนำเสนอผลงานด้วยวาจา
1. การใช้ลูกเล่นให้มากที่สุดเพื่อดึงดูดผู้ชม 2. การกำหนดเนื้อหาที่ไม่แน่นจนเกินไป
3. จำนวนที่เหมาะสมกับเวลา 4. การคำนึงถึงลักษณะของเวทีและผู้เข้าฟัง
5. ทุกข้อข้างต้นมีความเหมาะสม
ตอบ 1. หลักการในการจัดทำสไลด์สำหรับการนำเสนอผลงานด้วยวาจา ได้แก่
1. การเลือกโครงร่างที่เหมาะสมกับผู้ที่เข้าร่วมประชุม 2. การใช้ลูกเล่นสไลด์อย่างเหมาะสม
3. การออกแบบสไลด์ให้มีการเหมาะสมกับช่วงเวลา 4. การคำนึงถึงลักษณะของเวทีและผู้เข้าฟัง เป็นต้น
80. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่การฝึกฝนของผู้วิจัยที่เหมาะสมในช่วงก่อนนำเสนอด้วยวาจา
1 การฝึกจับเวลาในการนำเสนอเพื่อนำเสนอได้ครบถ้วนตามเวลา
2 การฝึกฝนท่าทางในการนำเสนอเพื่อเพิ่มความราบรื่นในการนำเสนอ
3 การฝึกตอบคำถามผู้เข้าฟังเพื่อให้มีความพร้อมและตรงประเด็นมากที่สุด
4 การเตรียมตัวคาดเดาคำวิจารณ์จากผู้วิพากษ์เพื่อเตรียมตัวป้องกัน
5 การเตรียมตัวแนะนำด้านสถานที่และที่ตั้งต่าง ๆ ให้แก่ผู้เข้าฟัง
ตอบ 5. การฝึกฝนของผู้วิจัยที่เหมาะสมในช่วงก่อนนำเสนอด้วยวาจา ได้แก่
1. การฝึกจับเวลาในการนำเสนอเพื่อนำเสนอได้ครบถ้วนตามเวลา
2. การฝึกฝนทาทางในการนาเสนอเพื่อเพิ่มความราบรื่นในการนำเสนอ
3. การฝึกตอบคำถามผู้เข้าฟังเพื่อให้มีความพร้อมและตรงประเด็นมากที่สุด
4. การเตรียมตัวคาดเดาคำวิจารณ์จากผู้วิพากษ์เพื่อเตรียมตัวป้องกันเป็นต้น
81. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่องค์ประกอบของการนำเสนอด้วยโปสเตอร์
1. ชื่อเรื่อง 2. บทคัดย่อ 3. ผลการวิจัย
4. วิธีดำเนินการวิจัย 5. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งถัดไป
ตอบ 5. องค์ประกอบของการนำเสนอด้วยโปสเตอร์ ประกอบด้วย 1. ชื่อเรื่อง 2. บทคัดย่อ
3. ผลการวิจัย 4. วิธีดำเนินการวิจัย 5. บทนำและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
➢ จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 82. – 85.
1. งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ 2. งานวิจัยเชิงนโยบาย
3. งานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 4. งานวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน 5. ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 86
............................................................................................................................................................................................
การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
..................
➢ คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (มีข้อสอบทั้งหมด 100 ข้อ)
1. ข้อใดเป็นลักษณะสำคัญของการวิจัยเชิงคุณภาพ 1. ต้องการทดสอบทฤษฎี
2. เน้นข้อมูลที่เป็นตัวเลข 3. มีทฤษฎีเป็นกรอบในการศึกษา
4. เป็นการเลือกเฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษา 5. สรุปจากข้อเท็จจริงโดยใช้สถิติเป็นข้อพิสูจน์
ตอบ 4. การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) มีลักษณสำคัญดังนี้
1. เน้นที่การมองปรากฏการณ์ในภาพรวม 2. เป็นการศึกษาระยะยาวและเจาะลึก ซึ่งเป็นการเจาะจงเลือก
เฉพาะกลุ่มที่ต้องการศึกษาเป็นกรณีศึกษา โดยที่ไม่สามารถเป็นตัวแทนทั้งหมดได้ 3. ศึกษาปรากฏการณ์ใน
สภาพแวดล้อมธรรมชาติ 4. คำนึงถึงความเป็นมนุษย์ของผู้วิจัย
5. เป็นงานวิจัยที่ใช้การศึกษาผ่านเอกสารทั้งที่เป็นหลักฐานชั้นต้นและชั้นรอง ฯลฯ
2 การกำหนดหัวเรื่องที่ต้องการศึกษา เกี่ยวข้อกับเรื่องใดมากที่สุด
1. ขอบข่ายและการตั้งปัญหาการวิจัย 2. การสำรวจและการทบทวนวรรณกรรม
3. การกำหนดสมมติฐานเพื่อการทดสอบ 4. การเลือกรูปแบบการวิจัย
5. การกำหนดประชากรเป้าหมายและการสุ่มตัวอย่าง
ตอบ 1. ขอบข่ายและการตั้งปัญหาการวิจัย เป็นการกำหนดหัวเรื่องที่ต้องการศึกษ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นใน
การศึกษา และจะมีผลต่อกระบวนการต่างๆต่อไป
