Professional Documents
Culture Documents
เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การอ่านตีวามและประเมินคุณค่า
เอกสารประกอบการเรียน เรื่อง การอ่านตีวามและประเมินคุณค่า
หน่วยการเรียนรู้ที ๖ การอ่านต
ีความและประเมินคุณค่า
รวบรวมโดย
ด์ ิ นุ ช า ติ ก ล่ ุ ม ส า ร ะ ฯ ภ า ษ า ไ ท ย
ค รู ช น ะ ช น ม์ ส วั ส
เรียนรู้โดย
ide and Prejudice
Pr ชือ - ส ก ล
ุ ...... ......
อ
้
...
ง
...
..
..
..
..
..
..
.
..
เ
..
ล
..
ข
.
ท
..
ี
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ชันมัธยมศ ึ กษ า ป ท ี ๓ ห
การอ่านตีความ
การอ่านตีความ คือ การอ่านเพื่อพยายามเข้าใจความหมาย และถอดความรู้สึกอารมณ์สะเทือนใจ จากข้อความ
ที่ผู้เขียนสื่อให้อ่านอาจจะตีความหมายได้ตรงกับความมุ่งหมายหรือเจตนาของผู้เขียนก็ได้ หรือบางครั้งอาจจะเข้าใจ
ความหมายตามวิธีของตนเอง โดยอาศัยพื้นความรู้เดิมความสนใจประสบการณ์ ระดับสติปัญญา และวัย
การอ่านตีความมีจุดมุ่ งหมายเพื่อพิจารณาข้อความหรือเรื่องนั้น ๆ ว่ามีความหมายที่แท้จริงว่าอย่างไรและ
สามารถที่จะอธิบายถึงเจตนา และความคิดของผู้เขียนได้อย่างชัดเจนการตีความจากการอ่านจะแตกต่างกันไปด้วยสาเหตุ
หลายประการ ได้แก่
๑. ความสามารถของแต่ละบุคคล
๒. วัย เพราะความรู้สึกนึกคิด ความซาบซึ้ง ความสนใจ ตลอดจนความรู้ย่อมแตกต่างกันไปตามวัยต่างๆ กัน ทั้ง ที่
เป็นเรื่องเดียวกัน
๓. ประสบการณ์ เนื่องจากความเข้าใจและความซาบซึ้งในเหตุการณ์ต่าง ๆ ไม่เหมือนกันเพราะคนที่ไม่เคยประสบ
กับเหตุการณ์ใด ก็จะเข้าใจและซาบซึ้งน้อยกว่าคนที่มีประสบการณ์เรื่องนั้นมาแล้ว
๔. ความเข้าใจถ้อยคา ซึ่งหมายถึง ความหมายของคา ซึ่งเป็นส่วนสาคัญของการตีความหากไม่เข้าใจถ้อยคา ก็จะ
ตีความได้ไม่ถูกต้องและไม่ลึกซึ้ง
๕. ความสามารถในการเปรียบเทียบกับเรื่องอื่น หมายถึง ความเข้าใจและสามารถนาไปเกี่ยวข้องกับข้อความอื่นที่
มีความสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะเป็นการตีความตามตัวอักษร ตีความตามเนื้อหาหรือตีความตามน้าเสียงก็ตาม ตัวอย่าง
เห็นช้างขี้ อย่าขี้ตามช้าง
ตีความตามตัวอักษร : อันมูลช้างนั้นขนาดใหญ่กว่ามูลคน ฉะนั้นอย่าทาตามช้าง
ตีความหมายเนื้อหา : ให้รู้จักประมาณตน หรือ ทาสิ่งใดตามอัตภาพ
ตีความตามน้าเสียง : ทาอะไรควรดูตามฐานะของตนเอง ไม่ควรตามอย่างคนที่มีฐานะดีกว่า
หน้า ๒
๖. ความสามารถในการใช้ถ้อยคา คาบรรยายข้อความของการตีความ ซึ่งบางคนเข้าใจเรื่องได้ดี แต่อธิบายไม่ได้
เพราะไม่สามารถบรรยายให้ดีดังที่ตนรู้และเข้าใจได้
การอ่านประเมินค่า
การประเมินค่า เป็นการตัดสินความถูกต้องเที่ยงตรงและคุณค่าของเรื่องที่อ่าน ว่าถูกต้องชัดเจนหรือไม่ เชื่อถือได้
