Professional Documents
Culture Documents
สำนวนตัวอย่างแต่งฉันท์ภาษามคธ เรื่องที่ค
สำนวนตัวอย่างแต่งฉันท์ภาษามคธ เรื่องที่ค
+ ราชธรรม,เนื้อหาดีมากเกี่ยวกับการสรรเสริญพระมหากษัตริยบําเพ็ญราชธรรม,ควรดูเปนพิเศษ ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๔ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
อวิโรธนคาถา
๑.ปฐยาวัตร
อวิโรธนธมฺโม เม วุจฺจเต อิธ โย ชโน เอวมฺป สุขสํวาสา โหหินฺติ สุขิโน จ เต
วิรุทฺธกรณํ ตฺวา วิรุทฺธกมฺมภาวโต ขตฺติโย ขนฺติโก ราช- ธมฺมโต อวิรุทฺธกํ
น กโรติ ตถารูป ตํ วา ชานํ น กุพฺพติ กิจฺจํ จรติ โย โปโส ปคฺคณฺหารหภูตโก
อวิโรธนสมฺปนฺโน โหตีติ โส ปวุจฺจติ ภวตี กตกลฺยาโณ ตํ ปคฺคณฺหาติ ธมฺมโต
สพฺพยุตฺติวิรุทฺธํ วา อคตีนํ วเสนป โย นิคฺคหารโห โหติ กตาปราธภูตโก
ยุตฺติธมฺมวิรุทฺธํ วา ปกตียา วิรุทฺธกํ ตํ นิคฺคณฺหาติ ธมฺเมน ฉนฺทาทิวสโตป น
อิจฺจิทํ อีทิสํ กมฺมํ วิโรธนนฺติ วุจฺจติ ปคฺคณฺหาติ จ ตํ ตํ น นิคฺคณฺหาติ จ สพฺพธิ
อวิโรธนสมฺปนฺโน โหติ โย อิธ ปุคฺคโล ๒.อินทรวงศ
โส วุฑฺฒึ อุท หานึ วา ปตฺวา ตาทิตมตฺตโน ลาภาทิวิตฺตฺหิ ส อิฏกํ ยทา
รกฺขิตุ สุฏุ สกฺโกติ โลกธมฺมวเสน น วินฺเทติ ตุฏฐึ อวมานนาวหํ
นานาอุจฺจาวจาการํ ทสฺเสติ มนุชา อิธ สพฺพํ น ทสฺเสสิ ตทา ส ภูมิโป
อาโท วิรุทฺธภาเวน วิรุทฺธกํ อชานิย เหตุ อลาภาทิมนิฏฐกํ ยทา
นานาวิธํ ปกุพฺพนฺติ สเจ เต ตํ ปุนปฺปุนํ วินฺเทติ โสกํ อวมานนาวหํ
กตฺวาน ตํ น สิกฺเขยฺยุ วิรุทฺธํ อวิรุทฺธกํ สพฺพํ น ทสฺเสสิ ตทา ยถารหํ
น ชานนฺติ น สกฺโกนฺติ ยุตฺตกํ ปฏิปชฺชิตุ๓.อินทรวิเชียร
ฉนฺทาทิวสโต เจป ปสาสกา วิรุทฺธกํ ธมฺมานมคฺคํ อวิโรธนํทํ
กเรยฺยุ ทุกฺขิตา เสนฺติ ทุกฺขํ ชนา ปสาสิตา โหตีติ ชาเนยฺย สเมน ธีโร
สิกฺขิตฺวา เจ ชนา สพฺพํ วิโรธนาวิโรธนํ เย เตตฺถิ สาตฺถา ทส ราชธมฺมา
ธมฺมปฺปเถน กุพฺเพยฺยุ กรณฺยํ อวิรุทฺธกํ สพฺเพป เอเต อวิรุทฺธภูตา
๔.ปฐยาวัตร
สเจ น เตสุ ยงฺกฺจิ ปฏิปชฺเชยฺย ขตฺติโย
ปฏิปชฺเชยฺย นาเมส ธมฺมํ ตมฺหิ วิรุทฺธกํ
สเจ ปน ปุเนตํ วา สพฺเพ วา ปฏิปชฺชิยา
ปฏิปชฺเชยฺย นาเมส ตํ ธมฺมํ อวิรุทฺธกํ
ตสฺมา หเว สรูเปน อิทมฺป อวิโรธนํ
ปรมํ ราชธมฺเมสุ ทสสูติ ปวุจฺจตีติ ฯ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ปสาสก-ผูปกครอง,ปสาสิต-ผูอยูใตปกครอง ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๕ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
อักโกธะ ความไมโกรธกิริยาที่ไมแสดงความโกรธใหปรากฏตลอดถึงไมพยาบาทมุงรายผูอื่น
แมจักตองลงโทษผูทําผิดก็ทําตามเหตุผลไมทําดวยอํานาจความโกรธชื่อวาอักโกธะ คนผูรวมกันอยู
เปนหมู ยอมมีกระทบกระทั่งกันบางเมื่อขมใจไวไมได เกิดโกรธขึ้งตอกันขึ้นและผูกเวรไว ก็เปน
สมุฏฐานใหเกิดโทสะความประทุษรายกันทางใจกอนแลวประทุษรายกันทางกายทางวาจาสืบไป
อันเรียกวาพยาบาททําใหอยูดวยกันไมเปนสุข ตอเมื่อรักษาใจขมใจไวไมโกรธขึ้นหรือเมื่อเกิดโกรธขึ้น
ในใจก็ระงั บไวไมแสดงออกมาใหปรากฏไมปฏิบัติลุอํ านาจแหง ความโกรธจักอยูดว ยความสงบ
เรียบรอยเปนสุข ความไมโกรธจักมีไดก็เพราะเมตตา หวังความสุขความเจริญแกตนและตอกันและ
กั น คนที่ เ ป น หั ว หน า ปกครองก็ ต าม เป น ผู อ ยู ใ นปกครองก็ ต ามเมื่ อ แสดงความโกรธออกมา
ใหปรากฏก็แสดงวาตนเองลุอํานาจความโกรธ กิริยาที่แสดงความโกรธออกมานั้นไมงาม
ขอ ที่ พ ระมหากษั ต ริ ย าธิ ราชเจ า ทรงมีพ ระราชอั ธยาศั ย ประกอบด ว ยพระเมตตาไม ท รง
ปรารถนากอเวรใหผูใดผูหนึ่ง ไมทรงพระพิโรธดวยเหตุที่ไมสมควรแมมีเหตุใหทรงพระพิโรธแตก็ทรง
ขมเสียไดใหสงบระงับอันตรธาน ทรงปฏิบัติโดยโยนิโสมนสิการคือการใสใจพิจารณาพบตนเหตุ
จัดเปนอักโกธะขอที่ ๗
อนึ่งในขอที่ ๗ นี้ สําหรับบารมีนั้นไดแก สัจจบารมี สวนในทศพิธราชธรรมนั้นไดแกอักโกธะ
ความไมโ กรธอั นหมายถึง เมตตาประกอบอยู เมื่อ พิจ ารณาแล วแมว าทั้ง ๒ ข อนี้ จะมีพ ยัญ ชนะ
ที่ตางกันแตวาในดานการปฏิบัตินั้นตองอาศัยซึ่งกันและกันกลาวคือการที่จะปฏิบัติไมใหมีความโกรธ
หรือมีเมตตาขึ้นไดนั้น จะตองมีจิตใจประกอบดวยสัจจะคือความตั้งใจจริงในการที่จะปลูกเมตตา
ขึ้นมาในจิตใจคือใหเปนเมตตาจริงในจิตใจ เมื่อเปนดังนี้จึงจะทําใหเกิดความไมโกรธอันตรงกันขาม
ขึ้นไดและเมื่อเกิดความไมโกรธและเกิดเมตตาขึ้นแลวก็จะใหมุงดีปรารถนาดีจึงอดอยูมิไดที่จะอยู
เฉย ๆ จึงตองขวนขวายที่จะทําใหผูที่มีเมตตานั้นเกิดความสุขความเจริญตามความหมายของเมตตา
เพราะถามีเมตตาจริงแลวก็อยูเฉย ๆ ไมไดจะตองปฏิบัติทําใหเกิดความเจริญในที่นั้น ๆ ในที่ที่
มีเมตตานั้น เมื่อทรงมีเมตตาอยูในราษฎรจึงตองขวนขวายที่จะเสด็จพระราชดําเนินไปทรงทําใหเกิด
ความสุขความเจริญแกราษฎร ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๒๑๔-๒๑๕.
+ ราชธรรม
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๕ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
อกฺโกธคาถา ๑
๑.ปฐยาวัตร ๒.วังสัฏฐะ
อกฺโกโธ วุจฺจเต โกธ- อปาตุกรณํ อุท อโกธนํ โหหิติ เมตฺตจิตฺตโต
พฺยาปาทนตฺถิตาฺญสฺมึ อกฺโกโธติ ปวุจฺจติ ปสาสกา วา ปมุขาป อิสฺสรา
สเจ โย อปราธสฺส กตฺตุ โหติ ปสาสโก ปสาสิตา ปาตุกโรนฺติ โกธนํ
ทณฺฑํ เอตสฺส โปสสฺส ปเณสฺสติป โกวิโท อิเม ชนา โกธวสํ นิคจฺฉเร
ตสฺส กุพฺพิสฺสตี สพฺพํ ทณฺฑํ เหตฺวานุรูปกํ ๓.อินทรวงศ
น กุพฺพิสฺสติ ตํ โกธ- วเสน คณวาสิโน โน กสฺส เวรํ กริตุภิปตฺถยี
อฺญมฺญมฺป ฆฏเฏนฺติ กฺวจิ เต เจ ติติกฺขิตุ ราชา สเมตฺโตปฏิรูปเหตุนา
น สกฺโกนฺติ สมุปฺปนฺน- โกธา จ เวรพทฺธกา โกธํ น ทสฺเสสิ จ ตํ ติติกฺขิตุ
อุปฺปชฺเชนฺติ มเน โทสํ ตาว กายวเจน จ สกฺขิตฺถ เจตสฺส สหิตฺถ โยนิโส
อฺญมฺญํ ปทูเสนฺติ อายตึ น สุเขธิตา วตฺตํ ยถาวุตฺตมิทํส ราชิโน
ภวนฺติ สุขสํวาสา เต เจ โกธํ ติติกฺขิตุ อกฺโกธนนฺเตว ปวุจฺจตี สตา
สกฺโกนฺติ วา สมุปฺปนฺเน โกเธ วา ตมนตฺถกํ
โกธํ วูปสเมนฺเตเต โกธสฺส วสมคฺคตา
เอวํ สติ วสิสฺสนฺติ สนฺติยา จ สุเขน จ
๔.ปฐยาวัตร
สตฺตมา ปารมี โหติ ปรมา สจฺจปารมี เมตฺตาโวหารโต สพฺพํ สุขํ วา วฑฺฒนํ อุท
อุทฺทิฏโฐ อยมกฺโกโธ ราชธมฺโม ตุ สตฺตโม ชเนตุ พฺยาวโฏ โหติ รฏฐิเกสุ ตุ เมตฺติโก
กิฺจาป พฺยฺชเนเนเต นานา ภวนฺติ เทฺว ปน สฺยามินฺทขตฺติโย เตสํ สุขํ วา วฑฺฒนํ อุท
ปฏิปชฺชนกาลมฺหิ อฺญมฺญสฺส ปจฺจโย ชเนตุ สพฺพฐานานิ พฺยาปาเรน อสฺจรีติ ฯ
อกฺโกธํ เมตฺตจิตฺตํ วา ปฏิปชฺชิตุกามโก
สจฺเจน ปฏิสํยุตฺต- จิตฺโต ภเวยฺย สพฺพธิ
เมตฺตํ จิตฺเต วิรูเหยฺย เอวํ สติ อโกธนํ
สจฺจํ จิตฺเต สมุปฺปชฺเช ยทิ จิตฺเต อโกธนํ
เมตฺตา อุท สมุปฺปชฺเช ทฺวีหิ ธมฺเมหิ ยุตฺตโก
สุขเขมํ สุปตฺเถติ อฺญสฺสตฺถาย ปุคฺคโล
ปติฏฐาเปตุมตฺตานํ ตุณฺหีภาเว น อิจฺฉติ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๖ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
ขันติความอดทนความทนทานอยางสามัญมีความอดกลั้นเปนลักษณะเรียกวาอธิวาสนขันติ
ขันติคือความอดกลั้นเชนทนตรากตรําตอความหนาวรอนหิวกระหายเปนตนทนลําบากตอทุกขเวทนา
ในเวลาเจ็บไขไดปวย ทนตอเจ็บใจ ตอถอยคําจาบจวงลวงเกิน เพราะสิ่งที่อดทนเหลานี้ มีเกิดขึ้นอยู
ที่กายใจปรากฏมีหนาวรอนหิวกระหายมีทุกขเวทนามีเจ็บจึงอดกลั้นไวหนาวรอนหิวกระหายก็อดกลั้น
ตามที่ควรอดกลั้นเจ็บปวดก็อดกลั้นไมรองทุรนทุรายเจ็บใจก็อดกลั้นไมแสดงอาการโกรธรายแรง
ทางกายวาจา อดกลั้นใหอยูในใจ และพิจารณาระบายออกทําใหผอนคลายไมใหเครียดใหสงบ
ใจจึ ง แจ ม ใสแช ม ชื่ น กายก็ ส งบเป น ปกติ อ าการดั ง นี้ เ รี ย กว า โสรั จ จะที่ แ ปลว า ความเสงี่ ย มคื อ
ความสงบปกติขันติที่สมบูรณจึงต องมีโสรัจจะประกอบอยูดวย การหัดอดกลั้นและทําใจใหสงบ
เปนปกติในเวลาถูกต องอนิฏฐารมณ คือเรื่ องที่ ไมชอบยอมยากในตอนแรก แต เมื่อ หัดปฏิ บัติไ ป
บอยเขาก็จะงายขึ้นจนถึงทําจิตใหสงบเปนปกติไดมีอาการมั่นคงมีอารมณอะไรมากระทบกระทั่ง
ก็ไมกระเทือนขันติก็เลื่อนขึ้นเปนมีความทนทานเปนลักษณะเรียกวาตีติกขาขันติคือความทนทาน
ดังที่ตรัสไวในโอวาทปาฏิโมกขวา ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา ขันติคือความทนทานเปนตบะอยางยิ่ง
ขันติเปนอลังการวิเศษ อํานวยผลแกผูที่มีอยูทุกคน เพราะผูที่มีจิตเขมแข็งอดทนสงบเปน
ปกติท นทานไดทุ กสถานการณ ย อมชื่อ วา ไดที่ ตั้ง มั่น อั นมั่ นคง เปน ผูช นะในชั้ นที่ ตั้ง รั บแลว ทํา ให
สามารถปฏิบัติกิจหนาทีใ่ หสําเร็จ
ขันติเปนบารมีขอที่ ๖ ที่พระโพธิสัตวไดบําเพ็ญมาเปนอันมาก ในทศชาติแสดงจันทกุมาร-
ชาดกในทางเยี่ยมดวยขันติ มีเรื่องยอวา พระจันทกุมารโอรสพระเจากรุงปุปผวดีทรงตั้งอยูในธรรม
ทรงวินิจฉัยคดีโดยธรรมเปนเหตุใหขัดผลประโยชนของปุโรหิตผูไรยุติธรรมปุโรหิตจึงหาเหตุกลั่น
แกลง จนถึงใหเตรียมการเผาพระกุมารบูชายัญ พระจันทกุมารไดทรงมีขันติตลอดมา แมจะตอง
ถูกเผาบูชายัญก็ไมทรงสยบใหอธรรม ประชาชนไดประจักษในความอดทนสละไดของพระกุมาร
เพื่อรักษาธรรม เพื่อประโยชนสุขของประชาชนจึงพรอมกันชวยพระกุมารไว
ขันติบารมี ของพระโพธิสัตวแบงออกเปน ๓ ชั้นคือ
ขั น ติ บ ารมี ไ ด แ ก ขั น ติ ที่ บํ า เพ็ ญ ด ว ยมุ ง หวั ง พระโพธิ ญ าณเป น เบื้ อ งหน า รั ก ขั น ติ
เพื่อพระโพธิญาณยิ่งกวาคนที่รักและทรัพยสิน
ขั น ติ อุ ป บารมี ไ ด แ ก ขั น ติ ที่ บํ า เพ็ ญ ด ว ยมุ ง หวั ง พระโพธิ ญ าณเป น เบื้ อ งหน า รั ก ขั น ติ
เพื่อพระโพธิญาณยิ่งกวาอวัยวะรางกายของตน
ขั น ติ ป รมั ต ถบารมี ไ ด แ ก ขั น ติ ที่ บํ า เพ็ ญ ด ว ยมุ ง หวั ง พระโพธิ ญ าณเป น เบื้ อ งหน า รั ก ขั น ติ
เพื่อพระโพธิญาณยิ่งกวาชีวิตของตน ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๒๓๔-๒๓๕.
+ ราชธรรม,เนื้อหาดีมาก
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๗ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
ขนฺตคิ าถา ๑
๑.ปฐยาวัตร ๒.อินทรวิเชียร
ยา ขนฺติ ทุกฺขธมฺมานํ อธิวาสนลกฺขณา สา ขนฺติ ยสฺสตฺถิ วิจกฺขโณ โส
อธิวาสนขนฺตีติ เอสา วุจฺจติ ยานิป อิฏฐํ หิตํ วินฺทติ ขนฺติจิตฺโต
สีตุณฺหฺจ ชิฆจฺฉา จ ปปาสา โรคพฺยาธิ จ โปโส หิ นานาวิธทุกฺขธมฺเม
เคลฺฺจาติวากฺยฺจ อเหสุ ขนฺติเกน เต สพฺเพ อนิฏเฐป ติติกฺขมาโน
ทุกฺขธมฺมา อกิจฺเฉน ติติกฺขิยนฺติ เต ยทา ตํขนฺติยา ถาวรนาถลทฺโธ
กายสฺมิฺจ มนสฺมิฺจ สมุปฺปชฺชนฺติ สพฺพโส กิจฺจานิ นิปฺผาทยตี นิพทฺธํ
สกฺโกติ สหิตุ เตสํ ตทา ขนฺติสมปฺปโต ๓.อินทรวงศ
ขตฺติยุตฺโต ส กาเยน วาจาย วา อนตฺถกํ สา โพธิสตฺตกฺกตฉฏปารมี
จณฺฑํ โกธํ อทสฺเสตฺวา อนฺโตเจตสิ ตํ กรํ อกฺขายเต จนฺทกุมารชาตกํ
โยนิโส สมฺมสิตฺวาน อสฺสาสมตฺตโน กรํ ปุตฺโต สุทํ ปุปฺผวตินฺทราชิโน
สกํ เจโต อวิกฺขิตฺตํ อุปสนฺตฺจ กุพฺพติ ธมฺเมน อฏฏํ สุวินิจฺฉินาติ โส
ตปฺปจฺจยาสฺส โปสสฺส หทยํ วิปฺปสีทติ ยฺญสฺส ปูชนตฺถาย ฌาเปตุ ตํ กุมารกํ
กาโย สมฺมติ อากาโร โสรจฺจํ นาม อีทิโส สชฺชาเปสิ กุมาโร ตุ อโหสิ ขตฺติยุตฺตโก
โสรจฺจปฏิสํยุตฺต- ตาย สมฺปุณฺณกา สิยา ตปฺปจฺจยา ปชา สพฺพา กุมารกํ อนิตฺถริ
เอสา ขนฺติ อนิฏนฺตุ หทยํ ผุสตี ยทา สา ขนฺติ โพธิสตฺตสฺส ปฐมา ขนฺตปิ ารมี
สหนํ สมฺมนฺจาโท ตทา ภวติ ทุกฺกรํ ทุติยา จ ขนฺตอิ ปุ - ปารมี ตติยา อถ
เอตนฺตุ ปคุณํ กตฺวา ปุนปฺปุนมฺป ปูริตํ ขนฺตปิ รมตฺถปารมี อิจฺเจวํ โหติ ติพฺพิธาติ ฯ
สุกรํ โหติ ยาวตฺต- จิตฺตูปสมฺมนา อยํ
ตาที หุตฺวา อนิฏเน อารมฺมเณน หฺโ ต
น สมิฺชติ ตสฺมาสฺส ขนฺตี สหนลกฺขณา
ตีติกฺขาขนฺติ อิจฺเจวํ ปณฺฑิเตน ปวุจฺจติ
โอวาทปาฏิโมกฺเข ตุ สา ขนฺตี ปรมํ ตโป
ตีตกิ ขฺ าติ มุนินฺเทน ภิกฺขุสงฺฆสฺส เทสิตา
๔.ปฐยาวัตร
ตสฺมา ลาภํ วิโลเมสิ อธมฺมฏฐสฺส ชมฺมโก
ปุโรหิโต อธมฺมฏโฐ ตสฺส รฺโญ มุสาวโจ
อาโรเจสิ นรินฺโท ตุ โอกปฺเปนฺโต มุสาวเจ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๘ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
มัททวะ แปลวาความออนโยนคือความเปนผูมีอัธยาศัยออนโยนไมดื้อดึงถือตนดวยอํานาจ
ถัม ภะ ( ดื้ อดุ จ เสา ) มี ค วามออ นโยนไปตามเหตุ ผลตามความสมควรดัง ที่ เรี ย กว า การณวสิ ก
เปนไปตามอํานาจแหงเหตุที่ควรดําเนินและมีสัมมาคารวะตอทานผูใหญผูเจริญออนโยนตอบุคคล
ที่ เ สมอกั น และต่ํ า กว า วางตนสม่ํ า เสมอไม ก ระด า งดู ห มิ่ น ผู อื่ น ด ว ยอํ า นาจมานะ เพราะชาติ
เพราะโคตร เพราะยศ เพราะทรัพยเปนตน
ขอที่พระมหากษัตริยาธิราชเจาทรงมีพระราชอัธยาศัยออนโยนเมื่อมีผูกราบทูลดวยขออรรถ
ขอธรรมที่กอปรดวยเหตุผล ซึ่งเปนวิสัยของบัณฑิตชน มิไดทรงหามปรามทรงวิจารณโดยถวนถี่
ถาดีชอบก็ทรงอนุโมทนาอนุวัตรตาม ไมทรงถีอพระองค ดวยอํานาจมานะทรงสัมมาคารวะออนนอม
แกผูเจริญ โดยวัย โดยคุณ ไมทรงดูหมิ่น จัดเปนมัททวะ
บารมีขอที่ ๕ คือวิริยะกับทศพิธราชธรรมขอที่ ๕ คือมัททวะความออนโยน ดูถอยคําตาง
ความหมายกันแตเมื่อพิจารณาจากหลายพระสูตรจะพบวามีความเนื่องกันอยูในประการที่สําคัญ
ยกตัวอยางในกันทรกสูตรแสดงวา จิตที่ตั้งมั่นเปนสมาธิแลวบริสุทธิ์ผองแผว ไมมีเนิน ปราศจาก
อุปกิเลส เปนจิตออน ควรแกการงาน ตั้งอยูถึงความไมหวั่นไหวออนนอมไป เพื่อญาณปรีชาซึ่งเปน
อภิ ญญาชั้น สู งได คื อ จิต ที่ ควรแก ก ารงาน คือ ปฏิบั ติ เพื่ อ ญาณปรี ช าได จะต องเปน จิ ตที่ มี สมาธิ
มี ลั ก ษณะอ อ น ใช คํ า ว า มุ ทุ ภู ต ะ เป น จิ ต อ อ น เมื่ อ พิ จ ารณาดู ก็ จ ะเห็ น ว า จิ ต ที่ ไ ม มี ส มาธิ
เปนจิตกระดางดวยอํานาจนิวรณคือกิเลสที่เกิดขึ้นกลุมรุมอยูในจิตทําจิตใหกลัดกลุมวุนวาย ไมอาจ
ใชจิตเชนนี้ทํางาน ไมอาจนอมไปเพื่อพิจารณาเพื่อปญญาได เปนอันวาใชความเพียรไมได ไมมีกําลัง
ที่จะตั้งความเพีย รจึง ชื่อว าไม ควรแกก ารงาน ตอเมื่อจิ ตเป นสมาธิจึ งควรแก การงานคือควรตั้ ง
ความเพียรทํางานได เพราะเปนจิตออนโอน เรียกวายอมใหนอมไปทํางานแมในการทํางานทั่วไป
ดวยความเพียร จิตก็ตองออนยอมใหนอมไปเพื่อตั้งความเพียรทํางานนั้น เพียรเพื่อทําอะไรใหสําเร็จ
จึงตองมีความออนโยนยินยอมพอใจของจิตประกอบอยูดวย ในธานุวภังคสูตร แสดงอุปมาที่ทําให
เห็ น ได ง ายขึ้ น ว า เปรี ย บเหมื อ นช า งทองสุ ม ทองในเบ า คือ ตั้ ง ความความเพีย รสุ ม ทองก็ ต อ งใช
ความเพียรใหพอดีมิใหมากไปนอยไปพอดีบางคราวก็ตองสูบลมใหแรง บางคราวก็ตองพรมน้ําใหไฟ
ลดลง เพื่อใหทองละลายใหพอดี ทองจึงออนเหลวควรแกการงานผุดผองไดที่ จึงเททองที่เหลวไดที่
ทําทองรู ปพรรณตาง ๆ ได ตามปรารถนา วิ ริยะและมัท วะ ความอ อนโยน จึง ตองประกอบไป
ดวยกันดังนี้ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๒๓๖-๒๓๗.