➢ ตั้งแต่ข้อ 3. – 7. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คำถาม
1. Inductive Reasoning 2. Deductive Reasoning 3. Positivism
4. Ani – Positivism 5. Rational Approach
3. การเริ่มต้นจากข้อเท็จจริงเฉพาะซึ่งได้จากประสบการณ์หรือเหตุการณ์ และนำไปสู่ข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์เรียกว่า
การแสวงหาความรู้แบบใด
ตอบ 1. เหตุผลเชิงอุปมาน (Inductive Reasoning) เป็นวิธีที่เริ่มต้นจากข้อเท็จจริงเฉพาะซึ่งได้จาก
ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ที่ศึกษา และนำไปสู่ข้อสรุปหรือกฎเกณฑ์ เป็นการหาส่วนย่อยไปสู่ส่วนใหญ่ เช่น
การวิจัยเชิงคุณภาพ
4. วิธีที่เริ่มจากหลักเกณฑ์ทั่วไปและนำไปทดสอบยืนยันด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริง เรียกว่าอะไร
ตอบ 2. เหตุผลเชิงอนุมาน (Deductive Reasoning) เป็นวิธีที่เริ่มจากหลักเกณฑ์หรือข้อเท็จจริงทั่วไป
และนำไปทดสอบยืนยันด้วยการรวบรวมข้อเท็จจริงเป็นการหาส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อย เช่น การวิจัยเชิงปริมาณ
5. ความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในธรรมชาติ
และมนุษย์สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
ตอบ 3. ปฏิฐานนิยม (Positivism) ได้แก่แนวคิดที่ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือการวิจัยเชิงปริมาณเป็น
เครื่องมือ โดยมีความเชื่อว่าปรากฏการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติสามารถอธิบายด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆที่มีอยู่ใน
ธรรมชาติ และมนุษย์สามารถรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5
6. แนวคิดที่เชื่อว่าในแต่ละสังคมมีลักษณะเฉพา ะการที่จะเข้าถึงได้นั้นจะต้องมีวิธีเฉพาะตัวในการเข้าไปศึกษา
ตอบ 4. กลุ่มคัดค้านปฏิฐานนิยม (Ani – Positivism) เชื่อว่าในแต่ละสังคมมีลักษณะเฉพาะ การที่จะ
เข้าถึงได้นั้นจะต้องมีวิธีเฉพาะตัวในการเข้าไปศึกษา ซึ่งแนวคิดนี้ได้แบ่งเป็นกลุ่มปรัชญาได้หลายแบบ เช่น อัต
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 87
............................................................................................................................................................................................
ภาวะนิยม (Existentialism) คือ แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการมีชีวิตอยู่ด้วยตัวของเราเองตามความเชื่อของแต่ละ
บุคคล เป็นต้น
7. เป็นวิธีการที่มองมนุษย์ว่าเป็นสัตว์ที่คิดคำนวณถึงผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นมนุษย์จึงมีพฤติกรรมที่
คำนวณถึงทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง
ตอบ 5. แนวทางเชิงเหตุผล (Rational Approach) หรือแนวการวิเคราะห์แบบการตัดสินใจเลือกอย่างมี
เหตุผล (Rational Choice Approach) เป็นการตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดจากทางเลือกต่างๆที่มีอยู่ โดยคำนึงว่าให้
ตนได้ประโยชน์เสมอหรือมากที่สุด ซึ่งเป็นวิธีการที่มองมนุษย์ว่าเป็นสัตว์ที่คิดคำนวณถึงผลประโยชน์อยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นมนุษย์จึงมีพฤติกรรมที่คำนวณถึงทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง
36. รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักมีจำนวนหน้ามากที่สุด
ตอบ 1. รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ เป็นรายงานโดยละเอียดมีรูปแบบเคร่งครัด ส่วนใหญ่ใช้คำศัพท์ทาง
วิชาการ เป็นการนำเสนอที่ผ่านขั้นตอนต่างๆจนพิมพ์ออกมาเป็นรูปเล่มสมบูรณ์แบบ โดยประกอบไปด้วย
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 92
............................................................................................................................................................................................
