Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 9

เศรษฐศาสตร์

เศรษฐศาสตร์
ประวัติศาสตร์และการจำแนก
เศรษฐศาสตร์จุลภาค · เศรษฐศาสตร์มหภาค · ประวัติแนวคิด · เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก · เศรษฐศาสตร์กระแสรอง

แนวคิดและระเบียบวิธี
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ · คณิตเศรษฐศาสตร์ · เศรษฐมิติ · เศรษฐศาสตร์เชิงทดลอง · ทฤษฎีเกม · การวิจัยดำเนินการ ·
เศรษฐศาสตร์เชิงคณนา

สาขาย่อย
กฎหมาย · การเกษตร · การเงิน · การจัดการ · การพัฒนา · การเมือง · การศึกษา · เงินตรา · ชนบท · ทรัพยากรธรรมชาติ ·
ธุรกิจ · ประชากร · พฤติกรรม · เมือง · ระหว่างประเทศ · แรงงาน · วิวัฒนาการ · สวัสดิการ · สาธารณะ · สารสนเทศ ·
สิ่งแวดล้อม · สุขภาพ · อุตสาหกรรม

เศรษฐศาสตร์ (อังกฤษ: economics) หรือศัพท์เก่าคือ เศรษฐวิทยา เป็นวิชาทางสังคมศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับ


การผลิต การกระจาย การบริโภคสินค้าและบริการ

เศรษฐศาสตร์มุ่งศึกษาพฤติกรรมและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแสดงทางเศรษฐกิจและการทำงานของ
เศรษฐกิจ เศรษฐศาสตร์จุลภาควิเคราะห์องค์ประกอบหลักในระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งตัวแสดงและตลาดที่เป็น
ปัจเจกบุคคล การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และผลลัพธ์ของปฏิสัมพันธ์นั้น ตัวอย่างของตัวแสดงที่เป็นปัจเจก
รวมถึงครัวเรือน ภาคธุรกิจ ผู้ซื้อ และผู้ขาย เศรษฐศาสตร์มหภาควิเคราะห์เศรษฐกิจในภาพรวม (หมายถึงการ
ผลิตมวลรวม การบริโภค การออม และการลงทุน) และปัญหาที่กระทบมัน รวมทั้งการไม่ได้ใช้ของทรัพยากร
ต่าง ๆ (แรงงาน, ทุน, และที่ดิน) เงินเฟ้อ การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายสาธารณะที่จัดการปัญหา
เหล่านั้น (การเงิน การคลัง และนโยบายอื่นๆ)

คำจำกัดความ
ตามคำจำกัดความของนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง เรย์มอนด์ บารร์ แล้ว "เศรษฐศาสตร์คือศาสตร์แห่ง
การจัดการทรัพยากรอันมีจำกัด เศรษฐศาสตร์พิจารณาถึงรูปแบบที่พฤติกรรมมนุษย์ได้เลือกในการบริหาร
ทรัพยากรเหล่านี้ อีกทั้งวิเคราะห์และอธิบายวิถีที่บุคคลหรือบริษัททำการจัดสรรทรัพยากรอันจำกัดเพื่อตอบ
สนองความต้องการมากมายและไม่จำกัด"[1]

คำว่า เศรษฐศาสตร์ มาจากคำภาษากรีก oikonomia ซึ่งแปลว่าการจัดการครัวเรือน (oikos แปลว่าบ้าน และ


nomos แปลว่าจารีตประเพณีหรือกฎหมาย ซึ่งรวมกันหมายความว่ากฎเกณฑ์ของครัวเรือน) แบบจำลองทาง
เศรษฐศาสตร์ปัจจุบันแยกออกมาจากขอบเขตที่กว้างของวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษ
ที่ 19

การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ถูกประยุกต์ใช้ครอบคลุมทั้งสังคมในด้าน ธุรกิจ, การเงิน และรัฐบาล แม้แต่ทั้ง


ด้านอาชญากรรม, การศึกษา, ครอบครัว, สุขภาพ, กฎหมาย, การเมือง, ศาสนา, สถาบันสังคม, สงคราม และ
วิทยาศาสตร์

