Professional Documents
Culture Documents
(เสริม)ความรอบรู้ด้านสุขภาพ+กระเหรี่ยง
(เสริม)ความรอบรู้ด้านสุขภาพ+กระเหรี่ยง
ของผู้สูงอายุกะเหรี่ยง
พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาการพยาบาลผู้สูงอายุ
บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กุมภาพันธ์ 2562
ความรอบรู้ด้านสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพ
ของผู้สูงอายุกะเหรี่ยง
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
กุมภาพันธ์ 2562
ก
กิตติกรรมประกาศ
วิ ท ยานิ พ นธ์ ฉ บับ นี้ ส าเร็ จ ได้ ด้ ว ยความกรุ ณา และความช่ ว ยเหลื อ เป็ นอย่ า งดี ยิ่ ง จาก
ผูช้ ่ วยศาสตราจารย์ ดร.โรจนี จิ นตนาวัฒน์ และรองศาสตราจารย์ ดร.เดชา ทาดี อาจารย์ที่ปรึ กษา
วิทยานิ พนธ์ ซึ่ งได้เมตตาเอาใจใส่ สละเวลาในการตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่ องต่างๆ ในทุกขั้นตอน
ของการทาวิทยานิ พนธ์ จนทาให้วิทยานิ พนธ์เสร็ จสมบูรณ์ ไปได้ด้วยดี ผูว้ ิจยั ซาบซึ้ งในความกรุ ณา
ของท่านเป็ นอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคุณเป็ นอย่างสู งมา ณ ที่น้ ี และกราบขอบพระคุณคณาจารย์
ทุกท่านที่ได้ประสิ ทธิ์ ประสาทวิชาความรู ้ในระหว่างการศึกษาครั้งนี้
ขอขอบพระคุ ณ ผูท้ รงคุ ณ วุฒิ ทุ ก ท่ า นที่ ไ ด้ก รุ ณ าตรวจสอบแก้ไ ขเครื่ อ งมื อที่ ใ ช้ใ นการวิ จ ัย
ตลอดจนได้เสนอความคิดเห็นในการปรับปรุ งเครื่ องมือให้มีประสิ ทธิ ภาพยิ่งขึ้น และกราบขอบพระคุ ณ
คณะกรรมการสอบวิ ท ยานิ พ นธ์ ทุ ก ท่ า น ที่ ก รุ ณาให้ ข ้อ เสนอแนะที่ เ ป็ นประโยชน์ ใ นการท า
วิทยานิพนธ์เพื่อให้วทิ ยานิพนธ์มีความสมบูรณ์ยงิ่ ขึ้น และสาเร็ จลุล่วงไปด้วยดี
สุ ดท้า ยนี้ ผูว้ ิ จยั ขอกราบขอบพระคุ ณ บิ ดา มารดา ญาติ พี่ น้อง ที่ ใ ห้ค วามช่ วยเหลื อและให้
กาลังใจตลอดมา ขอขอบพระคุ ณเพื่อนนักศึกษาปริ ญญาโท และเพื่อนร่ วมงานทุกท่านที่ให้ความห่ วงใย
และก าลัง ใจด้ว ยดี ตลอดมา คุ ณ ความดี และคุ ณ ประโยชน์ ที่ อนั เกิ ดจากการท าวิ ท ยานิ พ นธ์ ค รั้ งนี้
จงบังเกิดแก่บุพการี คณาจารย์ ผูส้ ู งอายุ และผูท้ ี่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน
ค
หัวข้ อวิทยานิพนธ์ ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุ
กะเหรี่ ยง
บทคัดย่ อ
ความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพ เป็ นสิ่ งสาคัญต่อความสาเร็ จของการสร้ างเสริ มสุ ขภาพผูส้ ู งอายุ การ
วิจยั เชิ งพรรณนาหาความสัมพันธ์ครั้งนี้ มีวตั ถุ ประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ พฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพใน
ผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง กลุ่มตัวอย่างเป็ นผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงที่อาศัยอยู่ในจังหวัดแม่ฮ่องสอนจานวน 88 ราย
เลื อกกลุ่ ม ตัวอย่า งแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) ระหว่า งเดื อนธันวาคม 2560 ถึ งเดื อ น
กุมภาพันธ์ 2561 เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่ วนบุคคล แบบสอบถาม
ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ และแบบสอบถามพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของกลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงขาว
วิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และสถิติสหสัมพันธ์สเปี ยร์แมน
ผลการวิจยั พบว่า ผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงมีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพอยูใ่ นระดับต่ า และมีพฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพอยูใ่ นระดับปานกลาง ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพในระดับปานกลางอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (r = 0.60)
ง
Thesis Title Health Literacy and Health Promoting Behaviors Among Karen Older Persons
ABSTRACT
Health literacy is essential for successful health promotion among older persons. This
correlation descriptive research aimed to investigate health literacy, health promoting behaviors, and
the association between health literacy and health promoting behaviors among Karen older persons.
Participants were Karen older persons who resided in Mae Hong Son Province. The 88 participants
were selected by using purposive sampling from December 2017 to February 2018. The research
instruments used in this study were a demographic data recording form, health literacy questionnaire,
and health promoting behaviors of Karen Ethnic Group questionnaire. The data were analyzed using
descriptive statistics and the Spearman’s correlation.
The results showed that the participants had a low level of health literacy and a moderate level
of health promoting behaviors. Health literacy had a positive correlation with health promoting
behaviors at a moderate level with a statistical significance of .001 (r = 0.60).
These results from this study can determine the benefit of health care professionals in
encouraging health literacy and health promoting behaviors among Karen older persons.
จ
สารบัญ
หน้า
กิตติกรรมประกาศ ค
บทคัดย่อภาษาไทย ง
ABSTRACT จ
สารบัญตาราง ซ
บทที่ 1 บทนา 1
ความเป็ นมาและความสาคัญของปัญหา 1
วัตถุประสงค์การวิจยั 6
คาถามการวิจยั 6
นิยามศัพท์ 6
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง 8
สถานการณ์ผสู ้ ู งอายุกะเหรี่ ยงในประเทศไทย 9
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุ 14
ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ 22
ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพกับพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ 31
กรอบแนวคิดในการวิจยั 32
บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจยั 33
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 33
เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั 34
การตรวจสอบคุณภาพของเครื่ องมือ 37
การพิทกั ษ์สิทธิ ของกลุ่มตัวอย่าง 38
ขั้นตอนและวิธีการรวบรวมข้อมูล 39
การวิเคราะห์ขอ้ มูล 40
ฉ
สารบัญ (ต่ อ)
หน้า
ช
สารบัญตาราง
หน้า
ซ
บทที่ 1
บทนำ
ควำมเป็ นมำและควำมสำคัญของปัญหำ
1
วัยสู งอายุเป็ นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงในทางเสื่ อมถอยทั้งด้านร่ างกาย จิตใจ และสังคม โดยใน
วัยสู งอายุบุคคลจะมีสภาพร่ างกายที่เปลี่ยนแปลงไป การทาหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ เสื่ อมถอยลงตาม
ธรรมชาติ เช่น หลอดเลือดแข็งตัวขาดความยืดหยุน่ ส่ งผลให้ความดันโลหิ ตสู งขึ้น (Miller, 2009) การ
ท าหน้า ที่ ข องเบต้า เซลล์เ สื่ อมลงตามวัย มี ก ารหลั่ง อิ นซู ลิ นที่ ผิดปกติ และมี ก ารพร่ องหน้า ที่ ข อง
อินซู ลิน ส่ งผลทาให้เกิดภาวะน้ าตาลในเลือดสู ง (Fonseca, 2009) กระดู กผิวอ่อนหัวเข่าบางลงตามวัย
ส่ งผลให้เกิดภาวะข้อเข่าเสื่ อม (Harooni, Hassanzadeh, & Mostafavi, 2014) ซึ่งผลจากการเปลี่ยนแปลง
ทางร่ างกายเหล่านี้ ค่อยเป็ นค่อยไปโดยธรรมชาติและไม่สามารถคื นกลับได้ (Mofrad, Jahantigh, &
Arbabisarjou, 2016) ยิ่งถ้าหากมีพฤติกรรมการปฏิ บตั ิตนที่ไม่เหมาะสม ก็จะทาให้วยั สู งอายุมีปัญหา
การเจ็บป่ วยด้วยโรคเรื้ อรังตามมาได้ (Senol, Ünalan, Soyuer, & Argun, 2014) โดยพบว่าตั้งแต่ปี พ.ศ.
2545 -2560 ผูส้ ู งอายุไทยมีปัญหาสุ ขภาพด้วยโรคเบาหวานและความดันโลหิ ตสู งเพิ่มขึ้น จากร้ อยละ
8.3 เป็ นร้อยละ 16.5 และร้อยละ 20.0 เป็ นร้อยละ 33.6 ตามลาดับ จะเห็นได้วา่ เมื่อเทียบกับปี พ.ศ.2545
ในปี พ.ศ. 2560 ผูส้ ู งอายุที่มีปัญหาโรคเบาหวานและความดันโลหิ ตสู งเพิม่ ขึ้น 2 เท่าตัวและ 1.7 เท่าตัว
ตามลาดับ (มูลนิ ธิ สถาบันวิจยั และพัฒนาผูส้ ู งอายุไทย, 2561) ซึ่ งกลุ่ มผูส้ ู งอายุก ะเหรี่ ยงในจังหวัด
แม่ฮ่องสอนก็มีปัญหาสุ ขภาพที่คล้ายคลึงกับผูส้ ู งอายุโดยทัว่ ไป โดยส่ วนใหญ่พบว่าเจ็บป่ วยด้วยโรค
เรื้ อรั ง ได้แก่ โรคเบาหวานร้ อยละ 63.51 และโรคความดันโลหิ ตสู งร้ อยละ 53.41 ของประชากร
ทั้งหมดที่ป่วยในจังหวัด (สานักงานสาธารณสุ ขจังหวัดแม่ฮ่องสอน, 2559) ซึ่ งโรคเหล่านี้ ลว้ นเกี่ยวข้อง
กับพฤติกรรมสุ ขภาพที่ไม่เหมาะสม (Barile et al., 2015)
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ (health promotion behavior) หมายถึ ง การกระทากิ จกรรมอย่างต่อเนื่ อง
ของบุ ค คล โดยมี เ ป้ า หมายส าคัญ ในการมี สุ ข ภาพที่ ดี (Pender, Murdaugh, & Parsons, 2011) โดย
ปฏิ บตั ิกิจกรรมให้ครอบคลุ มพฤติกรรมทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ 1) ด้านความรับผิดชอบต่อสุ ขภาพ (health
responsibility) 2) ด้านกิจกรรมทางกาย (physical activity) 3) ด้านโภชนาการ (nutrition) 4) ด้านการมี
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (interpersonal relation) 5) ด้านการพัฒนาทางจิตวิญญาณ (spiritual growth)
และ 6) ด้านการจัดการกับความเครี ยด (stress management) ซึ่ งหากผูส้ ู งอายุปฏิบตั ิ พฤติกรรมส่ งเสริ ม
สุ ขภาพอย่างต่อเนื่อง จะส่ งผลให้ผสู ้ ู งอายุสามารถคงไว้หรื อเพิ่มระดับความสามารถในการทาหน้าที่ของ
ร่ างกาย มีความผาสุ กและมีสุขภาวะที่ดีท้ งั ทางร่ างกาย จิตใจ และสังคม (Edelman & Mandle, 2006)
ซึ่งจากการศึกษาของ โมฟราด และคณะ (Mofrad et al., 2016) ที่ศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของ
ผูส้ ู งอายุโรคเรื้ อรังในประเทศอิหร่ าน พบว่า พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดี สามารถลดอัตราการป่ วย
ด้วยโรคเรื้ อรังในผูส้ ู งอายุได้ อีกทั้งพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดียงั ส่ งผลให้ผสู ้ ู งอายุมีคุณภาพชีวติ ที่ดี
ขึ้นอีกด้วย เป็ นไปในทานองเดี ยวกับการศึกษาของ ซี นอล และคณะ (Senol et al., 2014) ที่ได้ศึกษา
ความสัมพันธ์ของพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพและคุณภาพชี วติ ของผูส้ ู งอายุที่อาศัยอยูท่ ี่บา้ นพักคนชรา
2
ในประเทศตุรกี พบว่า พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดีมีความสัมพันธ์กบั คุณภาพชีวิตที่ดีของผูส้ ู งอายุที่
อาศัยที่ บา้ นพักคนชรา อีกทั้งยังสามารถลดภาวะเสี่ ยงทางสุ ขภาพและลดอัตราการพึ่งพาผูอ้ ื่ นลงได้
อย่างมีนยั สาคัญ สาหรับในประเทศไทย มีการศึกษาของ กิ ตติมาพร โลกาวิทย์ (2556) ที่ศึกษาภาวะ
สุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุในชุ มชน จังหวัดปทุมธานี พบว่า ภาวะสุ ขภาพมี
ความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ เป็ นไปในทานองเดี ยวกับการศึกษา
ของ วริ ศา จันทรังสี วรกุล (2553) ที่ศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพและภาวะสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุใน
สถานสงเคราะห์คนชรา จังหวัดนครสวรรค์ พบว่า พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวก
กับภาวะสุ ขภาพอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ ดังนั้นพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดีจึงมีความเกี่ยวข้องกับ
ภาวะสุ ขภาพที่ดี
3
Phoolphoklang, Nanthamongkolchai, & Munsawaengsub, 2010) การสนับสนุ นจากครอบครัว เพื่อน
และสังคม (นิทรา กิจธี ระวุฒิวงษ์ และ ศันสนีย ์ เมฆรุ่ งเรื องวงศ์, 2559; Lim, Noh, & Kim, 2015) ปัจจัย
เหล่ า นี้ ล้ว นมี ผ ลโดยตรงต่ อ พฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพในการศึ ก ษาทั้ง กลุ่ ม ผู ใ้ หญ่ แ ละผู ส้ ู ง อายุ
(Mofrad et al., 2016) ส่ ว นเพศ เป็ นปั จ จัย ที่ มี แ ละไม่ มี อิ ท ธิ พ ลต่ อ พฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพของ
ผูส้ ู งอายุ (ทิพย์กมล อิสลาม, 2557; ธรรมพร บัวเพ็ชร์ , 2552; Senol et al., 2014) โดยปั จจัยที่ได้กล่าวถึง
ข้า งต้น นั้น เป็ นปั จ จัย ที่ ต้อ งอาศัย การสนับ สนุ น จากหลายบุ ค คลหรื อ บางปั จ จัย นั้น ก็ เ ป็ นปั จ จัย ที่
ปรั บ เปลี่ ย นไม่ ไ ด้ รวมทั้ง มี ก ารศึ ก ษาจ านวนมากในผูส้ ู ง อายุ แต่ มี ปั จ จัย ที่ ส าคัญอี ก ปั จจัย หนึ่ ง ที่
เกี่ยวข้องและมีผลโดยตรงต่อพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุ นัน่ ก็คือ ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ
(health literacy) (Suka et al., 2015) โดยจากการทบทวนอย่างเป็ นระบบของ เชสเซอร์ , วูด, สมูทเธอร์ ,
และ โรเจอร์ (Chesser, Wood, Smothers, & Roger, 2016) เกี่ยวกับความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุ
ในประเทศสหรัฐอเมริ กา จากงานวิจยั จานวน 8 ฉบับที่ผา่ นเกณฑ์ กลุ่มตัวอย่างผูส้ ู งอายุที่ศึกษาตั้งแต่
จานวน 33 ถึ ง 3,000 ราย มี 2 รายงานวิจยั ที่ พบว่า ความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพที่ ต่ ามี ค วามสัมพันธ์ ก ับ
ผลลัพธ์ของสุ ขภาพที่ไม่ดี (poorer health outcomes) อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ ดังนั้นความรอบรู ้ดา้ น
สุ ขภาพจึงมี ความสาคัญต่อการปรับพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพและควบคุ มโรคเรื้ อรั งโดยเฉพาะใน
กลุ่มผูส้ ู งอายุ (Smith et al., 2015)
ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ เป็ นทักษะที่จาเป็ นในการควบคุมภาวะสุ ขภาพ (Sørensen et al., 2012)
ซึ่ งความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ เป็ นความสามารถเฉพาะของบุคคล ในการอ่าน เข้าใจ เข้าถึง เลือกใช้ขอ้ มูล
รวมถึ งมี การพัฒนาความรู ้ ทาความเข้าใจในข้อมูลแต่ละบริ บท มี การเปลี่ ยนแปลงทัศนคติ และเกิ ด
แรงจู ง ใจในการปฏิ บ ตั ิ พ ฤติ ก รรมให้ ถู ก ต้องเหมาะสมกับ ตนเอง (Nutbeam, 2008) ประกอบด้ว ย
ความสามารถของบุคคล 3 ด้านคือ 1) ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพพื้นฐาน (functional health literacy/basic
skills and understanding) เป็ นความสามารถในด้านการอ่าน และเขียน ทักษะในการเข้าถึงข้อมูล และ
ความเข้าใจข้อมูลที่เกี่ยวกับภาวะสุ ขภาพ 2) ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพด้านการมีปฏิสัมพันธ์/การติดต่อสื่ อสาร
(interactive /communication health literacy) เป็ นความสามารถในด้านการฟั ง พูด ทักษะการติ ดต่อสื่ อสาร
กับบุคลากรทางสุ ขภาพหรื อบุคคลทัว่ ไป เพื่อเพิ่มความสามารถในการมีส่วนร่ วมในการดู แลสุ ขภาพ
และจัดการภาวะสุ ขภาพได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ 3) ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพด้านวิจารณญาณ (critical
health literacy) เป็ นความสามารถในการประเมินข้อมูลสารสนเทศ ทักษะการรู ้เท่าทันสื่ อ เพื่อสามารถ
ตัดสิ นใจเลื อกใช้ขอ้ มูลที่ เป็ นประโยชน์ เพื่อการดู แลสุ ขภาพของตนเองอย่างเหมาะสม โดยถ้าหาก
บุคคลขาดความสามารถในการดูแลสุ ขภาพของตนเอง จานวนผูป้ ่ วยด้วยโรคเรื้ อรังก็จะเพิ่มขึ้น ทาให้
ค่ า ใช้ จ่ า ยในการรั ก ษาพยาบาลเพิ่ ม สู ง ขึ้ น (World Health Organization [WHO], 2009) ต้อ งพึ่ ง พา
บริ การทางการแพทย์และยารักษาโรคที่มีราคาแพง โรงพยาบาลและหน่ วยบริ การสุ ขภาพจะต้องมี
4
ภาระหนักในการรักษาพยาบาล จนทาให้เกิ ดข้อจากัดในการทางานส่ งเสริ มสุ ขภาพและไม่อาจสร้าง
ความเท่าเทียมในการเข้าถึงบริ การอย่างสมบูรณ์ได้ (ขวัญเมือง แก้วดาเกิง และ นฤมล ตรี เพชรศรี อุไร,
2554) ซึ่ งจากการศึกษาของ เรย์ซี่ และคณะ (Reisi et al., 2014) ที่ศึกษาความสัมพันธ์ของความรอบรู ้
ด้านสุ ขภาพพื้นฐานและพฤติ กรรมส่ ง เสริ มสุ ข ภาพในผูส้ ู งอายุจงั หวัดอิ สฟาฮาน ประเทศอิ หร่ า น
พบว่า ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพพื้นฐานมีความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ โดยผูส้ ู งอายุที่มี
ความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพพื้ นฐานที่ ไ ม่ เ พี ย งพอ (inadequate health literacy) จะมี พ ฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม
สุ ขภาพในด้านการออกกาลังกายและการรั บประทานผักและผลไม้น้อย เป็ นไปในทานองเดี ยวกับ
การศึกษาของ หลิว, หลิว, หลี่, และ เฉิน (Liu, Liu, Li, & Chen, 2015) ที่ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง
ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ พฤติกรรมสุ ขภาพและภาวะทางสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุชาวจีนพบว่า ผูส้ ู งอายุที่มี
ความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพที่ ดีจะมี พ ฤติ กรรมส่ ง เสริ มสุ ขภาพที่ ดี ในด้า นความรั บผิดชอบต่ อสุ ข ภาพ
ตนเอง การมี กิจกรรมทางกาย และการไม่สูบบุหรี่ รวมทั้งจากการศึ กษาไปข้างหน้า (cohort study)
ของ กิบอร์ , เรดเนวาลด์, เจนเซ่น, และ วินเทอร์ (Geboers, Reijneveld, Jansen, & Winter, 2016) ศึกษา
ในผูส้ ู งอายุจานวน 3,241 ราย อายุเฉลี่ย 68.9 ปี พบว่า ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพในระดับต่ามีความสัมพันธ์
กับพฤติกรรมสุ ขภาพที่ไม่ดีอย่างมีนัยสาคัญทางสถิ ติ ดังนั้นผูส้ ู งอายุที่มีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพใน
ระดับสู งหรื อเพียงพอ จะสามารถแสวงหาความรู ้เกี่ยวกับการดูแลสุ ขภาพได้ดว้ ยตนเอง จากแหล่งข้อมูล
ที่หลากหลาย และเข้าใจความรู ้ ข่าวสารทางสุ ขภาพสามารถตัดสิ นใจเลือกข้อมูลทางสุ ขภาพเพื่อดูแล
สุ ขภาพของตนเองได้เหมาะสม รวมถึงสามารถนาความรู ้มาสู่ การดูแลสุ ขภาพของตนเองให้เหมาะสม
กับสุ ขภาพได้
5
ในเขตเมือง เนื่ องจากการเดินทางและการเข้าถึงบริ การสุ ขภาพยังไม่เอื้ออานวย อีกทั้งยังเป็ นกลุ่มที่มี
ประเพณี วัฒนธรรมและภาษาที่เฉพาะตน (ศิริรัตน์ ปานอุทยั , ลินจง โปธิ บาล, และ วณิ ชา พึ่งชมภู ,
2552) ประกอบกับ จากจานวนและสถิ ติ โรคเรื้ อรั ง ในผู ส้ ู ง อายุ ก ะเหรี่ ย งที่ เพิ่ ม ขึ้ น ดัง กล่ า วข้า งต้น
รวมทั้งการศึกษาความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในกลุ่มผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงยังมี
ข้อจากัด จะเห็นได้จากมีการศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงแต่เป็ นรายงานการ
ศึกษาวิจยั นานกว่า 10 ปี และแม้จะมีการศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในกลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยง
ขาวที่มีอายุ 15-45 ปี ขึ้นไป แต่ก็ยงั ไม่จาเพาะในกลุ่มผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง ส่ วนการศึกษาความรอบรู ้ดา้ น
สุ ขภาพที่ผ่านมานั้นยังไม่มีการศึกษาในกลุ่มผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง ดังนั้นจึงจาเป็ นต้องทราบพฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพและความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง และจากการทบทวนวรรณกรรมยัง
ไม่ พบว่า มี ก ารศึ ก ษาความสัม พันธ์ ข องความรอบรู ้ ด้านสุ ข ภาพและพฤติ ก รรมส่ งเสริ มสุ ขภาพใน
ผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงมาก่อน ดังนั้นผูว้ จิ ยั จึงต้องการศึกษาในผูส้ ู งอายุกลุ่มนี้ เพื่อนามาใช้เป็ นประโยชน์ใน
ดาเนินงานพัฒนาส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงต่อไป
วัตถุประสงค์ กำรวิจัย
คำถำมกำรวิจัย
นิยำมศัพท์
6
ส่ งเสริ มสุ ขภาพของกลุ่มชาติพนั ธ์กะเหรี่ ยงขาวที่มีความเสี่ ยงต่อโรคเรื้ อรังของ ศิวาพร มหาทานุ โชค
(2558) ที่ ดัดแปลงมาจากแบบสอบถาม Health Promoting Life Style Profile II (HPLP II) ของ วอร์ คเกอร์ ,
ซีคริ ท, และ เพนเดอร์ (Walker, Sechrist, & Pender, 1995)
ผู้ สู ง อำยุ ก ะเหรี่ ย ง หมายถึ ง บุ ค คลที่ มี อ ายุ ต้ งั แต่ 60 ปี ขึ้ น ไปทั้ง ชายและหญิ ง ที่ มี เ ชื้ อ ชาติ
กะเหรี่ ยงสะกอ (ขาว)
7
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ที่เกีย่ วข้ อง
การศึ กษาครั้ งนี้ เป็ นการศึ กษาความสั ม พันธ์ ระหว่า งความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพกับ พฤติ ก รรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง ผูว้ ิจยั จะศึ กษาเอกสารและงานวิจยั ที่ เกี่ ยวข้อง โดยมี เนื้ อหา
ครอบคลุมในหัวข้อดังต่อไปนี้
8
สถานการณ์ ผ้ สู ู งอายุกะเหรี่ยงในประเทศไทย
1. กะเหรี่ ยงสะกอ (Sgaw Karen) หรื อกะเหรี่ ยงขาว กลุ่มนี้เรี ยกตัวเองว่า กันยอ (Kanyaw) ชาว
ไทยเรี ยกว่า ยางขาว เป็ นกลุ่มที่มีประชากรมากที่สุด กลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงสะกอในแถบตะวันตก
ของ เชี ยงใหม่ เรี ยกตัวเองว่า บูคุนโย (Bu Kun Yo) ซึ่ งกะเหรี่ ยงสะกอนั้น ผูช้ ายมักจะนิยมชอบใส่ เสื้ อ
สี แดง มีเชื อกรัดเอว มีพู่ และโพกผ้าที่ศีรษะด้วยผ้าสี ต่างๆ ส่ วนผูห้ ญิงนั้นหากยังไม่แต่งงานมักจะนุ่ ง
กระโปรงทรงกระสอบ สี ขาวยาวมีปักบ้างเล็กน้อย ส่ วนผูห้ ญิงที่แต่งงานแล้ว จะนิ ยมใส่ เสื้ อแขนสั้นสี
ดาหรื อสี น้ าเงินเข้ม ส่ วนด้านล่างมักจะประดับด้วยลูกปั ดสี แดงและสี ขาว มักจะชอบสวมกระโปรงสี
แดง ลายตัด โพกผ้าสี แดงมีลายปั กสวยงาม (บุญช่วย ศรี สวัสดิ์, 2506)
2. กะเหรี่ ยงโปว์ (Pwo Karen) ชาวไทยเรี ยกว่า ยางโปว์ ชาวเมี ย นมาเรี ยกว่า ตะเลี ยงกะยิน
(Taliang Kayin) ผูช้ าย กะเหรี่ ยงโปว์ มักแต่งตัวเหมือนกลุ่มไทยพื้นราบทัว่ ไป ส่ วนผูห้ ญิงที่แต่งงาน
แล้วนิ ยมใส่ เสื้ อทรงกระสอบเหมื อนกลุ่ ม สะกอ แต่ ยาวกว่าและสี แดงกว่า ท่อนบนของเสื้ อ จะปั ก
ลวดลาย ประดับด้วยเครื่ องประดับ เช่น ลูกปั ด เกล้าผมเป็ นม้วน นิยมปั กผมด้วยปิ่ นเงิน สวมกระโปรง
ยาวคลุ มมาถึ งข้อเท้า มีลวดลายปั ก และห้อยด้วยพู่ ใส่ กาไลมือและแขนเป็ นเครื่ องเงิ น อีกทั้งผูห้ ญิ ง
มักจะนิ ยมสักหมึกเป็ นรู ปเครื่ องหมายสวัสดิ กะที่ขอ้ มือ ส่ วนที่น่องนั้นนิ ยมสักเป็ นรู ปกระดูกงู โดย
เชื่อว่าสามารถ ป้ องกันเวทย์มนต์คาถาและภูตผีปีศาจได้ (บุญช่วย ศรี สวัสดิ์, 2506)
3. กะเหรี่ ย งบเว (B’ghwe Karen) หรื อ แบร (Bre) หรื อกะเหรี่ ยงแดง กะเหรี่ ย งกลุ่ มนี้ เรี ย ก
ตัวเองว่า กะยา (Ka-ya) ชาวเมียนมาเรี ยกว่า คะยินนี (Kayin-ni) ชาวไทยเรี ยกว่ายางแดง แต่ปัจจุบนั
เรี ยกเป็ น คะยา (Kayah) ชาวอังกฤษ เรี ยกคาเรนนี (Karen-ni) ตามชาวเมียนมา สาหรับผูช้ ายกะเหรี่ ยงบ
เว มักจะนุ่งกางเกงขาสั้นสี แดง โพกศีรษะด้วยผ้าสี นิยมสักหมึกไว้ขา้ งหลัง เชื่ อว่าสามารถป้ องกันสิ่ ง
ชัว่ ร้ายได้ ส่ วนผูห้ ญิงมักจะนุ่งกระโปรงสั้น และสวมกาไลไม้ไผ่ที่ขอ้ เท้า กะเหรี่ ยงแดงถือว่าตนเป็ น
ชนชาติ ที่สูงกว่า และมักจะไม่ยอมรั บกลุ่ มสกอและโปว์ว่าเป็ นกลุ่ มที่มีเลื อดกะเหรี่ ยงอย่างแท้จริ ง
(บุญช่วย ศรี สวัสดิ์, 2506)
9
4. กะเหรี่ ยงตองสู หรื อปะโอ (Pa-O) ชาวไทยและชาวเมียนมาเรี ยก ตองสู (Thaung thu) ชาว
ไทยใหญ่เรี ยก ตองซู (Tong-Su) ชาวกะเหรี่ ยงสะกอเรี ยกกลุ่มกะเหรี่ ยงตองสู วา่ กะเหรี่ ยงดา ซึ่ งกลุ่มนี้
แต่เดิมอาศัยอยูบ่ ริ เวณเมืองต่างๆ ใกล้ทะเลสาบอินเล แห่ งมะเยลัต ในรัฐฉานตอนใต้ ของสาธารณรัฐ
แห่ งสหภาพเมียนมา เมืองที่กะเหรี่ ยงตองสู อยูม่ ากที่สุด คือเมืองหลอยโหลง และเมืองสะทุ่ง (บุญช่วย
ศรี สวัสดิ์, 2506) โดยผูห้ ญิงกะเหรี่ ยงตองสู มกั นิ ยมแต่งกายด้วยชุ ดสี ดา โพกผ้าที่ศีรษะด้วยผ้าสี ขาว
หรื อผ้าสี ดา ส่ วนผูช้ ายมักจะแต่งกายโดยนุ่งกางเกงขายาวสี ดาหรื อสี ขาว เสื้ อแขนลายปั กแขนยาวเป็ น
ทรงผ่าอกกลางและใช้กระดุมผ้าในการติดเสื้ อ (บุญช่วย ศรี สวัสดิ์, 2506)
ชาวกะเหรี่ ย งมัก อาศัย รวมกันเป็ นหมู่บ ้าน ประกอบด้วยครั วเรื อนและยุง้ ฉาง บ้านของชาว
กะเหรี่ ยงส่ วนใหญ่มกั จะสร้ างด้วยไม้ไผ่ และแฝก ที่เรี ยกว่า โขน ยกพื้น ด้วยเสาไม้สูงประมาณ 5-6
ฟุต โดยบริ เวณบ้านส่ วนใหญ่จะไม่มีร้ ัว ปล่อยสัตว์เลี้ยงต่างๆให้หากินในหมู่บา้ น (ขจัดภัย บุรุษพัฒน์,
2538; Lebar, Hickey, & Musgrave, 1964) โดยชาวกะเหรี่ ย งสะกอและชาวกะเหรี่ ย งโปว์ มัก จะมี
รู ปแบบบ้านเรื อนคล้ายกัน ส่ วนกลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงตองสู มกั จะตั้งบ้านเรื อนอยูบ่ นเนินเขาที่สูงกว่า
ระดับน้ าทะเล 3,000 - 3,500 ฟุต มีแบบบ้านคล้ายชาวไทยใหญ่ (บุญช่วย ศรี สวัสดิ์ , 2506) ส่ วนใหญ่
ในหมู่บา้ นของชาวกะเหรี่ ยงไม่มีที่สาหรับประชุมหรื อลานเต้นรา ไม่มีวดั ซึ่ งลักษณะของหมู่บา้ นชาว
กะเหรี่ ยงพอจะจาแนกได้เป็ น 3 ประเภท คือ 1) หมู่บา้ นถาวร ที่ต้ งั อยูต่ ามภูเขา ซึ่ งเป็ นหมู่บา้ นค่อนข้าง
ใหญ่ มีบา้ นอาศัยอยูป่ ระมาณ 16 - 72 หลังคาเรื อน ส่ วนใหญ่จะตั้งมานานกว่า 50 ปี ขึ้นไป 2) หมู่บา้ น
ค่อนข้างถาวร โดยลักษณะของหมู่บา้ นแบบนี้ มกั จะตั้งอยู่ตามหุ บเขาสู ง ขนาดปานกลาง มีบา้ นอยู่
10
อาศัยประมาณ 11 หลังคาเรื อน ทั้ง 2 ประเภทนี้ กลุ่มชาติพนั ธุ์บา้ นจะดารงชี พด้วยการทานา ทาไร่ เป็ น
หลัก และ 3) หมู่บา้ นบนภูเขา โดยส่ วนใหญ่จะเป็ นกลุ่มชาติพนั ธุ์บา้ นที่มกั ทาไร่ เลื่อนลอย ซึ่ งลักษณะ
