Professional Documents
Culture Documents
ปะการัง
ปะการัง
ปะการัง
นายอภิสิทธิ์ แหวนหล่อ รหัสนักศึกษา 056450405065-4
นายพรพิษณุ ผุดโรย รหัสนักศึกษา 056450405066-2
นายศุภฤกษ์ วัฎฏวนิชย์กลุ รหัสนักศึกษา 056450405072-0
นายธัชเมธ พุม่ พวง รหัสนักศึกษา 056450405073-8
นายวุฒิภทั ร สาระไชย รหัสนักศึกษา 056450405078-7
นางสาวบุษกร เต็มหัตถ์ รหัสนักศึกษา 056450405080-3
นายอัศวิน ประภารัตน์ รหัสนักศึกษา 056450405134-8
ความหมายของทรัพยากรปะการัง
เป็ นแนวหินปูนใต้ทะเลในระดับนา้ ตืน้ ที่แสงแดดส่องถึง หินปูนดังกล่าวเป็ นผลมาจาก
การเจริญเติบโตของปะการังหลายๆ ชนิด นอกจากนีย้ งั มีสิ่งมีชวี ิตอื่นๆ อีกหลายชนิดที่มี
ส่วนเสริมสร้างหินปูนพอกพูนสะสมในแนวปะการัง เช่น สาหร่ายหินปูน หอยที่มเี ปลือก
แข็ง ฯลฯ เนือ่ งจากแนวปะการังประกอบด้วยปะการังหลายชนิดและปะการังแต่ละชนิดมี
ลักษณะโครงสร้างแตกต่างกันไป ทาให้โครงสร้างของแนวปะการังมีลกั ษณะซับซ้อน เต็ม
ไปด้วยซอกหลืบ เหมาะสมต่อการดารงชีวิตสิ่งมีชวี ิต เช่น ปลาชนิดต่าง ๆ ทาให้มคี วาม
หลากหลายทางชีวภาพสูงที่สดุ ในทะเล
ความสาคัญ
แนวปะการังเป็ นระบบนิเวศและเป็ นทรัพยากรที่มคี วามสาคัญทัง้ ในแง่การ
เป็ นแหล่งที่อยู่อาศัย แหล่งหลบภัยให้กบั สัตว์นานาชนิดตัง้ แต่ชว่ งวัยอ่อนจนถึง
ตัวเต็มวัย เป็ นแหล่งอาหารและแหล่งทาการประมง เป็ นแนวป้องกันชายฝั ง่ จาก
การกัดเซาะของคลื่นและกระแสนา้ เป็ นแหล่งของสิ่งมีชวี ิตที่มคี วามสาคัญ
ทางด้านเภสัช เป็ นแหล่งกาเนิดเม็ดทราย และเป็ นแหล่งท่องเที่ยวที่สร้างรายได้
ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล แนวปะการังมีแนวโน้มได้รบั ผลกระทบค่อนข้างมาก
จากกิจกรรมการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ทงั้ ทางตรงและทางอ้อม รวมถึงการ
เปลี่ยนแปลงของปั จจัยสิ่งแวดล้อมอันเนือ่ งมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ
ภูมอิ ากาศโลก ทาให้แนวปะการังเกิดความเสื่อมโทรมลง
ชนิดปะการังในประเทศไทย
ชนิดของปะการัง
ปะการังในโลกมีอยู่ประมาณ 400 ชนิด ซึ่งพบในน่านนา้ ไทยประมาณ 240 ชนิด ซึ่งมีความสวยงามและมี
รูปร่าง รูปทรงหลายแบบ เช่น แบบกิ่งก้านเหมือนเขากวาง หรือเหมือนกิง่ ไม้ แบบก้อน หรือโขด คล้ายสมองหรือรังผึง้