ที่
วิชาเศรษฐศาสตร์จัดเป็นวิชาเชิงปทัสฐาน (เศรษฐศาสตร์ที่ควรจะ
เป็น) เมื่อเศรษฐศาสตร์ได้ถูกใช้เพื่อเลือกทางเลือกอันหนึ่งอันใด หรือ
เมื่อมีการตัดสินคุณค่าบางสิ่งบางอย่างแบบอัตวิสัย ในทางตรงข้าม
เราจะเรียกเศรษฐศาสตร์ว่าเป็นวิชาเชิงบรรทัดฐาน (เศรษฐศาสตร์
ตามที่เป็นจริง) เมื่อเศรษฐศาสตร์นั้นได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการ
ทำนายและอธิบายถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเมื่อมีการเลือกเกิดขึ้น โดย
พิจารณาจากสมมติฐาน และชุดของข้อมูลสังเกตการณ์ ทางเลือกใด
ก็ตามที่เกิดจากการใช้สมมติฐานสร้างเป็นแบบจำลอง หรือเกิดจาก ภาพแสดงผู้ซื้อและผู้ขายกำลังต่อรอง
ราคาอยู่หน้าตลาดชิชิคาสเทนานโก ใน
ชุดข้อมูลสังเกตการณ์ที่สัมพันธ์กันนั้น ก็เป็นข้อมูลเชิงบรรทัดฐาน
ประเทศกัวเตมาลา
ด้วยเช่นเดียวกัน

เศรษฐศาสตร์จะให้ความสนใจกับตัวแปรที่สามารถวัดค่าได้เท่านั้น
โดยสาขาของวิชาเศรษฐศาสตร์จะถูกจำแนกออกตามเนื้อหาเป็นสองสาขาใหญ่ ๆ คือ

1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซึ่งสนใจพฤติกรรมขององค์ประกอบพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจซึ่งรวมถึง ตลาด


แต่ละตลาดและตัวแทนทางเศรษฐกิจ (เช่นครัวเรือน หน่วยธุรกิจ ผู้ซื้อ และผู้ขาย)
2. เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกิจในภาพรวม ตัวอย่างเช่น อุปทานมวลรวมและอุปสงค์มวลรวม
การว่างงาน เงินเฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกออกตามการวิเคราะห์ปัญหาได้แก่

1. เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง (Positive economics)


2. เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามที่ควรจะเป็น (Normative economics)
สำหรับประเด็นหลัก ๆ ที่เศรษฐศาสตร์ให้ความสนใจจะอยู่ที่การจัดสรรทรัพยากร การผลิต การกระจายสินค้า
การค้า และการแข่งขัน โดยหลักการแล้วคำอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จะถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายปัญหาที่
เกี่ยวข้องกับทางเลือกภายใต้ข้อจำกัดด้านความขาดแคลนมากขึ้นเรื่อย ๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีการกำหนด
มูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ให้กับทางเลือกนั้น ๆ นั่นเอง

ในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยธุรกิจของประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะนิยมสอนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแส
หลักที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์แบบสำนักคลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics) ทั้งนี้ เศรษฐศาสตร์กระแส
หลักจะวิเคราะห์ถึง "ความเป็นเหตุเป็นผล-ความเป็นปัจเจกชน-ดุลยภาพ" ตรงกันข้ามกับเศรษฐศาสตร์ทาง
เลือกที่เน้นวิเคราะห์ "สถาบัน-ประวัติศาสตร์-โครงสร้างสังคม" เป็นหลัก[2]

จุดเริ่มต้นของเศรษฐศาสตร์
ข้อเขียนทางเศรษฐศาสตร์สามารถย้อนกลับไปได้ถึงยุคสมัยเมโสโปเตเมีย, กรีซโบราณ, โรมันโบราณ, อนุทวีป
อินเดีย, จีน, เปอร์เซีย และอารยธรรมอาหรับ ปราชญ์ที่มีชื่อเสียงในยุคโบราณจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ได้แก่
อริสโตเติล, ซีโนโฟน, จันนากียะ หรือ วิษณุคุปต์, จักรพรรดิฉินที่ 1, โทมัส อควีนาส และอิบน์ ค็อลดูน ผลงาน
ของอริสโตเติลมีอิทธิพลอย่างมากต่องานของอควีนาส ผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อปรัชญาเมธีรุ่นหลัง ๆ ในคริสต์
ศตวรรษที่ 14–17[3] โจเซฟ ชูมปีเตอร์ บรรยายถึงอควีนาสไว้ว่าเป็นผู้ที่ "ใกล้เคียงกว่าคณะอื่นใดที่จะได้ชื่อว่า
เป็น 'ผู้ก่อตั้ง' เศรษฐศาสตร์" ในเชิงทัศน์กฎธรรมชาติด้านการเงิน, ดอกเบี้ย และทฤษฎีด้านมูลค่า [4]

แม้การถกเถียงเรื่องการซื้อขายและการจัดสรรจะมีประวัติศาสตร์มายาวนาน เศรษฐศาสตร์ในความคิดของคน
สมัยใหม่นั้นจะถือเอาวันที่อดัม สมิธได้เผยแพร่หนังสือเรื่อง "ความมั่งคั่งของประชาชาติ" (The Wealth of
Nations) ในปี ค.ศ. 1776 เป็นการเริ่มต้น