หมู่บา้ นแบบนี้ จะเป็ นหมู่บา้ นที่มีขนาดเล็ก (ขจัดภัย บุรุษพัฒน์, 2538) โดยในหมู่บา้ นกะเหรี่ ยงนั้นจะ
มีหวั หน้าหมู่บา้ น ที่เรี ยกว่า เซี่ ยเก็งคู หรื อ ซะปร่ า เปอฮี่ (บุญช่วย ศรี สวัสดิ์, 2506) โดยได้ตาแหน่งที่
สื บ ทอดมาจากสายทางบิ ดา ท าหน้า ที่ เป็ นหัวหน้า คื อพิ จารณาตัดสิ นกรณี พิ พ าทต่ า งๆ ตัดสิ นคดี
เกี่ ยวกับการลักขโมย หรื อคดี ความที่ เกี่ ยวกับการประพฤติผิดทางเพศ เป็ นต้น (ขจัดภัย บุ รุษพัฒน์,
2538) ระบบครอบครัวและตระกูลของกลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยง โดยทัว่ ไปมักจะเป็ น ครอบครัวเดี่ยว ซึ่ ง
ปกติคู่สมรสมักจะออกไปตั้งครอบครัวของตนภายหลังที่ได้อาศัยอยูก่ บั พ่อแม่ของฝ่ ายหญิง โดยกลุ่ม
ชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงมีความเชื่ อกันว่าจะต้องสร้างบ้านหลังเล็กหลังแต่งงานและต่อเติมให้ใหญ่ข้ ึนเมื่อมี
บุตร กลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงจะเชื่ อว่าบ้านเป็ นสถานที่ทางวิญญาณของภรรยา โดยจะต้องมีพิธีแจ้งแก่
ผีสายมารดาให้ทราบถึ งการแต่งงานที่เรี ยกว่า เตอะเซี่ ย หลังจากภรรยาย้ายไปอยู่บา้ นหลังใหม่ (ขจัด
ภัย บุรุษพัฒน์, 2538) สาหรับในจังหวัดแม่ฮ่องสอนชาวกะเหรี่ ยงสะกอและชาวกะเหรี่ ยงโปว์ มักจะ
สร้างบ้านอยูอ่ าศัยกระจายตามหุ บเขาสู ง ขนาดปานกลาง สร้างบ้านด้วยไม้เป็ นส่ วนใหญ่ ลักษณะบ้าน
เป็ นทรงยกสู ง อาศัยอยูร่ วมกันประมาณหมู่บา้ นละ 30 - 80 หลังคาเรื อน
การประกอบอาชีพ
11
ประเพณี วัฒนธรรมและความเชื่ อ
12
ภาษาทีใ่ ช้ สื่อสารในชีวติ ประจาวัน
13
สถานการณ์ ด้านสุ ขภาพของผู้สูงอายุกะเหรี่ยง
พาแลงค์ (Palank, 1991) ได้ใ ห้นิย ามพฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพ หมายถึ ง กิ จกรรมต่ า งๆ ที่
เริ่ มต้นโดยบุคคลทุกกลุ่มอายุ และกระทาด้วยตนเองโดยปฏิ บตั ิในทางบวก เพื่อคงไว้หรื อเพิ่มระดับ
ความผาสุ กของชี วิต (well-being) ความตระหนักในตนเองและความสาเร็ จของบุคคล พฤติกรรมที่
ช่ วยส่ งเสริ มสุ ขภาพ ได้แก่ การออกกาลังกายอย่างสม่ าเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอ การมี กิจกรรม
ต่างๆ เพื่อลดความเครี ยด และการมีภาวะโภชนาการที่เหมาะสม
เพนเดอร์ และคณะ (Pender et al., 2011) ได้ให้คานิ ยามพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพว่า หมายถึ ง
การกระทากิจกรรมอย่างต่อเนื่องของบุคคล โดยมีเป้ าหมายสาคัญในการยกระดับความเป็ นอยูท่ ี่ดี และ
การบรรลุเป้ าหมายในการมีสุขภาพที่ดีของบุคคล ครอบครั ว ชุ มชน และสังคม ในการควบคุมดูแล
สุ ขภาพให้ได้ตามเป้ าหมาย และปฏิบตั ิกิจกรรมนั้นๆ จนเป็ นแบบแผนการดาเนินชีวติ
14
องค์ ประกอบของพฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพ
เพนเดอร์ และคณะ (Pender et al., 2011) ได้แบ่งพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพออกเป็ น 6 ด้าน ดังนี้
2. ด้า นกิ จ กรรมทางกาย (physical activity) หมายถึ ง การกระท ากิ จ กรรมหรื อ การปฏิ บ ัติ
กิจกรรมการเคลื่อนไหวของร่ างกาย เช่น การออกกาลังกายอย่างต่อเนื่ อง อย่างน้อยครั้งละ 30 นาทีข้ ึน
ไป อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่ งกิจกรรมทางกาย เช่น การเดินเร็ ว วิง่ ปั่ นจักรยาน เต้นแอโรบิค ว่าย
น้ า หรื อการมีกิจกรรมทางกายในการดาเนิ นชี วิตประจาวัน เช่น การเดินหลังรับประทานอาหาร การ
ทาความสะอาดบ้าน เป็ นต้น
6. ด้า นการจัด การกับ ความเครี ย ด (stress management) หมายถึ ง การกระท าเพื่ อ ลดความ
ตึงเครี ยด การจัดการกับสิ่ งที่ก่อให้เกิดความเครี ยด ก่อให้เกิดความผ่อนคลาย รวมทั้งการพักผ่อนอย่าง
15
เพี ย งพอ และมี ก ารแสดงออกทางอารมณ์ ไ ด้อย่า งเหมาะสม เช่ น การหาเวลาพัก ผ่อนผ่อ นคลาย
ความเครี ยดในแต่ละวัน การทากิจกรรมงานอดิเรก การทากิจกรรมร่ วมกัน เป็ นต้น
16
พบว่าเจ็บป่ วยด้วยโรคเรื้ อรัง ได้แก่ ความดันโลหิ ตสู งร้ อยละ 53.41 และโรคเบาหวานร้อยละ 63.51
ของประชากรทั้งหมดที่ป่วยในจังหวัด (สานักงานสาธารณสุ ขจังหวัดแม่ฮ่องสอน, 2559)
3. ด้านโภชนาการ ผูส้ ู ง อายุก ะเหรี่ ย งมี การรั บ ประทานอาหารส่ วนใหญ่ ที่ป ระกอบมาจาก
พืชผักสวนครัวที่ปลูกไว้เองหรื อไปเก็บตามในป่ าเอามารับประทาน ส่ วนเนื้ อสัตว์จะกินปลาในแม่น้ า
เป็ นหลัก มีเนื้อหมูหรื อวัว ควายที่เลี้ยงไว้เอง วิธีการประกอบอาหารใช้วิธีการต้ม นึ่ ง และย่างเป็ นหลัก
(พีรนุช จันทร์ คุปต์, 2540) เป็ นไปในทาเดียวกันกับการศึกษาของ ศิวาพร มหาทานุโชค (2558) พบว่า
กลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงขาวมีการรับประทานอาหารเช้าทุกวัน แต่ไม่ค่อยได้รับประทานนม นมถัว่ เหลือง
ในแต่ละวัน
17
5. ด้านการพัฒนาทางจิตวิญญาณ ผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงมักมีความเชื่ อในด้านภูตผีวิญญาณบรรพ
บุรุษ และก็มีบางส่ วนที่นบั ถือศาสนาคริ สต์และพุทธ ยึดถือไว้เป็ นเครื่ องยึดเหนี่ ยวทางจิตใจ ผูส้ ู งอายุ
กะเหรี่ ยงมีความพึงพอใจและรู ้สึกว่าตนเองมีคุณค่า ไม่ได้ว่าตัวเองเป็ นภาระแก่ลูกหลานแต่อย่างใด
(พีรนุช จันทร์ คุปต์, 2540) ดังการศึกษาของ ศิวาพร มหาทานุโชค (2558) พบว่า กลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงขาว
มีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพด้านการพัฒนาทางจิตวิญญาณอยูใ่ นระดับดี โดยกลุ่มชาติพนั ธ์กะเหรี่ ยงขาว
มีความเชื่อถือศาสนาและผีบรรพบุรุษไว้เป็ นที่ยดึ เหนี่ยวทางจิตใจ
จากการทบทวนทางวรรณกรรมพบว่า มี ข ้อ จ ากัด เกี่ ย วกับ การศึ ก ษาปั จ จัย ที่ เ กี่ ย วข้อ งกับ
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง แต่มีการศึกษาปั จจัยที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมส่ งเสริ ม
สุ ขภาพของผูส้ ู งอายุทวั่ ไป ดังนี้
18
และมี กิจกรรมต่อเนื่ อง ได้มากกว่าผูส้ ู งอายุวยั กลาง (70-79 ปี ) หรื อผูส้ ู งอายุวยั ปลาย (80 ปี ขึ้ นไป)
(ทิพย์กมล อิสลาม, 2557) ดังการศึกษาของผูส้ ู งอายุในประเทศอิหร่ าน พบว่า อายุมีความสัมพันธ์กบั
พฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอย่างมีนัยสาคัญทางสถิ ติ โดยผูส้ ู งอายุวยั ต้นมักจะมี พฤติ กรรมส่ งเสริ ม
สุ ขภาพที่ดีกว่าผูส้ ู งอายุวยั ปลาย (Mofrad et al., 2016)
2. เพศ เป็ นสิ่ ง ที่ แ สดงถึ ง ความแตกต่ า งทางชี ว ภาพของบุ ค คลเป็ นตัว ก าหนดบทบาท
ความสามารถ และการแสดงพฤติกรรมต่างๆ (Palank, 1991) เพศชายจะมีโครงสร้างที่แข็งแรงจะมี
พฤติกรรมในด้านของการใช้กาลัง เช่น การทางานนอกบ้าน ส่ วนเพศหญิงจะมีโครงสร้างที่บอบบาง มี
พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการดู แลตนเองและบุคคลอื่นๆ เช่ น การดู แลสุ ขภาพ และความเป็ นอยู่ของ
บุคคลในครอบครั ว เพศที่ แตกต่างกันจะมี การปฏิ บตั ิ พฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ แตกต่างกัน จาก
การศึกษาที่ผา่ นมาพบว่า ผูส้ ู งอายุเพศหญิงมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพดีกว่าเพศชาย เนื่ องจากมีการ
ดูแลเอาใจใส่ ต่อสุ ขภาพของตนเอง รับประทานอาหารที่เหมาะสม ไม่ดื่มเหล้า (กิตติมาพร โลกาวิทย์,
2556) แตกต่างจากการศึกษาของ ฮารุ นี และคณะ (Harooni et al., 2014) ที่ศึกษาปั จจัยที่มีอิทธิ พลต่อ
พฤติ ก รรมสุ ข ภาพในกลุ่ ม ผูส้ ู ง อายุที่ อาศัย อยู่ใ นชุ ม ชนจัง หวัดดี ม า (Dema) ประเทศอิ หร่ า น กลุ่ ม
ตัวอย่างเป็ นผูส้ ู งอายุ อายุ 65 ปี ขึ้นไปจานวน 120 คน ผลการศึกษาพบว่า ผูส้ ู งอายุส่วนใหญ่ (ร้อยละ
85) มีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในระดับที่เหมาะสม และผูส้ ู งอายุชายมีการปฏิบตั ิพฤติกรรมส่ งเสริ ม
สุ ขภาพดี กว่าผูส้ ู งอายุหญิง เนื่ องจากในประเทศอิหร่ านการมีปฏิ สัมพันธ์ทางสังคมของผูห้ ญิงนั้นมี
น้อยกว่าผูช้ ายทาให้การเข้าถึงข้อมูลทางสุ ขภาพน้อยกว่าผูช้ ายด้วย
19
4. ระดับการศึกษา เป็ นพื้นฐานสาคัญของบุคคลที่มีผลต่อการพัฒนาความรู ้ ความเข้าใจ และ
ทัศนคติในการปฏิบตั ิพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ โดยทัว่ ไปบุคคลที่มีระดับการศึกษาสู งจะมีการปฏิบตั ิ
ตนด้านสุ ขภาพที่ดีกว่าผูท้ ี่มีระดับการศึกษาต่า เนื่ องจากผูท้ ี่มีการศึกษาสู งจะมีโอกาสที่จะแสวงหาสิ่ ง
ที่มีประโยชน์หรื อเอื้อต่อการปฏิบตั ิพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดี (Dehghankar, Shahrokhi, Qolizadeh,
Mohammadi, & Nasiri, 2016) ดังการศึกษาของ วริ ศา จันทรังสี วรกุล (2553) ที่ศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ ม
สุ ขภาพและภาวะสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุที่อาศัยอยู่ในสถานสงเคราะห์คนชราบ้านเขาบ่อแก้ว จังหวัด
นครสวรรค์ จานวน 82 ราย พบว่า การที่มีระดับการศึกษาสู ง จะทาให้มีทกั ษะในการแสวงหาข้อมูล
ตลอดจนรู ้จกั ใช้แหล่งประโยชน์ได้ดีกว่าผูท้ ี่มีการศึกษาต่า
20
ประมาณค่า 4 ระดับ คื อ ไม่ ปฏิ บ ตั ิ ปฏิ บ ตั ิ นานๆ ครั้ ง ปฏิ บตั ิ บ่ อยครั้ ง และปฏิ บ ตั ิ เป็ นประจา โดย
กาหนดคะแนน ดังนี้ ระดับคะแนน 1 หมายถึงกิจกรรมนั้นไม่เคยปฏิบตั ิเลย ระดับคะแนน 2 หมายถึง
กิจกรรมนั้นปฏิบตั ินานๆ ครั้ง ระดับคะแนน 3 หมายถึง กิจกรรมนั้นปฏิบตั ิบ่อยครั้ง และระดับคะแนน
4 หมายถึ ง กิ จกรรมนั้นปฏิ บตั ิ เป็ นประจาสม่ าเสมอ การแปลความหมายของคะแนน พิจารณาจาก
ค่าเฉลี่ยของแต่ละบุคคล (คะแนนรวมหารด้วยจานวนข้อ) โดยมีคะแนนเต็มอยูร่ ะหว่าง 1-4 แล้วนามา
คานวณหาค่าเฉลี่ยรวม แปลความหมายตามเกณฑ์ ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 1.00-2.19 หมายถึง ปฏิบตั ิพฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพอยู่ในระดับต่ า ค่าเฉลี่ ย 2.20-2.59 หมายถึ ง ปฏิ บตั ิ พฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอยู่ใน
ระดับ พอใช้ ค่ า เฉลี่ ย 2.60-2.99 หมายถึ ง ปฏิ บ ตั ิ พ ฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพอยู่ใ นระดับ ปานกลาง
ค่าเฉลี่ ย 3.00-3.39 หมายถึ ง ปฏิ บตั ิ พฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอยู่ในระดับดี และค่าเฉลี่ ย 3.40-4.00
หมายถึ ง ปฏิ บตั ิพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอยู่ในระดับดี มาก เครื่ องมือผ่านการทดสอบความเชื่ อมัน่
จากการศึกษาของกลุ่มตัวอย่างกลุ่มต่างๆ โดยมีค่าสัมประสิ ทธิ์ ครอนบาคทั้งโดยรวมและรายด้านอยู่
ในระดับที่ยอมรับ คือมากกว่า 0.80
21
การแปลผลคะแนน พิจารณาจากคะแนนรวมของแต่ละบุคคล มีคะแนนอยู่ระหว่าง 44-176 คะแนน
แบ่งระดับคะแนนโดยใช้วิธีการคานวณหาช่วงกว้างระหว่างอันตรภาคชั้นตามหลักการค่าเฉลี่ ย แบ่ง
คะแนนออกเป็ น 3 ระดับ ดังนี้ คะแนน 44.00-87.00 หมายถึ ง แสดงออกพฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ
ระดับต่า คะแนน 87.01-131.00 หมายถึ ง แสดงออกพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพระดับปานกลาง และ
คะแนน 131.01-176.00 หมายถึง แสดงออกพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพระดับสู ง ศิวาพร มหาทานุ โชค
(2558) ได้นาไปใช้ในการศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพกลุ่มประชาชนทัว่ ไปชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงขาว
อายุ 15-45 ปี ที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน และทดสอบความเชื่อมัน่ ได้ค่าสัมประสิ ทธิ์ อลั ฟาครอนบาค เท่ากับ
0.86
งานวิ จ ัย ครั้ งนี้ ผู ว้ ิ จ ัย เลื อ กใช้ แ บบสั ม ภาษณ์ พ ฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพของกลุ่ ม ชาติ พ นั ธุ์
กะเหรี่ ยงขาวที่มีความเสี่ ยงต่อโรคเรื้ อรังของ ศิวาพร มหาทานุ โชค (2558) เนื่ องจากเคยนาไปใช้ใน
การศึกษากลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงซึ่ งตรงกับกลุ่มตัวอย่างที่ผวู ้ จิ ยั จะทาการศึกษาและมีค่าความน่าเชื่อถือ
ของเครื่ องมืออยูใ่ นเกณฑ์ที่เชื่อถือได้
ซาร์ คาโดลาส, พลีเซ้นต์, และ เกี ยร์ (Zarcadoolas, Pleasant, & Greer, 2005) นิ ยามความรอบรู ้
ด้า นสุ ข ภาพว่ า เป็ นทัก ษะที่ ค รอบคลุ ม ความสามารถของบุ ค คลในการประเมิ น ข้อ มู ล ข่ า วสาร
สาธารณสุ ข
22
เพลี ย เซน และ คู รูวิล ลา (Pleasant & Kuruvilla, 2008) นิ ย ามความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพว่า เป็ น
ความสามารถในการค้นหา ทาความเข้าใจ วิเคราะห์ และใช้ขอ้ มูลทางสุ ขภาพในการตัดสิ นใจได้อย่าง
ถูกต้อง เพื่อให้มีสุขภาพดี และ ลดความไม่เสมอภาคทางสุ ขภาพ