+ ราชธรรม,ควรดูเปนพิเศษ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๘ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
มทฺทวคาถา
๑.ปฐยาวัตร ๒.อินทรวิเชียร
มทฺทวํ สพฺภิ ญาตพฺพํ มุทุชฺฌาสยตา อุท ราชา มุทุชฺฌาสยยุตฺตจิตฺโต
มานสฺส นตฺถิตา ถมฺภ- วเสน อุท เหตุนา อาโรจิเต เกนจิ ธมฺมวาเท
มุทุจิตฺเตน วา ยุตฺต- ตา กุเลเชฏฐกสฺส วา เนตํ นิวาเรติ สเจ ส โหเต
สมฺมาคารวกิจฺจมฺป สมานหีนกสฺส วา กลฺยาณภูโต อนุวตฺตตี ตํ
มุทุตา ชาติอาทีหิ อฺเญสํนาวมฺญนา ๓.อินทรวงศ
สพฺพํ กิจฺจํ ยถาวุตฺตํ มทฺทวนฺติ ปวุจฺจติ โส นาติมานี ภวตี วยาทินา
๔.ปฐยาวัตร เชฏฐาน โข คารวธมฺมปุณฺณโก
ปฺจมา ปารมีเตฺวว ปวุจฺจติ จ วีริยํ โหเต จ เตสํ อวมฺญนารโต
ปฺจโม ราชธมฺโมติ ปวุจฺจติ จ มทฺทวํ สพฺพมฺป ตํ วุจฺจติ มทฺทวํ สตา
กิฺจาป พฺยฺชเนเนเต นานา ภวนฺติ เทฺว ปน โอหารยติ อคฺคึ โส ตสฺมา หิ มุทุภูตกํ
เอกพทฺธาตฺถโต โหนฺติ ทฏฐพฺพา อุปมา อิธ กมฺมนียฺจ โหเต ตํ กมฺมาโร สิปฺปโกวิโท
สมฺมา สมาหิตํ จิตฺตํ สมาธิยติ เกวลํ ตํ มุทุ ปตตาเปตฺวา นานารูปมฺป วีกตึ
สุทฺธฺจ มุทุภูตฺจ กมฺมนียฺจ สพฺพธิ กาตุ เหเมน สกฺโกติ ยถิจฺฉิตํ ตถา อิติ
โหติ อาเนฺชปตฺตฺจ อภิฺญาย ตมีทิสํ วีริยํ มทฺทวฺเจว โยเชตพฺพานิ เอกโตติ ฯ
อภินีหรตี โยคี ยํ จิตฺตํ อสมาหิตํ
เอตํ โอฬาริกํ โหติ อกมฺมนิยภูตกํ
ตสฺมา โยคี อภิฺญาย อภินีหริตุมีทิสํ
น สกฺโกติ ยทา จิตฺตํ มุทุ กมฺมนิยํ ภเว
ตทา โยคี อภิฺญาย สมฺมาภินีหเรยฺย ตํ
ธานุวภงฺคสุตฺตสฺมึ อุปมาทานิ วุจฺจเต
ยถา หิ เหมมุกฺกายํ กรํ กมฺมารปุคฺคโล
วีริเยน กโรตี ตํ โส วีริยํ ปโหนกํ
อพหุ วา อนปฺป วา ฐเปติ วาตเมกทา
พลวนฺตํ ปกุพฺพิตฺวา ธมตี เหมเมกทา
อุเทน ปริโผเสตฺวา เหมํ มุทุ ปกุพฺพิตุ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ อุกฺกา(อิต) เบา,ที่หลอมโลหะ,ธมติ-เปา,สูบ, อคฺคึ โอหารยติ ยังไฟใหลด ฯ
+ กมฺมาร-ชางทอง,คนถลุงโลหะ, วิกติ(อิต) การทําใหแปลก,การทําใหเปนตาง ๆ ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๙ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
เมื่อประชาชนทุกจําพวกไดรับทํานุบํารุงใหมีกําลังเลี้ยงตนไดแลวประเทศยอมสงบราบคาบ
จากโจรภัย.มีเรื่องเลาวา พระเจามหาวิชิตราชทรงพระราชดําริจะระงับโจรผูรายในพระราชอาณาเขต
ทรงพระสั น นิ ษ ฐานตามคํ า พราหมณ ปุ โ รหิ ต ว า แต ลํ า พั ง จั บ มาลงพระราชอาชญา ไม ส ามารถ
จะระงับใหราบคาบไดเพราะโจรที่จับไดนั้นเปนแตลางรายโจรที่เหลืออยูยังเบียบเบียนคนทั้งหลายได
ตอไปอีก พระองคทรงตั้งอยูในพระราโชบายทรงสงเคราะหชนชาวนาดวยพันธุพืชขาวปลูกแลเครื่อง
อุปกรณสําหรับกสิกรรม ทรงอุปถัมภพวกพาณิชยดวยทรัพยเปนตนทุน ทรงอุดหนุนราชบุรุษดวยเบี้ย
เลี้ยงแลเบี้ยหวัดใหมีกําลังเลี้ยงตนแลขวนขวายในการทํางาน พวกชาวนาแลพวกประกอบพาณิชย-
กรรมมีทางหาเลี้ยงชีวิต ยอมไมประพฤติทุจริตทางโจรกรรม พวกราชบุรุษไดรับอุปถัมภพอเพียงแลว
ยอมประพฤติธรรมในหนาที่ ไมเห็นแกทรัพยอัน จะพึงไดโดยทางไมชอบรัฐชนบทก็ประกอบดว ย
ความสงบราบคาบปราศจากโจรผูราย คนทั้งหลายตางขวนขวายในกิจของตน ๆ เต็มใจแบงผลถวาย
เปนราชพลีเพิ่มพูนทวีพระราชทรัพยขึ้นอีกมากมายทั้งไดความสุขกายเบิกบานใจ ยังบุตรใหฟอนที่อก
ไมตองตื่นตระหนกสะดุงหวาดเสียวอยูดวยความวางใจ นี้รัฐสมบัติเรียกวา นิรคฺคลํ คือสถานที่ราบ
คาบปราศจากโจรภั ย ราวกั บ ไม ต อ งลงลิ่ ม ประตู เ รื อ น.ในจั ก รพรรดิ วั ต รจํ า แนกประเภทชน
ที่พ ระมหากษั ต ริย จ ะพึ งทํ า นุบํ ารุ ง ไว เ ปน เหล า ๆ คื อ อั นโตชนคนภายในราชสํา นั ก ๑ พลกาย
กองเสนา ๑ กษัตริยเจาพระนครอื่น ๑ พระราชวงศานุวงศ ๑ พราหมณผูคฤหบดีราษฏรชาวชนบท
๑ พราหมณผูสมณะ ๑
พระมหากษัตริยเจาปฐพีทรงพระปรีชามีพระกรุณาทรงสงเคราะหคนทั้งหลายดวยอุบายนั้น ๆ
ย อ มทรงสามารถยึ ด เหนี่ ย วน้ํ า ใจไว ไ ด ใ นสามั ค คี ธ รรมได อ าศั ย แลเป น กํ า ลั ง ป อ งกั น แลบํ า รุ ง
พระราชอาณาจักรใหเกษมสถาพร. แลพระเจาแผนดินนั้นเหมือนดวงศศิธรอันปรากฎแกประชุมชน
ตางคนตางหวังพระราชานุเคราะหพระองคตองทรงพระปรีชาญาณในอันพระราชทานใหเหมาะแล
ทั่วถึงไมเชนนั้นก็จะพึงยังอรดีคือความริษยาใหเกิดในหมูชนเสียผลในทางรักษาสามัคคี. สังคหะ
ที่พระเจามรุธ าภิษิต ราชทรงบําเพ็ ญยอมเปนอุบ ายประกอบชั กนําให เกิดสามัคคีธ รรมเป นกําลั ง
แหงพระราชอาณาจักร ฯ
**อนึ่ง เนื่องดวยฤดูฝนไมเปนปกติ ลางแหงตกมากเกินพอดีบาง ลางแหงตกนอยไมพอ
ตองการบาง ขาวกลาที่หวานแลวเสียเพราะน้ําทวมบาง เพราะขาดน้ําเลี้ยงบาง การทํานาไมไดผล
ไพบูลย เปนเหตุลําบากแหงคนยากจนผูอาศัยผลแหงการอื่นเปนอยูแมแหงชาวนาเอง.สมเด็จบรม
บพิตรพระราชสมภารเจาจะทรงปลดความลําบากของประชาราษฏรดวยพระมหากรุณาไดมีพระบรม
ราชโองการโปรดเกลาฯ ใหจัดซื้อขาวสงไปเจือจานแกราษฏรในตําบลที่อัตคัด ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๑๔-๓๑๕.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๐ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
รฏฐาภิปาลโนปายคาถา ๑
๒.ปฐยาวัตร ๑.อินทรวิเชียร
มหาวิชิตราชสฺส วตฺถุเมตฺถ นิทสฺสนํ ยสฺมา อุปตฺถมฺภนกิจฺจลทฺธา
ภเวยฺย โส สุทํ รฏเฐ โจเร ธํเสตุกามโก สพฺพา ปชา โปสิตุมตฺตชีวํ
ปุโรหิเตน ตุมฺเห เจ เอกจฺจํ โจรกกฺขฬํ สกฺโกติ ตสฺมา ชนตาย รฏฐํ
คเหตฺวาสฺส ปเณยฺยาถ ทณฺฑํ โจเร ปมทฺทิตุ โจรพฺภยา สมฺมติ ทีฆรตฺตํ
น สกฺเขยฺยาถ เสสา หิ ชเน ปุน วิหึสเร ๓.อินทรวงศ
อิจฺเจวํ อตฺตโน วุตฺต- ธมฺมิโกปายยุตฺตโก ตํเหตุ รฏฐํ อุปสมฺมตี ปชา
อโหสิ ธมฺมิโก ราชา ราโชปาเย ปติฏฐิโต กิจฺเจ ตุ พฺยาปารปยุตฺตกา สเก
เอเต ธฺเญน สงฺคณฺหิ เย เต กสฺสกภูตกา เทตี หเว ราชพลิฺจ ปติยา
เต ปาภเตน สงฺคณฺหิ เย เต วาณิชภูตกา รฏฐสฺส ภิยฺโย อนุพฺรูหตี ธนํ
เย ราชปุริสา โหนฺติ เวตฺตเนน สเมน เต จนฺทเลขูปโม รฎฐ- วาสีนํ โหติ ขตฺติโย
อุปตฺถมฺเภสิ ตํเหตุ เต กสฺสกา จ วาณิชา อาสึสนฺติ อนุคฺคณฺหํ เต วิจกฺขณตาย ตุ
ชีวสฺส ยาปนตฺถาย ลทฺโธปายา น โจริกํ ตํ ทเทยฺย ส ภูปาโล เอวํ อสติ เกวลํ
กมฺมํ จรนฺติ ลทฺธา ตุ อุปตฺถมฺภํ ปโหนกํ ชเนยฺย อรตึ เตสํ ธมฺมิโก กตสงฺคโห
เต ราชปุริสา ธมฺมํ กิจฺเจ จรนฺติ สพฺพโส อาณาจกฺกพลนฺเตฺวว ปณฺฑิเตน ปวุจฺจติ
๔.ปฐยาวัตร **อโถปากติกํ วสฺสํ พหุ กตฺถจิ วสฺสติ
ราชานุคฺคณฺหมาคมฺม วสิตฺวา สุขเขมโต กตฺถจี วสฺสตี อปฺป วปตํ ตุ ตหึ ตหึ
รฏฐิกา ฆรทฺวาเรสุ อคฺคลานํ อภาวโต สสฺสํ นสฺสติ ตสฺมา หิ น ผลํ กสิกมฺมุโน
วิชาตมาตุยา ปุตฺโต อุเร นจฺจาปโต วิย วิปุลํ โหติ ตํเหตุ ทุคฺคตา กสิกมฺมุโน
อเหสุ สุขสํวาสา อสฺสาเทน อฉมฺภิโน ผลํ นิสฺสาย ทุกฺขนฺติ ตาทิสา โหนฺติ กสฺสกา
อยํ รฏฐสฺส สมฺปตฺติ นิรคฺคลนฺติ วุจฺจติ ตสฺมา วิจกฺขโณ ราชา ทุกฺขสฺมา รฏฐิเก ชเน
ขตฺติเยน สุทํ จกฺก- วตฺติวตฺตมฺหิ เย ชนา โมจาเปตุ สมิจฺฉนฺโต นิคเม ยมฺหิ ทุคฺคตา
โปสิตพฺพาตฺถิ เอเตสํ ปเภทสํวิภาชนํ ชนา อตฺถิ กยิตฺวาน ธฺญานิ ตมฺหิ ชีวตํ
สพฺภิ อนฺโตชโนตฺยาทิ เวทิตพฺพํ วิจกฺขโณ เตสํ นิตฺถรณตฺถาย อุยฺโยชาเปติ สพฺพทาติ ฯ
ตํตํอุปายโส สมฺมา สงฺคณฺหํ รฏฐิเก ชเน
ราชา สกฺโกติ สามคฺคิ- ธมฺมสฺมึ ปาสิตุ มโน
เต นิสฺสาย สุโคเปติ อาณาจกฺกฺจ ถาวรํ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๑ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
ถาอํานาจใหญอันประกอบดวยกําลังอันตั้งอยูในอุบายโกศล รูจักดําเนินการใหเปนผลดี
แก บ า นเมื อ งก็ ย อ มจะแผ อ านุ ภ าพให ไ พศาลออกไปได ข อ นี้ พึ ง สาธกด ว ยเรื่ อ งในจั ก รวั ติ สู ต ร
ในที ฆ นิ ก ายปาฏิ ก วรรค พระราชามหากษั ต ริ ย เ ชษฐโกรสของพระเจ า ทั ฬ หเนมี จั ก รพรรดิ ร าช
ทรงตั้งอยูในโอวาทของพระชนกทรงบําเพ็ญจักรพรรดิวัตรจัดธรรมิการักขาวรณคุตติ์ปกครองเหลา
อนุยันตกษัตริยราชบริพารพราหมณคฤหบดีเสวกามาตย ราษฎรชาวนิคมชนบท ขาขอบขัณฑสีมา
สมณะพราหมณาจารย ตลอดถึงมฤคปกษีชาติใหเกษมสุขปราศจากภยันตราย ปองกันเหตุราย
มิใหเปนไปทํานุบํารุงประชาชนผูไรทรัพยใหมั่งคั่งสมบูรณ ไมตองประพฤติมิจฉาชีพอันจะกอใหเกิด
การเบี ย ดเบี ย นกั น และกั น หมั่ น ไตถ ามถึ ง บาปบุ ญ คุ ณ โทษ ประโยชน มิใ ช ป ระโยชน ก ะสมณะ-
พราหมณาจารยผูทรงคุณธรรม ละวันกิจที่ใหโทษประกอบแตกิจที่เปนประโยชนเปนวัตตสมาทาน
แผพระเดชานุภาพและพระเกียรติคุณไพศาลไปทั่วทิศานุทิศ ไมมีกษัตริยเจานครนั้น ๆ จะอาจแขงขัน
ไม อ อ นน อ มเสด็ จ ยาตราจตุ ร งคิ นี แ สนยากรไปถึ ง ไหน ก็ ไ ด ค วามยอมไปถึ ง นั่ น ถึ ง ความเป น
พระเจ า จั ก รพรรดิ ร าชปกครองมหาปฐพี มี ส มุ ท รสาครเป น ขอบขั ณ ฑสี ม ามณฑลได ร าบคราบ
ดวยธรรมิกอุบายไมตองใชอาญาเคี่ยวเข็ญเปนเบื้องหนานี้ก็เปนเรื่องปรัมปราแตเปนขอสาธกใหเห็น
ผลแหงอุบายโกศลอันเปนเครื่องทวีความเจริญของอํานาจนั้น ๆ ใหยิ่งขึ้น ฯ
ในฝ ายศาสนธรรมสมเด็จ พระสั มมาสัม พุท ธเจา ทรงอาศัย พระคุ ณข อนี้เ ปน ที่ตั้ งเมื่อ ทรง
สั่งสอนเวไนยสัตวก็อนุวัตรโดยควรแกอัธยาศัยและเวลา ชนเหลาใดมีสันดานหนาไปดวยอกุศล
ก็ทรงแสดงทุจริตและผลของทุจริต ใหเกิดสังเวชแลวละเวนเสีย ชนเหลาใดมีสันดานประกอบไป
ดวยกุศล ก็ ทรงแสดงสุจริตและผลของสุจ ริต ใหเกิด ปติปราโมทยแลวและสมาทานชนเหลาใด
มีอธิมุติออนก็ทรงสั่งสอนดวยทิฏฐธรรมมิกัตถประโยชน ชนเหลาใดมีอธิมุติปานกลางก็ทรงสั่งสอน
ในทางสัมปรายิกัตถประโยชนในเวลาใด มีอธิมุติกลาก็ตรัสเทสนาดวยปรมัตถประโยชนในเวลาใด
ควรจะทรงแสดงธรรมเช นไรก็ท รงแสดงตามควรแก เวลานั้ น ศาสโนวาทของพระองค จึ งมี คุ ณ
เปนอัศจรรยผูทําตามไดผลสมควรแกความปฏิบัติ มีผูศรัทธาเลื่อมใส ถวายพระเนมิตตกนามวา
อนุ ตฺต โร ปุริ ส ทมฺม สารถิ เป น สารถี ฝ กบุ รุษ ควรทรมานไม มีผู อื่น จะยิ่ งกวา สามารถประดิ ษฐาน
พระศาสนาขึ้นในโลกเพื่อประโยชนแกเทวดามนุษยสืบมา ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๓ .