แบบแผ่นบางๆเหมือนใบไม้ หรือเคลือบตามพื้นผิวซากปะการังที่ตายไปแล้ว ไม่ว่ารูปทรงจะต่างกันอย่างไรก็ตาม ปะ
การงทุกชนิด ต้องมีลกั ษณะร่วมประการหนึง่ คือ มีชอ่ งเล็กๆ บนหินปูน ให้ตวั นุม่ ๆของปะการังหดตัวเข้าไปอาศัยอยู่
ได้ โดยปะการังเล็กๆนับร้อยนับพันตัวอยู่รวมกัน ยกเว้นปะการังดอกเห็ด ซึ่งหนึง่ ก้อน คือ หนึง่ ตัว
ปะการังพุ่มไม้ ( Cauliflower Coral )
เป็ นช่อคล้ายกิ่งก้านของพุ่มไม้ ตามปรกติกิ่งก้านที่แตกแขนงออกมีลกั ษณะกลม หรือแบนเล็กน้อย เมือ่ ตัดตาม
ขวางแคลไลซ์มขี นาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 1 มิลลิเมตร เป็ นรูปสี่ถึงหกเหลี่ยมคล้ายลายตาข่าย ขนาดช่อโคโลนีก
ว้างประมาณ 20 – 30 เซนติเมตร ปะการังชนิดนีพ้ บอยู่ในเขตนา้ ขึน้ นา้ ลงจนถึงขอบด้านนอกของแนวปะการัง และเป็ น
ปะการังที่พบได้บ่อยมากในแนวปะการังทัว่ ไป นอกจากนีร้ ะหว่างกิง่ ก้านของปะการังมักมีปูใบ้ปะการัง (Trapezia
cymdoce) อาศัยอยู่ดว้ ยเสมอ
ปะการังดอกกะหลา่ ( Cauliflower Coral )
• มีลกั ษณะเปนช่อที่แตกกิ่งก้านออกมาจากศูนย์กลาง คล้ายดอก
กระหลา่ ตรงปลายของแต่ละกิ่งก้านแผ่แบบขยายออก ผนังที่แบ่งกัน้
คอรอลไลท์บางกว่าปะการังพุม่ ไม้ ขนาดของช่อ กว้างประมาณ 12
เซนติเมตร ปะการังชนิดนีพ้ บเฉพาะในอ่าวไทย บริเวณเขตนา้ ขึน้ ลง
และพบจานวนน้อย ตัวอย่างในภาพ ได้มาจากเกาะล้าน ชลบุรี
ปะการังช่องแขนง ( Branching Pore Coral )
ลักษณะเป็ นช่อ คล้ายปะการังพุ่มไม้ ขนาดกว้างประมาณ 20
เซนติเมตร แคลไลซ์ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร
และไม่มคี ลอรอไลท์ที่อยู่ปลายยอดเหมือนปะการังเขากวาง ปะการัง
ชนิดนีเ้ จริญอยู่ในเขตนา้ ขึน้ นา้ ลงทางด้านในของขอบ พบอยู่ทวั ่ ไปใน
แนวปะการังของไทย ทัง้ อ่าวไทยและฝัง่ อันดา
ปะการังเขากวาง ( Staghorn Coral )
เป็ นช่อที่กิ่งก้านแตกออกคล้ายเขากวาง คอลรอลไลท์ที่อยู่ปลายยอดของ
กิ่ง มีขนาดใหญ่ ส่วนคอลรอลไลท์ดา้ นข้างมีผนังเจริญดีเฉพาะด้านนอกทา
ให้มลี กั ษณะคล้ายเกล็ด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของแต่ละช่อกินเนือ้ ที่หลาย
ตารางฟุต ตรงปลายก้านปะการังมักมีสีชมพู ปะการังชนิดนีพ้ บอยู่ทวั ่ ไปใน
เขตนา้ ขึน้ นา้ ลงและลึกลงไป ทัง้ ในอ่าวไทยและฝัง่ อันดามัน
ปะการังผักกาด ( leaf Coral )
คอรอมลัมมีขนาดคล้ายช่อผักกาดที่บิดไปบิดมา มีโพลิป