ดอน นัทบีม (Nutbeam, 2009) นิ ยามความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพไว้วา่ เป็ นความรู ้ ความเข้าใจ และ
ทักษะทางสังคมที่กาหนดแรงจูงใจ และ ความสามารถเฉพาะบุคคลในการเข้าถึง ทาความเข้าใจ และ
ใช้ขอ้ มู ลเพื่อให้เกิ ดสุ ขภาพที่ ดี รวมทั้งการพัฒนาความรู ้ และทาความเข้าใจในบริ บทด้านสุ ขภาพ
การเปลี่ยนแปลงทัศนคติและแรงจูงใจเพื่อก่อให้เกิดพฤติกรรมสุ ขภาพที่เหมาะสมด้วยตนเอง
องค์การอนามัยโลก (WHO, 2010) ได้ให้คานิยามความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพไว้ในปี ค.ศ. 1998 ว่า
คือ ทักษะต่างๆ ทางด้านสติปัญญาและทักษะทางสังคม ซึ่ งเป็ นตัวกาหนดแรงจูงใจและความสามารถ
ของปั จเจกบุคคลในการที่จะเข้าถึ ง เข้าใจ และใช้ขอ้ มูลในวิธีการต่างๆ เพื่อส่ งเสริ มและบารุ งรักษา
สุ ขภาพของตนเองให้ดีอยูเ่ สมอ
ซึ่ ง ในการศึ กษาครั้ งนี้ ผูว้ ิจยั ได้กาหนดความหมายของความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพ ตามแนวคิ ด
ของนัทบีม คือ ความสามารถของผูส้ ู งอายุในการเข้าถึง เข้าใจ และใช้ขอ้ มูลทางด้านสุ ขภาพ ในการ
ตัดสิ นใจ ส่ งเสริ มและรักษาสุ ขภาพที่ดีของตนเองไว้ให้คงอยูอ่ ย่างต่อเนื่อง
นัทบีม (Nutbeam, 2009) ได้กาหนดระดับของความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ ออกเป็ น 3 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพพื้นฐาน (functional health literacy /basic skills and understanding)
เป็ นความสามารถในด้านการอ่าน และเขียน ในการเข้าถึงข้อมูล การรับรู ้ขอ้ มูลเกี่ยวกับการดูแลตนเอง
เป็ นทักษะพื้นฐานในการเข้าถึ งแหล่งข้อมูลด้านสุ ขภาพ เช่ น การอ่านฉลากยา ใบยินยอมการรักษา
การเขียนข้อมูลการดูแลสุ ขภาพ เข้าใจในการให้ขอ้ มูล
23
เป็ นการใช้ความรู ้และการสื่ อสารเพื่อเพิ่มความสามารถในการดูแลสุ ขภาพ สามารถมีส่วนร่ วมในการ
ดูแลสุ ขภาพตนเอง สามารถซักถามแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านสุ ขภาพกับบุคลากรทางการแพทย์ได้
ระดับที่ 3 ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพด้านวิจารณญาณ (critical health literacy) เป็ นความสามารถ
ในการประเมินข้อมูลสารสนเทศ การรู ้ เท่าทันสื่ อ เพื่อนาไปตัดสิ นใจ วิเคราะห์ ในการเลื อกปฏิ บตั ิ
พฤติกรรมสุ ขภาพ และสามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีวจิ ารณญาณ
24
5. ทักษะการตัดสิ นใจ (decision skill) หมายถึ ง ความสามารถในการกาหนดทางเลื อกและ
ปฏิ เสธ/หลี ก เลี่ ย งหรื อเลื อกวิธี ก ารปฏิ บตั ิ โดยมี ก ารใช้เหตุ ผลหรื อวิเคราะห์ ผลดี -ผลเสี ย เพื่ อการ
ปฏิ เสธ/หลี ก เลี่ ย ง พร้ อมแสดงทางเลื อกปฏิ บ ตั ิ ที่ ถู ก ต้อง โดยมี องค์ป ระกอบที่ สาคัญ คื อ ก าหนด
ทางเลือกและปฏิเสธ/หลีกเลี่ยงหรื อเลือกวิธีการปฏิบตั ิเพื่อให้มีสุขภาพดี ใช้เหตุผลหรื อวิเคราะห์ผลดี -
ผลเสี ยเพื่อการปฏิเสธ/หลีกเลี่ยง/เลือกวิธีการปฏิบตั ิ และสามารถแสดงทางเลือกที่เกิดผลกระทบน้อย
ต่อตนเองและผูอ้ ื่น
25
ได้รั บ การสงเคราะห์ จากรั ฐบาล (subsidized housing) ในประเทศแคนาดา อายุเฉลี่ ย 73 ปี พบว่า
ผูส้ ู งอายุที่มีอายุมากขึ้นจะมีระดับความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพที่ลดลงอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติเช่นกัน
2. เพศ เป็ นสิ่ ง ที่ แ สดงถึ ง ความแตกต่ า งทางชี ว ภาพของบุ ค คล เป็ นตัว ก าหนดบทบาท
ความสามารถและการแสดงพฤติ กรรมต่างๆ (Palank, 1991) จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่าเพศ
หญิงมีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพดีกว่าเพศชายดังการศึกษาของ แอนซารี่ และคณะ (Ansari et al., 2016)
ที่ ทาการศึ ก ษาความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพในผูส้ ู งอายุ 200 คน ที่ อาศัย อยู่ท างตะวัน ออกเฉี ย งใต้ข อง
ประเทศอิ หร่ า น พบว่า ผูส้ ู งอายุเพศหญิ ง มี ค วามรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพที่ เพี ยงพอกว่าผูส้ ู ง อายุเพศชาย
เนื่ องจากสนใจในการดูแลตนเองด้านสุ ขภาพอีกทั้งสนใจในการค้นคว้าหาความรู ้ในการดูแลสุ ขภาพ
อยูเ่ สมอ แต่อย่างไรก็ตามบางการศึกษาพบว่า เพศชายมีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพที่ดีกว่าเพศหญิง เช่ น
การศึกษาของ เรย์ซี่ และคณะ (Reisi et al., 2014) ที่ได้ศึกษาความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพขั้นพื้นฐานของ
ผูส้ ู งอายุจานวน 354 คน ในประเทศอิหร่ าน พบว่า ผูส้ ู งอายุเพศชายมีระดับความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพที่
ดี กว่าเพศหญิ ง และเป็ นไปในทานองเดี ยวกับกับการศึ กษาของ หลิ ว และคณะ (Liu et al., 2015) ที่
ศึ ก ษาผูส้ ู ง อายุ จานวน 1,452 คนในประเทศจี น พบว่า เพศชายมี ค วามรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพที่ ดี ก ว่า
เพศหญิงเช่นกัน
26
ตัวอย่างส่ วนใหญ่จบการศึกษาในระดับประถมศึกษา มีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพโดยรวมอยูใ่ นระดับ
ปานกลาง ซึ่ งเป็ นไปในทานองเดียวกับการศึกษาของ ซู เดอร์ และคณะ (Sudore et al., 2006) ที่พบว่า
ผูท้ ี่ มีระดับการศึ กษาที่ สูงกว่ามัก จะมี ความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพที่ ดีก ว่า เนื่ องจากมี ทกั ษะในการอ่า น
เขียน รวมถึงสนใจในการหาความรู ้ดีกว่าผูท้ ี่ไม่ได้รับการศึกษา และการศึกษาของ แอนซารี่ และคณะ
(Ansari et al., 2016) ที่ ท าการศึ ก ษาความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพในผู ้สู งอายุ 200 คนที่ อ าศัย อยู่ ท าง
ตะวันออกเฉี ยงใต้ของประเทศอิหร่ าน พบว่า ระดับการศึกษาของผูส้ ู งอายุเป็ นปั จจัยสาคัญที่ทาให้
ผูส้ ู งอายุมีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ โดยผูส้ ู งอายุที่ไม่ได้รับการศึกษาจะมีระดับความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ
ที่ต่ากว่าผูท้ ี่ได้รับการศึกษาอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ
27
การออกเสี ยงที่ ถูกต้อง จาแนกตามระดับการศึ กษาของผูป้ ่ วย มี ค่าความตรง (validity) เท่ากับ 0.95
และมีค่าความเชื่ อมัน่ แบบทดสอบซ้ า (test-retest reliability) ได้ค่าสัมประสิ ทธิ์ สหสัมพันธ์ของเพียร์
สันเท่ากับ 0.98 (Davis et al., 1991)
28
(p = 0.33) ค่าอานาจจาแนกเฉลี่ยในระดับดี (D = 0.56) และมีค่าสัมประสิ ทธิ์ อัลฟาครอนบาค เท่ากับ
0.56 ทักษะที่ 5 ด้านทักษะการจัดการตนเอง มีลกั ษณะเป็ นมาตรประมาณค่า จานวน 5 ข้อ ข้อคาถามมี
ค่าอานาจจาแนกเฉลี่ ยในระดับดี มาก (D = 0.81) และมีค่าสัมประสิ ทธิ์ อัลฟาครอนบาค = 0.93 และ
ทักษะที่ 6 ด้านทักษะการรู ้เท่าทันสื่ อ มีลกั ษณะเป็ นมาตรประมาณค่า จานวน 5 ข้อ มีค่าสัมประสิ ทธิ์
อัลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.84 จากนั้นนาคะแนนรวมของแต่ละองค์ประกอบ นามาแปลงเป็ นคะแนน
มาตรฐานที (T-score) มี ก ารจ าแนกระดับ คะแนนความรอบรู ้ ด้ า นสุ ข ภาพ มี เ กณฑ์ ดั ง นี้ กลุ่ ม
ระดับพื้นฐาน คือ ผูท้ ี่ได้คะแนนในข้อคาถามวัดระดับพื้นฐานร้อยละ 50 ขึ้นไป กลุ่มระดับปฏิสัมพันธ์
คือ ผูท้ ี่ได้คะแนนเต็มในข้อคาถามวัดระดับพื้นฐาน และได้คะแนนในข้อคาถามวัดระดับปฏิสัมพันธ์
ร้อยละ 50 ขึ้ นไป กลุ่ มระดับวิจารณญาณ คื อ ผูท้ ี่ได้คะแนนเต็มในข้อคาถามวัดระดับพื้นฐานและ
ระดับปฏิสัมพันธ์ และได้คะแนนในข้อคาถามวัดระดับวิจารณญาณร้อยละ 50 ขึ้นไป เครื่ องมือนี้ เคย
นาไปใช้ในการศึกษาของ วรรณศิริ นิ ลเนตร (2557) ที่ได้ศึกษาความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุ
ไทยในชมรมผูส้ ู งอายุในเขต กรุ งเทพมหานคร
4. แบบสอบถามความฉลาดทางสุ ขภาพในผู้สูงอายุ
แบบสอบถามความฉลาดทางสุ ข ภาพในผู ส้ ู ง อายุ ของ แสงเดื อ น กิ่ ง แก้ว และ นุ ส รา
ประเสริ ฐศรี (2558) ที่ดดั แปลงมาจากแบบสอบถามความรอบรู ้ด้านสุ ขภาพในผูป้ ่ วยเบาหวานของ
อิชิกาวา และคณะ (Ishikawa et al., 2008) เป็ นเครื่ องมือใช้วดั ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ ประกอบด้วยข้อ
คาถามด้านลบ ได้แก่ ความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพพื้นฐานจานวน 5 ข้อ ข้อคาถามด้านบวก ได้แก่ ความ
รอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพด้า นการมี ป ฏิ สั ม พัน ธ์ ร่ วมกัน จ านวน 5 ข้อ และความรอบรู ้ ด้านสุ ข ภาพด้า น
วิจารณญาณ จานวน 4 ข้อ รวมทั้งหมด 14 ข้อ คาตอบมี ลกั ษณะเป็ นมาตราส่ วนประเมิ นค่า (rating
scale) 4 ระดับ แบ่งระดับการให้คะแนนความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพ ดังนี้ ความถี่ ของการปฏิ บตั ิ ได้แก่
ระดับคะแนน 4 หมายถึ ง ง่ายมาก ระดับคะแนน 3 หมายถึ ง ค่อนข้างง่าย ระดับคะแนน 2 หมายถึ ง
ค่อนข้างยาก และระดับคะแนน 1 หมายถึง ยากมาก แบบสอบถามมีคะแนนรวม 56 คะแนน อยูใ่ นช่วง
ระหว่าง 14-56 คะแนน ในการวิเคราะห์คะแนนความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ จะใช้เกณฑ์ในการแบ่งระดับ
การหาช่ วงกว้างของอันตรภาคชั้น (Class Interval) โดยใช้วิธีการคานวณหาช่ วงกว้างระหว่างอันตร
ภาคชั้นตามหลักการค่ า เฉลี่ ย การแปลผลคะแนนกาหนดตามเกณฑ์ไ ด้ดงั นี้ คะแนน 14.00-28.00
คะแนน หมายถึง มีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพระดับต่า คะแนน 28.01-42.00 คะแนน หมายถึง มีความ
รอบรู ้ ด้านสุ ขภาพระดับปานกลาง และคะแนน 42.01-56.00 คะแนน หมายถึ ง มีความรอบรู ้ ด้าน
สุ ขภาพระดับสู ง เครื่ องมือนี้ มีค่าสัมประสิ ทธิ์ อัลฟาครอนบาค (Cronbach’s alpha coefficient) เท่ากับ
0.89 และมีการนาไปใช้ศึกษาความฉลาดทางสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุโรคเรื้ อรัง ในจังหวัดอุบลราชธานี
29
(แสงเดื อน กิ่ งแก้ว และ นุ สราประเสริ ฐศรี , 2558) ได้ค่าสัมประสิ ทธิ์ อัลฟาครอนบาค (Cronbach’s
alpha coefficient)เท่ากับ 0.89
30
ความรอบรู้ ด้านสุ ขภาพกับพฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพในผู้สูงอายุ
31
สรุ ปได้ว่า ผูส้ ู งอายุที่มีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพที่ดีจะมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดีดว้ ย โดย
ผูส้ ู งอายุที่มีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพในระดับสู งหรื อเพียงพอ จะสามารถแสวงหาความรู ้ เกี่ ยวกับการ
ดูแลสุ ขภาพได้ดว้ ยตนเอง จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และเข้าใจความรู ้ ข้อมูลข่าวสารทางสุ ขภาพ
สามารถตัดสิ นใจเลื อกข้อมูลทางสุ ขภาพเพื่อดู แลสุ ขภาพของตนเองได้เหมาะสม รวมถึ งสามารถ
ถ่ายทอดความรู ้ในการดูแลสุ ขภาพของตนเองให้แก่บุคคลอื่นได้
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ในการศึ ก ษาครั้ งนี้ เป็ นการศึ ก ษาหาความสั ม พัน ธ์ ร ะหว่ า งความรอบรู ้ ด้ า นสุ ข ภาพและ
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง โดยศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพตามแนวคิดของ
เพนเดอร์ และคณะ (Pender et al., 2011) หมายถึ ง การกระทากิจกรรมอย่างต่อเนื่ องที่ผสู ้ ู งอายุกระทา
โดยมีเป้ าหมายสาคัญในการมีสุขภาพที่ดี ครอบคลุมพฤติกรรม 6 ด้าน คือ 1) ด้านความรับผิดชอบต่อ
สุ ขภาพ 2) ด้านการออกกาลังกาย 3) ด้านโภชนาการ 4) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 5) ด้านการ
พัฒนาจิตวิญญาณ และ 6) ด้านการจัดการกับความเครี ยด ซึ่ งการที่จะมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่
เหมาะสม บุคคลต้องมีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพทั้ง 3 ระดับ คือระดับพื้นฐาน ระดับการมีปฏิสัมพันธ์/
ติดต่อสื่ อสาร และระดับวิจารณญาณ ซึ่ งประกอบด้วยความสามารถของผูส้ ู งอายุในการอ่าน เข้าใจ
เข้าถึ งข้อมู ลด้านสุ ขภาพ สามารถนาข้อมู ลไปใช้ในการติ ดต่อสื่ อสารกับที มสุ ขภาพหรื อบุ คคลอื่ น
สามารถคัดสรรข้อมูลจากสื่ อต่างๆ เพื่อสามารถตัดสิ นใจในการเลือกปฏิบตั ิพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ
ที่เหมาะสมและดีข้ ึนได้
32
บทที่ 3
วิธีดำเนินกำรวิจยั
การวิจยั ครั้ งนี้ เป็ นการวิจยั เชิ ง พรรณนาหาความสัม พันธ์ (descriptive correlational research)
เพื่อศึ กษาความสัมพันธ์ ระหว่างความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ
กะเหรี่ ยงจานวน 88 ราย ที่อาศัยอยูใ่ นจังหวัดแม่ฮ่องสอน ระหว่างเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 ถึงเดือน
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ ำง