นี้ นื่
เดิมอดัม สมิธเรียกวิชานี้ว่า เศรษฐกิจการเมือง (Political Economy) เนื่องจากในขณะนั้นยังไม่มีคำศัพท์คำว่า
Economics ต่อมาคำว่าเศรษฐกิจ (Economy) ได้ถูกปรับรูปเป็นคำว่า เศรษฐศาสตร์ (Economics) และกลาย
เป็นสาขาวิชาอีกแขนงหนึ่งเป็นต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1870 อดัม สมิธเป็นนักปรัชญาคนแรกที่เสนอว่าความ
ร่ำรวยของประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินคงคลัง แต่ขึ้นอยู่กับขนาดเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับผลผลิตมวล
รวมประชาชาติ (GDP) การส่งออกไม่แน่ว่าจะเป็นประโยชน์ หรือการนำเข้าก็ไม่แน่ว่าจะเป็นการขาดทุน การ
ค้าขายอาจจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่ายคู่ค้า (win-win situation) และกลไกการตลาดเปรียบเสมือน
"มือที่มองไม่เห็น" (Invisible Hand) ซึ่งในระยะยาว (long run) มีแนวโน้มจะปรับตัวเข้าสู่จุดสมดุล

เศรษฐศาสตร์จุลภาค

ตลาด
เศรษฐศาสตร์จุลภาคถือเป็นแนวทางหลักในการวิเคราะห์เศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ โดยมองว่าครัวเรือนและ
บริษัทที่ต่างก็ทำธุรกรรมระหว่างกันผ่านตลาดนั้นเป็นหน่วยย่อยที่สุดในระบบเศรษฐกิจซึ่งเผชิญกับความ
ขาดแคลนและกฎระเบียบแห่งรัฐ ตลาดนั้นอาจมีขึ้นสำหรับสินค้า เช่น ข้าวสาร หรือบริการสำหรับปัจจัยในการ
ผลิต เช่น การก่อสร้าง ก็ได้ ทฤษฎีจุลภาคนั้นจะพิจารณาปริมาณความต้องการมวลรวมของผู้ซื้อและปริมาณที่
ผลิตโดยผู้ขายในทุกระดับราคาต่อหน่วย และเชื่อมโยงทั้งสองปริมาณเข้าด้วยกันเพื่ออธิบายการที่ตลาดเข้าสู่
จุดดุลยภาพทางด้านราคาและปริมาณ และการตอบสนองของตลาดเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ

ทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานเป็นหนึ่งในทฤษฎีการวิเคราะห์ข้างต้น นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์จุลภาคยังวิเคราะห์


ถึงโครงสร้างของตลาด เช่น ตลาดแข่งขันสมบูรณ์และตลาดผูกขาด เพื่อทราบถึงพฤติกรรมและประสิทธิภาพ
ของระบบเศรษฐกิจ การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในตลาดหนึ่ง ๆ มักเริ่มต้นจากสมมติฐานให้ตลาดอื่น ๆ ไม่มี
การเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ดังนี้ เรียกว่าการวิเคราะห์ดุลยภาพบางส่วน (partial-equilibrium
analysis) ขณะที่ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปจะอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงในตลาดอื่น ๆ และใช้วิธีคำนวณปริมาณ
โดยรวมในทุกตลาด รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของปริมาณดังกล่าวและปฏิสัมพันธ์เพื่อเข้าสู่จุดดุลยภาพ[5]

การผลิต, ต้นทุน และประสิทธิภาพ


การผลิตในทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค คือการแปลงวัตถุดิบให้กลายเป็นผลผลิต กระบวนการทางเศรษฐศาสตร์
นี้ใช้วัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นสินค้าสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือเพื่อใช้งานโดยตรง การผลิตมีลักษณะเป็น "กระแส"
(flow) ดังนั้นจึงนิยามเป็นอัตราผลผลิตต่อหน่วยเวลา

ต้นทุนค่าเสียโอกาสหมายความถึงต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ของการผลิต หรือคือมูลค่าที่สูญไปของโอกาสที่ดี
ที่สุดในลำดับถัดไป อันเนื่องมาจากการที่เลือกได้เพียงอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งนี้ เราอาจอธิบายได้อีกอย่างว่า
เป็น "ความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างความขาดแคลนและทางเลือก"[6] ต้นทุนค่าเสียโอกาสของกิจกรรมหนึ่ง ๆ
คือองค์ประกอบสำคัญที่จะรับประกันได้ว่าทรัพยากรอันมีจำกัดนั้นจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ต้นทุนจะ
ถูกพิจารณาเปรียบเทียบกับมูลค่าของกิจกรรมนั้น ๆ ในการตัดสินใจว่าควรเพิ่มหรือลดลง ต้นทุนค่าเสียโอกาส
นั้นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเพียงตัวเงิน แต่อาจวัดโดยต้นทุนที่แท้จริงของผลผลิตที่สูญเสียไป, ความพึงพอใจ
หรืออื่นใดที่ให้อรรถประโยชน์[7]