เจริญดีอยู่ทงั้ สองด้านตามขอบเป็ นสันคม ขนาดความกว้างของช่อ
ประมาณ 30 เซ็นติเมตร ปรกติมสี ีเทา หรือนา้ ตาล พบเจริญอยู่
ทัว่ ไปในแนวปะการังตัง้ แต่เขตนา้ ขึน้ นา้ ลงออกไปทัง้ แนวอ่าวไทยและ
ฝัง่ อันดามัน และแพร่กระจายทัว่ ไปแถบอินโดแปซิฟิก
ปะการังตาข่าย ( Tombstone Coral )
คอรอมลัมลักษณะเป็ นก้อนหรือแผ่คลุมพื้นซากปะการัง แคล
ไลท์เป็ นรูปเหลี่ยมลายตาข่าย โดยมีผนังกัน้ ในแนวรัศมีเรียงกัน 3
ชุด ปกติมกั มีสีเหลืองอมเขียว พบเจริญอยู่ในแนวปะการังบางแห่ง
เป้นจานวนน้อย ตัวอย่างในภาพได้มาจากภูเก็ต
3. คลื่นสึนามิ
เป็ นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึน้ ทางฝัง่ ทะเลอันดามันเมือ่ ปลายปี พ.ศ.2547 ความรุนแรงของ
คลื่นสึนามิทาให้ปะการังเสียหายในหลายรูปแบบ เช่น พลิกควา่ แตกหัก ทรายทับถม จากการประเมินความ
เสียหายอย่างหยาบๆ โดยนักวิชาการและนักดานา้ อาสาสมัคร สรุปได้ว่ามีแนวปะการังที่ได้รบั ความเสียหาย
ในระดับรุนแรง กินพื้นที่ประมาณ 13% ของแนวปะการังทัง้ หมดทางฝัง่ ทะเลอันดามัน บริเวณที่เสียหายมาก
มักเป็ นจุดที่อยูต่ ามหัวเกาะและร่องนา้ ระหว่างเกาะ
ปั ญหาที่เกิดขึน้ ตามธรรมชาติ
4. การเกิดปะการังฟอกขาว (coral bleaching)
ปกติแล้วปะการังในน่านนา้ ไทยสามารถดารงชีวิตอยูไ่ ด้ในนา้ ทะเลที่อณ ุ หภูมปิ ระมาณ 28-29 องศา
เซลเซียส แต่ถา้ หากอุณหภูมนิ า้ ทะเลสูงขึน้ ถึง 30-31 องศาเซลเซียสติดต่อกันนาน 3-4 สัปดาห์ขนึ้ ไป จะทา
ให้ปะการังเกิดการฟอกขาวขึน้ การที่ปะการังที่เราเคยเห็นว่ามีหลากสีกลับกลายเป็ นสีขาวนัน้ เป็ นเพราะ
สาหร่ายเซลล์เดียว ที่อาศัยอยูใ่ นเนือ้ เยื่อปะการังได้หลุดออกไป ทาให้เนือ้ เยื่อปะการังกลับกลายเป็ นเนือ้ เยื่อใส
ไม่มสี ี สามารถมองทะลุผา่ นไปถึงโครงหินปูนสีขาวที่รองรับเนือ้ เยื่อได้ หากปะการังอยูใ่ นสภาพฟอกขาว
ติดต่อนานเกินหนึง่ เดือน ปะการังนัน้ มักจะตายไป เพราะขาดสารอาหารที่ได้รบั
แนวทางการอนุรกั ษ์
การอนุรกั ษ์และการฟื้ นฟูแนวปะการังเป็ นมาตรการที่สาคัญที่สดุ ที่จะทาให้ทรัพยากรแนว
ปะการังของประเทศสามารถดารงสภาพความสมบูรณ์อยูไ่ ด้ ทัง้ นีต้ อ้ งมีการบริหาร
จัดการเน้นการมีสว่ นร่วมควบคู่กบั การใช้มาตรการทางด้านกฎหมาย
การอนุรกั ษ์แนวปะการัง
1. การแบ่งเขตการใช้ประโยชน์ในพื้นที่แนวปะการังทัว่ ประเทศอย่างชัดเจน ประเทศไทยมีแผน