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๒ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
อุปายโกสลฺลคาถา ๑
๑.ปฐยาวัตร ๒.อินทรวิเชียร
สเจ อุปายโกสลฺล- สมปฺปโต มหาวโส อุปฺปชฺชิยา โข ภยการณํ ยํ
ยสฺสตฺถิ โส ชโน รฏฐ- ปสาสโก หิตกฺกรํ เอตํ นิวาเรยฺย ปชํ อโภคํ
กรณียํ ปชานิตฺวา รฏฐานุภาวมตฺตโน อฑฺฒํ สโภคฺจ กเรยฺย เอโส
วิตฺถาริกํ วิสาลฺจ กาตุ สกฺโกติ ทฬฺหโต กมฺมํ น ยฺุเชยฺย อนตฺถภูตํ
สาธกฺเจตฺถ ทฏฐพฺพํ จกฺกวตฺติ วิจกฺขโณ ๓.อินทรวงศ
ปตุโน ทฬฺหเนมิสฺส โอวาทสฺมึ ปติฏฐิโต โส อตฺถิ เย ธมฺมิกพฺราหฺมณา วรา
ภูปาลธมฺมโต จกฺก- วตฺติวตฺตํ อกาสิ โส เต ปาปปฺุญฺจ คุณํ หิตาวหํ
ธมฺมิกาวรณํ กตฺวา สพฺเพนุยนฺตขตฺติเย โทสฺจ อตฺถฺจ อนตฺถการณํ
ชนตํ ปริวารฺจ พฺราหฺมเณ จ คหปฺปตี ปุจฺเฉยฺย ยํ โทสทมตฺถิ ตํ สทา
วชฺเชยฺย กิจฺจมฺปน ยํ หิตาวหํ
เสวเก รฏฐิเก ธมฺม- จารี สมณพฺราหฺมเณ
เอตํ กเร สพฺพธิ จกฺกวตฺติ โส
อภเย สุขิเต กตฺวา ปสาสิ ราชธมฺมโต
๔.ปฐยาวัตร
อิทํ วตฺตสมาทาโน อิติ กิจฺจํ ปวุจฺจติ ปฏิปตฺยานุรูเปน อานิสํโสนุกุพฺพโต
ตปฺปจฺจยา สกา กิตฺติ อพฺภุคฺคตา ภวิสฺสติ อุปฺปชฺชติ ปสนฺเนหิ พุทธฺ สาสนิเกหิ โส
น สกฺเขยฺยุ ยุคคฺคาหํ คณฺหิตุ อฺญขตฺติยา อนุตตฺ โร ปุรสิ ทมฺม- สารถีติ ปสํสิโต
จกฺกวตฺติมหาราชา มหาเสนาย ยํ คโต สพฺพเทวมนุสฺสานํ หิตาย จ สุขาย จ
ตสฺมึ ฐาเน ปชา สปฺป- ติสฺสา ตํ อนุวตฺตติ ปติฏฐาปยิตุ ธมฺมํ โลเก โหติ สมตฺถโกติ ฯ
ปชํ ธมฺมิกุปาเยน จกฺกวตฺติ ปสาสติ
นาณาปรายโน โหติ สมฺพุทฺโธ ตุ ตถาคโต
อนุสาสติ เวเนยฺเย เวลานุรูปโต สทา
เย ชนากุสลุสฺสนฺนา เตสํ ทุจฺจริตํ ผลํ
เอตสฺส จ อเทเสสิ สํเวเชสิ เต ชเน
เย ชนา กุสลุนฺสนฺนา เตสํ สุจริตํ ผลํ
เอตสฺส จ อเทเสสิ ชเนสิ ปติมุตฺตรึ
อนุสาสติ เวเนยฺเย อธิมุตฺยานุรูปโต
ตสฺมา หิ สาสโนวาโท คุณจฺฉริยภูตโก
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ อธิมุตฺต(ิ อิต)-ความนอมใจเชื่อ,การปลงใจเชื่อ,สปฺปติสฺสา-ยําเกรง ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๓ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
ความมีกรุณาไดชื่อวาการุญญภาพ.กรุณานั้นโดยพยัญชนะคือความหวั่นใจในเมื่อเห็นผูอื่น
ไดทุกขยากโดยอรรถก็คือความคิดอยากจะชวยทุกขของเขา.คุณขอนี้ เปนขาศึกโดยตรงแหงวิเหสา
ความคิดเบียดเบียนผูอื่นเปนพลวปจจัยใหคิดเกื้อกูลกันและกันนําบุคคลใหเปนผูประเสริฐลวงสามัญ
ชนขึ้นไปทานผูเปนใหญแหงหมูชนที่สุดจนอธิบดีเฉพาะในตระกูลหนึ่ง ยอมมีคุณขอนี้เปนวิหารธรรม
แผ ไ พศาลออกไปตามชั้ น แห ง บุ ค คลกล าวอย า งอุ ก ฤษฎ ฝ า ยอาณาจัก รสมเด็ จ พระเจ าแผ น ดิ น
ยอมเปนที่นับถือลนพนของพสกนิกรก็เพราะพระกรุณา.มารดาบิดามีกรุณาในบุตรฉันใด สมเด็จ-
พระเจาแผนดินก็แผพระกรุณาไปในประชาชน ผูอยูใตพระเดชานุภาพ ทรงรวมสุขรวมทุกขดวยฉันนั้น
พระคุณขอนี้แลชักนําพระองคตั้งอยูในยุติธรรมไมลําเอียงในฝายใดฝายหนึ่งและรําพึงถึงสุข ทุกข
ของประชาชนที่สุดทรงจําแลงเพศเปนอัญญาตกบุรุษไมใหใครรูจักพระองคเสด็จเที่ยวสอดสองเอง
ไดทราบขาวดีรายประจักษแจงมีเรื่องแสดงไวในอรรถกถา บางคัมภีรบางก็มี ในเวลาที่ศึกมาประชิด
พระนครตองเสด็จนําพยุหแสนยากรออกตอยุทธเพื่อปองกันภัยมิใหมีมาถึงขาขอบขัณฑสีมาก็มี
โดยชุกชุม ฯ
สมเด็จพระเจาแผนดินมีพระกรุณากวางขวางฉะนี้ จึงเปนที่นับถือลนพนควรไดรับอภัยและ
ไดรับความยกยองไวในที่สูงปรากฏแกชนทั้งหลายราวกับเทวดาในหมูมนุษยจัดวาเปนสมมติเทวราช
เปนผูควรแกสวนกุศลที่มหาชนบําเพ็ญแลวและจะพึงอุทิศถวายดวยความหวังเพื่อทรงพระเจริญ
ภิยโยภาพสืบไปในฝายศาสนจักรสมเด็จพระพุทธเจาไดเปนสรณะที่พํานักนับถือของพุทธศาสนิก -
บริษัท จําเดิมแตครั้งยังดํารงพระชนมจนบัดนี้ก็เพราะพระมหากรุณาพระคุณขอนี้เปนเหตุใหพระองค
บําเพ็ญพระบารมีมาแตครั้งเปนพระโพธิสัตวจัดเปนมหากรุณาสมาโยคในฝายเหตุสัมปทาใหบรรลุ
พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเปนผลสมบัติจําเดิมแตตรัสรูแลวก็คงอยูในพระกรุณาคุณเสด็จเที่ยว
เทศนาโปรดเวไนยนิ ก รในนครคามนิค มชนบทนั้น ๆ ใหไ ด บ รรลุโ ลกิ ย สมบัติ แ ละโลกุ ด รสมบั ติ
ตามอนุสัยตราบเทาถึง อวสานที่สุดทรงพระอาพาธหนักจะเสด็จดับขัน ธปรินิพพานในคืนนั้นแล ว
ยังทรงเทศนาโปรดสุภัททปริพาชก ใหสําเร็ จพระอรหันตเปนปจฉิมสาวกขอความที่นํามาสาธกนี้
แสดงใหเห็นพระกรุณาของสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาอันเปนไปในสัตวโลกสักเพียงไรเพราะเหตุนี้
พระองคจึงไดเปนอุดมสรณะทีร่ ะลึกนับถืออันสูงสุดของพุทธศาสนิกประชาชนตลอดมาจนทุกวันนี้ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๔๓-๔๔.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๓ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
กรุณาคาถา
๑.ปฐยาวัตร ๒.อุเปนทรวิเชียร
วิฺุนา กรุณา นาม การฺุนฺติ ปวุจฺจติ ยถา หิ มาตา กรุณํ ปตา จ
ปรทุกฺเข สตี สาธุ- จิตฺตกมฺปนลกฺขณา กโรนฺติ ปุตฺตาน จ ธีตราน
ทุกฺขาปนยนาการปฺ- ปวตฺติลกฺขณา จ สา ตถา นรินฺโท กรุณาภิยุตฺโต
เอวํ โหติ วิหึสาย อุชุปจฺจตฺถิกา อยํ กเรยฺย รฏฐมฺหิ ปชาย เอตํ
ชเนตุ อฺมฺสฺส หิตํ พลวปจฺจโย ๓.อินทรวิเชียร
กรุณายุตฺตโก โปโส โลเก อิตฺตรมจฺจโต ฉนฺทาทิกมฺมา อคตึ อคนฺตฺวา
วิสิฏ ตรตํ คจฺฉิ ชเนสุป กุเลป โย
โส รฏฐวาสีน สุขฺจ ทุกฺขํ
นโร คณิสฺสโร โหติ โส การฺุญวิหาริโก
ตีเรติ อฺญาตกเวสโต โส
สพฺพโปเสสุ ตํ กุพฺเพ อาณาจกฺเก ตุ ขตฺติโย
คามาทิฐานานิ กทาจิ คนฺตฺวา
มหาการุณิกตฺตา ว ปชาย โหติ มานิโต
ปจฺจกฺขโต สพฺพธิ รฏฐิกานํ
๔.ปฐยาวัตร
กทาจิ สห สตฺตูหิ มหารณํ ปกุพฺพติ สพฺพํ ปชานาติ สุขฺจ ทุกฺขํ
มหาการุณิโก เอวํ รฏวาสีหิ มานิโต เทเสสิ โส สุภทฺโท ตํ สุณํ ปจฺฉิมสาวโก
ยุชฺชตี อภยํ ลทฺธุ อุจฺจฏาเน คุณุตฺตเม อิจฺเจวํ ปากโฏ สมฺมา อรหตฺตํ อปาปุณิ
อติสมฺภาวนีโย จ โหติ มานุสิกาย จ ตํเหตุ ภควา พุทฺธ- สาสนีกานมุตฺตมํ
เทโว วิย ชนานมฺป ปากโฏ โหติ สพฺพโส สรณํ โหติ สพฺพตฺถ ยาว อชฺชตนา สทาติ ฯ
สมฺมติเทวราชาติ เอวํ สงฺขํ นิคจฺฉติ
มหาชเนน ราชานํ อุทฺทิสฺส วุฑฺฒิมิจฺฉตา
กตํ ยํ กุสลํ ตสฺส ปฏิรูโป อโหสิ โส
มหาการุณิกตฺตา ตุ โลกานุกมฺปโก ชิโน
ยาว อชฺชตนา โหติ ปชาย สรณํ วรํ
กรณํคมฺม โส โพธิ- สตฺตภูตกาลโต วรํ
ปารมึ ปริปูเรสิ ตสฺมาสฺส กรุณา อยํ
มหากรุณาสมาโยโค อิติ เอวํ ปวุจฺจติ
ครุกาพาธิโก เจส สุภทฺทสฺส อนุตฺตรํ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ อิตฺตรมจฺจโต-กวาคนผูต่ําตอย ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๔ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
กั ต ตุ กั ม ยตาฉั น ทะนี้ ย อ มยั ง ความประสงค ใ ห สํ า เร็ จ แม จ ะเป น การยากสั ก ปานไรข อ นี้
พึ ง สาธกแม ด ว ยเรื่ อ งในตติ ย สั ง คี ติ ก ถา ครั้ ง นั้ น พระโมคคั ล ลี บุ ต รเกิ ด อยู ใ นตระกู ล พราหมณ
มิจฉาทิฏฐิ พระสิคควะไปเพียรเกลี้ยกลอมอยู ๗ กวาป จึงเอามาบวชพระศาสนาได.ในชั้นแรก
ไปบิณฑบาตที่ประตูเรือนแตไมไดภิกษาบอย ๆ เขาก็ไดวาจานิมนตรับขางหนาแลวก็ไดภิกษาแลวก็
คุนเขาจนไดรับไปฉันในเรือนแลวรูจักวิสาสะกับโมคคัลลีบุตรมาณพแสดงความรูของตนในไตรเพท
ทําใหมาณพนับถือแลวถามปญหาปรารภธรรมในพระพุทธศาสนาใหมาณพติดและประสงคจะรู
จึงตามมาบวชไดเลาเรียนแตกฉานในพระพุทธวจนะและบรรลุโลกุตตรธรรมเปนพระอรหันตเจา
ภายหลังไดเปนอธิบดีสงฆในชมพูทวีปครั้งอโศกรัชสมัยไดเปนกําลังใหญของพระเจาอโศกมหาราช
ในอันกําจัดเสี้ยนพระศาสนาเมื่อครั้งเดียรถียเขามาปลอมบวชดวยมุงลาภสักการะแตนั้นไดเปน
ประธานแหงภิกษุสงฆผูประชุมทําสังคายนาพระธรรมวินัยเปนครั้งที่ ๓ ตอมาไดสงพระเถระทั้งหลาย
ไปเพื่อประกาศพระศาสนาในปจ จันตประเทศ เปนหลายตํา บลพระสิ คควะมี กัตตุ กัมยตาฉั นทะ
เพียรไปเกลี้ยกลอมโมคคัลลีบุตรมาณพมาบวชไดสมประสงคฉะนี้ ฯ
อีกเรื่องหนึ่งทีฆาวุกุมารพระราชโอรสของพระเจาทีฆีติผูครองโกศลรัฐประสูติเมื่อพระชนก
เสียราชสมบัติแกพระเจาพรหมทัตผูครองแควนกาสี แลวตั้งพระหฤหัยจะแกแคนและเอาพระราช
สมบัติของพระบิดาคืนใหจงได เพียรหาชองเขาใกล พระเจาพรหมทัตจนไดเปนนายสารถีคนโปรด
คราวหนึ่งพระเจาพรหมทัตเสด็จประพาสปา ทีฆาวุกุมาร แสรงขับรถพระที่นั่งเร็วจนราชบริพาร
ตามเสด็ จไมทันท าวเธอทรงเหนื่อ ยก็ตรัสสั่ งใหหยุด รถพระที่ นั่ง เสด็ จลงพัก ณ ที่แหง หนึ่งแล ว
บรรทมหลั บไป ที ฆาวุ ได ชอ งที่จ ะแก แค นจึ ง ถอดพระแสงจากฝก แลว ปลุ ก บรรทมขึ้น แสดงตน
ใหทราบวาเปนศัตรูจะแกแคนแทนพระราชบิดาพระเจาพรหมทัตตกพระราชหฤทัยขอพระชนมชีพ
ประทานสัตยวาจะคืนโกศลรัฐใหกุมารนึกถึงพระวาจาพระราชบิดาวาจงเห็นยาวดีกวาสั้นจึงสูอดกลั้น
ระงั บ เวรเสี ย ถวายพระชนม แ ด พ ระเจ า พรหมทั ต แล ว ได ร าชสมบั ติ คื น พร อ มทั้ ง พระราชธิ ด า
ภายหลั ง ได ค รองแคว น กาสี อี ก ด ว ยที ฆ าวุ อ าศั ย กั ต ตุ กั ม ยตาฉั น ทะยั ง ความประสงค ข องตน
ใหสําเร็จไดฉะนี้ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๙๕-๙๖.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๔ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
กตฺตกุ มฺยตาฉนฺทคาถา
๑.ปฐยาวัตร
โย กตฺตุกมฺยตาฉนฺโท ปกุพฺพโต หิตกฺกโร พฺรหฺมทตฺตสฺส กาสินฺท- รฺโญ วลฺลภสารถิ
โส ทุกฺกรํ อธิปฺปายํ สาเธติ ตติยาย หิ เอกสฺมึ สมเย พฺรหฺม- ทตฺโต สเสวโก วนํ
ธมฺมสงฺคีติยํ วตฺถุ ภเวยฺย เอตฺถ สาธกํ คจฺฉิ ทีฆาวุ สฺจิจฺจ รถํ ปาเชสิ เวคโส
มิจฺฉาทิฏฐิกภูตสฺส พฺราหฺมณสฺส กุเล ตทา โอหิยึสุ ตุ ภูปสฺส ปริวารา ปริชฺชนา
ชายิ เถโร มหาปฺโ โมคฺคลฺลีปุตฺตสวฺหโย ๒.อินทรวงศ
อีหาย สตฺต วสฺสานิ ตํ สงฺคณฺหิย สิคฺคโว ราชา ส มคฺคสฺมิ กิลนฺตโก รถํ
ตมาทาย มุนินฺทสฺส อปพฺพาเชสิ สาสเน ขิปฺป ฐปาเปสิ ทุมสฺส เหฏฐิเม
ติวิเท าณสมฺปตฺตึ ทสฺเสตฺวา เอส มาณวํ นิทฺทายิ โกสา ปน ขคฺคนีหโฏ
มานาเปนฺโต มุนินฺทสฺส ธมฺมมารพฺภ สาสเน ทีฆาวุ รฺโญ กริ ตาสมตฺตกํ
เอเตน ปุจฺฉิตํ ปฺหํ วิสฺสชฺเชสิ ส มาณโว ๓.วสันตดิลก
อนุโพธิตุกาโม ตํ ธมฺมํ อโหสิ อุตฺตเม สนฺตาสยุตฺตหทโย กิร พฺรหฺมทตฺโต
สาสเน ปพฺพชิตฺวาน พุทฺธธมฺมํ สุสิกฺขิย ชีวํ อยาจิ จ สกํ อถ สจฺจวาจํ
ปภินฺโน พุทฺธสตฺเถสุ อรหตฺเต ปติฏหิ เปตฺเตยฺยกํ ตว อหํ ปฏิเทมิ รฏฐํ
ปจฺฉา เถโร มหุสฺสาโห โมคฺคลฺลีปุตฺตสวฺหโย อิจฺเจวมสฺส กรุณาย อทาสิ ขิปฺป
อโสกสมเย ชมฺพุ- ทีปสฺมึ สงฺฆนายโก ๔.ปฐยาวัตร
ยทา สยมฺป มุณฺเฑตฺวา ลาภสกฺการเปกฺขกา ทีฆาวุ ปตุนา สมฺมา ทินฺโนวาทมนุสฺสรํ
ลามกา ติตฺถิยา พุทฺธ- สาสนปฺปฏิกณฺฏกา เวรํ น พนฺธิ ภูปสฺส นิยฺยาเทนฺโต ส ชีวิตํ
นานามลํ ปกุพฺพึสุ ตทา เตสํ ปมทฺทเน เอตสฺส ราชสมฺปตฺตึ ปฏิลทฺธา สธีตรํ
มหาพโล อโสกสฺส รฺโญโหสิ ตโต ปรํ ปุน โข ปจฺฉิเม รชฺชํ กาสีรฏเฐ อการยิ
ตติยทฺธมฺมสงฺคีติ- สมเย ปริณายโก โส กตฺตุกมฺยตาฉนฺทํ อคฺคมาคมฺม สพฺพธิ
อถายสฺมา ส โมคฺคลฺลี- ปุตฺโต ธมฺมํ ปกาสิตุ สพฺพํ สกํ อธิปฺปายํ นิปฺผาเทสิ ยถิจฺฉิตนฺติ ฯ
เถเร ปจฺจนฺตรฏานิ อุยฺโยเชสิ ยถาพลํ
ตํ กตฺตุกมฺยตาฉนฺทํ สกมาคมฺม สิคฺคโว
อิติ อีหาย สงฺคณฺหํ โมคฺคลฺลีปุตฺตมาณวํ
อาทาย สาสเน อคฺเค ปพฺพาเชสิ ยถิจฺฉิตํ
ปุตฺโต ทีฆีติราชสฺส ทีฆาวุ ตุ กุมารโก
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ ทุม(ปุง)-ตนไม ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๕ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
ส ว นทั้ ง หลายย อ มรวมกั น เข า เป น สรี ร ะฉั น ใด ป จ จั ย เครื่ อ งอาศั ย แห ง สั ง ขารคื อ อาหาร
เครื่ อ งนุ ง ห ม ที่ อ ยู อ าศั ย เครื่ อ งใช ส อยและยาเป น ป จ จั ย เครื่ อ งบํ า บั ด โรคก็ ต อ งอาศั ย สหกรณ
ของผูประกอบและสหกรณแหงวัตถุนั้น ๆ จึงเกิดผลใหสําเร็จกิจตามประสงคฉันนั้น ฯ เมื่อกลาว
เฉพาะบุคคลคนหนึ่ง ๆ หรือพวกหนึ่ง ๆ ที่รวมกันเขาเปนหมูเปนคณะตลอดถึงเปนสัญชาติยอมตอง
อาศัยสหกรณแหงกันและกัน ดุจสวนอวัยวะทั้งหลาย ฯ ในสกุลก็ดี ในคณะก็ดี การปนงานกันทํา
เปนกิจจําตองปรารถนาในเบื้องตน สหกรณเปนกรณียะจําตองการในลําดับการ ๒ อยางนั้นเปนไป
กลมเกลียวกันแลวยอมยังสกุลยังคณะใหตั้งมั่นใหเจริญรุงเรืองดุจสหกรณแหงอวัยวะทั้งหลาย
ยังสรีระใหเปนไปโดยผาสุกฉะนั้น ฯ สมเด็จพระบรมศาสดาหวังจะทรงแสดงการบํารุงสหกรณ
อันเปนรัฐประสาสนนัยครั้งโบราณกาลไดตรัสเทศนาถึงเรื่องพระเจามหาวิชิตราชในกูฎทันตสูตร
สีลขันธวรรคทีฆนิกายมีใจความวาพระเจามหาวิชิตราชทรงดําเนินราโชบายเพื่อระงับการเบียดเบียน
กันและกันอันเปนเสี่ยนหนามแหงแผน ดินกลาวคือเปนอุปสัคแหงสหกรณชนจําพวกใดขวนขวาย
ในการทํานาและเลี้ยงโคพระราชทานพันธุขาวปลูกแกชนจําพวกนั้น ชนจําพวกใดขวนขวายในการคา
พระราชทานตนทุนแกชนจําพวกนั้นเปนการเพิ่มกําลัง ชนจําพวกใดทําราชการพระราชทานเบี้ยเลี้ยง
เบี้ ยหวัด แก ชนจํา พวกนั้ น ชนเหลา นั้น ตา งขวนขวายในการงานของตน ๆย อมไม ประทุ ษร ายกั น
ทองพระคลังก็เพิ่มพูนดวยพระราชทรัพยที่เปนราชพลีพระราชอาณาเขตเกษมสุขสวัสดีสิ้นเสี้ยนหนาม
หาความเบียดเบียนกันมิไดประชาราษฏรตางชื่นบานดวยความวางใจยังบุตรใหฟอนอยูที่อกอยูราว
กับมีประตูเรือนไมตองลงลิ่มสลัก ฯ บุคคลหรือคณะผูนับเนื่องในสหกรณถาปลีกตนเสียไมทํางาน
พรักพรอมกับเขายอมเปนแชนสวนอวัยวะแหงสรีระอันหยุดไมทําหนาที่หรือทําบกพรองจัดวาเปนโรค
เกิดขึ้นในสหกรณนั้นเชนเดียวกับโรคเกิดขึ้นในสรีระยอมทอนกําลังหรือนําไปถึงความพินาศ ฯ
ในฝายคดีธรรมสหกรณเปนกิจอันจําตองปรารถนาดุจเดียวกัน ฯ การประพฤติสุจริตหากไม
ครบไตรทวารยอมไมสําเร็จประโยชนเพราะถึงหากกายจะพยายามฝนทําสุจริตแตวาจายังไมสนิท
และใจยังมุงเพื่อทุจริตอยูการที่ทําก็ยอมจะไมเปนสุจริตเรียบรอยตลอดไปตอพรอมทั้งไตรทวาร
จึ ง จะสํ า เร็ จ ประโยชน ด ว ยดี ฯ แม ผู ป ระพฤติ ธ รรมก็ จํ า ต อ งปรารถนาสหกรณ แ ห ง ผู อื่ น ด ว ย
ไม อ ย า งนั้ น ก็ ย ากที่ จ ะทํ า ได ต ลอดยิ่ ง หรื อ หย อ นไปไม ส มกั น ความเป น อั น หนึ่ ง อั น เดี ย วจั ก ไม มี
เพราะอยา งนี้สมเด็จพระบรมศาสดาจึง ทรงบั ญญัติสิ กขาบทตามสมควรแกเ หตุเพื่ อเปน บรรทั ด
แหงความประพฤติของภิกษุทั้งหลายดวยทรงมุงหมายจะใหตั้งอยูในสีลสามัญญตาความสม่ําเสมอ
กันโดยศีลจึงมีชื่อเรียกสิกขาบทวา สาชีวํ สาชีพ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๑๐๗-๑๐๘ .