ส่วนประกอบตอนต้น ส่วนเนื้อเรื่อง และส่วนประกอบตอนท้าย ซึ่งเป็นรายงานที่มีความหนามากที่สุดในบรรดาการ
เขียนรายงานทั้งหมด มักจะปรากฏประวัติผู้วิจัยและภาคผนวกโดยละเอียด
37. รายงานการวิจัยประเภทใดมักจะเขียนขึ้นในช่วงที่การวิจัยยังไม่เสร็จสิ้น
ตอบ 4. รายงานความก้าวหน้าของการวิจัย เป็นการรายงานการวิจัยที่ผู้วิจัยมักมีเป้าหมายเพื่อรายงาน
ผลการวิจัยแก่ผู้ที่ให้ทุน หรือหน่วยงานต้นสังกัดเป็นระยะๆ มักเขียนขึ้นในช่วงที่งานวิจัยยังไม่เสร็จสิ้น ซึ่งอาจมี
เฉพาะส่วนที่ว่าด้วยหลักการ เหตุผลและวิธีการ และอาจจะยังไม่มีผลการวิจัยก็ได้ หรือมีผลการวิจัยแล้วแต่เป็น
ผลการวิจัยเบื้องต้น
38. รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักกำหนดให้มีความยาวประมาณ 50 หน้า
ตอบ 2. รายงานการวิจัยฉบับสั้น เป็นรายงานการวิจัยที่มีรายละเอียดย่อส่วนลงมาจากรายงานการวิจัยฉบับ
สมบูรณ์ โดยมีความยาวประมาณ 50 หน้า
39. รายงานการวิจัยประเภทใดมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ชื่อ TCI
ตอบ 3. บทความการวิจัยลงพิมพ์ในวารสาร เป็นรายงานการวิจัยที่มักมีความยาวอยู่ระหว่าง 15 - 25 หน้า
ซึ่งวารสารทางวิชาการฉบับต่างๆ ได้รับการจัดประเภทโดยหน่วยงานศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai -
Journal Citation Index : TCI)
40. รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักกำหนดให้มีความยาวประมาณ 15 ถึง 25 หน้า
ตอบ 3. ดูคำอธิบาย 39. ประกอบ
41. รายงานการวิจัยประเภทใดที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาให้ทุนวิจัยงวดต่อไป
ตอบ 4. ดูคำอธิบาย 37. ประกอบ
42. รายงานการวิจัยประเภทใดที่มักปรากฏประวัติผู้วิจัยและภาคผนวกโดยละเอียด
ตอบ 1. ดูคำอธิบาย 36. ประกอบ
43. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นเนื้อหาส่วนประกอบตอนต้นของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
1. ปกหลัก 2. บทคัดย่อ 3. หน้าอนุมัติ
4. กิตติกรรมประกาศ 5. ระเบียบวิธีวิจัย
ตอบ 5. ส่วนประกอบตอนต้นของรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์มีดังนี้ 1. ปกหลัก 2. หน้าปกใน
3. หน้าอนุมัติ 4. บทคัดย่อภาษาไทย 5. บทคัดย่อภาษาอังกฤษ 6. หน้าประกาศคุณูปการหรือ
กิตติกรรมประกาศ 7. สารบัญ 8. สารบัญตาราง (ถ้ามี) 9. สารบัญภาพ (ถ้ามี)
10. คำอธิบายสัญลักษณ์และคำย่อที่ใช้ในการวิจัย
44. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ภารกิจของ “ศูนย์ดัชนีอ้างอิงวารสารไทย”
1. พัฒนาฐานข้อมูลเพื่อการสืบค้นผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ
2. ให้ทุนวิจัยเพื่อจัดทำวารสารวิชาการ
3. เผยแพร่ผลงานวิจัยเพื่อยกระดับผลงานวิชาการของไทยในระดับนานาชาติ
4. พัฒนาคุณภาพของวารสารวิชาการในประเทศไทย
5. คำนวณและรายงานคำ Journal Impact Factors ในประเทศไทย
ตอบ 2. ภารกิจของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทยมีดังนี้
1. พัฒนาฐานข้อมูลเพื่อการสืบค้นผลงานวิจัยและผลงานวิชาการ
2. ทำหน้าที่คำนวณและรายงานคำ Journal Impact Factors ของวารสารวิชาการไทย
3. พัฒนาคุณภาพของวารสารวิชาการในประเทศไทย
4. ทำการวิจัยและเผยแพร่ผลงานวิจัย เพื่อนำไปสู่การยกระดับผลงานวิจัยไทยในเวทีนานาชาติ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 93
............................................................................................................................................................................................
5. ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ Journal Impact Factors, H-Index และคุณภาพงานวิจัยในระดับ
สากล
45. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบที่สำคัญของการเขียนบทความวิจัยตีพิมพ์ลงวารสาร
1. ชื่อเรื่อง 2. บทคัดย่อ 3. ระเบียบวิธีวิจัย
4. ผลการวิจัย 5. ภาคผนวก
ตอบ 5. องค์ประกอบที่สำคัญของการเขียนบทความวิจัยตีพิมพ์ลงวารสารมีดังนี้
1. ชื่อเรื่อง 2. ชื่อผู้วิจัยและหน่วยงาน 3. บทคัดย่อ
4. ความนำ 5. ระเบียบวิธีวิจัย 6. ผลและการอธิบายผล
7. สรุปและข้อเสนอแนะ 8. เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม
50. ผลการศึกษาที่ได้จากการสัมภาษณ์และแจกแบบสอบถามควรปรากฏอยู่ในบทใด
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
51. หากเด็กชายแจ็คและเด็กชายแมวน้ำมีข้อจำกัดในการวิจัยที่อาจส่งผลให้เกิดการวิจัยไม่ได้ผลการศึกษาตามที่
ต้องการ ทั้งสองควรระบุข้อจำกัดดังกล่าวไว้ในบทใด
ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
52. เนื้อหาในบทใดที่แสดงให้เห็นถึงเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลวิจัย
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 94
............................................................................................................................................................................................
53. หากเด็กชายแจ็คและเด็กชายแมวน้ำออกแบบการวิจัยเชิงปริมาณ และต้องการแสดงสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลทั้งสองควรแสดงสถิติดังกล่าวในบทใด
ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
54. เนื้อหาในบทใดที่มักปรากฏให้เห็นถึง “ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย” เพื่อเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตอบ 5. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
55. เนื้อหาในบทใดที่แสดงให้เห็นถึงข้อค้นพบและการตอบคำถามตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ได้ตั้งเอาไว้
ตอบ 5. ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ
56. ข้อใดเป็นประโยชน์ของการเขียน “บทสรุปสำหรับผู้บริหาร” (Executive Summary)
1. ช่วยประหยัดเวลาของผู้บริหารในการกำหนดนโยบาย
2. เพื่อประโยชน์ในเชิงวิชาการของผู้บริหาร
3. เพื่อเก็บเป็นข้อมูลในคลังข้อมูล
4. เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริหารอยากอ่านรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์
5. เพื่อสร้างผลงานเลื่อนชั้นให้แก่ผู้ที่เสนอบทสรุปสำหรับผู้บริหาร
ตอบ 1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร (Executive Summary) เป็นข้อความโดยสรุปจากรายงานการวิจัยที่
กะทัดรัด ชัดเจน และครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมด ช่วยประหยัดเวลาของผู้บริหารในการกำหนดนโยบาย
57. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบที่สำคัญของการเขียน “บทคัดย่อ” (Abstract)
1. ปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย 2. เป้าหมายของการวิจัย
3. วิธีการในการดำเนินการวิจัย 4. ผลการวิจัยและข้อค้นพบ
5. การอ้างอิงตามหลักวิชาการ
ตอบ 5. องค์ประกอบที่สำคัญของการเขียนบทคัดย่อ (Abstract) มี 3 ส่วนดังนี้
1. ปัญหาและวัตถุประสงค์ของการวิจัย และเป้าหมายของการวิจัย
2. วิธีการในการดำเนินการวิจัย 3. ผลการวิจัย ข้อค้นพบและข้อเสนอแนะ
58. ข้อใดต่อไปนี้เป็นความหมายของ “Poster Presentation”
1. การดำเนินการวิจัยด้วยโปสเตอร์ 2. การดำเนินการวิจัยด้วยวาจา
3. การดำเนินการเสนอผลงานวิจัยด้วยโปสเตอร์ 4. การนำเสนอผลงานวิจัยด้วยวาจา
5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3. องค์ประกอบของการนำเสนอผลงานวิจัยด้วยโปสเตอร์ (Poster Presentation) มีดังนี้
1. ชื่อเรื่อง 2. บทคัดย่อ 3. บทนำและเอกสารที่เกี่ยวข้อง
4. วิธีดำเนินการวิจัย 5. ผลการวิจัย
59. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่หลักในการเขียนรายงานการวิจัย
1. อ้างอิงตามหลักวิชาการ
2. การใช้ภาษาที่ดูหรูหราและฟุ่มเฟือยเพื่อสร้างอรรถรสในงานวิจัย
3. การนำเสนอข้อมูลตามข้อเท็จจริงแม้ว่าจะไม่ตรงกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
4. การจัดรูปแบบของหัวข้อให้เป็นระบบสอดคล้องกันทั้งเล่ม
5. การร้อยเรียงเรื่องราวอย่างเป็นเอกภพ
ตอบ 2. หลักในการเขียนรายงานการวิจัยมีดังนี้ 1. อ้างอิงตามหลักวิชาการ
2. การนำเสนอข้อมูลตามข้อเท็จจริงแม้ว่าจะไม่ตรงกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
3. การจัดรูปแบบของหัวข้อให้เป็นระบบสอดคล้องกันทั้งเล่ม
4. การร้อยเรียงเรื่องราวอย่างเป็นเอกภพ ฯลฯ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 95
............................................................................................................................................................................................