มากน้อยเพียงใด มีคุณค่าหรือไม่ อย่างไร โดยพิจารณาเนื้อหา วิธีการนาเสนอ และการใช้ภาษา การประเมินค่า จึงต้องทา
อย่างผู้มีสติปัญญาคือจะต้องมีข้อมูล หลักเกณฑ์ และเหตุผล การประเมินค่าอาจพิจารณา ตามประเภทของงานเขียนได้ดังนี้
๑. งานเขียนประเภทสารคดี จะต้องเสนอความรู้ที่น่าสนใจ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือ เสนอความเห็นที่มีเหตุผล มี
ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ จริงใจ และเป็นกลาง การเสนอเรื่องสนุกสนาน ชวนติดตาม ต่อเนื่อง ใช้ภาษาชัดเจน เข้าใจง่าย
เหมาะกับผู้อ่าน
หน้า ๓
๒. งานเขียนประเภทบันเทิงคดี
๒.๑ พิจารณาองค์ประกอบของเรื่อง ดังนี้
- โครงเรื่องต้องแสดงการกระทา และเหตุการณ์ที่เกี่ยวโยงต่อเนื่องกัน มีลักษณะสมจริง
- เนื้อเรื่องก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและสติปัญญาแก่ผู้อ่าน
- แนวคิดของเรื่องชัดเจนและมีคุณค่าแก่ผู้อ่าน
- ตัวละครและฉากมีลักษณะสมจริง และช่วยเสนอแนวคิดของเรื่อง
๒.๒ การเสนอเรื่องชวนติดตาม เร้าความสนใจของผู้อ่าน
๒.๓ การใช้ภาษาชัดเจน และเข้าใจง่าย
แนวทางการอ่านประเมินคุณค่า
๑. พิจารณาเนื้อหาและองค์ประกอบของเนื้อหา ว่าเนื้อหาของสิ่งที่อ่านมีองค์ประกอบใดบ้าง เพื่อแยกแยะ
ว่าแต่ละส่วนมีลักษณะอย่างไร มีความสัมพันธ์กันหรือไม่อย่างไร
๒. พิจารณาคุณค่าด้านวรรณศิลป์ เป็นการพิจารณาถึงการใช้ภาษาและความงามทางภาษาในงานเขียนว่างาน
เขียนนั้น มีการใช้ภาษาที่เหมาะสมกับเนื้อหา มีความไพเราะงดงาม และมีการใช้เสียงและความหมายที่ช่วยให้เกิดจิตนาการ
ในการอ่านได้มากเพียงใด
๓. พิจารณาแนวคิด เป็นการพิจารณาว่าผู้เขียนนาเสนอเรื่องราวใด มีแง่คิดใดบ้างที่มีคุณค่า มีการเสนอแนวทางใน
การนาเสนอข้อมูลแนวคิดที่ดีที่มีคุณค่าไปใช้ในชีวิตประจาวันได้อย่างไร งานเขียนชิ้นหนึ่ง ๆ อาจมีผลต่อผู้อ่านได้ สอง
ประการใหญ่ๆ คือ ผลทางด้านความเพลิดเพลินและผลทางด้านสติปัญญา
การใช้กลวิธีการเปรียบเทียบในการอ่าน
ในการอ่านบทความที่ปรากฏกลวิธีการเปรียบเทียบ ซึ่งการใช้สานวนเปรียบเทียบในการสื่อสารเป็นปกติวิสัยของ
มนุษย์ทั่วไป การเปรียบเทียบต้องอาศัยการใช้ภาษาที่มีความหมายให้มนุษย์สัมผัสได้ทั้ง ๕ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจและเกิดภาพพจน์ตาม ทั้งการเปรียบเทียบโดยตรง และความหมายโดยนัย
โครงสร้างการเปรียบเทียบ : ……………….. เหมือน/เป็น/เสมือน/คล้าย/ .........................
ตัวอย่างการใช้กลวิธีการเปรียบเทียบ
- ตาแหน่งอยู่ไม่นาน เหมือนกับเก้าอี้ที่ต้องมีวันพัง แต่ตานานจะอยู่ตลอดไป
- ชีวิตฉันน่าเศร้าใจนักเปรียบได้กับละครน้าเน่า
- .......................................................................................................................