+ ออกสอบแตงไทยเปนมคธ ป.ธ.๙ / ป ๒๕๕๙ .
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๕ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
สหกรณคาถา ๒
๑.ปฐยาวัตร
ยถา สโมสริตฺวาน โกฏฐาสา หิ สรีรตํ เตสํทาสิ วณิชฺชาย พฺยาวฏา เยตฺถิ ปาภตํ
สุฏุ สาเธนฺติ สงฺขาร- นิสฺสยพฺภูตปจฺจยา เตสํ อทาสิ เย ราช- ภฏา ภวนฺติ เวตฺตนํ
อาหาโรตาทโย สพฺพ- ชนานํ สหการินํ เตสํ อทาสิ เอวนฺเต สกกิจฺเจสุ พฺยาวฎา
ปฏิจฺจ สหกรณํ ตํตํวตฺถูน เจกธา อฺญมฺญํ น เหเฐนฺติ เตน สํหริตํ ธนํ
เอวํ สกกรณฺยานิ สาเธนฺติ ปุคฺคลา อุท อนุพฺรูหติ เตเนส อาณาจกฺกํภิวฑฺฒนํ
โลกสฺมึ คณภาเวน วสิตฺวา ชนตา อุท สุขเขมฺจ ปาเปสิ รฺญา ตุ รฏฐกณฺฏกํ
นิสฺสยนฺติ สหกรณํ อาโท กุเล คเณ อุท มทฺทิตํ รฏฐวาสีนํ อฺญมฺญสฺส อนฺตเร
ชเนหิ กิจฺจสมฺภาโค กาตพฺโพ ตทนนฺตรา เหฐนา นตฺถิ อุตฺตาน- มุขา ตุ รฏฐิกา ชนา
สหกรณํ กาตพฺพํ สเจ สมฺพนฺธภาวโต สุขิตา มาตุยา ปุตฺโต อุเร นจฺจาปโต วิย
ตโทภยํ ปวตฺเตยฺย สทา กุลํ คณํ อุท วสึสุ ฆรทฺวาเรสุ อคฺคลานํ อภาวโต
ปติฏฐาเปติ วุฑฺฒิฺจ สมฺปาเปติ ยถารหํ ปุคฺคโล วา คโณฺเญหิ สทฺธึ กิจฺจํ น กุพฺพติ
รฏฐปฺปสาสโนปาย- ภูตํ โปราณกาลโต สหกรเณ อุปฺปนฺน- โรโคว โหติ สพฺพทา
สหกรณุปตฺถมฺภํ ทสฺสมาเนน สตฺถุนา ๒.อินทรวงศ
มหาวิชิตราชสฺส วตฺถุ เอตฺถ สุภาสิตํ สพฺพํ สุกมฺมจฺจรณํ ปกุพฺพโต
สมฺมา ติทฺวาเรหิ อยุตฺตเมกธา
มหาวิชิตราชา หิ ราชกิจฺจาน โกวิโท
อตฺถํ น สาเธติ ติทฺวารยุตฺตกํ
รฎฐกณฺฏกสงฺขาตํ อฺญมฺญสฺส เหฐนํ
สาเธติ อตฺถํ ปฏิปชฺชโต สทา
ธํเสตุ ธมฺมิโกปายํ อกาสิ อตฺถิ เย ชนา
๓.อินทรวิเชียร
พฺยาวฏา กสิกมฺเม จ โคปาเล ธฺญวีชกํ อฺเญส สพฺพํ สหกิจฺจเมตํ
๔.ปฐยาวัตร
ตํ ธมฺมจารีหิป อิจฺฉิตพฺพํ
สเจ หิ ธมฺมจาโรยํ อธิโก อูนโก อุท
เอวํสตี ทุกฺกรภูตกิจฺโจ
ภเวยฺย ธมฺมจารีนํ เอกีภาโว น โหหิติ
เตสํ สทา โหหิติ ธมฺมจาโร
เตน โข ภควา ภิกฺขู สีลสามฺญตาคุเณ
ปติฏฐาปยิตุ อิจฺฉํ สิกฺขาปทานิ ทฬฺหโต
สุปฺญาเปสิ ยสฺมา หิ สห อาชีวเร จิธ
สภาคชีวิกา โหนฺติ ภิกฺขู สภาควุตฺติโน
ตสฺมา สิกฺขาปทํ ตํ ตํ สาชีวนฺติ ปวุจฺจตีติ ฯ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๖ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
โสรัจจะนั้น แปลตามพยัญชนะวาความยินดีในธรรมอันงามแสดงโดยอรรถไดแกความสงบ
เสงี่ยมความแชมชื่นมีอาการจะพึงกําหนดรูดังนี้ ไมพอใจในที่จะวิวาทแกงแยงกับผูอื่นหากจะเกิดขึ้น
ก็จะหาทางระงับโดยออนโยนตามแตจะเปนไป เชนแตงคนกลางใหเปนผูเปรียบเทียบแลยอมทําตาม
คําของคนกลางนั้น.มีเรื่องในสักกะสังยุตวาครั้งสงครามแหงเทวดาแลอสูรประชิดกันอยูทาวเวปจิตติ
อสุรินทรชวนทาวเทวินทราธิราชใหแขงเอาชนะกันในทางกลาวภาษิตโตตอบกันเปนสงครามปาก
ทาวสุชัมบดีทรงยอมตามพวกเทวดาแลพวกอสูรตางเลือกตั้งชุมนุมไวเพื่อเปนผูตัดสิน พวกอสูรเคย
อยูใ นชั้นดาวดึงสมากอนจึงใหทาวเวปจิตติเริ่มกอนจอมอมรตรัสแกคําของทาวเวปจิตตินั้นวา ควรใช
อํานาจปราบคนพาล ฝายทาวโกสียตรัสสรรเสริญขันติธรรมดังแสดงแลวในหนหลัง โตตอบกันไปมา
ในที่สุดชุมนุมนัน้ ตัดสินวาภาษิตของทาวเวปจิตติเปนเหตุจับทัณฑะศัสตราประหัตประหารกัน ภาษิต
ของทาวสักกะเทวราชเปนเหตุระงับความเบียดเบียนใหทาวเทวินทรชนะทั้งสองฝายตั้งอยูในโสรัจจะ
แสวงหาทางสงบสงครามดวยเลิกสัมประหารฉะนี้.แมความพิพาทในระหวางบุคคลก็ดี ในระหวาง
ประเทศก็ดีอันผู มิเกี่ยวของหาทางปรองดองโดยเรียบรอยเชน ตั้งอนุญาโตตุลาการก็จัดวาระงั บ
ดวยโสรัจจธรรม ฯ
อีกประการหนึ่ง มีเหตุจะพึงใชอํานาจแตหาทางผอนปรนที่จะไมตองใชไดเพียงไรกอนพึงเห็น
อุทาหรณเชนมีพระพุทธานุญาตใหสงฆทําปพพาชนียกรรมขับภิกษุลามกจากอาวาส มีธรรมเนียม
ที่สงฆจะพึงหามภิกษุนั้นแตโดยดีกอน ๓ ครั้ง ตอไมฟงจึงสวดประกาศกรรมนั้น . อนึ่งเมื่อมีเหตุ
อั น จะพึ ง ใช ขั น ติ ห าทางปลอบจิ ต มิ ใ ห นึ ก ถึ ง ความที่ ไ ม ไ ด ตั้ ง ใจว า มี เ ป น ธรรมดาหรื อ มานึ ก
ถึงกัมมัสสกตาคือความสัตวโลกมีกรรมเปนของตนจําเสวยผลแหงกรรมที่ทํานั้น.ขันติแลโสรัจจะ
ตางเปนอัญญมัญญปจจัยแหงกันแลกันคือตางเปนเหตุอิงอาศัยกันแลกันคนชอบในทางสงบเสงี่ยม
จึงอดกลั้นเหตุอันไมเปนที่ปรารถนาคนถือขันติก็จําตองหาทางปลอบจิตมิใหอึดอัดกลับใหแชมชื่น
ดวยโสรัจจะตางเปนคูของกันฉะนี.้ ชนมีโสรัจจะเปนธรรมยอมมีสติสัมปชัญญะสอดสองเห็นเหตุการณ
ไกล ทําอะไรไมหุนหันหางความพลั้งพลาดอันเปนเหตุวิปฏิสารเมื่อภายหลัง เหตุดังนั้นโสรัจจะจึงเปน
มงคลอันล้ําเลิศ ใหเกิดวุฒสิ ิริสวัสดิจ์ ัดเปนประการที่ ๒ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๔๓-๓๔๔.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๖ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
โสรจฺจคาถา
๑.ปฐยาวัตร
โสรจฺจฺหิ มยาทานิ โสตารานํ ปวุจฺจเต โส ภิกฺขุ นานุกุพฺเพยฺย ตํ กมฺมมสฺส ภิกฺขุโน
รุจิ โข โสภเณ ธมฺเม โสรจฺจนฺติ ปวุจฺจติ สงฺโฆ สมฺมา ปกาเสยฺย ปฏิฆฺเจ มเน ยทา
อฺญโปเสน วา สทฺธึ วิวาทํ กลหํ อุท อุปฺปชฺเชยฺย ตทา วูป- สเมยฺย ขนฺติยา อุท
กาตุ อนิจฺฉตากาโร โสรจฺจนฺติ ปวุจฺจติ โสรจฺจปุณฺณโก กมฺมสฺ- สกตาสรเณน วา
วิวาโท เจ สมุปฺปชฺเช โสรจฺจปุณฺณโก ชโน อิทฺหิ ขนฺติโสรจฺจํ อฺญมฺญสฺส ปจฺจโย
เอตํ มทฺทวโต วูป- สเมติ สุฎุ นิจฺฉยํ โสรโต อธิวาเสตุ สกฺโกตินิฏฐการณํ
กาตุ เวมชฺฌิกํ โปสํ นิโยเชติ จ ธมฺมิกํ ๒.อินทรวงศ
เวมชฺฌิกสฺส เจตสฺส วจนํ อนุกุพฺพติ โสรจฺจโต อฏฏิยมานมตฺตโน
สกฺกสํยุตฺตวตฺถุมฺป มยาทานิ ปวุจฺจเต จิตฺตํ สเมตฺวาน สเมน ขนฺติโก
เทวานํ อสุรานฺจ สงฺคาโม ปจฺจุปฏฐิโต สกฺโกติ กาตุ หสนาธิกํ อิเม
เวปจิตฺติ ยุคคฺคาหํ คณฺหณาย ปุรินฺททํ ธมฺมา หิ เอวํ ยุคนทฺธภูตกา
สมาทเปสิ สกฺโก ตุ กถํส อนุกุพฺพติ ๓.อินทรวิเชียร
เทวา จ อสุรา ปาริ- สชฺชํ เทวํ วินิจฺฉยํ โสรจฺจปุณฺโณ สติมา สมาโน
ปกุพฺพิตุ นิโยเชนฺติ เวปจิตฺติสุริสฺสโร ทีฆํ วิจาเรน สเมน ทิสฺวา
พาลํ อาณาย วิทฺธํเส อิจฺเจวํ ตาว ภาสติ ปจฺฉาตฺถิ ยํ วิปฺปฏิสารกมฺมํ
ปสํสติ ตุ โกสินฺโท ขนฺติธมฺมํ คุณุตฺตมํ โน ตํ กโรตี สหสา นิพทฺธํ
สํวตฺตติ ปหาราย ภาสิตํ เวปจิตฺตินา ๔.ปฐยาวัตร
สํวตฺตติ ตุ ธํเสตุ เหฐนํ สกฺกภาสิตํ ตสฺมา หิ อิติ โสรจฺจ- ธมฺโม อุตฺตมมงฺคโล
วุฑฺฒึ สิริฺจ โสตฺถิฺจ สมุปฺปาเทติ กุพฺพโตติ ฯ
เทวรฺโญ ชโย โหติ อิตรสฺส ปราชโย
อถวา ปุคฺคลานฺจ รฏฐานํ อถ อนฺตเร
วิวาโทป สิยา เอโส สมานฉนฺทเมสตา
เวมชฺฌิกํ นิโยเชตฺวา พฺยตฺตํ นิจฺฉยการกํ
สมฺมา วูปสเมตพฺโพ อิธ ลามกภิกฺขุโน
ปพฺพาชนียกมฺมฺจ กาตุ สงฺโฆ มเหสินา
อนฺุญาโต อนาจารํ ปกาเส ตติยํ ยทิ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๗ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
สัจจะนั้นไดแกความซื่อตรงในกันแลกันเปนธรรมผูกพันความสามัคคีในระหวางมิตรใหสนิท
มั่นคงขาดสัจจะแลวสามัคคียอมไมเปนไปได.สามีภรรยาวางใจกันลงไปไมไดยากเพื่อจะปรองดองกัน
มีแต ระหองระแหงตา งอยู ไมเ ปนสุ ขหรื ออย ารา งกัน ไปก็ ได ต อได เห็น ความซื่อ ตรงของกันแลกั น
จึงถูกใจกันอยูรวมกันดวยความพรอมเพรียงญาติตอญาติมิตรตอมิตรคิดระแวงกันยากเพื่อจะรวมใจ
กันในกิจการตอไดเห็นความซื่อสัตยของกันแลกันแลวจึงปลงใจลงดวยกันโดยที่สุดคนทําการซื้อขาย
ด ว ยกั น คิ ด เอารั ด เอาเปรี ย บกั น ย อ มทํ า ด ว ยกั น ไม ยื ด ต อ ทํ า ตรงไปตรงมาจึ ง สมั ค รทํ า ด ว ยกั น
สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ สัจจะชื่อวาเปนรสดีกวารสทั้งหลายอื่นรสแหงโภชนาหารอันอรอยก็เพียงชวน
ใหกลืนอาหารคลองรสคือกามคุณก็เพียงชวนใหเพลิดเพลินในการดูการฟง การดม การลิ้ม การ
ถูกตอง อั นเจืออยูด วยโทษในเมื่อเกิน พอดี สวนสัจจะเปน รสใหเกิด ความยิน ดีของผูได เห็นใจกั น
ผูกพันสามัคคีไวมั่นคงยังประโยชนใหสําเร็จยืดยาวสัจจะนี้เปนธรรมของทานผูสูงสุดในชุมนุมชน
ในฝายพระศาสนาจัดเปนพระบารมี ประการหนึ่ง โดยชื่อวาพระสัจจะบารมี ในพระบารมี ๑๐ ทัศ
แหงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาที่ไดทรงบําเพ็ญมาแตครั้งเสวยพระชาติเปนพระโพธิสัตวจึงจัดได
อีกอยางหนึ่งวาเปนพุทธการกธรรมคือคุณทําใหเปนพระพุทธเจาขาดสัจจะเสียแลว ความสําเร็จ -
พุ ท ธภู มิ ย อ มมี ไ ม ไ ด เ ลยคํ า สอนในศาสนาที่ ข าดสั จ จะแล ว จั ด ว า เป น คํ า ที่ ก ล า วชอบมิ ไ ด เ ลย
ในพระพุทธศาสนา ไดจัดการรักษาสัตยไว ในสวนศีลเปนองคที่ ๔ แหงเบญจศีลในธรรมจริย า
สวนวจีสุจริตเปนองคที่ตนแลเปนองคที่ ๓ แหงอัฏฐังคิกมรรค โดนนัยนี้ชนผูขาดความสัตย จักเปน
ผูมีศีลจักเปนธรรมจารี จักเปนอารยบุคคลมาไดไม
ในฝายอาณาจั กรสัจจะจัดเปนราชธรรมประการหนึ่งโดยชื่อว าอาชวะคือความเป นผูตรง
ในทศพิ ธ ราชธรรมสํ า หรั บ พระราชาธิ บ ดี ใ นเรื่ อ งโบราณกล า งถึ ง พระราชาบางพระองค พ ลั้ ง
พระราชทานพรแกผูใดผูหนึ่งแลวทรงรูสึกภายหลังวาเปนการเกินสมควรยอมอักอวนพระราชหฤทัย
ไมนอยในที่สุดตองปลอยเลยตามเลย เพื่อจะแสดงวา พระราชา ยอมทรงหนักอยูในการรักษาสัตย
อันทานผูเปนพระราชาครองแผนดิน ไมใชเพียงตั้งอยูในสัจจะดวยพระองคเองยังชักนําพสกนิกรให
ตั้งอยูในสัจจะดวย เชนตั้งกฎหมายปองกันการหลอกลวงแลเบิกพยานเท็จเปนตน เอกชนก็ดี ชุมนุม
ชนก็ดี ผูมีธุระเกี่ยวถึงกันทําสัญญากันเนื่องดวยกิจการนั้นก็เพื่อผูกพันกันใหตั้งอยูในสัจจะ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๕๙-๓๖๐.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๘ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
สจฺจคาถา
๑.อินทรวิเชียร ๒.ปฐยาวัตร
ยา อฺมฺเ อุชุตาตฺถิ เอสา อโหสิ โภชนาหาร- รโสชฺโฌหริตุ สุขํ
สจฺจนฺติ ปฺายติ ตฺหิ สจฺจํ อโหสิ นนฺทนตฺถาย ภิยฺโย กามคุโณ รโส
มิตฺตาน สามคฺคิปพนฺธิกํ โย ตุฏฐาวหํ ตุ สจฺจํทํ วิสฺสาสิกาน ทฬฺหโต
ปจฺฉินฺนสจฺโจ ภวตี ส ตสฺส สามคฺคึ พนฺธตี จตฺถํ สาเธติ ทีฆกาลโต
สามคฺคิธมฺโม น ปวตฺตตี เทว คณุตฺตมสฺส โปสสฺส ธมฺโม โหติ อิทํ วรํ
ชายปฺปตีกา อปยุตฺตสจฺจา
สจฺจฺจ ปากฏา สจฺจ- ปารมี อิติ นามโต
ทุกฺเขน สมฺพนฺธกรา วิวาทํ
โลกนาถสฺส พุทฺธสฺส ภวตี เอกปารมี
นิจฺจํ กโรนฺติ จ วสนฺติ ทุกฺขํ
เต วา ปกุพฺพนฺติ วิวาหโลป พุทฺธการกธมฺโม จ สจฺจสฺส หิ อภาวโต
ทิสฺวาฺมฺสฺส ปเนว สจฺจํ พุทฺธภูมิ วรา นตฺถิ สจฺจายุตฺตมฺป สาสนํ
สามคฺคิยา สพฺพธิ สํวสนฺติ น สฺวากฺขาตนฺติ โวหารํ นิคจฺฉติ อสจฺจโก
อตฺตตฺถเปกฺขา กยวิกฺกยีโน สจฺจาสมปฺปโต โปโส สีลวา ธมฺมจาริโก
กาตุ น สกฺโกนฺติ ปฏิจฺจ สจฺจํ อารยปฺปุคฺคโล เจว น ภวิสฺสติ ราชิโน
สกฺโกนฺติ กาตุมฺปน เตน วุตฺตํ เอโก ธมฺโม วโร หุตฺวา อาชฺชวํ อิติ นามโต
สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ ปฺายติ อิทํ สจฺจํ ราชา อฺตโร วรํ
อิจฺจสฺส สจฺจสฺส ปสํสนตฺถํ ยสฺส กสฺสจิ โปสสฺส ปมาเทน อทาสิ โส
๓.อุเปนทรวิเชียร ปจฺฉา ปน ปชานิตฺวา มยา นิยฺยาทิโต วโร
ปติฏฐิโต นสฺส สยฺจ สจฺเจ อนนุจฺฉวิโก โหติ อิจฺเจวํ หทยมฺหิ น
สมาทเป ตตฺถ ปชฺจ ราชา สุขํ ลภติ อนฺเต ตํ อธิกิจฺจํ น เปกฺขติ
นิวารณตฺถํ กุหนาย เอโส ขตฺติโย สจฺจวาจาย ปติฏ าตีติ ทสฺสิตุ
ปยุตฺตสจฺโจป เปยฺย เนตึ ๔.ปฐยาวัตร
สหการี หิ ปจฺเจก- ชโน วา ชนตา อุท
ปติฏ าปยิตุ อฺ- มฺ สจฺเจ หิตาวเห
ตํกิจฺจปริยาปนฺนํ สาตฺถํ สฺ ปกุพฺพตีติ ฯ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ วิวาหโลป(ปุง)-การตัดออกการวิวาห,อยาราง ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๙ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
ยาจโยคตาอันบุคคลจะบําเพ็ญใหเปนผลดีตองพรอมดวยอาการ ๒ คือมีกําลังทรัพยพอ
จะทําไดไมถึงตนเองตองกลับเปนผูขาดแคลนยากจน ๑ การอุปถัมภนั้นชวยผูขอใหพนจากความขาด
แคลนหรือเพียงพยุงตน ใหทรงตนอยูได ๑ ถาเปนแตสักวา มีคนขอก็ใหเพื่อสมความปรารถนา
ของเขาเชนนี้ลางทีกลับแตจะใหโทษแกผูรับไดทําเขาผูไดงายเปนคนสุรุยสุรายไมรูจักประหยัดทรัพย
ยวนความยากไดของเขาใหเจริญขึ้นถึงความเปนคนมักขอเปนที่เบื่อหนายของผูอื่น.สมเด็จพระบรม
โลกนาถเมื่อครั้งเสวยพระชาติเปนพระเวสสันดรทรงบําเพ็ญพระทานบารมีไดเคยทรงทดลองมาแลว
ไมเปนผลครั้งนั้นพระองคมีพระหฤทัยเผื่อแผแกมหาชน ทรงจําแนกนิพัทธทาน ที่ทรงทําเปนประจํา
แลมหาทานเปนพิเศษ ใครตองการ อาหาร เงินทอง ยานพาหนะขาทาสแลอื่น ๆ ก็พระราชทานให
สมปรารถนาบรรดาชนผูไ ดรับพระราโชปถัมภนาจะตั้งตนไดในโภคสมบัติแลรูจักอิ่มเอิบหาเปนเชนนั้น
ไม กลับอยากไดแลขอพระราชทาน สิ่งอื่น ๆ อีกตอไป จนไมรูจักประมาณ มงคลคชสารแลราชรถ
กําลังทรงก็ยังกลาขอพระราชทานไมยําเกรงแลเคารพในพระราชานุภาพไมเพียงเทานั้น พราหมณ
ชูชกยังกํ าเริบเหลือดีเ พียงภรรยาตอ งการทาสทาสี ทองมีก็ ไมปรารถนาจะชวยคนมาใช เห็นทาง
จะไดเปลาโลภจนไมรูสํานึกตน กลาทูลขอสองพระลูกเจาในคราวเสด็จออกอยูปาทรงบําเพ็ญพรต
ที่มีแตพระมัทรีกับสองพระโอรสพระธิดาเปนเพื่อนยากจนพระอินทรตองจําแลงเปนพราหมณมาจาก
เทวโลก ทูลขอพระมัทรีแลวมอบถวายไว สวนสองพระโอรสพระธิดาที่พราหมณชูชกทูลขอแลวไดมา
ความทราบถึงพระสัญชัยสีวิราช พระราชทานปราสาท แลโภคสมบัติอยางอื่นไถสองพระราชนัดดา
มิใชวาทําชูชกใหเปนสุขสมบูรณ กลับเพิ่มพูนความไมรูจักประมาณในการบริโภคสมบัติ จนถึงเปน
อันตรายชีวิตแตการบริจาคเห็นปานนั้นของพระองคไมสําเร็จประโยชน แกผูไดรับคุมกับประโยชน
สวนพระองคที่ทรงพราลงไปกลับยวนใหเขาเปนผูอยากได จนไมรูจักประมาณแมเปนทูเรนิทานคือ
เรื่องไกลไมเปนหลักแท แตก็พอเปนคติแหงผูจะขอแหงผูจะรับได ฯ
ตอมาในปจฉิมชาติทรงสันนิษฐานเห็นการบําเพ็ญพระทานบารมีแมอยางนั้นแลวยังไมอุกฏษฏ
เพราะขาดประโยคสมบัติจึงทรงออกทรงผนวชทรงนอมพระชนมชีพของพระองคเพื่อเปนประโยชน
แกมหาชนทั้งเทวดาทั้งมนุษยในทางเปนพระศาสดาสั่งสอน นี้เปนพระทานบารมีอยางปรมัตถ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๘๖-๓๘๗.