ความชำนาญเฉพาะ
ความชำนาญเฉพาะ หรือภาษาอังกฤษ Specialization[8] ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสิทธิภาพของระบบ
เศรษฐกิจทั้งในเชิงทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ละบุคคล/ประเทศอาจจะมีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่แท้จริง
แตกต่างกันไป เช่น ความแตกต่างในด้านปริมาณคงคลังของทุนมนุษย์ (human capital) ต่อหน่วยแรงงาน
หรือ อัตราส่วน ทุนต่อแรงงาน เป็นต้น ในทางทฤษฎีแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ
(comparative advantage) ในการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีปริมาณมากกว่าและถูกกว่า โดยเปรียบเทียบ
นึ่
ถึงแม้ประเทศหนึ่ง ๆ จะมีความได้เปรียบเชิงสัมบูรณ์ (absolute advantage) ในสัดส่วนปริมาณผลผลิตต่อปัจจัย
การผลิตในทุกประเภทของผลผลิตแล้ว ประเทศนั้น ๆ ก็อาจจะยังคงมีความชำนาญเฉพาะในผลผลิตที่มีความได้
เปรียบเชิงเปรียบเทียบแล้วทำการค้าขายกับอีกประเทศที่ไม่ได้มีความได้เปรียบเชิงสัมบูรณ์แต่มีความได้
เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตสินค้าอื่น ๆ

ความชำนาญเฉพาะถูกกล่าวถึงโดยอดัม สมิธ ในหนังสือ ความมั่งคั่งของประชาชาติ (The Wealth of Nation)


ว่า

"the division of labour is limited by the extent of the market. This is because it is by the
exchange that each person can be specialised in their work and yet still have access to a wide
range of goods and services. Hence, reductions in barriers to exchange lead to increases in the
division of labour and so help to drive economic growth. Limitations to the division of labour
have also been related to coordination and transportation costs".

กล่าวคือ ภาคแรงงานถูกจำกัดโดยการขยายตลาด เพราะว่า แต่ละบุคคลนั้นสามารถทำงานให้มีความชำนาญ


เฉพาะได้ แต่ว่าต้องมาทำงานหลากหลาย หลายอย่าง ทำให้เกิดข้อจำกัดในการแลกเปลี่ยน ซึ่งถ้าหากพัฒนา
ความชำนาญได้ก็จะเพิ่มผลิตภาพการผลิตได้ และยังเพิ่มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ดังนั้น แนวคิดของสมิธ จึงกล่าวถึงการที่ภาคแรงงานสามารถสร้างความชำนาญเฉพาะ โดยใช้หลักแบ่งงาน


กันทำ (Division of Labour) ทำให้สามารถผลิตได้จำนวนมากกว่า และมีการประหยัดจากขนาด (Economies of
Scale)[9] เกิดขึ้น

อุปสงค์และอุปทาน

อุปสงค์และอุปทานเป็นแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ของราคาและปริมาณสินค้าใน
ตลาด กล่าวทั่วไปคือ ข้อมูลทางทฤษฎีจะระบุว่าเมื่อใดก็ตามที่สินค้าถูกขายในตลาด ณ ระดับราคาที่ผู้บริโภคมี
ความต้องการสินค้ามากกว่าจำนวนสินค้าที่สามารถผลิตได้แล้ว ก็จะเกิดการขาดแคลนสินค้าขึ้น ซึ่ง
สถานการณ์ดังกล่าวก็จะส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับราคาของสินค้า โดยที่ผู้บริโภคกลุ่มที่มีความพร้อมใน
การจ่ายชำระ ณ ระดับราคาที่เพิ่มขึ้นนั้นก็จะส่งผลให้ราคาตลาดสูงขึ้น ในทางตรงข้ามระดับราคาจะต่ำลงเมื่อ
ปริมาณสินค้าที่มีให้นั้นมีมากกว่าความต้องการที่เกิดขึ้น กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินไปจนกระทั่งตลาดเข้าสู่
จุดดุลยภาพ ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นอีก เมื่อใดก็ตามที่ผู้ผลิตทำการผลิตสินค้าที่จุด
ดุลยภาพนี้ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ผู้ซื้อตกลงซื้อที่ระดับราคาดังกล่าวแล้ว ณ จุดนี้กล่าวได้ว่าตลาดเข้าสู่จุดสมดุล
แล้ว