60. ข้อใดไม่ใช่ประเภทของการนำวิจัยไปใช้ประโยชน์ ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ
1. งานวิจัยเชิงนโยบาย 2. งานวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน
3. งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ 4. งานวิจัยเชิงประวัติศาสตร์
5. งานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
ตอบ 4. ประเภทของการนำวิจัยไปใช้ประโยชน์ตามแนวทางของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติมีดังนี้
1. งานวิจัยเพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ 2. งานวิจัยเชิงนโยบาย
3. งานวิจัยเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ 4. งานวิจัยเพื่อเสริมสร้างพลังชุมชน
➢ ตั้งแต่ข้อ 61. – 65. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้โดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คำถาม
1. Hypothesis 2. Data Analysis 3. Data Collection
4. Conclusion 5. Problem Statement
61.. คำตอบที่เราได้ตอบไว้ล่วงหน้าก่อนที่เราจะทำการหาคำตอบ เพื่อเป็นการวางทิศทางของการศึกษา
ตอบ 1. การตั้งสมมุติฐาน (Hypothesis / Assumption) คือ คำตอบที่เราใต้ตอบไว้ล่วงหน้าก่อนที่เราจะ
ทำการหาคำตอบ เพื่อเป็นการวางทิศทางของการศึกษา ซึ่งมีประโยชน์มากในการวิจัยเนื่องจากมันก็จะช่วยทำให้
เรามองภาพของการวิจัยชัดเจนขึ้นเห็นแนวทางบางอย่างก่อนที่จะลงมือทำการวิจัย
62. เป็นการกล่าวถึงที่ไปที่มาของปัญหาในการทำวิจัยว่ามีสาเหตุหรือความสำคัญอย่างไรถึงจำเป็นต้องศึกษา
ตอบ 5. การสังเกตและระบุปัญหา (Observation and Problem Identification / Problem
Statement) เป็นการกล่าวถึงที่ไปที่มาของปัญหาในการทำวิจัยว่ามีสาเหตุหรือความสำคัญอย่างไรถึง
จำเป็นต้องศึกษาซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของการทำวิจัย
63. “มีประโยชน์มากในการวิจัยเนื่องจากมันก็จะช่วยทำให้เรามองภาพของการวิจัยชัดเจนขึ้นเห็นแนวทางบางอย่าง
ก่อนที่จะลงมือทำการวิจัย "สิ่งที่กล่าวถึงนี้คืออะไร
ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ
64. “การพยายามหาคำตอบจากข้อมูลที่ได้โดยอาจจะนำมาหาความสัมพันธ์ระหว่างกันว่าในข้อมูลที่ได้ว่าอะไรคือ
สาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์ หรือในทางวิจัยปริมาณก็อาจจะนำข้อมูลที่ได้มาจัดประเภทว่าอะไรเป็นตัวแปร
ตั้งต้น และอะไรเป็นตัวแปรตาม”
ตอบ 2 การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) คือ การพยายามหาคำตอบจากข้อมูลที่ได้โดยอาจจะนำมา
หาความสัมพันธ์ระหว่างกันว่าในข้อมูลที่ได้ว่าอะไรคือสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์ หรือในทางวิจัยปริมาณก็
อาจจะนำข้อมูลที่ได้มาจัดประเภทว่าอะไรเป็นตัวแปรตั้งต้น และอะไรเป็นตัวแปรตาม
65. เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลมาให้ได้มากที่สุดด้วยวิธีการวิจัยต่าง ๆ
ตอบ 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) เป็นขั้นตอนที่ผู้วิจัยจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลมาให้ ได้
มากที่สุดด้วยวิธีการวิจัยต่าง ๆ เช่น เก็บข้อมูลด้วยการสังเกตหรือจากสถิติเป็นต้น
66. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ Positivism
1. Political Behavior 2. Vienna Circle 66 3. Modern Science
4. Political Philosophy 5. Value-Free
ตอบ 4. แนวคิดสำนักปฏิฐานนิยม (Positivism มีลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1. เป็นแนวคิดประจักษ์นิยม
(Empiricism) 2. ปราศจากคุณค่าเข้ามาเกี่ยวข้อง (value-Free) 3. เป็นแนวพฤติกรรมทางการเมือง (Political
Behavior) 4. วิธีการแสวงหาความรู้แบบใหม่ (Modern Science) 5. นักวิชาการแนวนี้ ได้แก่ August Conte,
นักวิชาการกลุ่ม Vienna Circle ฯลฯ
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 96
............................................................................................................................................................................................