+ ออกสอบแตงไทยเปนมคธ ป.ธ.๙ / ป๒๕๕๖ .
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๑๙ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
ยาจโยคตาคาถา
๑.ปฐ ยาวัตร
ปริปูเรตุกาเมน ชเนน ยาจโยคตา ตํวตฺถุการณา สกฺโก ทิชวณฺเณน อาคโต
ทฺวีหากาเรหิ กาตพฺพา สธโน จิธ ทายโก ยาจิตฺวา โพธิสตฺตสฺส มทฺทึ เทวึ ปุนสฺส ตํ
ทาตุ สกฺโกติ ทตฺวา น สยํ ทลิทฺทชาตโก ปฏิเทติ อุภินฺนนฺตุ นตฺตุภูตานมตฺตโน
ภวตี ยาจโก จสฺส ทาเนน อติกิจฺฉโต กุมารานํภิยาจิตฺวา ชูชกปฺปฏิลทฺธตํ
มุจฺจตี อุท ยาเปตุ สกฺโกติ วา สเจธ โก ชานิตฺวา สฺชโย ราชา ปาสาทฺจสฺส กิงฺกเร
อาคโต ยาจตี ตสฺส วิตฺตํ ทเท ยถิจฺฉิตํ อฺ วิตฺตํ กุมารานํ นิกฺกยํทาสิ โส ปน
เอวํ ยาจกภูโต โย ปฏิคฺคาหกปุคฺคโล ชูชโก อติมตฺเตน ภุตฺตาหารา สยํ มโต
ตสฺส โทโส สิยา วิตฺตํ สุเขน ปฏิคาหโก ทูเรนิทานภูตฺหิ กิฺจาป ยาจโต ปน
ลภนฺโต วิกิริตฺวาน ธนํ โภควลฺชเน ททโต คติภูตมฺป สิยา อิทํ นิทสฺสิตํ
อมตฺตฺู สิยา สพฺพํ ตฺจ ทานํส ลุพฺภนํ ๒.อินทรวงศ
วฑฺเฒยฺยาป อธิคฺคจฺเฉ เอโส ยาจนสีลตํ โส โพธิสตฺโตนฺติมชาติยํ มยา
ปเรสํ โหติ เชคุจฺโฉ เอสา หิ ยาจโยคตา ยา สา ตถา ปูริตทานปารมี
เสฏาตฺถิ สมฺปตฺติปโยคฉิชฺชนา
เวสฺสนฺตเรน สพฺพตฺถ กตปุพฺพา อโหสิ ตํ
ตสฺสา อนุกฺกฏกตาติ จินฺตยี
ทานํส นิปฺผลํ โหติ เวสฺสนฺตโร สุทํ วโร
๓.อินทรวิเชียร
นิพทฺธํทาสิ ทานานิ มหาชนสฺส โก อิธ
ตสฺมาภินิกฺขมฺม ปชาย สตฺถา
ยํ อาหาราทิวตฺถูสุ อิจฺเฉ ตสฺส ยถิจฺฉิตํ หุตฺวา สเทวสฺส มหาชนสฺส
ตํทาสิ เต หิ ราโชป- ถมฺภิตา เตสุ เอกธา สาเธสิ อตฺถํ ปรมตฺถทานํ
ปติฏฐ าเปยฺยุมตฺตานํ มฺเ อุท ยาจเน อิจฺเจวมกฺขายติ ตํส ทานนฺติ ฯ
ติตฺตกา วา สิยุ มฺเ เนเต ภวนฺติ ตาทิสา
เอเต ชนา อมตฺตฺู อิจฺฉนฺติ อุตฺตรุตฺตรึ
อปรานิป วตฺถูนิ ยาจนฺติ เกจิ ยาจกา
หตฺถึ รถฺจ ยาจึสุ ยทา เวสฺสนฺตโร วโร
โพธิสตฺโต สมทฺที จ สกณฺโห จ สชาลิ จ
ตปสฺส จรณตฺถาย ปวิฏโ โหติ วงฺกตํ
ตทา วณิพฺพโก เอโก ชูชโก นาม พฺราหฺมโณ
วงฺกตปฺปพฺพตํ คนฺตฺวา อุโภ ยาจิ กุมารเก
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ นิกฺกย(ปุง)-คาไถ,กิงฺกร(ปุง)-บาว,ไพร,คนรับใช ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๐ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
อีกอยางหนึ่งชนผูเปนมิตรแหงกันประพฤติตนตามฉันที่เปนมิตรมีจิตคงที่ไมแปรผันในเวลาที่
ฝายหนึ่งไดดีผิดวากันหรือฝายหนึ่งเสื่อมทรามลงไปดังนี้ไดชื่อวาประพฤติตนสม่ําเสมอในมิตรธรรม
อันมิตรนี้ถึงแมจะมิใชญาติแตคบกันสนิทแลวก็เหมือนญาติที่สนิทเมื่อกิจเกิดขึ้นก็ยอมเปนกําลังชวย
ใหสําเร็จไปไดและเปนผูรูสึกดวยในสมบัติวิบัตกิ ็แตมิตรนี้มีประเภทตาง ๆ เมื่อยนกลาวก็เปน ๒ ขอ
คือปาปมิตรสหายที่เปนคน ไมดีกลาวโดยอริยโวหารวามิตตปฏิรูปคนเทียมมิตรก็มี กัลยาณมิตร
สหายทีเ่ ปนคนดีที่จัดเปนมิตรแทก็มแี ละกิริยาที่คบมิตรเลาก็ผิดกับกิริยาที่นับถือญาติบุคคลนับถือกัน
วาเปนญาติก็เพราะนับถื อวาเปนผูเนื่องกันทางฝายมารดาหรือฝายบิด าแตจะคบกันเปนมิตรนั้ น
ก็เพราะเปนผูถูกอัธยาศัยรวมกันในกิจการนั้น ๆ การคบมิตรจึงเปนสําคัญปจจัยภายนอกที่จะจูงให
บุคคลถึงความเสื่อมหรือความเจริญเหตุดังนั้นพุทธาทิบัณฑิตจึงหามคบปาปมิตรเสียแนะนําใหคบแต
กัลยาณมิ ตรและกัลยาณมิ ตรนั้นท านพรรณนาวาเปนป จจั ยแห งความเจริ ญดว ยโภคสมบัติ และ
ความเจริญดวยคุณสมบัติทั้งที่เปนสวนโลกิยะและโลกุดรเมื่อผูใดไดกัลยาณมิตรแลวก็พึงผูกใจ
ดวยสังคหวิธีตามสมควรขอนี้พึงสันนิษฐานโดยพระพุทโธวาทตรัสสอนสิงคาลมาณพคฤหบดีบุตร
ในสิงคาลสูตรวา ปฺจหิ โข คหปติปุตฺต าเนหิ กุลปุตฺเตน อุตฺตรา ทิสา มิตฺตามจฺจา ปจฺจุปฏา-
ตพฺพา ดูกอนคฤหบดีบุตรมิตรอมาตย ทิศเบื้องซาย อันกุลบุตรพึงบํารุงดวย ๕ สถานคือ ทาเนน
ดวยการใหปนทรัพยพัสดุตามสมควร๑เปยฺยวชฺเชน ดวยเจรจาที่ไพเราะดื่มไวในใจ๑ อตฺถจริยาย
ดวยประพฤติประโยชนแกกันในคราวที่ตองการ๑ สมานตฺตตาย ดวยความเปนผูมีตนสม่ําเสมอ๑
อวิสํวาทนตาย ดวยความไมแกลงกลาวใหผิดจากจริง๑ สมานัตตตา ความเปนผูมีตนสม่ําเสมอ
ในมิตรธรรมพึงใหเปนไป ในบุคคลผูเปนมิตรตามสมควรฉะนี้ ฯ
อี ก ประการหนึ่ ง ชนผู นั บ เนื่ อ งในหมู เ ดี ย วกั น เป น พวกเดี ย วกั น ไม คิ ด เอารั ด เอาเปรี ย บ
ตางรักษาประโยชนของกันดังนี้ไดชื่อวาประพฤติตนสม่ําเสมอในตัปปริยาปนนธรรมคือธรรมของชน
ผูเนื่องในหมูนั้น ๆ ธรรมดาชนผูเนื่องในหมูเมื่อคิดจะรักษาประโยชนตนก็ตองรักษาประโยชนผูอื่นดวย
เหมือนกันประโยชนของตนจึงจะมั่นคงถาวร ถาเห็นแตไดและตัดรอนประโยชนผูอื่นประโยชนตน
ก็จะไมยั่งยืนอยูไดเหมือนดังไมหลาย ๆ อันที่ตั้งยันกันอยูมีผูชักออกเสียจนมีกําลังไมพอที่จะทานกัน
ไวไดก็ตางจะตองลมฉะนั้น. เหตุดังนี้ สมเด็จพระบรมโลกนาถเจาจึงตรัสสั่งสอนคนที่เปนหมูเหลา
ใหประพฤติถอยคําที่รักษาประโยชนของกันและกัน ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๘-๓๙.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๑ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
มิตตฺ ธมฺเม สมานตฺตตาคาถา
๑.อินทรวิเชียร ๒.ปฐยาวัตร
มิตฺโตฺญมฺญสฺส สุหชฺชภูโต ปาปมิตฺโต จ กลฺยาณ- มิตฺโตติ โหติ ทุพฺพิโธ
มาเนติ ปูเชติ จ อฺญมฺญํ โส มิตฺตปฏิรูโปติ เอวํ สงฺขํ นิคจฺฉติ
โส ตุ กลฺยาณมิตฺโตป สุหโทติ ปวุจฺจติ
มิตฺตสฺส สมฺปตฺติวิปตฺติกมฺเม
มิตฺตสฺส เสวนา โหติ น ญาติมานนาสมา
ตาที จ โหเต อิติ มิตฺตธมฺเม
มาตุยา ปตุ วา ปกฺข- โตฺญมฺญสฺส ญาติตํ
เอโส สมานตฺตตมจฺจุเปโต
มาเนติ ปุคฺคโล มิตฺโต สมานชฺฌาสโย ปน
มิตฺโต อยํ โหติ อญาตภูโต
สหกุพฺพติ กิจฺจานิ ตสฺมา มิตฺตสฺส เสวนา
วิสฺสาสปตฺโต ปน อฺญมฺเญ
ปุคฺคลํ อุปเสวนฺตํ วุฑฺฒิยํ อุท หานิยํ
ญาตี สินิทฺโธ อิติ เวทิตพฺโพ
๓.อินทรวงศ นิโยเชตุมฺป สกฺโกติ ปาปมิตฺตสฺส เสวนา
เอกนฺตโต เจ ส สทตฺถเปกฺขโก ปณฺฑิเตหิ ปฏิกฺขิตฺตา กลฺยาณมิตฺตเสวนา
ภฺเช ปรตฺถํ อจิรฏฐิโต จ โส พุทฺธาทีหิ อนฺุญาตา กลฺยาณมิตฺตลทฺธโก
สพฺโพ สทตฺโถป อถาวโร สิยา สิยา โย ปุคฺคโล นาม โส สุฏุ ตสฺส มานสํ
ตสฺมา คิหีนฺจ ชิเนน ภาสิตา สมฺมาปาเสยฺย ทาเนน อิจฺจาทิปฺจภาคโต
ภิกฺขูน โหเต อนุสาสิตา สทา นานาสงฺคหวตฺถูหิ มิตฺตธมฺเม หิตาวหา
วาจาฺญมฺญสฺส หิตานุรกฺขิกาติ ฯ สา สมานตฺตตา มิตฺเต ภาเวตพฺพา ยถารหํ
อถวา ปุคฺคลา สพฺเพ เอกคฺคณนิวาสิโน
อฺญมฺญฺจ มาเนนฺติ ปรตฺถภฺชเนน จ
อตฺตทตฺถํ น เปกฺขนฺติ สพฺพตฺถํ สฏุ รกฺขเร
เอวํ ตปฺปริยาปนฺน- ธมฺเมสุ เตป ปุคฺคลา
สมฺจรนฺติ นามตฺต- ทตฺถํ ตุ อนุรกฺขตา
ปรตฺโถ รกฺขิตพฺโพตฺต- ทตฺโถ โหหิติ ถาวโร
สันตินั้นคือความสงบเปนผลสืบมาแตสหกรณเปนคุณสมบัติอันจะพึงปรารถนาทั้งทางคดีโลก
ทั้งทางคดีธรรม.ในทางคดีโลก การปกครองตั้งแตของชนผูเปนอธิบดีแหงสกุลแหงคณะตลอดถึง
พระราชอาณาจั ก รมี สั น ติ เ ป น ข อมุ ง หมายอั น ใหญ . คนในสกุ ล เกิด ทะเลาะวิ ว าทกั น คนในคณะ
เบียดเบียนทํารายกันตางอยูไมเปนสุขหัวหนาของสกุลของคณะจําคิดปองกันการทะเลาะวิวาทแล
การเบียดเบียนกันไมใหเกิดขึ้น แลระงับเหตุอันเกิดขึ้นแลว รักษาการอยูสงบเปนนิตย.ไมเพียงเทานั้น
เปนอริกันขึ้นกับสกุลหรือคณะอื่น เปนตนวา ที่อยูติดกันหรือมีประโยชนรวมกัน ผลอันไมพึงปรารถนา
จะพึงมีมาแตภายนอกหัวหนาทุกฝายจําทําไมตรีรูจักมักคุนกันตางจึงจักอยูเปนสุข.ราชอาณาจักร
มีโจรผูรายทําโจรกรรมปลนทรั พยลอบยิงผลาญชีวิตทํารายรางกายชุกชุมประชาราษฎรตองอยู
ดวยความหวาดเสียว วางใจในชีวิต รางกายแลทรัพยสมบัติลงมิได. เพราะเหตุนั้นเมื่อพระเจามหา
วิชิต ราช ทรงพระปรารภจะบู ชามหายัญพราหมณ ปุโรหิต จึงกราบทูล ขอเพื่อ ทรงระงั บโจรผู รา ย
เสี้ยนหนามแหงแผนดินใหราบคาบยังพระราชอาณาเขตใหเกษมสงบเปนเบื้องตนกอน
แลกราบทูลแนะอุบายถวายพระเจามหาวิชิตราชทรงทําตามระงับเสี้ยนหนามแผนดินราบคาบ
ยังประชาราษฎรใหอยูดวยความสุขเกษมที่แสดงวายังบุตรใหฟอนอยูที่อกอยูราวกับไมตองลงลิ่ม
ประตูเรือนดังชักมาถวายวิสัชนาแลวในอธิการแหงสหกรณ แตนั้นจึงไดทรงบูชามหายัญสําเร็จดวยดี
ประชาราษฎรยกพระเจามหาสมมติราชผูเปนเจาปกครองแลยอมแบงผลแหงการงานของตน ถวาย
เปนราชพลี ก็เพื่อวาจะไดทรงรักษาความสงบแหงตนที่ไมอาจทําตามลําพังตนเองได ฯ
เนื่องจากประเพณีนี้ ทานผูครองอาณาจักรตั้งกฎหมายไวเพื่อลงโทษผูทําผิดแลระงับวิวาท
เรื่องทรัพยกับรักษาสิทธิ์แลอิสรภาพของทวยประชาตั้งศาลไวพิจารณาชี้ขาดจัดอารักขาเพื่อปองกัน
อุบาทวภยันตรายแกโจรผูรายแลจัดการอยางอื่นอีก ก็เพื่อรักษาความสงบภายใน.จัดเสนาสะสม
ศัส ตราวุ ธ ยุ ท ธภั ณ ฑเ สบี ย งพาหนะแลอื่ น ๆ ก็ ดี ผู ก ไมตรี มี สั ญ ญาต อ กั น กั บต า งอาณาจั ก รก็ ดี
ก็เพื่อรักษาความสงบภายนอก.สันติเปนผลตนเคาแหงรัฐประศาสนสําเร็จดวยอํานาจกําลังทรัพย
อันพึงนับมิไดทั้งดวยสติปญญาอุตสาหะสามารถแลสหกรณเปนกิจอันจะพึงทํากอนอยางอื่นทั้งนั้น ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๑๑-๓๑๒.
+ ออกสอบแตงไทยเปนมคธ ป.ธ.๙ / ป ๒๕๕๒ .