กลุ่ มตัวอย่าง คื อ ผูส้ ู ง อายุก ะเหรี่ ย ง กลุ่ ม ชาติ พนั ธุ์ ก ะเหรี่ ย งสะกอ(ขาว) ที่ อาศัย อยู่ใ นพื้ นที่
จังหวัดแม่ฮ่องสอน
วิธีเลือกกลุ่มตัวอย่ ำง
กลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) โดยมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กาหนด ดังนี้
33
อาเภอปางมะผ้า อาเภอปาย และอาเภอขุ นยวม 2)โซนใต้ ได้แก่ อาเภอแม่สะเรี ยง อาเภอแม่ลาน้อย
และอาเภอสบเมย เลื อกตัวอย่างมาโซนละ 1 อาเภอที่ มีประชากรผูส้ ู งอายุมากที่ สุดของโซนนั้น ได้
ตัวแทนของโซนเหนื อ คือ อาเภอเมือง และตัวแทนของโซนใต้ คือ อาเภอแม่สะเรี ยง จากนั้นได้สุ่ม
เลื อกตาบลโซนละ 2 ตาบล สุ่ ม ตาบลละ 1 หมู่ บา้ น คื อ บ้า นห้วยปู ลิ ง จานวน 10 คน บ้านผาบ่อง
จานวน 32 คน บ้านแม่เหาะ จานวน 26 คน และบ้านป่ าแป๋ จานวน 20 คน ดังแสดงใน ภาคผนวก จ
จากนั้น ท าการสุ่ ม รายชื่ อของผูส้ ู ง อายุ โดยวิธี ก ารสุ่ ม ตัวอย่า งแบบเป็ นระบบ (Systematic random
sampling) แบ่ ง จ านวนของกลุ่ ม ตัวอย่า งตามสั ดส่ วนจ านวนประชากรของผู ส้ ู ง อายุ ใ นพื้ น ที่ น้ ัน ๆ
จากนั้นนับหน่วยของตัวอย่างนับไปตามช่วงของการสุ่ ม (random interval) ให้ครบตามจานวน 88 คน
ตามสัดส่ วนของจานวนผูส้ ู งอายุในแต่ละพื้นที่
ขนำดกลุ่มตัวอย่ ำง
ในการศึกษาครั้งนี้ผวู ้ ิจยั กาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่าง โดยวิธีการวิเคราะห์อานาจการทดสอบ
(power analysis) กาหนดค่าอานาจการทดสอบ (power) ที่ 0.8 ค่าความเชื่อมัน่ ที่ 0.05 ค่าขนาดอิทธิ พล
(effect size) ขนาดกลาง (medium effect size) ที่ ส ามารถนามาใช้ใ นการค านวณขนาดกลุ่ มตัวอย่า ง
ทางการพยาบาลที่ 0.3 จากการเปิ ดตารางได้จานวนกลุ่มตัวอย่าง 88 คน (Polit & Beck, 2004)
34
มีลกั ษณะคาตอบเป็ นแบบมาตราส่ วนประมาณค่า 4 ระดับ คือ ไม่ปฏิบตั ิ ปฏิบตั ินานๆ ครั้ง
ปฏิบตั ิบ่อยครั้ง และปฏิบตั ิเป็ นประจา โดยกาหนดคะแนน ดังนี้
คะแนน 1 หมายถึง กิจกรรมนั้นไม่เคยปฏิบตั ิเลย
คะแนน 2 หมายถึง กิจกรรมนั้นปฏิบตั ินานๆ ครั้ง
คะแนน 3 หมายถึง กิจกรรมนั้นปฏิบตั ิบ่อยครั้ง
คะแนน 4 หมายถึง กิจกรรมนั้นปฏิบตั ิเป็ นประจาสม่าเสมอ
35
ด้านการปฏิ บตั ิ กิจกรรมการออกกาลังกาย มี ขอ้ คาถาม 4 ข้อ มี คะแนนอยู่ระหว่าง 4 - 16
คะแนน
คะแนน 4.00 - 8.00 หมายถึง แสดงออกพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพด้านการปฏิบตั ิ
กิจกรรมการออกกาลังกายระดับต่า
คะแนน 8.01 - 12.00 หมายถึง แสดงออกพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพด้านการปฏิบตั ิ
กิจกรรมการออกกาลังกายระดับปานกลาง
คะแนน12.01 - 16.00 หมายถึง แสดงออกพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพด้านการปฏิบตั ิ
กิจกรรมการออกกาลังกายระดับสู ง
36
3. แบบสอบถามความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุที่ดดั แปลงมาจากแบบสอบถามความรอบ
รู ้ดา้ นสุ ขภาพในผูป้ ่ วยโรคเบาหวานของ จริ ยา นพเคราะห์ และ โรจนี จินตนาวัฒน์ (จริ ยา นพเคราะห์,
2560) ประกอบด้วยข้อคาถามด้านลบ ได้แก่ ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพพื้นฐานจานวน 5 ข้อ ข้อคาถาม
ด้านบวก ได้แก่ ความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพด้านการมีปฏิ สัมพันธ์ร่วมกัน จานวน 5 ข้อ และความรอบรู ้
ด้า นสุ ข ภาพด้า นวิจารณญาณจานวน 4 ข้อ รวมทั้งหมด 14 ข้อ ค าตอบมี ลกั ษณะเป็ น มาตราส่ วน
ประเมินค่า (rating scale) 4 ระดับ ประกอบด้วย ไม่เคย นานๆ ครั้ง บางครั้ง บ่อยครั้ง แบ่งระดับการให้
คะแนนความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ ดังนี้
กำรตรวจสอบคุณภำพของเครื่ องมือ
37
2. แบบสอบถามพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของกลุ่มชาติพนั ธ์กะเหรี่ ยงขาวที่มีความเสี่ ยงต่อ
โรคเรื้ อรังของ ศิวาพร มหาทานุ โชค (2558) ที่ดดั แปลงมาจากแบบสอบถาม Health Promoting Life
Style Profile II (HPLP II) ของ วอร์ คเกอร์ และคณะ (Walker et al., 1995) ได้ผา่ นการตรวจสอบความ
ตรงเชิงเนื้อหาแล้ว และผูว้ จิ ยั ไม่ได้ทาการดัดแปลงใดๆ จึงไม่ทาการตรวจสอบซ้ า
กำรพิทกั ษ์ สิทธิของกลุ่มตัวอย่ ำง
ผู ้วิ จ ัย ได้ ด าเนิ น การเพื่ อ พิ ท ัก ษ์ สิ ท ธิ ก ลุ่ ม ตัว อย่ า งโดยน าโครงร่ า งวิ ท ยานิ พ นธ์ เ สนอต่ อ
คณะกรรมการจริ ยธรรมการวิจยั ของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่ เพื่อพิจารณาการ
รับรองสิ ทธิ์ ของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่ งภายหลังเมื่อได้รับอนุ มตั ิแล้ว ผูว้ จิ ยั ได้ช้ ีแจงให้คณะกรรมการหมู่บา้ น
และกลุ่มตัวอย่างทราบเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของงานวิจยั ขั้นตอนในการดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล
ประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจยั สิ ทธิ์ ในการถอนตัวจากการวิจยั โดยระหว่างการดาเนิ นการวิจยั กลุ่ม
ตัวอย่างสามารถถอนตัวจากการเข้าร่ วมการวิจยั ได้ตลอดเวลา ซึ่ งจะไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อการได้รับ
บริ การทางสุ ขภาพหรื อด้านอื่นๆ ของกลุ่มตัวอย่างและผูว้ ิจยั ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในแผนการรักษา
ของกลุ่มตัวอย่าง นอกจากนี้ ชื่อ นามสกุลและข้อมูลส่ วนตัวของกลุ่มตัวอย่างจะถูกปกปิ ดเป็ นความลับ
และข้อมูลที่ได้จากงานวิจยั มีการนาเสนอและอภิปรายผลในภาพรวม หลังจากที่ช้ ีแจงให้กลุ่มตัวอย่าง
ทราบผูว้ ิจยั ให้กลุ่มตัวอย่างมีอิสระในการตัดสิ นใจในการเข้าร่ วมงานวิจยั โดยกลุ่มตัวอย่างสามารถ
สอบถามข้อมูลตามที่ตอ้ งการจากผูว้ ิจยั ได้ตลอดที่อยูใ่ นพื้นที่วิจยั หรื อติดต่อผ่านโทรศัพท์มือถือของ
ผูว้ จิ ยั ได้ตลอดเวลา เมื่อกลุ่มตัวอย่างได้ยนิ ยอมเข้าร่ วมในการศึกษา ผูว้ จิ ยั ให้กลุ่มตัวอย่างลงนามในใบ
ยินยอมหรื อพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อเข้าร่ วมวิจยั
38
ขั้นตอนและวิธีกำรรวบรวมข้ อมูล
ในการวิจยั ครั้ งนี้ ผูว้ ิจยั ได้ดาเนิ นการรวบรวมข้อมู ล หลังจากผ่านการรั บรองการพิทกั ษ์สิทธิ
กลุ่มตัวอย่างจากคณะกรรมการจริ ยธรรมคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชี ยงใหม่แล้ว มีข้ นั ตอน
ดาเนินการดังนี้
2.1 ผูว้ ิจยั เข้าพบผูอ้ านวยการโรงพยาบาลส่ งเสริ มสุ ขภาพตาบล เพื่อชี้ แจงวัตถุ ประสงค์
ในการทาวิจยั และขออนุญาตในการเก็บรวบรวมข้อมูล
39
กำรวิเครำะห์ ข้อมูล
40
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลและการอภิปรายผล
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
ตารางที่ 1
จำนวนและร้ อยละของกลุ่มตัวอย่ ำงจำแนกตำม เพศ อำยุ สถำนภำพสมรส ระดับกำรศึกษำ ควำม
เพียงพอของรำยได้ ศำสนำ และโรคประจำตัว (n = 88)
ลักษณะกลุ่มตัวอย่าง จานวน (ร้อยละ)
เพศ
ชาย 40 (45.45)
หญิง 48 (54.55)
อายุ (ปี ) (X̅=70.68, SD= 7.57)
60-69 47 (53.41)
70-79 23 (26.14)
≥ 80 18 (20.45)
41
ตารางที่ 1 (ต่อ)
ลักษณะกลุ่มตัวอย่าง จานวน (ร้อยละ)
สถานภาพสมรส
คู่ 61(69.32)
หม้าย/หย่า 27(30.68)
ระดับการศึกษา
ไม่ได้รับการศึกษา 80 (90.91)
ได้รับการศึกษา 8 (9.09)
ประถมศึกษา 7 (8.00)
มัธยมศึกษา 1 (1.09)
ความเพียงพอของรายได้
เพียงพอ 60 (68.18)
ไม่เพียงพอ 28 (31.82)
ศาสนา
พุทธ 34 (38.64)
คริ สต์ 54 (61.36)
โรคประจาตัว
ไม่มี 46 (52.27)
มี 42 (47.73)
โรคความดันโลหิตสู ง 15 (17.05)
โรคเบาหวาน 7 (7.95)
โรคไขมันในเลือดสู ง 4 (4.55)
โรคความดันโลหิตสู งและเบาหวาน 3 (3.41)
โรคความดันโลหิตสู งและไขมันในเลือดสู ง 3 (3.41)
อื่นๆ 10 (11.36)
42
ในระดับเพียงพอ และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 61.36 นับถือศาสนาคริ สต์ กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 52.27 ไม่มี
โรคประจาตัว และกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 47.73 มีโรคประจาตัว โดยพบโรคความดันโลหิ ตสู งร้อยละ
17.05
ข้อมู ลความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพ และพฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของกลุ่มตัวอย่าง ดังแสดงใน
ตารางที่ 2 - 4
ตารางที่ 2
คะแนนแบบวัด ช่ วงคะแนน ค่ ำเฉลี่ย ส่ วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน และระดับควำมรอบรู้ ด้ำนสุขภำพและ
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุขภำพโดยรวมของกลุ่มตัวอย่ ำง (n = 88)
ตัวแปร คะแนน ช่วงคะแนน X̅(SD) ระดับ
แบบวัด
ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ 14.00-56.00 19.00-31.00 27.13 (8.15) ต่า
43
ตารางที่ 3
คะแนนแบบวัด ช่ วงคะแนน ค่ ำเฉลี่ย ส่ วนเบี่ยงเบนมำตรฐำน พฤติกรรมส่ งเสริ มสุขภำพรำยด้ ำนของ
กลุ่มตัวอย่ ำง (n = 88)
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพรายด้าน คะแนน ช่วงคะแนน X̅(SD) ระดับ
แบบวัด
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 9 - 36 11.00 - 34.00 26.64 (0.64) ปานกลาง
ความรับผิดชอบต่อสุ ขภาพ 6 - 24 6.00 - 22.00 13.38 (0.74) ปานกลาง
การปฏิบตั ิกิจกรรมการออกกาลังกาย 4 - 16 6.00 - 14.00 10.64 (1.13) ปานกลาง
โภชนาการ 9 - 36 12.00 - 34.00 26.27 (1.07) ปานกลาง
การพัฒนาทางจิตวิญญาณ 9 - 36 11.00 - 34.00 22.73 (0.65) ปานกลาง
การจัดการความเครี ยด 7 - 28 8.00 - 26.00 18.65 (0.75) ปานกลาง
ตารางที่ 4
จำนวนและร้ อยละของกลุ่มตัวอย่ ำงจำแนกตำมระดับควำมรอบรู้ ด้ำนสุขภำพและพฤติกรรมส่ งเสริ ม
สุขภำพ (n = 88)
ตัวแปร ระดับต่า ระดับปานกลาง ระดับสู ง
จานวน(ร้อยละ) จานวน(ร้อยละ) จานวน(ร้อยละ)
จากตารางที่ 4 พบว่า กลุ่ มตัวอย่า งร้ อยละ 57.95 มีระดับความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพในระดับต่ า
ร้อยละ 35.23 มีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพในระดับปานกลาง และร้อยละ 6.82 มีระดับความรอบรู ้ดา้ น
สุ ขภาพในระดับสู ง และกลุ่มตัวอย่างส่ วนใหญ่ร้อยละ 78.41 มีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอยูใ่ นระดับ
ปานกลาง และกลุ่ มตัวอย่างมี พ ฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอยู่ในระดับสู งและต่ า ร้ อยละ 18.18 และ
ร้อยละ 3.41 ตามลาดับ
44
ส่ วนที่ 3 ความสั มพันธ์ ระหว่ างความรอบรู้ ด้านสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพ
45
การศึ ก ษา อาจท าให้กลุ่ มตัวอย่างไม่ สามารถอ่ านและทาความเข้า ใจสื่ อด้านสุ ขภาพต่า งๆ ซึ่ ง เป็ น
ภาษาไทย จึ งทาให้ไม่ สามารถที่ จะทาการวิเคราะห์ สั งเคราะห์ ขอ้ มู ล ต่างๆ ด้านสุ ขภาพได้อย่างมี
ประสิ ทธิ ภาพ เห็ นได้จากข้อมูลระดับความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพระดับพื้นฐานที่พบว่า อยู่ในระดับต่ า
(ภาคผนวก ฌ) สอดคล้องกับการศึกษาของ ซู เดอร์ และคณะ (Sudore et al, 2006) ที่ศึกษาความรอบรู ้
ด้านสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ ในประเทศสหรัฐอเมริ กา พบว่าผูส้ ู งอายุที่มีการศึกษาสู งจะมีความรอบรู ้ดา้ น
สุ ขภาพสู งกว่าผูส้ ู งอายุที่ไม่ได้รับการศึกษา รวมทั้งเป็ นไปในทานองเดี ยวกับการศึกษาความรอบรู ้
ด้านสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ ประเทศอิหร่ าน ของ แอนซารี่ และคณะ (Ansari et al., 2016) ที่พบว่า ระดับ
การศึกษา เป็ นปั จจัยสาคัญที่ทาให้ผสู ้ ู งอายุมีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ โดยผูส้ ู งอายุที่ไม่ได้รับการศึกษา
จะมีระดับความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพต่ากว่าผูส้ ู งอายุที่ได้รับการศึกษาอย่างมีนยั สาคัญ อีกทั้งกลุ่มตัวอย่าง
ในครั้งนี้ อาศัยอยูใ่ นสภาพแวดล้อมและมีการดาเนิ นชี วิตที่มีขอ้ จากัดในการเข้าถึ งบริ การทางสุ ขภาพ
อีกทั้งยังเป็ นกลุ่มที่มีประเพณี วัฒนธรรมและภาษาที่เฉพาะตน (ศิริรัตน์ ปานอุทยั และคณะ, 2552) จึง
อาจทาให้การเข้าถึง เข้าใจข้อมูลข่าวสารด้านสุ ขภาพ รวมถึงสื่ อต่างๆ ด้านสุ ขภาพมีขอ้ จากัด จึงส่ งผล
ให้กลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้มีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพโดยรวมอยูใ่ นระดับต่า
2. พฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพในผู้สูงอายุกะเหรี่ยง
จากผลการศึกษาในครั้งนี้ พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีคะแนนพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพโดยรวม
อยูใ่ นระดับเหมาะสมปานกลาง (X̅ =118.86, SD =16.18) (ตารางที่ 2) ซึ่ งหมายถึงว่า ผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง
มีการปฏิบตั ิกิจกรรมด้านส่ งเสริ มสุ ขภาพยังไม่ถูกต้องและไม่ครอบคลุม เช่น ด้านความรับผิดชอบต่อ
สุ ขภาพ กลุ่มตัวอย่างยังปฏิ บตั ิได้ไม่ดีเท่าที่ควร ผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงนั้นจะสนใจดูแลตนเองเช่นกัน แต่
มักจะไม่แสวงหาความรู ้ทางการอ่านหนังสื อหรื อดูทีวี แต่มกั จะใช้การพูดคุยและศึกษาจากภูมิปัญญา
ท้องถิ่นดั้งเดิมที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษในการดูแลสุ ขภาพ ประกอบกับการปฏิบตั ิพฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพนั้นขึ้นอยูก่ บั ปั จจัยส่ วนบุคคลค่อนข้างมาก ซึ่ งจะเห็นได้วา่ กลุ่มตัวอย่างมีอายุเฉลี่ยอยู่
ในวัยสู งอายุวยั กลาง (70.68 ปี ) ซึ่ งอาจเป็ นข้อจากัดในการปฏิ บตั ิ พฤติ กรรมส่ ง เสริ มสุ ขภาพ โดย
ผูส้ ู งอายุที่มีอายุมากมักจะมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่นอ้ ยกว่าผูส้ ู งอายุที่มีอายุน้อยกว่า ผูส้ ู งอายุวยั
ต้นมีอายุระหว่าง 60-69 ปี เป็ นช่วงอายุที่สมรรถภาพทางกายและสรี รวิทยายังไม่เปลี่ ยนแปลงมากนัก
ส่ วนใหญ่ยงั สามารถช่ วยเหลื อตนเองได้จึง มี โอกาสที่ จะรวมกลุ่ ม เพื่อทากิ จกรรมต่างๆ ทางสังคม
รวมถึ งการเข้าร่ วมเป็ นสมาชิ ก ชมรมผูส้ ู งอายุ และมี กิ จกรรมต่ อเนื่ องได้ม ากกว่าผูส้ ู ง อายุวยั กลาง
(70-79 ปี ) หรื อผูส้ ู งอายุวยั ปลาย (80 ปี ขึ้นไป) (ทิพย์กมล อิสลาม, 2557) สอดคล้องกับการศึกษาของ
โมฟราด และคณะ (Mofrad et al., 2016) ที่ศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุในประเทศ
อิหร่ าน พบว่า อายุมีความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ โดยผูส้ ู งอายุ
วัยต้นจะมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดีกว่าผูส้ ู งอายุวยั ปลาย นอกจากนั้นในการศึกษาครั้งนี้ ยงั พบว่า
46
ส่ วนใหญ่ กลุ่ มตัวอย่างไม่ ได้รับ การศึ ก ษามากถึ งร้ อยละ 90.91 มี เพี ยงร้ อยละ 9.09 เท่ านั้นที่ ได้รับ
การศึ กษา ซึ่ ง การศึ กษาเป็ นพื้นฐานสาคัญของบุ ค คลที่ มีผลต่อการพัฒนาความรู ้ ความเข้าใจ และ
ทัศ นคติ ที่ ดีใ นการปฏิ บ ตั ิ พ ฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพ เป็ นไปในท านองเดี ย วกันกับ การศึ ก ษาของ
โมฟราด และคณะ (Mofrad et al., 2016) ที่ศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุในประเทศ
อิหร่ าน พบว่าบุคคลที่มีระดับการศึกษาสู งจะมีการปฏิบตั ิตนด้านสุ ขภาพที่ดีกว่าผูท้ ี่มีระดับการศึกษาต่า
เนื่องจากผูท้ ี่มีการศึกษาสู งจะมีโอกาสที่จะแสวงหาสิ่ งที่มีประโยชน์หรื อเอื้อต่อการปฏิบตั ิพฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตามจากผลการวิจยั ในครั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างยังมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ปฏิบตั ิ
ได้ดี เช่น ด้านการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่ งพบว่าในผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงนั้น จะมีการไปมาหาสู่ กนั
เป็ นประจา โดยผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงมักจะเดินทางมาเยีย่ มเยียนกันที่บา้ นอยูเ่ สมอ มีความสัมพันธ์อนั ดีต่อ
กัน สามารถปรับตัวเข้าได้กบั สภาพแวดล้อมที่อยูอ่ าศัยได้เป็ นอย่างดี และด้านการจัดการความเครี ยด
พบว่าผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงนั้นมักจะไม่ค่อยมีความเครี ยด เนื่ องจากมีการไปมาหาสู่ กนั เป็ นประจา ไม่ได้
ถูกกดดันทางสังคม มีลูกหลานคอยดู แลยามเจ็บป่ วย ถ้ามีอาการเครี ยดส่ วนใหญ่ก็มกั จะเล่าให้เพื่อน
และลู กหลานฟั ง เพื่อช่ วยกันหาทางออกอยู่เสมอ ทั้งนี้ อาจเนื่ องมาจากการศึ ก ษาในครั้ งนี้ ผูส้ ู ง อายุ
กะเหรี่ ยงส่ วนใหญ่มี สถานภาพคู่ (ร้ อยละ 69.32) มี สถานภาพ หม้าย/หย่า /แยก (ร้ อยละ 30.68) ซึ่ ง
สถานภาพสมรส เป็ นข้อบ่งชี้ สถานะระบบครอบครัว เป็ นตัวที่กาหนดบทบาททางสังคม และถื อว่า
เป็ นแหล่ ง ประโยชน์ ที่ ส าคัญของครอบครั ว เมื่ อดู ค่ า เฉลี่ ย พฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพ พบว่า กลุ่ ม
ตัวอย่างที่มีสถานภาพคู่มีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ ดีกว่า สถานภาพหม้าย/หย่า/แยก (ภาคผนวก ซ)
อาจเนื่ องมาจากผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงกลุ่มตัวอย่างมีคู่สมรสที่เป็ นส่ วนหนึ่ งของการสนับสนุ นทางสังคมที่
สาคัญ ทาให้ผสู ้ ู งอายุกะเหรี่ ยงกลุ่มตัวอย่างมีโอกาสได้รับการสนับสนุนข้อมูลความรู ้ดา้ นการปฏิบตั ิตน
และมัน่ ใจในการปฏิบตั ิกิจกรรมต่าง ๆ มากกว่าบุคคลที่มีสถานภาพสมรสหม้าย/หย่า/แยก หรื อโสด
ซึ่ งสอดคล้องกับการศึกษาของ วริ ศา จันทรังสี วรกุล (2553) ที่ศึกษาพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของ
ผูส้ ู งอายุ พบว่าผูส้ ู งอายุที่มีสถานภาพสมรสคู่จะมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพดีกว่า ผูส้ ู งอายุสถานภาพ
สมรสอื่ นๆ โดยผูส้ ู ง อายุที่ อยู่ก ับคู่ ส มรสจะมี พฤติ กรรมส่ ง เสริ มสุ ข ภาพและมี ภาวะสุ ขภาพดี ก ว่า
ผูส้ ู งอายุที่อยูก่ บั บุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่สมรส
สาหรับรายได้ จากผลการวิจยั พบว่า กลุ่ มตัวอย่างส่ วนใหญ่มีรายได้อยู่ในระดับเพียงพอ
(ร้อยละ 68.18) และไม่เพียงพอร้อยละ 31.82 ซึ่ งรายได้เป็ นตัวบ่งชี้ ถึงสภาพของเศรษฐกิ จและสังคม
ของผูส้ ู งอายุที่มีฐานะทางเศรษฐกิ จดี จะมี โอกาสแสวงหาสิ่ งที่ มีประโยชน์ต่อการดู แลสุ ขภาพของ
ตนเอง และมี พ ฤติ ก รรมส่ ง เสริ มสุ ข ภาพที่ ดี ต ามมา (Pender et al., 2011) เมื่ อ พิ จ ารณาคะแนน
พฤติ กรรมส่ งเสริ ม สุ ข ภาพของผูส้ ู งอายุก ะเหรี่ ย งกลุ่ มตัวอย่าง พบว่า ผูส้ ู งอายุที่ มีรายได้เพี ยงพอมี
47
พฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ สูงกว่า ผูส้ ู งอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอ (ภาคผนวก ซ) อาจเนื่ องมาจาก
รายได้เป็ นปั จจัยที่มีอิทธิ พลต่อการดาเนิ นชี วิตในการตอบสนองด้านความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
เช่นเดียวกันกับผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงที่มีรายได้ไม่เพียงพออาจทาให้ผสู ้ ู งอายุกะเหรี่ ยงได้รับการตอบสนอง
ความต้องการด้า นต่ า งๆ ลดลง จึ ง ท าให้มี พ ฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ขภาพที่ ไ ม่ ดีพ อ เป็ นไปในท านอง
เดี ย วกับ การศึ ก ษาของ ดี ฮานการ์ และคณะ (Dehghankar et al., 2018) ที่ ศึ ก ษาพฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม
สุ ข ภาพของผู ส้ ู ง อายุ ในประเทศอิ ห ร่ า น จ านวน 372 คน พบว่า ผูส้ ู ง อายุที่ มี รายได้เพี ย งพอจะมี
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดีกว่าผูส้ ู งอายุที่มีรายได้ไม่เพียงพอ อย่างมีนยั สาคัญทางสถิติ
3. ความสั มพันธ์ ระหว่ างความรอบรู้ ด้านสุ ขภาพกับพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในผู้สูงอายุ
กะเหรี่ยง
จากผลการศึกษาครั้งนี้ พบความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริ ม
สุ ขภาพในผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงสัมพันธ์กนั ทางบวก ในระดับปานกลางอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ .001
(r = 0.60 , p< .001) แสดงให้เห็ นว่า ผูส้ ู ง อายุก ะเหรี่ ย งที่ มี ความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพในระดับสู งจะมี
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่เหมาะสม โดยผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงจะต้องมีการเข้าถึง เข้าใจ สามารถเลือกใช้
ข้อมูลด้านสุ ขภาพในการดูแลตนเองได้ถูกต้อง จนนาไปสู่ การตัดสิ นใจเปลี่ ยนแปลงทัศนคติและเกิ ด
แรงจูงใจในการปฏิบตั ิพฤติกรรมให้ถู กต้องเหมาะสมกับตนเองและสามารถบอกต่อในสิ่ งที่ตนเอง
ปฏิบตั ิได้ถูกต้องแก่บุคคลอื่นได้ ซึ่ งเป็ นไปในทานองเดียวกันกับการศึกษาของ เรย์ซี่ และคณะ (Reisi
et al., 2014) ที่ ศึ ก ษาความสั ม พันธ์ ข องความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพและพฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพใน
ผูส้ ู งอายุประเทศอิหร่ าน พบว่า ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพมีความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ
โดยผูส้ ู งอายุที่มีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพที่ดีจะมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในด้านการออกกาลังกาย
และการรับประทานอาหารที่เหมาะสม สอดคล้องกับการศึกษาของ หลิว และคณะ (Liu et al., 2015)
ที่ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ พฤติกรรมสุ ขภาพและภาวะทางสุ ขภาพใน
ผูส้ ู งอายุชาวจีนพบว่า ผูส้ ู งอายุที่มีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพที่ดีจะมี พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดี ใน
ด้านความรับผิดชอบต่อสุ ขภาพตนเอง การมีกิจกรรมทางกาย และการไม่สูบบุ หรี่ โดยผูส้ ู งอายุที่มี
ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพในระดับสู งหรื อเพียงพอ จะสามารถแสวงหาความรู ้เกี่ยวกับการดู แลสุ ขภาพ
ได้ดว้ ยตนเอง จากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย และเข้าใจความรู ้ ข่าวสารทางสุ ขภาพสามารถตัดสิ นใจเลือก
ข้อมูลทางสุ ขภาพเพื่อดู แลสุ ขภาพของตนเองได้เหมาะสม รวมถึ งสามารถนาความรู ้มาสู่ การดูแลสุ ขภาพ
ของตนเองให้เหมาะสมกับสุ ขภาพได้ นอกจากนี้ยงั เป็ นไปในทานองเดียวกันกับการศึกษาของ กีบอร์
และคณะ (Geboers et al., 2016) ที่ ได้ศึ กษาความสั มพันธ์ ระหว่างความรอบรู ้ ด้านสุ ขภาพ พฤติ กรรม
สุ ขภาพและปั จจัยทางสังคมในผูส้ ู งอายุ ซึ่ งพบว่าการมีความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพที่ต่ามีความสัมพันธ์กบั
การมีกิจกรรมทางกาย การรับประทานอาหารจาพวก ผักและผลไม้ที่นอ้ ยและไม่เพียงพอ
48
บทที่ 5
สรุปผลการวิจยั และข้ อเสนอแนะ
สรุ ปผลการวิจัย
การวิจยั ครั้งนี้ เป็ นการวิจยั เชิ งพรรณนาหาความสัมพันธ์ (descriptive correlational design) เพื่อ
ศึ ก ษาความสั ม พัน ธ์ ร ะหว่า งความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพและพฤติ ก รรมส่ ง เสริ ม สุ ข ภาพในผูส้ ู ง อายุ
กะเหรี่ ย ง กลุ่ ม ตัว อย่ า งคื อ ผู ้สู ง อายุ ก ะเหรี่ ย งกลุ่ ม ชาติ พ นั ธุ์ ก ะเหรี่ ย งขาว ที่ อ าศัย อยู่ ใ นจัง หวัด
แม่ฮ่องสอน จานวน 88 ราย ในระหว่างเดื อนธันวาคม 2560 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2561 คัดเลื อกกลุ่ ม
ตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง (purposive sampling) ตามคุณสมบัติ คือ สามารถสื่ อสารภาษาไทยหรื อ
ภาษากะเหรี่ ย งได้ มี ก ารรู ้ คิ ดที่ ป กติ โดยการประเมิ น จากแบบทดสอบสภาพสมอง Abbreviated
Mental Status (AMT) ของ สถาบันเวชศาสตร์ ผสู ้ ู งอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุ ข (2558) มี
ระดับคะแนนมากกว่าเท่ากับ 8 คะแนน จาก 10 คะแนน สามารถทากิจวัตรพื้นฐานได้ดว้ ยตนเอง โดย
ประเมินจากแบบประเมินการปฏิบตั ิกิจวัตรประจาวัน (Barthel Activities of Daily Living: ADL) ของ
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุ ข (2558) มีระดับคะแนนมากกว่าเท่ากับ 12 คะแนน จาก 20 คะแนน
และยินยอมเข้าร่ วมในการวิจยั ครั้งนี้
วิเคราะห์ขอ้ มูลส่ วนบุคคล ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพ และพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ โดยใช้สถิติ
เชิ ง พรรณนา (descriptive statistics) วิ เ คราะห์ ค วามสั ม พันธ์ ร ะหว่า งความรอบรู ้ ด้า นสุ ข ภาพและ
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพโดยใช้สถิติสหสัมพันธ์แบบสเปี ยร์ แมน (Spearman’s rank correlation)
49
ผลการวิจัย
ผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงมีความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพอยู่ในระดับต่า และมีพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพอยู่
ในระดับปานกลาง ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพมีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพใน
ระดับปานกลางอย่างมีนยั สาคัญทางสถิติที่ระดับ .001 (r = 0.60)
ข้ อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้
ข้ อเสนอแนะในการทาวิจัยครั้งต่ อไป
50
เอกสารอ้างอิง
ขวัญเมือง แก้วดาเกิง, และ นฤมล ตรี เพชรศรี อุไร. (2554). ความฉลาดทางสุขภาพ (พิมพ์ครั้งที่ 1).