ระดับราคา

ที่ ขึ้ พื่ ลื่ ลี่


ระดับราคาเป็นตัวแปรที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ในการวัดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และ
อุปทาน ระดับราคานั้นเป็นอัตราการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด ดังนั้นทฤษฎีราคาจะกล่าวถึง
เส้นกราฟที่แทนการเคลื่อนไหวของปริมาณที่สามารถวัดค่าได้ ณ เวลาต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างราคากับ
ตัวแปรที่วัดค่าได้อื่น ๆ ในหนังสือ ความมั่งคั่งของประชาชาติ (The Wealth of Nations) ของอดัม สมิธ ได้กล่าว
เอาไว้ว่า มักจะมีภาวะได้อย่างเสียอย่างเสมอระหว่างราคาและความสะดวกสบาย ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ส่วน
ใหญ่จะถูกสร้างขึ้นอยู่บนพื้นฐานของระดับราคาและทฤษฎี อุปสงค์และอุปทาน (demand and supply) ในทาง
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้วเราสามารถส่งผ่านสัญญาณไปทั่วทั้งสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านทางระดับ
ราคา เช่น ระดับราคาที่ต่ำลงจะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ ในขณะที่ระดับราคาที่สูงขึ้นจะแสดงให้
เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของอุปทาน เป็นต้น

แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ในความเป็นจริงหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่ามีรูปแบบของ ระดับราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งจะแสดงถึงข้อเท็จจริงที่ระดับราคาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในหลาย ๆ ตลาด ผู้กำหนดนโยบาย
ทางเศรษฐกิจมักจะเข้ามาแสดงประเด็นโต้แย้งเพื่อให้เห็นถึงสาเหตุของความติดขัดในทางเศรษฐกิจ หรือระดับ
ราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งในที่สุดแล้วก็จะทำให้ไม่สามารถบรรลุดุลยภาพของอุปสงค์และอุปทานได้

มีเศรษฐศาสตร์บางสาขาจะให้ความสนใจว่าระดับราคานั้นสามารถวัดมูลค่าได้อย่างถูกต้องหรือไม่ ในระบบ
เศรษฐกิจแบบตลาดที่เป็นกระแสหลักมักจะพบว่าภาวะความขาดแคลนซึ่งเป็นปัจจัยหลักนั้นไม่ได้สะท้อนลงไป
ยังระดับราคา จึงอาจจะกล่าวได้ว่ามีผลกระทบภายนอกของต้นทุน ด้วยเหตุที่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจะ
ทำนายว่าสินค้าที่มีการขาดแคลนแต่มีราคาต่ำกว่าปกติ จะถูกบริโภคมากเกินพอดี (ให้ดู ต้นทุนทางสังคม) นี่จึง
เป็นที่มาของทฤษฎีสินค้าสาธารณะ

ความล้มเหลวของตลาด
การที่ "ตลาดล้มเหลว" นั้นหมายความว่าเกิดอุปสรรคที่ขัดต่อสมมติฐานทางเศรษฐศาสตร์ขึ้น แม้ว่าอาจจะมี
การแบ่งประเภทความล้มเหลวของตลาดแตกต่างกันไป แต่อาจหมายรวมถึงประเภทเหล่านี้

สารสนเทศอสมมาตร (information asymmetry) และตลาดไม่สมบูรณ์ อาจก่อให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพของ


ระบบเศรษฐกิจ หรือเป็นไปได้ที่อาจจะนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพผ่านตลาด, กฎหมาย และการชดเชยทาง
ด้านระเบียบข้อบังคับ

การผูกขาดตามธรรมชาติ อันเนื่องมาจากความล้มเหลวในการแข่งขัน ซึ่งอธิบายได้ว่าต้นทุนการผลิตยิ่งต่ำลง


เรื่อย ๆ หากผลิตสินค้านั้นเพิ่ม

เศรษฐศาสตร์มหภาค
เศรษฐศาสตร์มหภาคนั้นจะพิจารณาระบบเศรษฐกิจในภาพรวมเพื่ออธิบายอุปสงค์-อุปทานมวลรวมและความ
สัมพันธ์ในลักษณะ "บนลงล่าง" กล่าวคือ ใช้ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปอย่างง่ายในการอธิบาย [10] ไม่ว่าจะเป็น ราย
ได้ประชาชาติ, ผลผลิตประชาชาติ, อัตราการว่างงาน, ภาวะเงินเฟ้อ ย่อยลงมาก็ได้แก่ การบริโภคโดยรวม, การ
ลงทุนและองค์ประกอบของการลงทุน นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์มหภาคยังทำการศึกษาผลกระทบของนโยบาย
การเงินและนโยบายการคลัง