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๓ / ๒๕๖๐-๒๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
สนฺตคิ าถา ๑
๑.ปฐยาวัตร ๔.ปฐยาวัตร
สหกรณสมฺภูตา คิหินา อุท ภิกฺขุนา ตสฺมา กิร มหายฺญ- ปูชนํ กาตุกามโก
สมิจฺฉิตพฺพสมฺปตฺติ โหติ สนฺติ กุลสฺส จ มหาวิชิตราชาป ปุโรหิเตน อตฺตโน
คณสฺส ปมุโข โปโส อาณาจกฺกิสฺสโร อุท อาโรจิตวิธาเนน รฏฐํ วูปสเมติ จ
สพฺพํ ปสาสนํ กุพฺเพ สนฺติปฺปรายนํ สทา อาณาจกฺกสฺส สพฺพตฺถ กณฺฏกฺจ ปมทฺทติ
มนุชา กุลวาสี วา คณวาสี อภิกฺขณํ รฏเ ปชํ นิวาเสติ สุขเขเมน สพฺพทา
วิวทนฺติ วิหึสนฺติ อฺญมฺญํ ปทุสฺสเร ตปฺปจฺจยา ปชา ลทฺธา อสฺสาทํ โภคชีวิเต
เอเตสํ สุขสํวาโส นตฺถิ สนฺติสมปฺปตํ วิชาตมาตุยา ปุตฺโต อุเร นจฺจาปโต วิย
วิธานมฺปน เอเตสํ ปมุเขน ยถาพลํ สพฺพโส ฆรทฺวาเรสุ อคฺคลานํ อภาวโต
กาตพฺพํ โหติ วาเรตุ วิวาทฺจ วิเหฐนํ ภวตี สุขสํวาสา นิพฺภยา จ สุเขธิตา
๒.อินทรวิเชียร มหาวิชิตราชา ตุ มหายฺสฺส ปูชนํ
เย เตปจาสนฺนฆเร วสนฺติ สเมน สุฏุ สาเธติ ตสฺมา หิ รฏฐิกา ชนา
กิจฺจํ อเนกํ สหกุพฺพเร วา มหาสมฺมติราชานํ อุทฺทิสฺส อตฺตนา กโต
เอเต สมคฺคา น ภวนฺติ เอวํ โย กมฺมนฺโตตฺถิ เอตสฺส ผลํ ราชพลึ อทุ
เตสํ อนิฏฐํ อุปสคฺคกมฺมํ ปเวณิยา อิมายาณา- จกฺกิสฺสรา สุทํ ชนา
อุปฺปชฺชิยา ตํปมุโข ตุ เตสํ อนฺโตสนฺตฺยาภิรกฺขาย โย ทุจฺจริตการโก
สมฺมาฺญมฺเญสุ วิสาสกิจฺจํ ตสฺส ทณฺฑํ ปเณตฺุจ วิวาทฺจ นิวาริตุ
กุพฺเพยฺย เมตฺตาย อเถว เอเต ฐเปนฺติ นิติปฺญตฺตึ นานฏฏํ สุวินิจฺฉิตุ
โปสา วสิสฺสนฺติ สุเขน ภิยฺโย โวหาริกาน สาลฺจ เปนฺติ โจรอาทิภิ
๓.วสันตดิลก ภยานํ ปฏิพาหาย คุตฺตึ สํวิทหนฺติ จ
โจรา พหู อติกโรนฺติ จ โจรกมฺมํ พหิสนฺตฺยาภิรกฺขาย อาณาจกฺกิสฺสรา ชนา
ฆาเตนฺติ รฏฐิกปชฺจ สรีรมสฺสา เสนํ วา ยุทฺธภณฺฑานิ สชฺเชนฺติ อาวุธานิ วา
ปเฬนฺติ ตาสปฏิยุตฺตมเนน ชีวํ สห อฺเญหิ รฏเฐหิ เมตฺตึ พนฺธนฺติ เอกโต
กปฺเปติ ชีวิตธเนสุ ปชา นิราสา เอวํ สติ อยํ สนฺติ สทา รฏฐปสาสเน
อิจฺฉิตพฺพา จ กาตพฺพา สพฺพปฺปฐมมุตฺตรินฺติ ฯ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๔ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
อธิษฐานบารมีคําวาอธิษฐานะที่เรามาพูดใชเปนภาษาไทยวาอธิษฐานไดแกความตั้งใจมุงมั่น
ซึ่งทุก ๆ คนจะตองมีกิจที่พึงทําทุกอยางคนทุกคนทําอยางไรมีความตองการในผลที่จะพึงไดจากการ
กระทําความสําเร็จคือการไดบรรลุถึงผลนั้นตองอาศัยธรรมะขอหนึ่งคืออธิษฐาน ไดแกความตั้งใจ
มุงมั่นดังกลาวแลวและจําตองมีอธิษฐานทั้งในผล ทั้งในเหตุเชนในการศึกษาเลาเรียนตองมีอธิษฐาน
ในผลคือความสําเร็จการศึกษาในเหตุคือทําการศึกษาไปโดยลําดับในการงานตองมีอธิษฐานในผล
คือความไดทรัพยยศเปนตนในเหตุคือการทํางานใหดีในดานความดีตองมีอธิษฐานในผลคือความมี
เกียรติดวยความดีในเหตุคือความเวนความชั่วทําความดี คนโดยมากมักอธิษฐานในผลที่ตนชอบอยู
ดวยกันทั้งนั้นเชนตั้งใจมุงมั่นจะเปนนักปราชญจะเปนเศรษฐี จะไดนั่นไดนี้เปนนั้นเปนนี่ตางๆ แตขาด
อธิษฐานในเหตุคือความตั้งใจมุงมั่นในอันที่จะประกอบเหตุใหสมแกผลที่ประสงคเชนเกียจครานที่จะ
เลาเรียนเขียนอาน จะใหเปนนักปราชญขึ้นมาเองเกียจครานที่จะประกอบอาชีพในทางที่ชอบเก็บหอม
รอมริ บสะสมขึ้ น โดยลํ าดั บเหมื อ นอยา งก อไฟกองน อยให คอ ยโตขึ้น จะให เป นกองโตขึ้ นมาทั น ที
ไมชอบที่จะเวนความชั่วทําความดีหรือจะกลาวอีกอยางหนึ่งวาชอบทําชั่วไมชอบทําดีแตก็อยากเปน
คนมีเกียรติมีความดี ใครวาไมดีเปนไมไดฉะนั้นอธิษฐานในเหตุจึงเปนขอสําคัญคือตั้งใจมุงมั่นในการ
ทํ า เหตุ ใ ห ไ ด ผ ลที่ ป ระสงค ใ ห ดํ า เนิ น ไปโดยสม่ํ า เสมอมี ค วามเพี ย รคื อ พยายามทํ า ไปมี ขั น ติ
มีความอดทนมีสัจจะคือความจริงและรักษาอธิษฐานคือความมุงมั่นตั้งใจไวเสมอ
ตามที่กลาวมานี้จะเห็นไดวาวิริยะเพียร ขันติอดทน สัจจะจริง และอธิษฐานะทั้ง ๔ ประการนี้
เปนธรรมะที่มีประกอบกันอยูเมื่อยกขึ้นขอหนึ่งก็ยอมมีอีก ๓ ขอประกอบดวยเสมอ ไมเชนนั้นจะมี
ไมไดเลยสักขอเดียวเชนอธิษฐานความตั้งใจมุงมั่นในที่นี้ถาไมมีอีก ๓ ขอ เปนอธิษฐาน ก็สําเร็จ
อธิษฐานขึ้น มาไมได ทานไดเล าชาดกแสดงพระโพธิ สัตวทรงบํ าเพ็ญบารมี ขอนี้มา ในชาติตางๆ
เปนอันมากในทศชาติไดยกเนมิราชชาดกเปนตัวอยางแหงอธิษฐานบารมี มีเรื่องยอในเนมิราชชาดก
นั้นวากษัตริยพระองคหนึ่งทรงพระนามวาเนมิราช ครองเมืองมิถิลาในแควนวิเทหะเปนกษัตริยที่สน
พระราชหฤหัยในการกุศลโปรดการทํากุศลทรงบริจาคทานรักษาศีลอุโบสถอยูเปนนิตย ตามขัตติยะ
ประเพณีผูครองเมืองมิถิลานี้เมื่อครองพระราชสมบัติจนมีพระชนมายุเขาสูวัยชราภาพแลวก็ทรง
มอบราชสมบัติใหแกพระราชโอรสแลวพระองคก็ทรงออกผนวช ฯ
ชาดกนี้แสดงวาผูที่ตองการแสวงหาความจริงตองการจะรูจะเห็นอะไรเมื่ อมีมีความตั้งใจ
มุงมั่นแลวจะรูจะเห็นไดเพราะการแสวงหาผูรูจะไดพบผูรูที่จะแสดงใหรูใหเห็นไดทั้งเรื่องของมนุษย
ทั้งในนรกสวรรคตลอดถึงนิพพาน ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๒๑๒-๒๑๔.
+ ออกสอบแตงไทยเปนมคธ ป.ธ.๙ / ป ๒๕๕๗ .
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๕ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
อธิฏฐ านปารมีคาถา
๑.ปฐยาวัตร ๒.อุเปนทรวิเชียร
สุภาสิตา มุนินฺเทน ยา อธิฏ านปารมี อิเม สมนฺนาคตองฺคภูตา
สุณนฺตุทานิ โสตาโร เอติสฺสา อตฺถวณฺณนํ อิเมสุ เอกมฺหิ สทา อุทิฏเ
อิทํ เอตฺถ อธิฏ านํ ปณิธานนฺติ วุจฺจติ ตโยวเสสา กถิตปฺปการา
เอตํ กิจฺเจสุ กาตพฺพํ สพฺเพ หิ มนุชา อิธ ภวนฺติ สมฺพนฺธปยุตฺตธมฺมา
นิปฺผตฺติผลมิจฺฉนฺตา กรณฺยมตฺตโนตฺตโน น เจ สิยุ สพฺพธิ ตาทิสา เต
ปยฺุชนฺตา อธิฏ านํ ปรายนํ ปกุพฺพิย อวสฺสมุปฺปชฺชติ เนกธมฺโม
สพฺพํ สิทฺธึ ปวินฺทินฺติ อธิฏ านฺจ วิฺุนา ภเวยฺย เนมิสฺส วรสฺส วตฺถุ
เหตุสฺมิมฺป ผลสฺมิมฺป กาตพฺพํ โหติ ปุคฺคโล นิทสฺสนฺเจตฺถ อิทานิ สมฺมา
สิกฺขานิปฺผตฺติมิจฺฉนฺโต เหตุมฺหิป ผลมฺหิป ๓.วสันตดิลก
อธิฏ านสมาปนฺโน สพฺพํ วิชฺชํ หิตาวหํ ทาเน รโต จ กุสลาลุ วิเทหรฏเ
อนุกฺกเมน สิกฺขิตฺวา สิกฺขานิปฺผตฺติเมสฺสติ รชฺชํ อการยิ ปชาปติ เนมิราชา
กิจฺจนิปฺผตฺติมิจฺฉนฺโต เหตุมฺหิป ผลมฺหิป ทานํ อทาสิ จ อุโปสถสีลมคฺคํ
อธิฏ านสมาปนฺโน สุฏุ กิจฺจํ ปกุพฺพิย นิจฺจฺจ รกฺขยิ ปเวณิวเสน สพฺเพ
อุสฺสาหวา ยโสโภค- สมฺปทาวุฑฺฒิเมสฺสติ ภูปา ชรํ อุปคตาป อทฺุจ รชฺชํ
อเนกํ กุสลํ กุพฺพํ เหตุมฺหิป ผลมฺหิป ปุตฺตสฺส เวสมิสิโน จ สยํ อคณฺหุ
อธิฏ านสมาปนฺโน สพฺพปาป อกุพฺพิย ๔.ปฐยาวัตร
กุสลํ ปริปูเรนฺโต กิตฺติสทฺทํ ลภิสฺสติ ยสฺส อตฺถิ อธิฏฐานํ เอโส วิฺุ คเวสิย
ยถิจฺฉิตํ อธิฏฐาย เยภุยฺเยน หิ ปุคฺคลา วิชานิตุมฺป สกฺโกติ วิฺู มนุสฺสสมฺปทํ
ปตฺเถนฺติ ธีรภาวํ วา เสฏฐิภาวํ สทา ปน นิรยุปฺปตฺติวตฺถุ วา สคฺคนิพฺพานสมฺปทํ
เอเต โกสชฺชปตฺตา จ กิจฺเจสุ อปรกฺกมา อาจิกฺขิสฺสติ ตสฺสาติ อิทํ อตฺถสฺส ทีปนนฺติ ฯ
โภเค อสํหริตฺวา จ สมฺมา สิปฺป อสิกฺขิย
สพฺพนฺตํ น ลภิสฺสนฺติ อณุ อคฺคึว สนฺธมํ
ตสฺมา โหติ อธิกฺกิจฺจํ เหตฺวาธิฏฐานเมกธา
วิริยํ ขนฺติ สจฺจฺจ อธิฏฐานนฺติ อุตฺตมา
จตุธมฺมา ตุ ยสฺสตฺถิ สมฺมาชีวปยฺุชเน
เอโส วุฑฒ ฺ ึ วิรุฬฺหิฺจ เวปุลฺลํ อธิคจฺฉติ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๖ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
เมื่อกลาวโดยสังเขปผูใดเปนที่รักของชนเปนอันมากผูนั้นยอมหวังความเจริญไดคงไมมีความ
เสื่อมทรามแมสมเด็จพระผูมีพระภาคเจาก็ไดตรัสแกมหานามลิจฉวีแสดงกิจของผูดํารงฆราวาส
จะพึงทําเพื่อผลนี้ในอปริหานิยธรรมสูตรปญจกนิบาต อังคุตตรนิกาย สรุปความวา กุลบุต รผูใด
ผูหนึง่ ตั้งตนแตพระมหากษัตริยเจาตลอดลงไปถึงอธิบดีเฉพาะตระกูลมาสักการะเกื้อกูลมารดาบิดา
จําพวกหนึ่งบุตรภรรยาทาสกรรมกรซึ่งนับวาอันโตชนจําพวกหนึ่ง ชาวนาเพื่อนบานลูกคาซึ่งนับวา
พาหิรชนจํา พวกหนึ่ง เทวดาผูรั บพลีกรรมคืออารักขเทวดา และวัตถุเทวดาจําพวกหนึ่ง สมณะ
พราหมณจําพวกหนึ่ง ดวยโภคทรัพยที่ไดมาโดยชอบธรรมเปนผลแหงความหมั่นเทวดามนุษย ๕
จําพวกนั้น ไดรับสักการะเกื้อกูลแลว ก็ยอมอนุเคราะหดวยไมตรีจิตคิดความเจริญให กุลบุตรนั้น
เปนอันหวังวุฒิไดไมพึงมีความเสื่อมทรามเลย ฯ
แมพระเจาจักรพรรดิราชผูปกครองปฐพีมณฑลมีสมุทรสาคร ๔ เปนขอบเขตก็ยังตองบําเพ็ญ
จักรวรรดิวัตรยึดเหนี่ยวน้ําใจราชบริษัทใหนิยมในพระบารมีขอนี้ยอมใหสําเร็จผลคือการปกครอง
โดยธรรมไมตองใชอาชญาเคี่ยวเข็ญความจงรักภักดีเปนพลวเหตุชักนําใหพรักพรอมเปนสมานฉันท
เพื่ อ ต อ สู ป อ งกัน บํ า รุ ง รั ก ษาจะรั บ พระราชทานชั ก อลีน จิ ต ตชาดกในทุ ก นิ บ าตมาสาธกพอเป น
อุทาหรณในอดีตกาลพระเจา พรหมทัตเสวยราชสมบั ติในเมืองพาราณสี พระองคไ ดเศวตกุญชร
เปน ราชพาหนะเชือกหนึ่ง แผ พระเกี ยรติ ไปในสกลชมพูทวี ปจํา เนี ยรกาลล วงไป พระอั ครมเหสี
ทรง พระครรภ ยังไมทันประสูติ พระเจาพาราณสีเสด็จทิวงคตขาวปรากฏทราบไปถึงพระเจาโกศล
ราช ผู มีรั ช สี ม าติด ต อ กั บ กาสี รั ฐ ท าวเธอทรงเห็ น ราชสมบั ติ วา งยั ง หาเจ า ของมิ ไ ด เ ป นท ว งที อ ยู
ก็ยกมหาพยุหะแสนยากรมาลอมพระนคร ชาวพระนครปดทวารรักษาเปนกวดขัน ในเวลานั้นพระราช
เทวีประสูติพระโอรสทรงพระนามวาอลีนจิตตกุมาร เหตุทําประชาชนใหชื่นบานหายยอทอพรักพรอม
กันปลอยพระยามงคลหัสดี ออกตอรบดวยปจจามิตร ใหปราชัย จับพระเจาโกศลราชไดทั้งเปนนํามา
เปนเชลยแลวปลอยไปแผพระเดชานุภาพ ของพระกุมารไปในสกลชมพูทวีป ไมมีศัตรูผูอื่นสามารถ
มาย่ํายีและพระราชกุมารก็ไดรับอภิเษกเปนพระเจาพาราณสีแตครั้งยังทรงพระเยาวพระชนมายุ
ได ๗ พรรษาดํารงราชยโดยธรรมเปนผาสุกตลอดพระชนมชีพ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๔๐-๔๑.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๘ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
พหุปปฺ ย ตาคาถา
๑.ปฐยาวัตร ๒.อุเปนทรวิเชียร
สงฺเขปโต หิ โย โปโส ปโย พหูน สพฺพทา อตีตกาเล กิร พฺรหฺมทตฺโต
วุฑฺฒิมากงฺขตี เอโส โน หานิ อสฺส เตน หิ ทยาลุ พาราณสิรฏราชา
ชนานํ ฆรเมสีนํ กรณฺยํ มุนิปุงฺคโว ลภิตฺถ เสตํ คชเมกมคฺคํ
มหานามสฺส อาจิกฺขิ สงฺเขปตฺโถ อยํ อิธ คชฺหิ นิสฺสาย อิมสฺส กิตฺติ
โย โกจิ กุลปุตฺโต ว อาโท ราชา กุลิสฺสโร อภิกฺขณํ ปตฺถริ ชมฺพุทีเป
ปุคฺคโล ปริยนฺเต วา มาตรํ ปตรํ จิธ ลภิตฺถ คพฺภํ น จิรสฺส เทวี
ปุตฺตทารฺจ ทาเส จ ชเน กมฺมกเร อถ มเหสิคพฺภปฺปริปากกาเล
อาสนฺนฆรวาสิฺจ พลิสฺส ปฏิคาหกํ ทิวงฺคโต ภูปติ พฺรหฺมทตฺโต
เทวฺจ ธมฺมิเก โลเก สพฺเพ สมณพฺราหฺมเณ ๓.อินทรวิเชียร
อุฏ านาธิคเตเหว โภเคหิ ธมฺมิเกหิ จ ตํ การณํ โกสลภูมิปาโล
สกฺกโรติ จ มาเนติ ปูเชติ จ ยถารหํ พาราณสีรฏสมีปสีโม
มาตาปตฺวาทิภจฺจา เต ปฺจ เอเตน สกฺกตา สุตฺวาน ตุจฺฉํ กิร ตสฺส รชฺชํ
มานิตา ปูชิตา เจตํ อนุกมฺปนฺติ เมตฺติยา อิจฺเจว จินฺเตสิ ตโต ปรํ โส
ตสฺมา หิ วุฑฺฒิ เอตสฺส อนุพฺรูหติ หานิ น ขิปฺป สมาคจฺฉิ ปยุตฺตเสโน
โย จกฺกวตฺติราชาป จตุสฺสมุทฺทสีมกํ รมฺมฺจ ธานึ ปริวารยิตฺถ
ปวีมณฺฑลํ สมฺมา ปสาสิ วุฑฺฒิมิจฺฉตา อลีนกา สมคฺคา จ เสตํ หตฺถึ วิสชฺชิย
เตน ปารมิยํ สุฏุ ปสีทาปยิตุ ปชํ สงฺคามํ สพฺพสตฺตูหิ สทฺธึ กตฺวา ปราชยํ
ราชปฺปริสจิตฺตสฺส ปาสโนปายภูตกํ ปาเปตฺวา โกสลํ ภูป ชีวคฺคาหฺจ คาหยุ
วตฺตมฺป จกฺกวตฺติสสฺ กาตพฺพํ โหติ สพฺพธิ เอตํ กรมรํ กตฺวา วิสฺสชฺเชสฺุจ เตน หิ
สกฺโกติ อติสาเธตุ โส ธมฺเมน ปสาสนํ กุมาโร ปรสตฺตูหิ น สกฺกา ปริมทฺทิตุ
อุปมาย หิ ทฏพฺพํ อลีนจิตฺตชาตกํ ตํกุมารสฺส เตชานุ- ภาโว ทิสาสุ ปตฺถริ
๔.ปฐยาวัตร รชฺชํ ธมฺเมน กาเรสิ ผาสุนา สตฺตวสฺสิโกติ ฯ
ทฬฺหํ นครทฺวารานิ ปทหิตฺวาน นาครา
นคราวรณํกํสุ อคฺคเทวี ตุ ตํขณํ
วิชายิ โอรสํ เอกํ อลีนจิตฺตสวฺหยํ
นิสฺสายาลีนจิตฺตํ ตํ กุมารํ รฏวาสิโน
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ กรมร(ปุง)-เชลย
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๙ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
ขันตินั้นคือความอดกลั้นตอวัตถุไมเปนที่พึงใจอันมาถึงเฉพาะหนา.คุณขอนี้เปนธรรมเกื้อกูล
แกฆราวาสเปนเครื่องรักษาสามัคคีในหมู สมเด็จพระผูมีพระภาคตรัสสรรเสริญไว ในอาฬวกสูตร
โดยชื่อวา ธิติ คือความหยุดใจไวได ดังนี้วา
ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา สทฺธสฺส ฆรเมสิโน
สจฺจํ ทโม ธิติ จาโค ส เว เปจฺจ น โสจติ
ความวา ธรรม ๔ ประการนี้คือความสัตย ๑ ความขมใจไวได ๑ ความหยุดใจไวได ๑ ความเผื่อแผ
๑ของคฤหัสถชนใด ผูมีศรัทธาเชื่อกรรมเชื่อผลมีอยู คหัสถชนนั้นแล ละโลกนี้ไปยอมไมเศราโศก
อธิบายความวาอันคนผูเนื่องอยูในหมูตางคนตางซื่อตรงตอกัน ยอมรักษาไมตรีอยูไดถาคิดคดตอกัน
ขึ้นเมื่อใดไมตรียอมแตกเมื่อนั้น.คนมีใจรายมักโกรธงายขมใจไวไมอยูมักทําหุนหันไมรูจักยั้งมักเปน
คนทําใหไมตรีแตกถามีอุบายขมใจก็จะไดหามความหุนหันนั้นเสีย.แมผูหนึ่งทําก้ําเกินดวยความ
หุนหัน แตอีกฝายหนึ่งมีขันติอยูก็รักษาไวไดถาไมอดทนและทําตอบไมตรีก็จําแตก.คนใจคับแคบ
มีปรกติคิดเอาเปรียบผูอื่นยอมผูกไมตรีไมถึงไหนตางมีใจเผื่อแผถอยทีถอยเกื้อกูลแกกันไมตรีจึงจะ
มั่นคง.สมเด็จพระบรมศาสดาทรงยกขันติขึ้นตรัสวาเปนธรรมประการหนึ่ง ซึ่งเกื้อกูลแกฆราวาส
รักษาความสามัคคีไวไดดังนี้.โดยนัยนี้วัตถุอันเปนอารมณแหงขันตินั้นคือวาจาที่บุคคลกลาวดวย
ตั้งใจจะเสียดแทงหรือใหรายแลกิจการที่เขาทําก้ําเกินหรือมุงอนัตถะตอ วัตถุเชนนี้มากระทบบุคคล