67. Gabriel Almond and Bingham Powell เกี่ยวข้องกับ Approach ใดมากที่สุด
1. Behavioral Approach 2. Group Approach 3. Functional Approach
4. Developmental Approach 5. Power Approach
ตอบ 3 แนวการวิเคราะห์เชิงระบบ (System Approach / Functional Approach) เชื่อว่าในทุก
สังคมนั้นมีลักษณะเป็นระบบที่ทำการรักษาตนเองให้อยู่รอดเสมอ ๆ วิธีคิดในลักษณะนี้ได้รับอิทธิพลมาจากวิธีคิด
ในทางชีววิทยาและวิศวกรรมศาสตร์นักวิชาการแนวนี้เช่น Gabriel Almond, Bingham Powell เป็นต้น
68 Behaviorism เกี่ยวข้องกับตัวเลือกใดต่อไปนี้
1. David Easton 2. Plato 3. Aristotle
4. J.J. Rousseau 5. ทุกข้อเกี่ยวข้องกับ Behaviorism
ตอบ 1. การศึกษาแนวพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) มีลักษณะที่สำคัญดังนี้ 1. ใช้วิธีการทาง
วิทยาศาสตร์และหลักวัตถุวิสัย (Objectivity) ในการศึกษาวิชารัฐศาสตร์ 2. ใช้วธิ ีเชิงปริมาณและเทคนิคที่เคร่งครัด
ตายตัวในการวิเคราะห์เช่นสถิติ 3. มุ่งสร้างทฤษฎีที่เป็นระบบและเป็นเชิงประจักษ์ 4. แยกความจริงออกจากค่านิยม
5. มุ่งศึกษาพฤติกรรมของตัวบุคคลหรือกลุ่มมากกว่าสถาบันการเมือง 6. เน้นทำนายปรากฏการณ์ทางการเมืองและ
การตัดสินใจทางการเมือง 7. การศึกษาแบบ Unity of Science 8. นักวิชาการแนวนี้ ได้แก่ David Easton,
Gabriel Almond ฯลฯ
69. Approach ใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับ Science น้อยที่สุด
1. Behaviorism 2. System Approach 3. Developmental Approach
4. Normative Approach 5. Power Approach
ตอบ 4. แนวการวิเคราะห์หรือกรอบการวิเคราะห์ (Approach) เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากต่อการศึกษา
รัฐศาสตร์สมัยใหม่หรือในการทำวิจัยทางรัฐศาสตร์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากการหาความรู้แบบทางวิทยาศาสตร์เนื่องจาก
กรอบการวิเคราะห์เป็นตัวกำหนดมุมมองในการทำวิจัยการเก็บข้อมูลออกแบบวิจัยแบบใดซึ่งเปรียบได้ว่าแนวการ
วิเคราะห์ก็คือเข็มทิศหรือแผนที่ของการวิจัยเช่น 1. System Approach 2. Developmental Approach 3.
Historical Approach 4. Power Approach ฯลฯ
70. ข้อใดไม่ใช่ข้อจำกัดของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์สมัยใหม่
1. เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม 2. มีความซับซ้อนเกินกว่าจะทำนายได้
3. ไม่สามารถทดลองในห้องปฏิบัติการได้
4. ไม่สามารถศึกษาประวัติศาสตร์ความคิดทางการเมืองของมนุษย์ได้
5. ทุกข้อคือข้อ จำกัด ของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์สมัยใหม่
ตอบ 4. ข้อจำกัดของการวิจัยในทางรัฐศาสตร์มีดังนี้ 1. เปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม 2. มีความซับซ้อน
เกินกว่าจะทำนายได้ 3. ไม่สามารถทดลองในห้องปฏิบัติการได้ 4. การสัมภาษณ์จากมนุษย์เชื่อถือไม่ได้ ฯลฯ
71. Prediction คืออะไร 1. การทํานายถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
2. หยั่งรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ว่าตำรงอยู่อย่างไร 3. การให้ความหมายต่อสิ่งต่าง ๆ
4. การอธิบายถึงรายละเอียดของปรากฏการณ์ 5. ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 1. การทำนาย (Prediction) คือการทำนายถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นการนำผลการศึกษาเพื่อทำนาย
อนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
72. ขั้นตอนแรกสุดของการเริ่มทำการวิจัยคืออะไร
1. การกำหนดชื่อเรื่อง 2. พิจารณาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอย่างคร่าว ๆ
3. สังเกต 4. สอบถามจากผู้รู้ในประเด็นที่เป็นปัญหา
5. เขียนผังโครงร่างอย่างง่าย ๆ ซึ่งอาจจะผิดจะถูกก็ได้
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 97
............................................................................................................................................................................................
ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ
73. การสังเกตคืออะไร 1. การใช้สายตาดูปรากฏการณ์ต่าง ๆ
2. การพิจารณาจากเอกสาร 3. การลงไปเก็บข้อมูลแบบมีส่วนร่วม
4. การพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า 5. การเก็บตัวอย่างที่จำเป็นสำหรับการวิจัย
ตอบ 4. การสังเกต (Observation) คือการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวโดยใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าซึ่งเป็นวิธี
เก็บข้อมูลแบบหนึ่งที่ผู้วิจัยออกไปรับรู้โดยตรงจากปฏิกิริยาท่าทางหรือเหตุการณ์ (ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะใด
ขณะหนึ่งหรือที่ใดที่หนึ่ง
74. คำว่า“ รัฐศาสตร์” ในภาษาไทยใครเป็นคนบัญญัติขึ้นมา
1. พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย 2. พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร
3. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 4. พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา
5. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตอบ 2. พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวรรณไวทยากรขึ้นมาในภาษาไทยกรมหมื่นนราทิปพงศ์ประพันธ์หรือ
พระองค์วรรณฯ เป็นคนแรกที่บัญญัติคำว่า“ รัฐศาสตร์”
75. “มนุษย์จะเลือกสิ่งที่ตนเองได้ประโยชน์เสมอ” ข้อความนี้ตรงกับตัวเลือกใดมากที่สุด
1. Psychological Approach 2. Rational Choice Approach
3. Historical Approach 4. System Approach / Functional Approach
5. Legal Approach / Institutional Approach
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ
81. การใช้ตรรกะหรือแนวทางในความเป็นเหตุและผลที่กำหนดวิธีการในการแก้ปัญหาและใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์มา
เป็นข้อพิสูจน์ความถูกต้องของแนวคิดเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. Scientific Approach 2. Normative Approach 3. Rational Approach
4. Objective Truth 5. Subjective Truth
ตอบ 1. แนวทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Approach) เป็นการใช้ตรรกะหรือแนวทางในความเป็นเหตุ
และผลที่กำหนดวิธีการในการแก้ปัญหา และใช้ข้อมูลเชิงประจักษ์มาเป็นข้อพิสูจน์ความถูกต้องของแนวคิด
82. การนับจำนวนคำว่า “ประชาธิปไตย” ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในประเทศไทยตลอดปี พ.ศ. 2560 เกี่ยวข้อง
กับเรื่องใดมากที่สุด
1. Normative Approach 2. Empirical Approach 3. Rational Approach
4. Phenomenological Truth 5. Subjective Truth
ตอบ 2. แนวทางเชิงประจักษ์ (Empirical Approach) จะต้องเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงที่สังเกตได้ ซึ่งจะ
แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เช่น การนับจำนวนคำว่า “ประชาธิปไตย” ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งในประเทศ
ไทยตลอดปี พ.ศ. 2560 เป็นต้น
83. การแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็นสภาพความเป็นจริงเพื่อการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
มากที่สุด 1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด
2. การเก็บรวบรวมข้อมูล 3. การวิเคราะห์ข้อมูล
4. การเขียนรายงานการวิจัย 5. การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 1 การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด คือ การแปลงความหมายของแนวคิดออกมาเป็น
สภาพความเป็นจริงเพื่อช่วยให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้
84. การสังเกต การสัมภาษณ์ และการออกแบบสอบถาม เกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การวิเคราะห์ข้อมูล 4. การเขียนรายงานการวิจัย
5. การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นกระบวนการที่จะได้มาซึ่งข้อมูลที่ตอบปัญหาการวิจัย ได้แก่ การสังเกต
การสัมภาษณ์ และการออกแบบสอบถาม
85. การเปรียบเทียบข้อมูลหรือการใช้สถิติเกี่ยวข้องกับเรื่องใดมากที่สุด
1. การนิยามปฏิบัติการและการสร้างเครื่องมือวัด 2. การเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การวิเคราะห์ข้อมูล 4. การเขียนรายงานการวิจัย
5. การเขียนแบบเสนอโครงการวิจัย
ตอบ 3. การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมมาได้มาวิเคราะห์โดยการเปรียบเทียบพรรณนาหรือ
ใช้สถิติเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่จะตอบปัญหาการวิจัย
ข้อสอบวิชา POL 4100 (PS 420) หลักและวิธีการวิจัยทางรัฐศาสตร์ 99
............................................................................................................................................................................................