ในการจะอธิบายหัวข้อดังกล่าวนั้น จำเป็นต้องจำลองภาพระบบเศรษฐกิจระดับมหภาคในรูปแบบที่สามารถ
ทำความเข้าใจได้ง่าย โดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาค ซึ่งบรรยายตัวระบบโดยคร่าว ๆ เพื่อ
ประโยชน์ในการอภิปราย แบบจำลองดังกล่าวอาจมีรูปแบบแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น แผนภาพ, สมการ, การ
เปรียบเปรยในเชิงเทคนิค, ตารางเลออนเทียฟ เป็นต้น
นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา เศรษฐศาสตร์มหภาคได้เริ่มผนวกเอาแนวคิดแบบจำลองเศรษฐศาสตร์
จุลภาคเข้ามาใช้ ทั้งในแง่ของภาคการผลิต, รวมเอาความมีเหตุมีผลของตัวประกอบในระบบเศรษฐกิจ, การใช้
ข้อมูลสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และการแข่งขันแบบไม่สมบูรณ์[11] ซึ่งได้แก้ปมประเด็นที่เกี่ยวกับความ
แตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์ทั้งสองแขนง[12]

การวิเคราะห์ในด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคนอกจากนี้ยังคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อระดับความ
เติบโตในระยะยาวของรายได้ประชาชาติ อันได้แก่ การสะสมทุน, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และการขยาย
ตัวของกำลังแรงงาน[13]

ความเติบโตทางเศรษฐกิจ
เศรษฐศาสตร์ด้านความเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมุ่งเน้นศึกษาปัจจัยที่อธิบายความเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ
คือการเพิ่มขึ้นของผลผลิตต่อหัวของประเทศในระยะยาว ปัจจัยดังกล่าวก็ยังใช้ในการอธิบายความแตกต่าง
ระหว่างระดับผลผลิตต่อหัวระหว่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะว่าทำไมบางประเทศเติบโตได้รวดเร็วกว่าประเทศ
อื่น ๆ หรือว่าบางกลุ่มประเทศมีแนวโน้มเติบโตเท่าทันกันหรือไม่ เป็นต้น

ปัจจัยที่มีการวิจัยศึกษาค่อนข้างมากก็ได้แก่ อัตราการลงทุน, การเติบโตของประชากร และการเปลี่ยนแปลง


ทางเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้มีปรากฏทั้งในรูปทฤษฎีและผลการศึกษาเชิงประจักษ์ ทั้งในแบบจำลองคลาสสิกใหม่,
แบบจำลองการเติบโตภายใน (endogeneous growth) และในการบันทึกบัญชีการเติบโต (growth
accounting) [14]

วัฏจักรธุรกิจ
ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจราวทศวรรษ 1930 นี้เองที่เป็นจุดกำเนิดให้กับเศรษฐศาสตร์มหภาคที่แตกแขนง
ออกไปเป็นศาสตร์เฉพาะทาง ระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้น จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ได้แต่งหนังสือที่
ชื่อว่า ทฤษฎีทั่วไปของการจ้างงาน, ดอกเบี้ย และเงินตรา โดยวางรากฐานทฤษฎีหลัก ๆ ของเศรษฐศาสตร์
แบบเคนส์ไว้ แต่ต่อมาก็มีทฤษฎีและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ข้อผิดพลาด
ในแบบจำลองดังกล่าว

เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกใหม่ใช้สมมติฐานว่าระดับราคาและค่าแรงนั้นปรับตัวโดยอัตโนมัติเพื่อเข้าสู่ภาวะ
การจ้างงานสมบูรณ์ ขณะที่เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ใหม่นั้นมองว่าการจ้างงานสมบูรณ์นั้นมีได้แต่ในระยะยาว
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีนโยบายรัฐและธนาคารกลางแทรกแซงเพราะว่า​"ระยะยาว" ที่ว่าอาจจะยาวนานเกินไป

ภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน
เงินตราเป็นสื่อกลางในการชำระหนี้สำหรับสินค้าในระบบเศรษฐกิจที่อิงราคาเป็นหลัก และยังเป็นหน่วยทาง
บัญชีที่มักไว้ใช้ระบุราคา โดยเงินตรารวมถึงสกุลเงินที่ถือครองโดยสาธารณะที่ไม่ใช่ธนาคารและเงินฝากที่ขึ้น
เงินได้

เมื่อเงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนธุรกรรม เงินจึงช่วยให้การค้าดำเนินไปได้อย่างสะดวก หน้าที่ดัง


กล่าวสามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับระบบแลกเปลี่ยนสินค้า (barter) ที่มีข้อเสียหลักคือการจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขาย
ที่มีความต้องการตรงกัน เพราะประเภทสินค้ามีหลากหลาย เงินตรานั้นช่วยลดต้นทุนธุรกรรมของการแลก
เปลี่ยนลงเนื่องจากการยอมรับที่เป็นสากล[15]
หากมองในระดับประเทศแล้ว ทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์นั้นต่างลงความเห็นว่าปริมาณอุปทานเงินตราโดย
รวมนั้นสัมพันธ์ในเชิงบวกกับมูลค่าที่เป็นตัวเงินของผลผลิตโดยรวมและระดับราคาโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การ
จัดการอุปสงค์เงินตราจึงเป็นประเด็นหลักของนโยบายการเงิน[16]