หน้า ๔
การประเมินความถูกต้องของเรื่องที่อ่าน
การประเมินความถูกต้องของข้อมูลที่ใช้สนับสนุนในเรื่องที่อ่าน เป็นการวิเคราะห์สารประเภทบทความ บทวิจารณ์
ข่าว เพลง บทร้อยกรอง เรื่องสั้น นวนิยาย นิทาน ฯลฯ การพิจารณาสารจึงต้องพิจารณาตามแนวทางการเขียนสารนั้น ๆ
เช่น บทความ มีลักษณะการเขียนเป็น คานา เนื้อเรื่อง สรุป ส่วนข่าวมีลักษณะการเขียนเป็น พาดหัวข่าวหลัก หัวข่าวรอง
สรุปข่าว และรายละเอียดของข่าว และที่สาคัญที่สุดคือต้องพิจารณาภาษาหรือถ้อยคาที่ใช้ด้วย เพราะงานเขียนแต่ละ
ประเภทจะใช้ภาษาที่แตกต่างกันไป การวิเคราะห์ วิจารณ์ และประเมินค่าสารจึงควรยึดหลักดังนี้
๑. อ่านสารนั้นอย่างคร่าวๆ ครั้งหนึ่งก่อน ในครั้งต่อไปควรอ่านสารอย่างละเอียด
๒. วิเคราะห์ให้ได้ว่าสารที่อ่านเป็นสารประเภทใด เช่น ข่าว บทวิจารณ์ คานา เพลง หรือบทความ เป็นต้น
๓. วิจารณ์แนวความคิดและการนาเสนอตามลักษณะการเขียน ทั้งรูปแบบเนื้อหาและการใช้ภาษา
๔. ตีความและประเมินค่าสารอย่างมีเหตุผลตามลักษณะของสารแต่ละประเภทว่าดี มีคุณค่า มีประโยชน์ หรือไม่
การวิเคราะห์เพือ่ แสดงความคิดเห็นโต้แย้ง
โดยปกติแล้วเรื่องของความชอบ หรือรสนิยมเป็นสิ่งที่แต่ละคนเห็นไม่ตรงกันอยู่แล้ว ทว่าแม้แต่การใช้เหตุผลเพื่อ
สืบสาวหาความถูกต้อง ก็ยังไม่อาจทาให้ได้ข้อสรุปที่เห็นพ้องต้องกันได้อย่างแท้จริง เรื่องบางเรื่องสามารถใช้เหตุผลคนละ
ชุด เพื่อสนับสนุนความคิดที่ตรงกันข้ามได้อย่างมีน้าหนัก ดังนั้น การมีความเห็นที่แตกต่างกันจึงเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อเราไม่
เห็นด้วยกับเหตุผลของเรื่องที่อ่านก็สามารถแสดงความเห็นโต้แย้งได้เสมอ
การเขียนโต้แย้ง เป็นการเขียนแสดงความคิดเห็นลักษณะหนึ่ง โดยมุ่งที่จะโต้แย้งข้อมูล ข้อคิดเห็น หรือเหตุผล
ของเรื่องที่ได้อ่านด้วยความคิดเห็นในทางสร้างสรรค์ ด้วย ข้อมูล สถิติและการเรียบเรียงเหตุผลของเราเอง การเขียนโต้แย้ง
มีหลักการ ดังนี้
๑. กาหนดหัวข้อและขอบเขตของการโต้แย้ง เพื่อจะได้ไม่หลงประเด็น
๒. แบ่งเนื้อหาออกเป็นประเด็น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน
๓. การโต้แย้งจะต้องมีพื้นความรู้ดีพอเกี่ยวกับหัวข้อที่จะโต้แย้ง
๔. เรียบเรียงและนาเสนอข้อโต้แย้งได้อย่างละเอียดชัดเจน
ข้อควรระวังในการเขียนโต้แย้ง
ไม่ควรเขียนโต้แย้งด้วยความเห็นที่รุนแรง จนก่อให้เกิดความแตกแยก ต้องระมัดระวังในการใช้ภาษา ไม่ควรใช้
ภาษาที่ไม่สุภาพ ไม่ใช้คาที่เสียดสี เยาะเย้ย ดูถูกหรือดูหมิ่นผู้เขียนบทความ ไม่เขียนด้วยอารมณ์ ไม่พาดพิงให้เกิดความ
กระทบกระเทือนแก่ผู้อื่น อันอาจเป็นบุคคลหรือเป็นสิ่งที่บุคคลจานวนมากเคารพนับถือ ซึ่งอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความ
แตกแยก หรือความเข้าใจผิดลุกลามต่อไปได้ เราควรพิจารณาโต้แย้งที่เหตุผลเป็นสาคัญเท่านั้น และควรเขียนเชิง
สร้างสรรค์
หน้า ๕
แบบฝึกทักษะ เรื่องการอ่านตีความและประเมินคุณค่า