➢ ตั้งแต่ข้อ 86. – 90. จงเลือกคำตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์กับโจทย์คำถาม
1. Population 2. Sample 3. Focus Group
4. Questionnaire 5. Conceptual Framework
86. การให้บุคคลกลุ่มหนึ่งที่นักวิจัยคัดเลือกมา สนทนาโต้ตอบ แสดงความรู้สึกนึกคิดซึ่งกันและกันในประเด็นต่าง ๆ
ที่นักวิจัยกำหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธีการนี้จัดเป็นการรวบรวมข้อมูลที่เป็นการผสมเทคนิควิธีการ
เก็บรวบรวมข้อมูลแบบการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์รายบุคคล
ตอบ 2. การสนทนากลุ่ม (Focus Group) เป็นการให้บุคคลกลุ่มหนึ่งที่นักวิจัยคัดเลือกมา สนทนาโต้ตอบ
แสดงความรู้สึกนึกคิดซึ่งกันและกันในประเด็นต่าง ๆ ที่นักวิจัยกำหนดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยวิธีการนี้จัดเป็น
การรวมรวมข้อมูลที่เป็นการผสมเทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลแบบการสังเกตแบบมีส่วนร่วม และการสัมภาษณ์
รายบุคคล
87. “บางที่สามารถใช้สูตรของทาโร ยามาเน่ หรือสูตรทางสถิติอื่นมาคำนวณตัวแทนที่จะต้องศึกษาได้” ตัวแทนที่
กล่าวถึงนี้หมายถึงอะไร
ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ
88. อาจจะเป็นจำนวนคนทั้งหมดหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งทั้งหมดในขอบเขตที่ต้องการจะศึกษา
ตอบ 1. ประชากร (Population) หมายถึง หน่วยในการวิเคราะห์ทั้งหมด หรือหน่วยที่จะนำมาศึกษา
ทั้งหมดในการวิจัยไม่ว่าจะเป็น คน พืช สัตว์ สิ่งของหรือสิ่งไม่มีชีวิต
89. เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ใช้ในการสำรวจผู้ให้ข้อมูลที่มีเป็นจำนวนมาก
ตอบ 4. แบบสอบถาม (Questionnaire) ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญและนิยมใช้กันมากในการวิจัยเชิง
ปริมาณ (Quantitative Research) โดยเฉพาะการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ซึ่งมักจะนำไปใช้เก็บ
ข้อมูลจากกลุ่มประชากรหรือกลุ่มตัวอย่างในเรื่องต่าง ๆ เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ รายได้ ความคิดเห็น ทัศนคติ
หรือเจตคติ ความนิยมและความพึงพอใจ เป็นต้น โดยผู้ให้ข้อมูลจะเป็นผู้ตอบข้อคำถามหรือเป็นผู้กรอกข้อมูลใน
แบบสอบถามด้วยตนเองซึ่งอาจตอบเป็นข้อความ สัญลักษณ์หรือรูปภาพก็ได้
90. เป็นกรอบที่ใช้ในการทำการศึกษา บางครั้งอาจจะได้มาจากการทบทวนงานวิจัยที่เกิดขึ้นมาในอดีต
ตอบ 5. ในการสร้างกรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual Framework) ซึ่งเป็นกรอบที่กล่าวถึงตัวแปร
และความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรนักวิจัยจะต้องให้นิยามความหมายของตัวแปรต่าง ๆ ที่ปรากฏในงานวิจัยให้ชัดเจน
ว่าตัวแปรแต่ละตัวนั้นหมายถึงอะไรและ ได้แก่ อะไรบ้าง โดยกรอบแนวคิดในการวิจัยนี้จะมีที่มาจากมโนทัศน์หรือ
สังกัป (Concept) ทฤษฎี (Theory) ตำรา บทความ และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องหรือประสบการณ์ของนักวิจัยเองก็ได้
ข้อให้โชคดีในการสอบทุกท่าน