กรุ งเทพฯ: กองสุ ขศึกษา กรมสนับสนุนบริ การสุ ขภาพ กระทรวงสาธารณสุ ข.
นิทรา กิจธี ระวุฒิวงษ์, และ ศันสนีย ์ เมฆรุ่ งเรื องวงศ์. (2559). ปั จจัยที่มีอิทธิ พลต่อพฤติกรรมสุ ขภาพ
ของผูส้ ู งอายุที่อาศัยในชุมชน. วารสารสาธารณสุขมหาวิทยาลัยบูรพา, 11(1), 63-74.
51
เนตรดาว จิตโสภากุล. (2557). ปั จจัยที่มีความสัมพันธ์กบั พฤติกรรมการส่ งเสริ มสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุ
ในชุมชนหมู่ที่ 6 ตาบลบึงศาล อาเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก. วารสารวิชาการมหาวิทยาลัย
ปทุมธานี, 6(3), 171-178.
มูลนิธิสถาบันวิจยั และพัฒนาผูส้ ู งอายุไทย. (2560). สถานการณ์ ผ้ สู ูงอายุไทย พ.ศ. 2559. กรุ งเทพฯ:
ที คิว พี.
มูลนิธิสถาบันวิจยั และพัฒนาผูส้ ู งอายุไทย. (2561). สถานการณ์ ผ้ สู ูงอายุไทย พ.ศ. 2560. กรุ งเทพฯ:
ที คิว พี.
วริ ศา จันทรังสี วรกุล. (2553). พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพและภาวะสุ ขภาพของผูส้ ู งอายุที่สถาน
สงเคราะห์คนชราจังหวัดนครสวรรค์. วารสารวิจัยทางวิทยาศาสตร์ สุขภาพ, 4(2), 12-20.
ศิริมา วงศ์แหลมทอง. (2542). ปั จจัยส่ วนบุคคล การรั บรู้ ประโยชน์ ของพฤติกรรมส่ งเสริ มสุขภาพ
และพฤติกรรมส่ งเสริ มสุขภาพของผู้สูงอายุ (วิทยานิพนธ์พยาบาลศาสตรมหาบัณฑิต).
บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
ศิริรัตน์ ปานอุทยั , วณิ ชา พึ่งชมภู, และ ลินจง โปธิบาล. (2552). การวิเคราะห์ สถานการณ์ ผ้ สู ูงอายุ
จังหวัดแม่ ฮ่องสอน. กรุ งเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ.
52
ศิวาพร มหาทานุโชค. (2558). พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของประชาชนกลุ่มชาติพนั ธุ์กะเหรี่ ยงขาวที่มี
ความเสี่ ยง กลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้ อรัง. พยาบาลสาร, 42, 118-125.
อดิศร เกิดมงคล, และ บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์. (2550). คนพลัดถิ่น-คนข้ ามแดน. กรุ งเทพฯ:
ศูนย์มานุษยวิทยาสิ รินธร (องค์การมหาชน).
Adams, R. J., Appleton, S. L., Hill, C. L., Dodd, M., Findlay, C., & Wilson, D. H. (2014). Risks
associated with low functional health literacy in an Australian population. The Medical
Journal of Australia, 191, 530-534. Retrieved from https://www.mja.com.au/
Agarwal, G., Kendra, H., Melissa, P., Ric A., Francine, M., & Jenna, P. (2018). Assessing health
literacy among older adults living in subsidized housing: A cross-sectional study. Canadian
Journal of Public Health, 109(3), 401-409 doi:10.17269/s41997-018-0048-3
53
Ansari, H., Zeinab, A., Ansari, M. A., Mohammadi, M., Peyvand, M., Hajmohammadi, M., &
Bagheri, F. (2016). Health literacy in older adults and its related factors: A cross-sectional
study in southeast Iran. Health Scope, 5(4), 1-6. doi:10.17795/jhealthscope-37453
Baker, D. W., Williams, M. V., Parker, R. M., Gazmararian, J. A., & Nurss, J. (1999). Development
of a brief test to measure functional health literacy. Patient Education and Counseling, 38(1),
33-42.
Barile, J. P., Mitchell, S. A., Thompson, W. W., Zack, M. M., Reeve, B. B., Cella, D. F., & Wilder-
Smith, A. (2015). Patterns of chronic conditions and their associations with behaviors and
quality of life. Preventing Chronic Disease, 12, 1-11.
Burns, N., & Grove, S. K. (2009). The practice of nursing research: Conduct, critique, & utilization
(5th ed.). Philadelphia: Elsevier.
Chesser, A. K., Woods, N., Smothers, K., & Rogers, N. (2016). Health literacy and older adults: A
systematic review. Gerontology and Geriatric Medicine, 2, 1-13.
Cronbach, L. J. (1951). Coefficient alpha and the internal structure of tests. Psychometrika, 16(3),
297-334.
Davis, T. C., Crouch, M. A., Long, S. W., Jackson, R. H., Bates, P., George, R. B., & Bairnsfather,
L. E. (1991). Rapid assessment of literacy levels of adult primary care patients. Family
Medicine, 23, 433-435.
Dehghankar, L., Shahrokhi, A., Qolizadeh, A., Mohammadi, F., & Nasiri, E. (2018). Health
promoting behaviors and general health among the elderly in Qazvin: A cross sectional study.
Elderly Health Journal, 4(1), 18-22.
54
Edelman, C. L., & Mandle, C. L. (2006). Health promotion throughout the lifespan (6th ed.).
St. Louis: Elsevier Mosby.
Fonseca, V. A. (2009). Defining and characterizing the progression of type 2 diabetes. Diabetes
Care, 32(2), S151-S156.
Geboers, B., Reijneveld, S. A., Jansen, C. J. M., & Winter, A. F. (2016). Health literacy is
associated with health behaviors and social factors among older adults: Results from the
LifeLines Cohort Study. Journal of Health Communication, 21(2), 45-53.
Harooni, J., Hassanzadeh, A., & Mostafavi, F. (2014). Influencing factors on health promoting
behavior among the elderly living in the community. Journal of Education and Health
Promotion, 3, 40-48.
Ishikawa, H, Takeuchi, T, & Yano, E,. (2008). Measuring functional communicative and critical
health literacy among diabetic patients. Diabetic Care, 31(5), 874-879.
Karimi, S., Keyvanara, M., Hosseini, M., Jazi, M. J., & Khorasani, E. (2014). The relationship
between health literacy with health status and healthcare utilization in 18-64 years old people
in Isfahan. Journal of Education and Health Promotion, 3, 75-82.
Kickbusch, I. (2008). Health literacy. International Encyclopedia of Public Health, 3(2), 204-211.
Kim, S. H. (2009). Health literacy and functional health status in Korean older adults. Journal of
Clinical Nursing, 18(16), 2337-2343.
Kobayashi, L. C., Smith, S. G., O’Conor, R., Curtis, L. M., Park, D., von Wagner, C., & Wolf,
M. S. (2015). The role of cognitive function in the relationship between age and health
literacy: A cross-sectional analysis of older adults in Chicago, USA. BMJ Open, 5(4), 207-220.
Lebar, F. M., Hickey, G. C., & Musgrave, J. K. (1964). Ethnic groups of mainland southeast asia.
Human Relations Area Files Press. doi:/10.2307/2051085
55
Lim, E. J., Noh, J. H., & Kim, E. Y. (2015). A comparative study factors affecting the health-
promoting behaviors of the young-elderly population in urban and rural communities.
International Journal of Bio-Science and Bio-Technology, 7(5), 367-374.
Liu, Y. B., Liu, L., Li, Y. F., & Chen, Y. L. (2015). Relationship between health literacy, health-
related behaviors and health status: A survey of elderly Chinese. International Journal of
Environmental Research and Public Health, 12, 9714-9725.
Miller, M. J. (2009). The age of migration (4th ed.). New York: Guilford.
Mofrad, Z. P., Jahantigh, M., & Arbabisarjou, A. (2016). Health promotion behaviors and chronic
diseases of aging in the elderly people of Iranshahr*-IR Iran. Global Journal of Health
Science, 8(3), 139-145.
Nutbeam, D. (2008). The evolving concept of health literacy. Social Science & Medicine, 67(12),
2072-2078.
Nutbeam, D. (2009). Defining and measuring health literacy: What can we learn from literacy
studies? International Journal of Public Health, 54(5), 303-305.
Pender, N. J., Murdaugh, C. L., & Parsons, M. A. (2006). Health promotion in nursing practice
(5th ed.). New Jersey: Prentice Hall.
Pender, N. J., Murdaugh, C. L., & Parsons, M. A. (2011). Health promotion in nursing practice
(6th ed.). Boston, MA: Pearson.
Pleasant, A., & Kuruvilla, S. (2008). A tale of two health literacies. Health Promotion International,
23(2), 152-159.
Polit, D. F., & Beck, C. T. (2004). Nursing research: Principle and methods (7th ed.). Philadelphia:
Lippincott Williams & Wilkins.
56
Reisi, M., Javadzade, S. H., Heydarabadi, A. B., Mostafavi, F., Tavassoli, E., & Sharifirad, G.
(2014). The relationship between functional health literacy and health promoting behaviors
among older adults. Journal of Education and Health Promotion, 3, 119.
Senol, V., Ünalan, D., Soyuer, F., & Argun, M. (2014). The relationship between health promoting
behaviors and quality of life in nursing home residents in Kayseri. Journal of Geriatrics,
2(3),1-8.
Smith, S. G., O’Conor, R., Curtis, L. M., Waite, K., Deary, I. J., Paasche, O. M., & Wolf, M. S.
(2015). Low health literacy predicts decline in physical function among older adults:
Findings from the LitCog cohort study. Epidemiology Community Health, 20, 1-7.
Sørensen, S., Van den Broucke, S., Fullam, J., Doyle, G., Pelikan, J., Slonska, Z., & Brand, H.
(2012). Health literacy and public health: A systematic review and integration of definitions
and models. BMC Public Health, 12, 80-92.
Sudore, R. L., Mehta, K. M., Simonsick, E. M., Harris, T. B., Newman, A. B., Satterfield, S., &
Yaffe, K. (2006). Limited literacy in older people and disparities in health and healthcare
access. Journal of the American Geriatrics Society, 54(5), 770-776.
Suka, M., Odajima, T., Okamoto, M., Sumitani, M., Igarashi, A., Ishikawa, H., & Sugimori, H.
(2015). Relationship between health literacy, health information access, health behavior, and
health status in Japanese people. Patient Education and Counseling, 98(5), 660-668.
United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization. (2014). UNESCO Institute for
Statistics Data Centre (database), United Nations Educational, Scientific and Cultural
Organization. Retrieved from http://stats.uis.unesco.org/accuessed
United Nations. (2016). World population aging report. New York: United Nations Publishing
Section. Retrieved from http://www.un.org/en/development/desa/population/publications/
pdf/ageing/WPA2016_Report.pdf
57
Wagner, V., Knight, K., Steptoe, A., & Wardle, J. (2007). Functional health literacy and health-
promoting behaviour in a national sample of British adults. Journal of Epidemiology and
Community Health, 61(12), 1086-1090.
Walker, S. N., Sechrist, K. R., & Pender, N. J. (1995). The health promoting lifestyles profiles II.
Ohama, NE: University of Nebraska of Ohama.
World Health Organization. (2009). Health literacy and health promotion. Retrieved from
http://www.who.int
World Health Organization. (2010). Definition of an older or elderly person. Retrieved from
http://www.who.int/healthinfo/survey/ageingdefnolder/en/index.html
Zamora, H., & Clingerman, E. M. (2011). Health literacy among older adults: A systematic
literature review. Journal of Gerontological Nursing, 37, 41-51. doi:10.3928/00989134-
20110503-02
Zarcadoolas, C., Pleasant A, & Greer, D. S. (2005). Understanding health literacy: An expanded
model. Health Promotion International, 20(2), 195-203.