ใดเขา บุคคลนั้นดําริหาทางระงับดวยอดกลั้น ไมทําตอบไดชื่อวาขันติวาทีผูมีปรกติกลาวสรรเสริญ
ขันติ สุภาษิตสําหรับขันติวาทีบุคคลวา ขนฺตฺยา ภิยฺโย น วิชฺชติ ธรรมอันยิ่งวาขันติยอมไมมี.ขันตินั้น
ไมใชธรรมสําหรับผูขาดความสามารถจะสูเขาเทานั้น ยอมเปนธรรมสําหรับทานผูใหญดวยในฝาย
คฤหัสถขันติจัดเปนราชธรรมประการหนึ่งมาในคาถาแสดงทศพิธราชธรรม ฯ
พระเจ า แผ น ดิ น ผู ข าดพระคุ ณ สมบั ติ ข อ นี้ จ ะพึ ง ปรากฏว า มี พ ระราชจริ ย าอั น หุ น หั น ไม
ละมุนละไมปราศจากพระเมตตาในประชาชนพสกนิกร.ในฝายบรรพชิต ขันติก็จัดเปนพระบารมีธรรม
ขอหนึ่ง ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุท ธเจาประการหนึ่งในพระบารมี๑๐ ทัศ.เมื่อครั้ งไดตรั สรูแล ว
ทรงบําเพ็ญพุทธกิจอยูคราวหนึ่งเสด็จนครโกสัมพีพระนางมาคันทิยาพระราชเทวีของพระเจาอุเทน
ผูผูกเวรในพระองคมาในกาลกอนเหตุดวยบิดาจะยกนางใหเปนบาทบริจาริกาของพระองคแตไมทรง
รับมิหนําซ้ํากลับตรัสเทศนาพรรณนาโทษของรางกายวาปฏิกูล ไมนารักนางเปนหญิงเมาในรูปสมบัติ
แลไมเคยอบรมในทางธรรม ก็สําคัญไปวาพระองคตรัสติเตียน เฉพาะตน นางแต งคนใหกลา ว
หยาบชาแดพระองคเพื่อจะขับตอนใหไปเสียจากนครโกสัมพีพระองคทรงตั้งอยูในพระขันติมิไดแสดง
วิการเสด็จอยูตลอดเวลาสมควรแกพุทธกิจ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๓๔๐-๓๔๑.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๒๙ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
ขนฺตคิ าถา ๓
๑.ปฐยาวัตร ๒.อินทรวิเชียร
สพฺพปฺปฏิฆวตฺถูนํ อธิวาสนลกฺขณา มจฺเฉรจิตฺโต มนุโช สทตฺถํ
ขนฺติ เว ฆรเมสีนํ หิตกฺกรา จ สพฺพธิ เอกนฺตโต เปกฺขิย เมตฺติจิตฺตํ
สามคฺคีรกฺขิกา โหติ สงฺฆสฺส มุนิปุงฺคโว นาพนฺธิตุ สกฺขิ อุฬารจิตฺโต
ธิติโวหารโต เอวํ ขนฺติธมฺมํ ปสํสติ อารกฺขิตุ เมตฺติมสกฺขิ ทฬฺหํ
ยสฺเสเต จตุโร ธมฺมา สทฺธสฺส ฆรเมสิโน ๓.อุเปนทรวิเชียร
สจฺจํ ทโม ธิติ จาโค ส เว เปจฺจ น โสจติ
คิหีน สพฺเพส หิตกฺกโร จ
อิติ ตตฺร อธิปฺปาโย ชนา จ คณนิสฺสิตา
ยตีน สามคฺคิสุรกฺขโก จ
อุชุกา อฺญมฺญสฺส เมตฺติมฺป อนุรกฺขเร
อโหสิ อุทฺทิฏฐกขนฺติธมฺโม
สเจ กุฏิลจินฺตี ว เอเต ยทา สิยุ ตทา
อยนฺติ สพฺพตฺถ กเถสิ สตฺถา
เมตฺติ ภิชฺชติ โกธาภิ- ภูโต ตุ โกธโน ชโน
อกฺขโม โหติ กมฺมฺจ สาหสีกํ ปกุพฺพติ สาธกฺเจตฺถ ทฏฐพฺพํ โลกนาโถ ตถาคโต
เมตฺติเภทกภูโต โส ขโมปาโยป เจ ภเว
พุทฺธกิจฺจานิ ปูเรติ อเถกทิวสํ กิร
สทา สาหสิกํ กมฺมํ สกฺโกติ ปฏิพาหิตุ
โกสมฺพินครํ ปตฺโต อุเทนสฺส ตุ ราชิโน
เอโกป สหสา กุพฺพิ อจฺจยํ อปโร สขี
เทวี มาคนฺธิยา พุทฺโธ มํ ปาทปริจาริกํ
ขนฺติโก โหติ เต สุฏุ เมตฺตึ รกฺขิตุ สกฺขเร
อกตฺวา ปฏิกูลนฺเต สรีรํ อิติ นินฺทติ
อปโร เจกฺขโม อสฺส ปฏิกุพฺเพ จ อจฺจยํ
อิติ เอวํ ปุเร พุทฺเธ พทฺธาฆาตา อโหสิ สา
อวสฺสํ ภิชฺชตี เมตฺติ เตสํ สขีนมนฺตเร
๔.ปฐยาวัตร มิจฺฉาทิฏฐิกโปสานํ ลฺจํ ทตฺวา ตถาคตํ
นเยน อิมินา มมฺมจฺ- เฉทกํ วา อนตฺถกํ อกฺโกสิตฺวา ปลาเปถ ตุมฺเห โกสมฺพิรฏฐโต
ทุพฺภาสิตํ วจีกมฺมํ ตสฺสา อารมฺมณํ อหุ อิจฺจาณาเปสิ เตสนฺตุ อกฺโกสานํ ขโม ชิโน
ยสฺสีทิสํ สมุปฺปชฺชิ เอตํ วูปสเมติ โส วิปฺปการํ อทสฺเสตฺวา ธมฺมํ กาลานุรูปกํ
ขนฺติวาที จ นาเมส ขนฺตยฺ า ภิยโฺ ย น วิชชฺ ติ เตสํ เทเสติ สพฺเพ เต โสตาปตฺติผเล ฐิตาติ ฯ
อิจฺเจวํ ขนฺติวาทิสฺส อยํ วาจา สุภาสิตา
เอโกป ราชธมฺโมติ เอสา ขนฺติ ปวุจฺจติ
ยสฺส ขนฺติ น โหเต โส ภูมิปาโล อสณฺหโก
อปฺปโย อมนาโป จ น เมตฺตายติ รฏฐิเก
เอโก ปารมิธมฺโมติ เอสา ขนฺติ ปวุจฺจติ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๐ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
กาลัญุตาขอตนนั้นมีพรรณนาวาเวลาคือคราวครั้งอันสมควรหรือเปนโอกาสชื่อวากาลในที่นี้
บุคคลผูรูจักการเชนนั้น ชื่อวากาลัญู ความเปนผูเชนนั้น ชื่อวากาลัญุตา ความเปนผูรูจักกาล
คุณขอนี้เปนสําคัญในอันประกอบกิจนั้น ๆ ถาบุคคลไมเปนกาลัญูถึงคราวที่ควรทําก็หาทําไมเมื่อ
เปนเชนนี้ก็จะคลาดจากประโยชน ที่ควรจะไดควรถึง ประโยชนซึ่งไดอยูแลวก็กลับจะเสื่อมเสียไป
ภัยอันตรายก็จะไดชองที่จะเกิดมีขอนี้พึงสาธกดวยทีฆาวุชาดกตอนตนครั้งพระเจาพรหมทัตผูครอง
แควนกาสีเสด็จกรีฑาพลเพื่อจะไปตีโกศลรัฐพระเจาทีฆีติผูผานสมบัติในอาณาจักรนั้นทรงพระดําริ
เห็นวาพระองคมี อาณาเขตนอยทรงขัดสนรี้พลพาหนะคลังศั สตราวุ ธยุทธภัณ ฑแลฉางอันเปน ที่
รวบรวมเสบียงอาหารก็บกพรองไมบริบูรณมั่งคั่งไมมีทางจะตอยุทธกับพระเจาพรหมทัตผูมีกําลัง
ใหญ แ ม แ ต เ พี ย งศึ ก เดี ย วเท า นั้ น ครั้ น ลงพระสั น นิ ษ ฐานเช น นี้ ก็ ทิ้ ง พระนครเสี ย ปลอมพระองค
พาพระมเหสีประลาตไป พระเจาพรหมทัตก็ได โกศลรัฐโดยงาย ไมตองรบดวยพลนิกายซ้ํายังจับ
พระเจาทีฆีติกับพระมเหสีไดในภายหลังอีกดวยเรื่องนี้แสดงใหเห็นวาโกศลรัฐซึ่งเปนประเทศนอย
ตั้งอยูติดตอกับแควนกาสีอันเปนประเทศใหญเมื่อยังทรงอิสรภาพดวยตนก็ชอบแตจะตระเตรียมรี้พล
พาหนะ ฉางคลังสั่งสมทรัพยพัสดุศัตราวุธยุทธภัณฑ แลเสบียงอาหารจัดการปองกันรักษาแลรีบตั้ง
หนาทํานุบํารุงเตรียมตัวไวใหบริบูรณ เพื่อจะไดเกิดทรัพยเปนเครื่องเพิ่มพูนกําลังยิ่งขึ้นไป จนสุดวิสัย
ที่อาจจะเปนไปไดอันกิจเชนนี้จะตองจัดทําใหพรอมสรรพไวในเวลาสงบยังไมมีศัตรูมารบกวนไมควร
จะประมาทเลินเลอปลอยไวใหขาดตกบกพรองจะตระเตรียมเฉพาะในเมื่อยามตองการไหนเลย
จะทันทวงทีการละเลยใหลวงเวลาเปนเหตุแหงหายนะเมื่อภายหลังดังที่สาธก ฯ
อนึ่งชนผูไมรูจักกาลแมเมื่อทํากิจก็ทําใหผิดสมัยคือดวนทําเสียแตเมื่อยังไมทันถึงเวลาการ
งานก็ไมสําเร็จผลดีขอนี้พึงเห็นอุทาหรณ ในเรื่องพระเจาอชาตศัตรูผูครองแควนมคธทําสงครามกับ
พวกกษัตริยล ิจฉวีผูครองแควนวัชชีในเวลาเธอกําลังตั้งอยูในสามัคคีธรรมพรักพรอมเปนสมานฉันท
ช ว ยกั น ต อ สู ป อ งกั น อาณาจั ก รด ว ยความองอาจ ท า วเธอก็ ไ ม ส ามารถจะได ชั ย ชํ า นะสมหวั ง
ตอภายหลังตอกลอุบายปลอยวัสสการพราหมณมหาอํามาตยไปยุยงลิจฉวีราชใหแตกความสามัคคี
จากกัน จึงไดมีชัยตีไดแควนวัชชีมาอยูใตอํานาจของพระองคขอนี้ก็ใหลงสันนิษฐานวาครั้งกอนยังไม
เปนเวลาการจึงไมสําเร็จสมหมายครั้นภายหลังประกอบกลอุบายถูกคราวจึงสําเร็จได ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๒๔๗-๒๔๘.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๐ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
กาลฺตุ าคาถา
๑.ปฐยาวัตร
กาโลติ เหตฺถ เวลา วา โอกาโส ปฏิรูปโก ตาว สพฺพํ ปริปฺปูรํ กาตพฺพํ โหติ อูนกํ
อกฺขายติ ตถารูป กาลํ ชานาติ โย นโร อกาตพฺพฺจ สตฺตูสุ อสมฺปตฺเตสุ สพฺพธิ
กาลฺู นาม โส เอวํ ตํตํกิจฺจปยฺุชเน กาลาติกฺกมนํ โหติ ปจฺฉา หายนปจฺจโย
กาลฺุตา สตา โหติ อิจฺฉิตพฺพา สเจ นโร อโถ กิจฺจํ อกาลสฺมึ อกาลฺู ปกุพฺพติ
อกาลฺู ส กตฺตพฺพ- กรณฺเย ปจฺจุปฏฐิเต อิฏฐํ กนฺตํ มนาปฺจ สพฺพนฺตํ น สมิชฺฌติ
เนตํ กโรติ เอวํ ยํ หิตํ ลทฺธพฺพมตฺตนา วตฺถุ อชาตสตฺตุสฺส ภเวยฺย เอตฺถ สาธกํ
อทฺธา ตมฺหา จุโต โหติ ยํ ลทฺธํ ปริหายติ ๒.อุเปนทรวิเชียร
สมุปฺปชฺชิตุเมตสฺส โอตารํ ลภตี ภยํ ยทา หเว ลิจฺฉวโย สมคฺคา
ทีฆาวุชาตกฺเจตฺถ สาธกํ อสฺส อาทิโต สมานฉนฺทา สกวชฺชิรฏ
พฺรหฺมทตฺโต สุทํ กาสิ- รฏฐโป โกสลํ ปุรํ ปวีรภาเวน สุโคปยึสุ
ตทา รณํ กุพฺพิ ส เตหิ สทฺธึ
ปหรีตุ มหาเสนา- สมปฺปโต สมาคมิ
น เต ปราเชตุมสกฺขิ ปจฺฉา
ทีฆีติ ปน รฏมฺเม โกสลํ โหติ ขุทฺทกํ
อุปายกตฺตา ปน วสฺสการํ
อปฺปพฺพลนิกายฺจ สพฺพตฺถ อปฺปวาหนํ
ทิชมฺป สามคฺคิปภินฺทนตฺถํ
น สกฺโกมิ รณํ กาตุ เตน สทฺธินฺติ จินฺตยิ
อเปสยี เว ลภิ วชฺชิรฏฐํ
นครฺจ ปหาเยส สมเหสี ปลายิ โส ๓.วังสัฏฐะ
พฺรหฺมทตฺโต ตุ ทีฆีติ- ราชสฺส โกสลํ ปุรํ อุปายเฉโก จ อชาตสตฺตุ โส
สุเขน ลภิ ยุทฺธสฺส อภาวโต จ ปจฺฉิเม อกาสิ เวลานนุรูปยุทฺธนํ
ทีฆีตึ สมเหสึ ตํ ชีวคฺคาหํ อคาหยิ น เต ปราเชตุมสกฺขิ ปจฺฉิเม
เวทิตพฺโพ ปเนตฺถตฺโถ ขุททฺ กํ โกสลํ ปุรํ อกาสิ เวลานุกุลํ มหารณํ
มหโต กาสิรฏสฺส โหติ สามนฺตสีมกํ สทา ปราเชตุมุปายโสตฺตโน
เตน ทีฆีตินา เสนา สพฺพา จ วาหนานิ จ อสกฺขิ วชฺชีนครํ วเส อกาติ ฯ
สตฺถานิ ยุทฺธภณฺฑานิ สชฺเชตพฺพานิ ตํขณํ
รฏาวรณรกฺขา จ โยธพฺพลานุพฺรูหนํ
ปริปูรานิ กาตพฺพ- กิจฺจานิ โหนฺติ สพฺพธิ
ยถาวุตฺตมิทํ กิจฺจํ ยทา สตฺตู น หึสเร
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๑ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
สัจจบารมีคําวาสัจจะแปลวาความจริง ใชในความหมายวาพูดไวอยางไรก็รักษาคําพูดเชนที่
เรียกวา รักษาสัญญาก็ได ทําไวอยางไรแจงวาทําอยางนั้น เชนที่เรียกวารับตามที่เปนอยางไรก็ได
ไดเห็นอยางไรหรือเปนอยางไรก็บอกตามที่เห็นตามเรื่องที่เปนไปเชนนั้น เรียกวาพูดความจริงก็ได
สัจจะเหลานี้มีลักษณะเปนความซื่อตรง ทําใหพูดจริงเปนสัจจวาจาตรงกันขามกับพูดเท็จและทําให
รัก ษาคํ าพู ดรั ก ษาหนา ที่เ พราะเมื่ อรั บ หน าที่ อั นใดแล วก็ รั ก ษาหน าอั น นั้น ดว ยดีต ลอดเวลาที่ อ ยู
ในหน า ที่ นั้ น อี ก อย า งหนึ่ ง หมายถึ ง ความตั้ ง ใจทํ า จริ ง มุ ง แสวงหาความจริ ง หรื อ ความถู ก ต อ ง
เที่ยงธรรมและรักษาความเที่ยงธรรมไว
ในทศชาติ ช าดกท า นจั ด วิ ธุ ร ชาดกเป น ชาดกที่ แ สดงสั จ จบารมี มี เ รื่ อ งย อ ว า วิ ธุ ร บั ณ ฑิ ต
เปนปราชญในราชสํานัก พระเจาธนัญชัยโกรพยะผูครองเมืองอินทปตตะเปนผูทรงปญญาหาผูเสมอ
เสมือนมิไดวันหนึ่งทาวสักกเทวราช วรุณนาคราช พระยาครุฑและพระเจาธนัญชัยพรอมกันสมาทาน
อุโบสถศีลในพระราชอุทยานเมืองอินทปตตะแหงกุรุรัฐเมี่อออกจากที่อยูของตนก็ปรารภกันวาผูใด
จะมี ศี ล ยิ่ ง กว า กั น ผู ใ ดเป น ผู ส งบไม อ าจตกลงกั น ได จึ ง เชิ ญ วิ ธุ ร บั ณ ฑิ ต เป น ผู ชี้ ข าดความเห็ น
ของพระราชาทั้ ง ๔ พญานาคทรงสรรเสริ ญ ความไม โ กรธในบุ ค คลแม ค วรโกรธ พญาครุ ฑ
ทรงสรรเสริญการบริโภคอาหารแตนอย ทาวสักกเทวราชทรงสรรเสริญการละความยินดีในกามคุณ
๕ พระเจาธนัญชัยทรงสรรเสริญความไมมีกังวล พระมหาสัตววิธุรบัณฑิตสดับแลวกลาววาคุณธรรม
ทั้ง ๔ ประการนี้ ตั้ ง มั่ น ในนรชนใด บั ณ ฑิ ต เรี ย กนรชนนั้ น ว า ผู ส งบในโลก วิ ธุ ร บั ณ ฑิ ต ทํ า ให ศี ล
ของพระราชาทั้ง ๔ พระองคมีคุณเสมอกันทําใหพระราชาทั้ง ๔ มีพระหฤทัยราเริงยินดีทรงชมเชย
วิธุรบัณฑิตวาเปนดุจผูประเสริฐสุด มีปญญาดี รักษาธรรม รูแจงธรรมวิเคราะหปญหาไดดวยดี
ดวยปญญาตัดความสงสัยลังเลใจใหขาดไดทันที เหมือนชางทํางาชางตัดงาชางใหขาด ดวยเลื่อย
อันคมฉะนั้น ฯ
พญานาคราชทรงเลาใหพระนางวิมลาเทวีผูชายาฟงถึงความสามารถในการแสดงธรรมได
อยางไพเราะจับใจของวิธุรบัณฑิต พระนางใครจะสดับธรรมกถาของวิธุรบัณฑิตเพื่อใหสมประสงค
จึงแสรงแสดงอาการ ดังเปนไขทูลพญานาคราชวา ตองการใหนําดวงหทัยของวิธุรบัณฑิตมาให
โดยชอบธรรม มิใชดวยความรุนแรงมิฉะนั้น ก็จะไมมีชีวิตอยูตอไป นางอิรันทตีธิดาพญานาคราช
จึ ง ประกาศจะรั บ ผู ยั ง ความสมปรารถนาให แ ก น างวิ ม ลาเทวี เ ป น ภั ส ดาปุ ณ ณกยั ก ษ ก็ อ าสาท า
พระเจาธนัญชัยเลนสกาเมื่อชนะก็ขอวิธุรบัณฑิต ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๒๑๑.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๒ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
สจฺจปารมีคาถา
๑.ปฐยาวัตร
สิกฺขากามาน เมทานิ วุจฺจเต สจฺจปารมี ปฺจกามคุณตฺตุฏฐิ- ปหานฺจ ปสํสิ โส
ชโน หิ สจฺจสมฺปนฺโน สาตฺถํ กเถติ ยํ วโจ ธนฺชโย ตุ ภูปาโล อกิฺจนํ ปสํสิ จ
ตํ รกฺขติ อยํ สฺญา- รกฺขโกติ ปวุจฺจติ ตํ ตุ สุตฺวา มหาสตฺโต ยสฺมึ นเร ปติฏฐเร
ยํ กโรติ ตมฺญสฺส อาโรเจติ อยํ ชโน จตุธมฺมา ส เว โลเก สนฺโตติ อาห สพฺพโส
สจฺเจน อธิวาเสติ นาม ยํ ทิฏฐกํ อุท จตุราชูน สีลสฺส สมานคุณตํ กรํ
มุตํ วา โหติ ตํ วตฺถุ สจฺเจนาจิกฺขตี อยํ เต ราชาโน ปหาเสสิ ตสฺมา เต ตํ อภิตฺถวุ
สจฺจวาทกภูโตติ ปวุจฺจติ อิมานิ หิ วิจิตฺรเทสนากิจฺเจ วิธุรสฺส สมตฺถตํ
สจฺจานิ อาชฺชวํ โหนฺติ สจฺจํ ยสฺสตฺถิ โส ชโน นาคราชา ตุ อาจิกฺขิ วิมลาเทวิยาตฺตโน
สจฺจวาจาย สมฺปนฺโน ตพฺพีปริตโก ชโน ๒.วังสัฏฐะ
มิจฺฉาวาจาย สมฺปนฺโน อิติ เอวํ ปวุจฺจติ ปสาทิกํ ธมฺมกถํ ยถิจฺฉิตํ
สจฺจํ ยสฺสตฺถิ โส โปโส ยุตฺติธมฺมสมปฺปโต สุโสตุกามา ภุชคสฺส ราชิโน
ยํ ธุรํ ปฏิคณฺหาติ ยาวตฺตา ตํธุเร ฐิโต อยํ คิลานาลยตํ อทสฺสยี
อหํ สมิจฺฉึ วิธุรสฺส มานสํ
ตํ ธุรํ รกฺขตี ตาว ธมฺมฏฐภาวมตฺตโน
ตมสฺส ตฺวํ อาหร ธมฺมโตป มา
รกฺขตี สาธกฺเจตฺถ สิยา วิธุรชาตกํ
ปสยฺหกมฺเมน น เจ ยถิจฺฉิตํ
วิธุโร ปณฺฑิโต ธีโร ธนฺชยสฺส สนฺติเก ลเภยฺยมทฺธา มรณํ หเว มมํ
อโหสิ ขตฺติยา เอก- ทิวสํ กิร วาสโว ภวิสฺสตีเตฺวว อโวจุปายโส
วรุโณ นาคราชา จ สุปณฺโณ จ ธนฺชโย ๓.อินทรวงศ
อิจฺจโุ ปสถสีลานิ สมาทยึสุ โก วต ธีตา หิ นาคสฺส อิรนฺทตี ยุโว
สีลาธิโก จ สนฺโต จ โหตีติ มนฺตยึสุ เต โย มาตุยา เม วิมลาย ปตฺถนํ
สฺญาเปตุมสกฺโกนฺตา อกาเรสุ วินิจฺฉยํ สาเธสิ ชายา อหมสฺส โหหิมี
ปสํสิ นาคราชา จ อกฺโกธํ โกธเน ชเน อิจฺเจวมาโรจยิ มาตุปตฺถิตํ
สุปณฺณาหารมตฺตฺุ- ตํ ปสํสิ ปุรินฺทโท
๔.ปฐยาวัตร
ตํ ภารํ ปฏิคณฺหิตฺวา ยกฺโข ปุณฺณกสวฺหโย
ชูตกีฬํ อกีเฬสิ สทฺธึ ธนฺชเยน โส
ยกฺโข ชยํ ลภิตฺวาน วิธุรํ ยาจิ ปณฺฑิตนฺติ ฯ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ ชูต(นปุง)-สกา,การพนัน ฯ