แม่บทการจัดการแนวปะการังของประเทศมาตัง้ แต่ปี พ.ศ.2535 ซึ่งประกอบด้วยนโยบาย
มาตรการ และแนวทางการดาเนินแผนงานและโครงการ ตลอดจนหลักเกณฑ์และการกาหนดพื้นที่
ภายใต้เขตการใช้ประโยชน์ในแนวปะการังของประเทศ แต่ยงั ไม่มกี ารประกาศใช้เขตการใช้ประโยชน์
กันอย่างจริงจัง ต่อมาในปี พ.ศ.2546 สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝัง่ และ
มหาวิทยาลัยรามคาแหง ก็ได้เริ่มหันมาปรับปรุงแผนแม่บทดังกล่าวเพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับ
สถานการณ์ปัจจุบนั โดยได้แบ่งเขตการใช้ประโยชน์ตามสถานภาพของแนวปะการังและศักยภาพ
การใช้ประโยชน์ของชุมชมชนหลายฝ่ าย
แนวทางการอนุรกั ษ์
2. หน่วยงานภาครัฐต้องเปิ ดโอกาสและสนับสนุนให้ประชาชนมีบทบาทในการอนุรกั ษ์ร่วมกับหน่วยงาน
ภาครัฐอย่างจริงจัง แนวทางที่ประชาชนสามารถร่วมมือทาได้อย่างเป็ นรูปธรรม เช่น ไม่ทิ้งสมอลงในแนว
ปะการัง ใช้ทน่ ุ ผูกเรือในแนวปะการัง ไม่ทิ้งเศษซากอวนลงในทะเล ไม่เดินเหยียบยา่ บนแนวปะการัง ไม่ปล่อย
นา้ เสียลงในแนวปะการัง ทาการประมงอย่างถูกวิธีโดยไม่สง่ ผลกระทบต่อแนวปะการัง ไม่มกี ารลักลอบเก็บ
ปะการัง ซึ่งพบว่าในอดีตมีการเก็บปะการังขึน้ มาขายเพื่อประดับตูโ้ ชว์หรือตูป้ ลา แต่ในปั จจุบนั มีทางออกใน
เรื่องนีเ้ พราะมีการทาแบบจาลองปะการังด้วยวัสดุเรซิน ซึ่งใช้ทดแทนได้เป็ นอย่างดี
3. มีการอบรมให้ความรูอ้ ย่างต่อเนือ่ งในเรื่องการอนุรกั ษ์ปะการังแก่ผทู้ ี่เกีย่ วข้อง เช่น กรมทรัพยากรทาง
ทะเลและชายฝัง่ ได้ดาเนินการฝึ กอบรมให้แก่ขา้ ราชการครูและนักเรียน มัคคุเทศก์ กลุม่ ผูป้ ระกอบธุรกิจเรือ
หางยาวนาเที่ยว กลุม่ ชาวบ้าน ชาวประมง ตามหมูบ่ า้ นใน 13 จังหวัดที่อยูต่ ดิ ชายฝัง่ ทะเลที่มแี นวปะการัง ใน
บางท้องที่ เช่น จังหวัดภูเก็ต มีการจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนรักษ์ปะการัง มีการจัดตัง้ ชมรมอนุรกั ษ์ปะการัง
และทรัพยากรธรรมชาติฝัง่ อันดามันและจัดตัง้ กลุม่ อาสาสมัครพิทกั ษ์ปะการังขึน้ ที่บา้ นบางเทา บ้านป่ าตอง
บ้านกะตะและกะรน โดยมีสมาชิกส่วนใหญ่เป็ นชาวบ้านในหมูบ่ า้ นที่มแี นวปะการังและชาวบ้านทีป่ ระกอบอาชีพ
ขับเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวชมปะการัง ทัง้ นีส้ มาชิกของชมรมและกลุม่ อาสาสมัครดังกล่าวข้างต้นได้
ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการแจ้งข่าวสาร สอดส่องดูแลแทนเจ้าหน้าที่ในการเฝ้ าระวังรักษาแนวปะการัง และ
ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการจับกุมและปราบปรามผูก้ ระทาผิดกฎหมายเกี่ยวกับทรัพยากรแนวปะการัง และได้
ช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ในด้านการอนุรกั ษ์แนวปะการัง
แนวทางการอนุรกั ษ์
4.ส่งเสริมการดาเนินการวิจยั ขัน้ พื้นฐานทางด้านชีววิทยาและนิเวศวิทยาทางทะเลเป็ นปั จจัยที่
สนับสนุนโครงการฟื้ นฟูและอนุรกั ษ์ทรัพยากรแนวปะการัง ในปั จจุบนั หน่วยงานที่รับผิดชอบ
ทางด้านนี้ ได้แก่หน่วยงานในสังกัดกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝัง่ ได้แก่ สถาบันวิจยั และ
พัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝัง่ ทะเลและป่ าชายเลน ซึ่งตัง้ อยู่ที่จงั หวัดภูเก็ต ศูนย์วิจยั ทรัพยากร
ทางทะเลและชายฝัง่ อ่าวไทยฝัง่ ตะวันออก ตอนกลาง และตอนล่าง ซึ่งตัง้ อยู่ที่จงั หวัดระยอง ชุมพร
และสงขลาตามลาดับ ส่งเสริมให้เกิดการศึกษาวิจยั หาองค์ความรูเ้ ชิงลึกเกี่ยวกับพันธุกรรมและ
การปรับตัวของปะการังเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการฟื้ นฟูตนเอง (resilience) ให้กบั ปะการัง
และลดผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมอิ ากาศ และระดับนา้ ทะเลมีแนวโน้มเพิ่มขึน้
แนวทางการฟื ้ นฟูแนวปะการ ัง
จากการวิจยั ทางด้านปะการังในหลายพื้นที่ พบว่าแนวปะการังที่เสียหายจากภัยทางธรรมชาติ (เช่นปะการังฟอก
ขาว) สามารถฟื้ นตัวเองได้ตามธรรมชาติได้ โดยมีอตั ราการฟื้ นตัวตามธรรมชาติประมาณ 1 - 11% ต่อปี (ค่าปกคลุม
ของปะการังที่มชี วี ิตเพิ่มขึน้ 1 - 11% ต่อปี ) หรือเฉลี่ยประมาณ 5% ต่อปี ทัง้ นีต้ อ้ งมีปัจจัยสนับสนุนคือ คุณภาพนา้ ต้อง
ดี และต้องไม่มผี ลกระทบเพิ่มเติมจากมนุษย์ หากสามารถควบคุมปั จจัยคุกคามได้ และไม่เกิดภัยตามธรรมชาติ (เช่น
ปะการังฟอกขาว และพายุพดั ทาลาย) อาจจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 8 ปี แนวปะการังถึงจะอยูใ่ นระดับที่สมบูรณ์ได้
(โดยประมาณว่ามีค่าปกคลุมของปะการังที่มชี วี ิตในภาพรวม 60% ขึน้ ไป) ข้อเสนอแนะที่สามารถดาเนินการได้อย่างเป็ น
รูปธรรมเพื่อจัดการให้แนวปะการังสามารถฟื้ นตัวได้ตามธรรมชาติ ดังนี้