นโยบายการคลัง
การจัดทำบัญชีประชาชาติเป็นกรรมวิธีในการสรุปกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ บัญชีประชาชาติ
มีลักษณะเป็นระบบการบัญชีแบบจดบันทึกคู่ (double-entry accounting system) ที่เจาะจงรายละเอียดวิธีที่ใช้วัด
แต่ละรายการไว้อย่างละเอียด อันได้แก่ บัญชีรายได้และผลิตภัณฑ์ประชาชาติ ซึ่งระบุมูลค่าประเมินของรายได้
และผลผลิตต่อไตรมาสหรือต่อปี

บัญชีรายได้และผลิตภัณฑ์ประชาชาติช่วยให้รัฐสามารถติดตามผลการดำเนินงานของระบบเศรษฐกิจและองค์
ประกอบภายในวัฏจักรธุรกิจหรือติดตามข้ามช่วงเวลา ข้อมูลเกี่ยวกับราคาอาจช่วยให้สามารถแยกแยะมูลค่าที่
เป็นตัวเงินออกจากมูลค่าที่แท้จริง (nominal vs. real) ได้ หรือคือการปรับฐานค่าเงินตามการเปลี่ยนแปลงระดับ
ราคาตามระยะเวลาที่ผ่านไป บัญชีประชาชาติยังรวมเอาการวัดมูลค่าทุนสะสม, ความมั่งคั่งของประเทศ และ
กระแสทุนระหว่างประเทศอีกด้วย [17]

ชนิดของเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์กระแสหลัก (Mainstream Economics)

เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิก (Classical Economics)


เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ (Keynesian Economics)
เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics)

เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics)
เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics)

เศรษฐศาสตร์ลัทธิอื่น (Heterodox Economics)

เศรษฐศาสตร์ยุคหลังเคนส์ (Post Keynesian Economics)


เศรษฐศาสตร์สำนักมาร์กซ์ (Marxist Economics)
เศรษฐศาสตร์แนวจอร์จ (Georgist Economics)
เศรษฐศาสตร์การเมือง (Political Economics)
เศรษฐศาสตร์สถาบันแนววิวัฒน์ (Evolutionary Institutional Economics)
เศรษฐศาสตร์สถาบันแนวใหม่ (New Institutional Economics)
เศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (Behavioral Economics)
เศรษฐศาสตร์เชิงทดลอง (Experimental Economics)
เศรษฐศาสตร์แนวสตรีศึกษา (Feminist Economics)
เศรษฐศาสตร์สังคม (Social Economics)