58
ภาคผนวก
59
ภาคผนวก ก
เอกสารรับรองโครงการวิจยั คณะพยาบาลศาสตร์
1/2
60
2/2
61
ภาคผนวก ข
เอกสารการพิทักษ์ สิทธิ์ของกลุ่มตัวอย่ าง
เอกสารคาชี้แจงและเอกสารแสดงความยินยอม
ท่านได้รับเชิ ญให้เข้าร่ วมโครงการวิจยั นี้ เนื่ องจากท่านเป็ นผูส้ ู งอายุที่มีเชื้ อสายกะเหรี่ ยงเผ่า
สะกอ(ขาว) โดยโครงการวิจยั นี้ จะคัดเลื อกผูท้ ี่เหมาะสมเข้าร่ วมการศึ กษาเป็ นจานวนทั้งสิ้ น 88 คน
จากกลุ่มผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยงในพื้นที่จงั หวัดแม่ฮ่องสอน
62
ข้ อมูลทีเ่ กีย่ วข้ องกับการศึกษา
โครงการวิจยั ครั้งนี้ เป็ นการศึกษาเรื่ อง “ความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพและพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ
ของผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง” ซึ่ งพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพ หมายถึ ง การกระทากิ จกรรมอย่างต่อเนื่ องที่
ผูส้ ู งอายุกระทาโดยมีเป้าหมายสาคัญในการมีสุขภาพที่ดี ครอบคลุมพฤติกรรม 6 ด้าน คือ 1) ด้านความ
รับผิดชอบต่อสุ ขภาพ 2) ด้านการออกกาลังกาย 3) ด้านโภชนาการ 4) ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
5) ด้า นการพัฒ นาจิ ต วิญ ญาณ และ6) ด้า นการจัด การกับ ความเครี ย ด เมื่ อ ผู ้สู ง อายุ มี ก ารปฏิ บ ัติ
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่เหมาะสม ก็จะส่ งผลให้ผสู ้ ู งอายุเกิดภาวะสุ ขภาพที่ดีตามมา ซึ่งการปฏิบตั ิ
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพที่ดีตอ้ งอาศัย ความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพ ซึ่ งประกอบด้วย ความสามารถของ
ผูส้ ู งอายุในการอ่าน เข้าใจ เข้าถึงข้อมูลด้านสุ ขภาพ สามารถนาข้อมูลไปใช้ในการติดต่อสื่ อสารกับทีม
สุ ขภาพหรื อบุคคลอื่น สามารถคัดสรรข้อมูลจากสื่ อต่างๆเพื่อตัดสิ นใจ ในการเลือกปฏิบตั ิพฤติกรรม
ส่ งเสริ มสุ ขภาพที่เหมาะสม
กรอบที่ 3 ผลไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้จากการวิจยั
ไม่มี
โครงการวิจยั นี้ มีวัตถุ ประสงค์ เพื่อศึ กษาความสั มพันธ์ ระหว่างความรอบรู ้ ด้า นสุ ขภาพและ
พฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุกะเหรี่ ยง
กรอบที่ 4 รู ปแบบการวิจยั
กรอบที่ 5 ตารางการศึกษา
เมื่อท่านยินดีเข้าร่ วมงานวิจยั ภายหลังจากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการวิจยั แล้ว ผูว้ จิ ยั จะ
ขอให้ท่านลงลายมือชื่อในใบยินยอมเป็ นหลักฐาน จากนั้นผูว้ จิ ยั และผูช้ ่วยวิจยั จะดาเนินการ
63
สอบถามตามแบบสอบถามทั้ง 3 ฉบับ ได้แก่ 1) แบบสอบถามข้อมูลทัว่ ไป จานวน 7 ข้อ 2)
แบบสอบถามพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของกลุ่มชาติพนั ธ์กะเหรี่ ยงขาวที่มีความเสี่ ยงต่อโรคเรื้ อรัง
จานวน 44 ข้อ และ 3) แบบสอบถามความรอบรู ้ดา้ นสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ จานวน 14 ข้อโดยผูว้ จิ ยั จะ
อ่านข้อคาถามทีละข้อและไม่มีการอธิ บายเพิ่มให้ผสู ้ ู งอายุตอบคาถามทีละข้อ ใช้เวลาในการ
สอบถามประมาณ 40-50 นาที
64
ผูว้ ิจยั สรุ ปแนวทางการปฏิบตั ิหรื อการดูแลต่อสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการศึกษา
ไว้ใน กรอบที่ 7
กรอบที่ 7 สถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการศึกษา
สถานการณ์ แนวทางการปฏิบตั ิ
หากท่านถอนความยินยอมระหว่าง ท่านมีอิสระที่จะปฏิเสธการเข้าร่ วมการวิจยั โดยบอกกับ
การศึกษา ผูใ้ ห้ขอ้ มูลแก่ท่าน หรื อระหว่างการวิจยั ก็สามารถแจ้งขอ
ถอน
ตัวออกจากโครงการวิจยั ได้ โดยจะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อ
ท่าน
เมื่อมีขอ้ มูลใหม่ที่สาคัญที่อาจมีผล ผูว้ จิ ยั จะแจ้งให้ท่านทราบโดยเร็ ว โดยท่านสามารถ
ต่อการตัดสิ นใจของท่าน ตัดสิ นใจได้วา่ ท่านจะร่ วมอยูใ่ นโครงการวิจยั นี้ ต่อหรื อไม่
65
หากท่านมีขอ้ สงสัย ท่านสามารถสอบถามได้ที่บุคคลในกรอบที่ 8
กรอบที่ 8 บุคคลทีท่ ่ านสามารถติดต่ อเพื่อสอบถามรายละเอียดเพิม่ เติม
1. ว่าที่ร้อยตรี ยทุ ธการ ประพากรณ์ 6/3 หมู่ที่ 1 ตาบลแม่ลาหลวง อาเภอแม่ลาน้อย
จังหวัดแม่ฮ่องสอน 58120
หมายเลขโทรศัพท์ 088-2740127 (ตลอด 24 ชัว่ โมง)
2. ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. โรจนี กลุ่มวิชาการพยาบาลพื้นฐาน คณะพยาบาลศาสตร์
จินตนาวัฒน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขโทรศัพท์ 053-935016
และ 053-949019 (ในเวลาราชการ)
3. ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ดร. เดชา ทาดี กลุ่มวิชาการพยาบาลสาธารณสุ ข คณะพยาบาล ศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หมายเลขโทรศัพท์ 053-935018
(ในเวลาราชการ)
66
เอกสารแสดงความยินยอมของอาสาสมัคร/เข้ าร่ วมโครงการวิจัย
_______________________________ _______________________________
ลายเซ็นผูย้ นิ ยอมเข้าร่ วมโครงการวิจยั ลายเซ็นผูข้ อความยินยอมจากผูเ้ ข้าร่ วม
โครงการวิจยั
__________________________
วัน/เดือน/ปี __________________________
วัน/เดือน/ปี
67
ภาคผนวก ค
หนังสื ออนุญาตเก็บข้ อมูล
68
ภาคผนวก ง
เครื่ องมือที่ใช้ ในการรวบรวมข้ อมูลและดาเนินการวิจยั
69
เครื่ องมือทีใ่ ช้ คัดเลือกกลุ่มตัวอย่ าง
2 ขณะนี้ เวลา...อะไร
4 …………………………………….
5 …………………………………….
6 .
…………………………………….
7 .
…………………………………….
8 .
…………………………………….
9 . …………………………………….
10 …………………………………….
70
ส่ วนที่ 2 แบบประเมินผู้สูงอายุตามกลุ่มศักยภาพตามความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจาวัน
คาชี้แจง จงทาเครื่ องหมาย ลงในช่อง ที่ตรงกับตัวท่านมากที่สุด
1. Feeding (รับประทานอาหารเมื่อเตรี ยมสารับไว้ให้เรี ยบร้อยต่อหน้า)
0 ไม่สามารถตักอาหารเข้าปากได้ ต้องมีคนป้ อนให้
1 ตักอาหารเองได้แต่ตอ้ งมีคนช่วย เช่น ช่วยใช้ชอ้ นตักเตรี ยมไว้ให้ หรื อตัดเป็ นเล็กๆ ไว้ล่วงหน้า
2 ตักอาหารและช่วยตัวเองได้เป็ นปกติ
2. Grooming (ล้างหน้า หวีผม แปรงฟัน โกนหนวด ในระยะเวลา 24 - 28 ชัว่ โมงที่ผา่ นมา)
0 ต้องการความช่วยเหลือ
1 เองได้ (รวมทั้งที่ทาได้เองถ้าเตรี ยมอุปกรณ์ไว้ให้)
.
.
.
.
10. Bladder (การกลั้นปั สสาวะในระยะ 1 สัปดาห์ที่ผา่ นมา)
0 กลั้นไม่ได้ หรื อใส่ สายสวนปั สสาวะแต่ไม่สามารถดูแลเองได้
1 กลั้นไม่ได้บางครั้ง (เป็ นน้อยกว่าวันละ 1 ครั้ง)
2 กลั้นได้เป็ นปกติ
คะแนนรวม (.................................................คะแนน)
การแปลผล
คะแนน ADL ตั้งแต่ 12 คะแนน ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 1 ผูส้ ู งอายุที่พ่ ึงตนเองได้ช่วยเหลือ
ขึ้นไป ผูอ้ ื่น ชุมชนและสังคมได้ (กลุ่มติดสังคม)
คะแนน ADL อยูใ่ นช่วง 5 – 11 ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 2 ผูส้ ู งอายุที่ดูแลตนเองได้บา้ ง
คะแนน ช่วยเหลือตนเองได้บา้ ง (กลุ่มติดบ้าน)
ผู้สูงอายุกลุ่มที่ 3 ผูส้ ู งอายุกลุ่มที่พ่ งึ ตนเองไม่ได้
คะแนน ADL อยูใ่ นช่วง 0 -4
ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ พิการ หรื อทุพพลภาพ (กลุ่ม
คะแนน
ติดเตียง)
71
เครื่ องมือทีใ่ ช้ ในการรวบรวมข้ อมูลการวิจัย
72
ส่ วนที่ 2 แบบสอบถามพฤติกรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ ยงขาวที่มีความเสี่ ยงโรค
เรื้อรัง
คาชี้ แจง โปรดทาเครื่ องหมาย ลงในช่องที่ตรงกับตามความรู ้สึก/ความคิดเห็นของท่านมาก
ที่สุด โดยพิจารณาตามเกณฑ์ดงั นี้
ไม่เคยเลย หมายถึง ไม่เคยปฏิบตั ิพฤติกรรมนั้นเลย
บางครั้ง หมายถึง ปฏิบตั ิ หรื อแสดงออกพฤติกรรมนั้นสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
บ่อยๆ หมายถึง ปฏิบตั ิ หรื อแสดงออกพฤติกรรมนั้นสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง
เป็ นประจา หมายถึง ปฏิบตั ิ หรื อแสดงออกพฤติกรรมนั้นเป็ นประจาทุกวัน
ไม่ เคย บาง เป็ น
พฤติกรรมสุ ขภาพ บ่ อยๆ
เลย ครั้ง ประจา
ด้ านความสั มพันธ์ ระหว่ างบุคคล
1. เมื่อมีปัญหาสุ ขภาพปรึ กษากับคนใกล้ชิด
2. รู ้สึกยินดีกบั ความสาเร็ จของผูอ้ ื่น
3. มีมนุษยสัมพันธ์กบั ผูอ้ ื่น
4. ใช้เวลาว่างกับเพื่อน หรื อคนใกล้ชิด
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
…………………………………….
44. ………………………………..
73
ส่ วนที่ 3 แบบประเมินความรอบรู้ ด้านสุ ขภาพในผู้สูงอายุ
คาชี้แจง ข้อคาถามต่อไปนี้ เป็ นการสอบถามความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพในผูส้ ู งอายุ ได้แก่ความรอบรู ้
ด้านสุ ขภาพพื้นฐาน ความรอบรู ้ ดา้ นสุ ขภาพด้านการมีปฏิ สัมพันธ์การติดต่อสื่ อสาร ความรอบรู ้ ดา้ น
สุ ขภาพด้านวิจารณญาณ ขอให้ท่านตอบให้ตรงกับความจริ งที่ท่านปฏิบตั ิมากที่สุดโดยใส่ เครื่ องหมาย
() ในช่องว่าง เลือกเพียงคาตอบเดียว และคาตอบของท่านไม่มีผดิ หรื อถูก ซึ่ งมีความหมาย ดังนี้
ความถี่ของการเกิดเหตุการณ์ การปฏิบตั ิทางบวก การปฏิบตั ิทางลบ
ไม่เคย 1 4
นานๆคร้ัง 2 3
บางครั้ง 3 2
บ่อยครั้ง 4 1
74
ภาคผนวก จ
สัดส่ วนของกลุ่มตัวอย่างในแต่ ละพืน้ ที่
75
ภาคผนวก ฉ
ค่าเฉลีย่ และส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของพฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพรายข้ อ
76
พฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพ X̅ SD
ด้ านการปฏิบัติกจิ กรรมการออกกาลังกาย
16. ออกกาลังกายเบาๆ ....................................... 3.10 0.88
17. ....................................... - -
18. ออกกาลังกายในระหว่างทากิจวัตรประจาวัน 3.26 0.81
.......................................
19. สังเกตการเต้นของหัวใจ....................................... 1.44 0.84
ด้ านโภชนาการ
20. เลือกรับประทานอาหาร....................................... 2.89 0.94
21. ใช้และรับประทานรสหวาน....................................... 3.10 0.88
22. รับประทานอาหารประเภทข้าว ....................................... 3.75 0.55
23. รับประทานผลไม้ ....................................... 2.34 0.76
24. รับประทานผัก 5 กามือ....................................... 3.27 0.87
25. รับประทานนม นมถัว่ เหลือง ....................................... 2.14 0.94
26. รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์....................................... 3.23 0.84
27. อ่านฉลากผลิตภัณฑ์อาหาร....................................... 1.77 0.88
28. รับประทานอาหารเช้า....................................... 3.78 0.55
ด้ านการพัฒนาทางจิตวิญญาณ
29. รู ้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลง....................................... 2.48 0.69
30. ....................................... - -
31. ....................................... - -
32. ....................................... - -
33. ....................................... - -
34. พบว่าในแต่ละวันมีสิ่งที่น่าสนใจ ....................................... 2.47 0.62
35. ตระหนักรู ้....................................... 2.65 0.70
77
พฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพ X̅ SD
36. เข้าใจเหตุและผล....................................... 2.63 0.67
37. เปิ ดโอกาส....................................... 2.52 0.71
ด้ านการจัดการความเครียด
38. นอนหลับพักผ่อน....................................... 3.05 0.88
39. หาเวลาว่าง....................................... 2.75 0.67
40. ยอมรับ....................................... 2.77 0.69
41. ใช้วธิ ีการที่เหมาะสม....................................... 2.63 0.72
42. ....................................... - -
43. ใช้เวลาในการผ่อนคลาย ....................................... 2.28 0.68
44. รู ้จกั ผ่อนหนัก....................................... 2.51 0.66
78
ภาคผนวก ช
ค่าเฉลีย่ และส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของความรอบรู้ด้านสุ ขภาพรายข้ อ
79
ภาคผนวก ซ
ค่าเฉลีย่ และส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของพฤติกรรมส่ งเสริมสุ ขภาพ
จาแนกตามข้ อมูลส่ วนบุคคล
ค่ าเฉลี่ย และส่ วนเบี่ ยงเบนมาตรฐานของพฤติ กรรมส่ งเสริ มสุ ขภาพจาแนกตามข้ อมูล ส่ วนบุคคล
(n=88)
ข้ อมูลส่ วนบุคคล X̅(SD)
เพศ
ชาย 121.03(2.40)
หญิง 117.06(2.33)
สถานภาพสมรส
คู่ 119.59(16.14)
หม้าย/หย่า 117.22(16.47)
ระดับการศึกษา
ไม่ได้รับการศึกษา 117.78(16.22)
ได้รับการศึกษา
ประถมศึกษา 126.71(8.69)
มัธยมศึกษา 151.00(1.00)
ความเพียงพอของรายได้
เพียงพอ 120.63(14.92)
ไม่เพียงพอ 115.07(18.32)
80
ภาคผนวก ฌ
ค่าเฉลีย่ และส่ วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความรอบรู้ด้านสุ ขภาพรายด้ าน
81
ภาคผนวก ญ
รายนามผู้ทรงคุณวุฒิ
ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจสอบความตรงตามเนื้อหา สั งกัด
1. ผศ.นพ. นิสิต วรรธนัจฉริ ยา ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
2. ผศ. รุ่ งศักดิ์ ศิรินิยมชัย กลุ่มวิชาการพยาบาลผูส้ ู งอายุ
สังกัดคณะพยาบาลศาสตร์ แมคคอร์ มิค
มหาวิทยาลัยพายัพ
2. รศ. ดร. ลินจง โปธิบาล กลุ่มวิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
3. ผศ. ดร. ทศพร คาผลศิริ กลุ่มวิชาการพยาบาลอายุรศาสตร์
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
5. อาจารย์ ดร.ปรัศนี ศรี กนั พยาบาลวิชาชีพชานาญการพิเศษ
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พะเยา
6. นายบาเหน็จ แสงรัตน์ ผูป้ ฏิบตั ิการพยาบาลขั้นสู ง (การพยาบาลผูส้ ู งอายุ)
สังกัดงานการพยาบาลผูป้ ่ วยอายุรศาสตร์
โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
82
ภาคผนวก ฎ
รายนามผู้ทรงคุณวุฒิแปลภาษา
ผู้ทรงคุณวุฒิการแปลภาษา สั งกัด
1. อาจารย์มาลา ขันแก้ว ข้าราชการบานาญ
2. ดร. ประเสริ ฐ ตระการศุภกร นักพัฒนาอาวุโสชนเผ่าพื้นเมืองและชาติพนั ธุ์
83
ประวัตผิ ้เู ขียน
84