อ้างอิง
1. Political Economy, PUF, 1959.
2. Davis, John B. (2006). "Heterodox Economics, the Fragmentation of the Mainstream, and
Embedded Individual Analysis, ” in Future Directions in Heterodox Economics. Ann Arbor:
University of Michigan Press.
3. "The history of economic thought: a reader (http://books.google.com/books?id=uY3TITTPx
TIC&pg=PA3&dq&hl=en#v=onepage&q=&f=false)". Steven G. Medema, Warren J.
Samuels (2003). Routledge. p.3. ISBN 0-415-20550-6.
4. Schumpeter, Joseph A. (1954). History of Economic Analysis, pp. 97–115. Oxford.
5. Blaug, Mark (2007). "The Social Sciences: Economics, " Microeconomics, The New
Encyclopædia Britannica, v. 27, pp. 347–49. Chicago. ISBN 0-85229-423-9.
• Varian, Hal R. (1987). "microeconomics", The New Palgrave: A Dictionary of
Economics, v. 3, pp. 461–63. London and New York: Macmillan and Stockton. ISBN 0-333-
37235-2.
6. Buchanan, James M. (1987). "opportunity cost", The New Palgrave: A Dictionary of
Economics, v. 3, pp. 718–21.
7. The Economist, Economics A-Z, "Opportunity Cost." (http://www.economist.com/research/E
conomics/searchActionTerms.cfm?query=OPPORTUNITY+COST) เก็บถาวร (https://web.ar
chive.org/web/20110605131544/http://www.economist.com/research/Economics/searchAct
ionTerms.cfm?query=OPPORTUNITY+COST) 2011-06-05 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน สืบค้นเมื่อ 3
สิงหาคม 2010.
8. "Division of Labor and Specialization". Econlib (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน).
9. "What Are Economies of Scale?". Investopedia (ภาษาอังกฤษ).
10. Blaug, Mark (2007). "The Social Sciences: Economics", The New Encyclopædia
Britannica, v. 27, p. 345.
11. Ng, Yew-Kwang (1992). "Business Confidence and Depression Prevention: A
Mesoeconomic Perspective, " American Economic Review 82 (2), pp. 365–371.
12. Howitt, Peter M. (1987). "Macroeconomics: Relations with Microeconomics".John Eatwell;
Murray Milgate; Peter Newman, บ.ก. (1987). The New Palgrave: A Dictionary of Economics,
pp. 273–76. London and New York: Macmillan and Stockton. ISBN 0-333-37235-2.
13. Blaug, Mark (2007). "The Social Sciences: Economics, " Macroeconomics, The New
Encyclopædia Britannica, v. 27, p. 349.
• Blanchard, Olivier Jean (1987). "neoclassical synthesis", The New Palgrave: A
Dictionary of Economics, v. 3, pp. 634–36.
14. Samuelson, Paul A., and William D. Nordhaus (2004). Economics, ch. 27, "The Process of
Economic Growth" McGraw-Hill. ISBN 0-07-287205-5.
• Uzawa, H.(1987). "models of growth", The New Palgrave: A Dictionary of Economics, v.
3, pp. 483–89.
15. James Tobin|Tobin, James(1992). "Money" (Money as a Social Institution and Public
Good), The New Palgrave Dictionary of Finance and Money, v. 2, pp. 770–71.
16. • Milton Friedman (1987). "quantity theory of money", The New Palgrave: A Dictionary of
Economics, v. 4, pp. 15–19.
• Samuelson, Paul A., and William D. Nordhaus (2004). Economics, ch. 2, "Money: The
Lubroicant of Exchange" section, ch. 33, Fig. 33–3.
17. Ruggles, Nancy D. (1987), "social accounting". edited by John Eatwell, Murray Milgate,
Peter Newman. (1987). The New Palgrave: A Dictionary of Economics. London & New
York: Macmillan and Stockton. pp. v. 3, 377. ISBN 0-333-37235-2.

บรรณานุกรม
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์เศรษฐศาสตร์ อังกฤษ-ไทย ไทย -อังกฤษ
Barr, Nicholas(2004) Economics of the Welfare State, 4th ed., Oxford University Press
Charles Robert McCann, Jr., 2003. The Elgar Dictionary of Economic Quotations, Edward
Elgar. Preview. (http://books.google.com/books?id=fFnV_Jg9LJIC&printsec=frontcover&so
urce=gbs_v2_summary_r&cad=0#v=onepage&q&f=false)
Stiglitz, Joseph (2000) Economics of the Public Sector, 3rd ed., Norton Press

แหล่งข้อมูลอื่น
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อที่เกี่ยวข้องกับ เศรษฐศาสตร์ (https://commons.wikimedia.org/wiki/Category:Eco
nomics?setlang=th)

วิกิพจนานุกรม มีความหมายของคำว่า เศรษฐศาสตร์

Economics (https://curlie.org/Science/Social_Sciences/Economics/) ที่เว็บไซต์ Curlie


Economic journals on the web (http://www.oswego.edu/~economic/journals.htm) เก็บถาวร
(https://web.archive.org/web/20130710110240/http://www.oswego.edu/~economic/journal
s.htm) 10 กรกฎาคม 2013 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน
Economics (http://www.britannica.com/eb/article-9109547/economics) at Encyclopædia
Britannica.
Intute: Economics (http://www.intute.ac.uk/socialsciences/economics/): Internet directory of
UK universities.
Research Papers in Economics (RePEc) (http://repec.org/)
Resources For Economists (http://rfe.org/) เก็บถาวร (https://web.archive.org/web/20130511
055542/http://rfe.org/) 2013-05-11 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน: American Economic Association-
sponsored guide to 2,000+ Internet resources from "Data" to "Neat Stuff, " updated
quarterly.
www.pkarchive.org (http://www.pkarchive.org/) เว็บไซต์ของพอล ครุกแมน
MBE economics เศรษฐศาสตร์ nida mbe 11 นิด้า พัฒนาการเศรษฐกิจ (http://www.nidambe11.
net/) เก็บถาวร (https://web.archive.org/web/20051129031318/http://www.nidambe11.net/)
29 พฤศจิกายน 2005 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน รวมบทความจากแหล่งข่าวต่าง ๆ
รวมงานเขียนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ (http://www.people.umass.edu/pokpongj/writing.htm/) เก็บ
ถาวร (https://web.archive.org/web/20060622185307/http://www.people.umass.edu/pokpon
gj/writing.htm) 22 มิถุนายน 2006 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน ของปกป้อง จันวิทย์

เข้าถึงจาก "https://th.wikipedia.org/w/index.php?title=เศรษฐศาสตร์&oldid=11528032"

You might also like