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๓ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
แท จ ริ ง พุ ท ธเจดี ย มี ป ระเภทเป น ๓ คื อ สารี ริ ก เจดี ย พ ระเจดี ย ที่ บ รรจุ พ ระบรมสารี ริ ก ธาตุ นี้
มีพระบรมพุ ทธานุญาตไว เมื่อใกลจะเสด็ จดับขันธปรินิพพานใหสรา งขึ้น ณ สถานเปนที่ประชุม ถนนใหญ
ทั้ง ๔ สําหรับเปนที่สักการบูชาของมหาชนเจริญกุศลอันจะเปนไปเพื่อประโยชนสุขสิ้นกาลนาน เมื่อพระองค
เสด็ จ ดั บ ขั น ธปริ นิ พ พานแล ว พวกมั ล ละกษั ต ริ ย จั ด การถวายพระเพลิ ง เสร็ จ แล ว แบ ง พระสารี ริ ก ธาตุ
แจกแกกษัตริยและพราหมณเจานครนั้น ๆ ผูถือพระพุทธศาสนาเปน ๗ สวนดวยกัน ตางองคสรางพระสถูป
ลงแล ว เชิ ญ พระสารี ริก ธาตุ บ รรจุ ไ ว ใ นนั้ นเป น ครั้ ง แรก และอัง คารเจดี ย คื อ พระสถู ป ที่ บ รรจุ พ ระอั ง คาร
อันพวกโมริยกษัตริยเมืองปปผลิวัน ไปไมทันแบงพระสารีริกธาตุ เชิญไปบรรจุไว ก็นับเขาในสารีริกธาตุเจดี ย
นี้ เ ป น พุ ท ธเจดี ย ช นิ ด หนึ่ ง . บริ โ ภคเจดี ย คื อ พระสถู ป ที่ บ รรจุ บ ริ ข ารที่ ส มเด็ จ พระบรมศาสดาจารย
ทรงทําพุทธบริโ ภคมีบาตรทรงเปนตนและพระคันธกุฏีที่ประทับในพุทธนิวาสสถานนั้น ๆ มีพระเชตวันเปนตน
นี้เปนพุท ธเจดีย อีก ชนิด หนึ่ง . อุทเทสิ ก เจดีย คือเจดี ยสถานหรือเจดี ยวัตถุเ ปนที่ระลึก ถึงสมเด็จพระสัม มา
สัมพุทธเจามีพระบรมพุทธานุญาตไวเมื่อใกลจะเสด็จดับขันธปรินิพพานทรงแสดงสถาน ๔ ตําบล คือสถานที่
ประสู ติ สถานที่ ต รั ส รู สถานที่ ท รงแสดงธรรมจั ก รประถมเทศนาและสถานที่ ท รงดั บ ขั น ธปริ นิ พ พาน
ว า เป น สถานที่ ค วรดู ควรเห็ น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ความสั ง เวช ของกุ ล บุ ต รผู มี ศ รั ท ธาในกาลเป น ลํ า ดั บ มา
พระสารีริกธาตุที่เปนของแทก็หาไดดวยยากจึงมีผูสรางพระสถูปบรรจุอักษร แสดงพระธรรมเทศนาคําสั่งสอน
ของพระพุทธเจาเชนคาถา เย ธมฺมาเปนตน นี้ก็นับเขา ในอุทเทสิกเจดียในกาลเปนภายหลังมีผูเห็นอํานาจ
ประโยชนแลว และสรางพระพุทธปฏิมากร ดวยวัตถุตาง ๆ มีศิลาและโลหะเปนตนใหตองตามพระพุทธลักษณะ
ที่ระบุไวในพระคัมภีรเ ทาขนาดบาง ใหญบาง เล็กบาง ตาง ๆ กัน ตามกําลังศรัทธา และความนิยมในฝมือชาง
พระพุทธปฏิมากรนี้ก็นับเขาในอุทเทสิกเจดีย นี้เปนพุทธเจดียอีกชนิดหนึ่งซึ่งสรางกันเปนพื้นในภายหลังและ
การสร า งพระพุท ธปฏิม ากรนั้ น เปน พระราชกุ ศลอัน พิเ ศษที่สมเด็ จพระมหากษั ตริ ยาธิร าชไดท รงกระทํ า
เปนลําดับมา ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๒๔-๒๕.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๓ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
พุทธฺ เจติยคาถา
๒.ปฐยาวัตร
ตโต ปฏาย สมฺพุทฺเธ ปวเร ปรินิพฺพุเต นิธานภูตถูโป โย กโต ปณฺฑิตการุนา
สรีรมสฺส ฌาเปตฺวา มลฺลา โข โกสินารกา เอสุทฺเทสิกเจตฺยนฺติ เอวํ สงฺขํ นิคจฺฉติ
สตฺตธา วิภชิตฺวาน พุทฺธสฺส อฏฐธิ าตุโย ปจฺฉา อตฺถวสํ ทิสฺวา สมฺพุทฺธปฏิมากโร
พุทฺธมามกภูตานํ สมาคตาน ยาจิตุ สทฺธาย การุสิปฺเป จ นิยเมน มเหสิโน
ปมาโณป มหนฺโตป ขุทฺทโกป ปกุพฺพิย
ขตฺติยพฺพฺราหฺมณานมฺป อทํสุ อฏฐิธาตุโย
สิลาโลหาทิวตฺถูหิ นานาวิเธหิ มาปโต
เอเต ปฏิคฺคเหตฺวาน ปฏิลทฺธฏฐิธาตุโย
๓.วังสัฏฐะ
ถูป รฏมฺหิ กาเรตฺวา ธาตุโย ตตฺถ ปกฺขิปุ
อยฺหิ พุทฺธปฺปฏิมากโร วโร
โมริเยหิฏฐิธาตูนํ วิภตฺตสมยมฺหิ ยํ
อโหสิ อุทฺเทสิกเจตฺยสฺโ ต
อาคนฺตฺวา ปฏิลทฺธาย พุทฺธสฺสงฺคารธาตุยา
อิทฺจ เจตฺยํ สมยมฺหิ ปจฺฉิเม
นิธานถูปสงฺขาตํ อคฺคํ องฺคารเจติยํ
อโหสิ สาธารณกิจฺจโต กตํ
ตํ สารีริกเจตฺยนฺติ ปณฺฑิเตน ปวุจฺจติ
อิทฺจ พุทฺธปฺปฏิมาย มาปนํ
ตโทภยฺจ โสภางฺคํ พุทฺธเจตฺยนฺติ วุจฺจติ
อโหสิ รฺญา อนุปุพฺพโต กตนฺติ ฯ
ปริภุตฺตาน ปตฺตาทิ- ปริกฺขาราน สตฺถนุ า ๑.อินทรวิเชียร
นิธานภูตถูปา เย พุทฺธนฺนิวาสเนสุ จ โลเก หิ ปูชารหพุทฺธเจตฺยํ
เชตพฺพนาทิาเนสุ ยา รมฺมา คนฺธโกฏิโย โสภฺจ สารีริกเจตฺยมคฺคํ
เต ปรีโภคเจตฺยนฺติ ปณฺฑิเตน ปวุจฺจเร สมฺภาวนียํ ปริโภคเจตฺยํ
ตมิทํ พุทฺธเจตฺยนฺติ ปณฺฑิเตน ปวุจฺจติ สุทฺธฺจ อุทฺเทสิกเจตฺยมคฺคํ
ยมิทํ เจติยฏานํ เจติยพฺพตฺถุ วา วรํ อิจฺเจวมาปชฺชิ ติธา วิภาคํ
พุทฺธานุสฺสติสมฺภูตํ อนฺุญาตํ มเหสินา ยํ อตฺตโน ธาตุนิธานเจตฺยํ
ตํ อุทฺเทสิกเจตฺยนฺติ ปณฺฑิเตน ปวุจฺจติ สกฺการปูชาย มหาชนสฺส
สํเวชนียภูตานิ จตุฏ านานิ ยานิป ปุญ ฺ สฺส กมฺมสฺส จ ภาวนาย
ทสฺสติ านิ มุนินฺเทน ปสูติฏ านอาทินิ กาตุ อนฺุญาสิ ตถาคโต ตํ
ตานุทฺเทสิกเจตฺยนฺติ ปณฺฑิเตน ปวุจฺจเร ญาตํ ว สารีริกเจติยนฺติ
ตโต ตจฺฉา มุนินฺทสฺส ตา สารีริกธาตุโย
อเหสุ ทุลฺลภา พุทฺธ- ธมฺมเวปุลฺลมิจฺฉตา
เย ธมฺมาตฺยาทิธมฺมสฺส เทสนายกฺขรสฺส หิ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ การุ(ปุง)-ชาง,คนมีฝมือ ฯ
+
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๔ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
ปุพเพกตปุญญตานั้น คือพระราชกุศลสมภารบุญญาธิการบารมีที่สมเด็จบรมบพิตรพระราช
สมภารเจาไดทรงบําเพ็ญไวในปางกอนเปนลําดับมาตั้งแตปุเรชาติจนถึงภพปจจุบันอันเปนสวนอดีต
ลวงไปแลวมาสโมสรเพิ่มพูนวิบากขันธอันมโหฬาร ใหทรงสมบูรณดวยสมบัติ ๔ประการคือพระชาติ
สมบัติ อิสริยสมบัติ โภคสมบัติ พระญาณสมบัติ ควรเปนที่สรรเสริญของอเนกชนนิกรผูจะอนุวัตร
ในกิจกรณียะนั้น ๆ ซึ่งเปนอุบายแหงความเจริญสุขประโยชนคุณและเปนที่บันเทิงจิตคารวนิปจจการ
ของโลกิยชนและปริกขกชนทุกหมูเหลา. อาคาริกมนุษยบุรุษรัตนผูพรอมดวยสมบัติ ๔ ประการนี้
แลวย อมสามารถในกิ จใหญ ๆ ให เสร็จไดโดยไมยากได อาศัย ชาติ สมบัติ แลว ก็อาจชักนํ าผูอื่ น
ที่เสมอหรือต่ํากวา โดยชาติและตระกูลสําคัญเพื่อจะประพฤติตามโดยงายกิจใด ๆ จะตองอาศัย
อานุภาพอันใหญหลวง จึงอาจสําเร็จ ก็จะใหกิจนั้น ๆ เสร็จไดโดยอิสริยสมบัติกิจซึ่งจะตองสําเร็จ
ดวยกําลังทรัพยอันใหญก็จะสามารถสําเร็จไดดวยโภคสมบัติและอาจจะใหกิจนั้น ๆ เสร็จไดโดยชอบ
ปราศจากอุป สรรคด วยญาณสมบั ติ. สมบั ติ ๔ ประการซึ่ งเป นผลมีม าเพราะปุพ เพกตปุญ ญตา
สามารถใหกิจใหญ ๆ เสร็จไดโดยสะดวกฉะนี้ . สมเด็จพระสุคตมหามุนีจึงตรัสแสดงปุพเพกต-
ปุญญตานั้นวาเปนสมบัติจักรอันจะพัดผันนําทานผูบําเพ็ญไวแลวนั้นใหบรรลุถึงผลพิเศษดุจลอรถ
อัน พั ด พาผู ขึ้ น ให ลุ ถึ งที่ ป ระสงค ป ระการหนึ่ ง ในสมบั ติจั ก ร ๔ ประการ และตรัส ว า เปน มงคล
อันสูงสุดของเทวดามนุษยประการหนึ่ง ในมงคล ๓๘ ประการดังแสดงในมงคลสูตรนั้น ฯ
อนึ่งทานพรรณนาวา สรรพอิฏฐวิบุลผลซึ่งเปนที่ตองประสงคของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย
จะเกิ ดมีดว ยอํานาจบุญ นิธิ ฯ ตอนี้ ทานบรรยายผลที่ ตองประสงคของเทวดามนุษ ยทั้งหลายนั้ น
เปนหมวด ๆ ไปเมื่อยนเขาก็ได ๓ ประการคือมนุษยสมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ ลวนเปน
คุณที่ พึง ไดด วยอํา นาจบุญ นิธิ ปุพเพกตปุ ญญตาคุ ณเปนที่ ตั้ง แห งศุภ สวั สดิ วิบุล ผล. ฉะนี้ สมเด็ จ
พระชินสีหจึงประทานบรมพุทโธวาทเพื่อใหอุตสาหะบําเพ็ญบุญโดยอเนกบรรยาย ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๘-๙.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๔ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
ปุพเฺ พกตปุญฺ ตาคาถา ๑
๑.อินทรวิเชียร ๒.ปฐยาวัตร
พุทฺเธน ปุพฺเพกตปฺุตา ยา จตุสมฺปตฺติสมฺปนฺโน อาคาริโก อกิจฺฉโต
วุตฺตา ปุเรชาติวราย กาลา นิปฺผาเทตุ มหนฺตานิ กรณียานิ สกฺขติ
ปฏาย ยาวชฺชตนา นิพทฺธํ ชาติสมฺปทมาคมฺม เย ชาติกุลโตตฺตนา
อาเสวิตา สฺยามปเทสรฺา สมา นีจตรา วาหุ อนุวตฺตายิตุ ชเน
สา ภาวิตา สมฺปริปูริตา จ สุขํ สกฺโกติ โสคมฺม สพฺพิสฺสริยสมฺปทํ
เทนฺตี หิ โอฬารวิปากเมสา ยํ ยํ ภวติ สาเธตุ สกฺกา มหานุภาวโต
ชาตฺยาทิสมฺปตฺติภิ ตํ นรินฺทํ ตํ ตํ กิจฺจํ สุเขนาป นิปฺผาเทติ ยถารหํ
สมฺปาทยี เตน หิ โส นรินฺโท โภคสมฺปทมาคมฺม มหาโภคํ ปฏิจฺจ ยํ
วุฑฺฒฺยาวหํ โหติ ปชาย ยํ ยํ สมิชฺฌติ สุเขนาป ตํ นิปฺผาเทติ สพฺพธิ
ตํ ตํ กรณฺยํ ปริปูรยิตฺถ าณสมฺปทมาคมฺม นิรูปสคฺคภาวโต
ตสฺมา ชนานํ อนุวตฺตตํ โส สมฺมา ตํตํกรณฺยานิ สาเธตุเมว สกฺขติ
สมฺภาวนีโย จ ปสาสนีโย ๔.ปฐยาวัตร
๓.อินทรวงศ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต หิ มหามุนิ
เอวฺหิ ปุพฺเพกตปฺุตายิมา โสตฺถินา รถจกฺกานิ ยานมฺหิ คตปุคฺคลํ
สมฺภูตรูปา จตุสมฺปทา วรา สมฺมา ยถิจฺฉิตฏานํ ปาเปนฺตานิ ยถา สตา
สมฺมา มหนฺตํ กรณียมิฏกํ ปสฏฐกิจฺจภูตมฺป ตํ ปุพฺเพกตปุ ฺ ตํ
สกฺโกนฺติ นิปฺผาทยิตุ ปกุพฺพโต สทฺธาย ปริปูเรนฺตํ นรํ วิสิฏ กํ ผลํ
ปาเปนฺตํ เอกสมฺปตฺติ- จกฺกํ ทสฺเสสิ เจกธา
สพฺพเทวมนุสฺสานํ อุตฺตมํ มงฺคลํ วทิ
ยฺจ เทวมนุสฺเสหิ วิปุลฺจิฏกํ ผลํ
ปตฺถิตฺจ อธิปฺเปตํ ปุ ฺ นฺนิธิวเสน ตํ
สพฺพํ โหติ สมุปฺปนฺนํ ตสฺมา เตน มเหสินา
อิฏฐํ กนฺตํ มนาปฺจ สพฺพกามททํ ผลํ
สพฺพเทวมนุสฺเสหิ อธิปฺเปตพฺพรูปกํ
มนุสฺสสมฺปทา สคฺค- สมฺปทา จ วิสุทฺธกา
นิพฺพานสมฺปทา จาติ ติธา ภวติ ทสฺสิตํ
ปุ ฺ พฺพเสน ลทฺธพฺพา ยถาวุตฺตา ติสมฺปทา
สุภโสตฺถฺยาวหา โหนฺติ เอวํ สติ ตถาคโต
อเนกปริยาเยน ปุ ฺ กมฺมํ ปกุพฺพโต
อุปฺปาทยิตุมุสฺสาหํ โอวาทํทาสิ อุตฺตมนฺติ ฯ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๕ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
อนึ่งทานพรรณนาวาสรรพอิฏฐวิบุลผลซึ่งเปนที่ตองประสงคของเทวดาและมนุษยทั้งหลาย
จะเกิดมีดวยอํานาจบุญนิธติ องกับภาษิตในนิธิกัณฑสูตรวา
อสาธารณมฺเสํ อโจรหรโณ นิธิ
กยิราถ ธีโร ปฺุญานิ โย นิธิ อนุคามิโก
เอส เทวมนุสฺสานํ สพฺพกามทโท นิธิ
มีความวา บุญนิธินี้ไมสาธารณแกคนเหลาอื่นโจรก็ไมมาแยงชิงนําไปไดผูมีปญญาจึงควรบําเพ็ญ
บุญนิธิซึ่งจะติดตามตนไปเกิดบุญนิธินี้แลอาจอํานวยผลที่ตองประสงคทั้งปวงใหสําเร็จแกเทวดา
มนุษยทั้งหลาย. ตอนี้ทานบรรยายผลที่ตองประสงคของเทวดามนุษยทั้งหลายนั้นเปนหมวด ๆ ไป
เมื่ อ ย นเข า ก็ ได ๓ ประการคื อ มนุ ษยสมบั ติ สวรรคสมบัติ นิ พ พานสมบัติ ล ว นเป น คุ ณที่ พึ ง ได
ดว ยอํา นาจบุ ญนิ ธิ ปุพ เพกตปุ ญญตาคุ ณ เป น ที่ตั้ ง แหง ศุ ภสวั สดิ วิ บุล ผล. ฉะนี้ ส มเด็ จพระชิ น สี ห
จึงประทานบรมพุทโธวาทเพื่อใหอุตสาหะบําเพ็ญบุญโดยอเนกบรรยายจะเก็บรวมถวายวิสัชชนา
โดยสังขิตนัยขอหนึ่งวา กุสลํ ภิกฺขเว ภาเวถ ดูกอนภิกษุทั้งหลายขอทานทั้งหลายบําเพ็ญกุศลเถิด
กุศลนี้สามารถจะบําเพ็ญได หาไมเราจะไมกลาวชักชวนทานทั้งหลายเพราะกุศลเปนกรรมที่สามารถ
จะบําเพ็ญไดแทเราจึงไดกลาวชักชวนทาน ฯ
อีกประการหนึ่งถากุศลที่บําเพ็ญแลวจะเปนไปเพื่อผลอันไมเปนประโยชนและเปนไปเพื่อทุกข
แลวเราก็จะไมชักชวนทานเหมือนกัน เพราะเหตุกุศลที่บําเพ็ญแลวยอมเปนไปเพื่อหิตสุขเราจึงกลาว
ชวนทานอีกขอหนึ่ง พระองคตรั สใหเกิดอุตสาหะวา มา ภิกฺข เว ปฺุญ านํ ภายิตฺถ ดูกอนภิก ษุ
ทั้งหลายทานทั้งหลายอยาไดกลัวแตบุญเลย สุขสฺเสตํ ภิกฺขเว อธิวจนํ ยทิทํ ปฺุญานีติ คําวาบุญ ๆ
นี้เปนชื่อของความสุข อธิบายวา กรรมที่สัตวกระทํา ดวยไตรทวาร จะไดโวหารวา บุญก็ดี กุศลก็ดี
ตองมี อโลภะ อโทสะ อโมหะ เปนสมุฏฐาน ขอนี้เปนการทวนกระแสโลกประวัติยากที่สัตวโลก
จะบําเพ็ญ ถึงเชนนั้น ก็ยังไมพนวิสัยของผูประกอบดวยปรีชาเล็งเห็นผลแลว มีความกลาหาญอดทน
กระทํา ขอนี้แลเปนเหตุใหสัตวโลกพิเศษและต่ําชาไมเสมอทั่วกันไปบุคคลผูใดแมแลเห็นผลแหงบุญ
จริยาประจักษแตมาทอถอยไมสามารถจะบําเพ็ญ มีฉันทะอุตสาหะปติปราโมทยในบุญจริยานอย
เบาบางไมกลาหาญพอจะตอสูดวยหมูกิเลสมาร คือ โลภะ โทสะ โมหะ อันมีกําลังกลา บุคคลผูนั้น
ไดชื่อวากลัวแตบุญ ฯ
สมเด็จพระบรมศาสดาจารยประทานพระบรมพุทโธวาทหามอยาใหเปนคนกลัวแตบุญเชนนั้น
ตรัสสอนใหปลูกฉันทรุจิในบุญกรรมนั้นแลวและอดทนกระทํา เพราะบุญนั้นยอมอํานวยผลพิเศษ
แกผูบําเพ็ญใหไดมนุษยสมบัติสวรรคสมบัตแิ ละนิพพานสมบัติ ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๘-๑๐.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดู ๓๕ / ๒๕๖๐-๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
ปุพเฺ พกตปุญฺ ตาคาถา ๒
๑.ปฐยาวัตร ๒.วังสัฏฐะ
อโถ เทวมนุสฺเสหิ อิฏฺจ วิปุลํ อถ อิทฺหิ ปพฺพํ ปฏิโสตภูตกํ
ยนฺตํ ผลํ อธิปฺเปตํ ปุ ฺ นฺนิธิวเสน ตํ ชเนหิ สกฺกา กริตุมฺป กิจฺฉโต
สพฺพํ โหติ สมุปฺปนฺนํ วุตฺตฺเหตํ มเหสินา วิจกฺขโณ สารทตาสมปฺปโต
อสาธารณมฺเสํ อโจรหรโณ นิธิ ชโน ตุ ปฺุญํ อิธ กาตุ สกฺขตี
กยิราถ ธีโร ปฺุ านิ โย นิธิ อนุคามิโก ๓.อินทรวงศ
เอส เทวมนุสสฺ านํ สพฺพกามทโท นิธิ ตสฺมา ปชํ หีนปณีตตายิทํ
อิติ ตสฺมา หิ เอเตน วิปุลฺจฏิ กํ ผลํ สูเจติ ฉนฺโท จ ตุ ปฺุญกุพฺพเน
สพฺพเทวมนุสฺเสหิ อธิปฺเปตพฺพรูปกํ ปาโมชฺชกิจฺจํ ตนุกานิ ยสฺส โส
มนุสฺสสมฺปทา สคฺค- สมฺปทา จ วิสุทฺธกา โลภฺจ โทสฺจ น โมหเมกธา
นิพฺพานสมฺปทา จาติ ติธา ภวติ ทสฺสิตํ ตาเณตุ สกฺโกติ ส ปุคฺคโล สตา
ปุ ฺ พฺพเสน ลทฺธพฺพา ยถาวุตฺตา ติสมฺปทา ปฺุญาน ภายีติ ปวุจฺจตี สทา
สุภโสตฺถฺยาวหา โหนฺติ เอวํ สติ ตถาคโต ๔.ปฐยาวัตร
อเนกปริยาเยน ปุ ฺ กมฺมํ ปกุพฺพโต ปุเฺ ญ ฉนฺทรุจึ สมฺมา โรปาเปสิ ตถาคโต
อุปฺปาทยิตุมุสฺสาหํ โอวาทํทาสิ เตน หิ มนุสฺสสมฺปทา สคฺค- สมฺปทา จ วิสุทฺธกา
กุสลํ ภิกขฺ เว ภาเวถ อิจฺเจวํ ปุน อาหิทํ นิพฺพานสมฺปทา จาติ ติสมฺปทํ ปกุพฺพโต
กุสลํ ปริปูเรตุ สกฺกา เอวํธ ภิกฺขโว สาเธติ ตฺหิ ปฺุญมฺป พุทฺธวาจานุสารโตติ ฯ
สมาทเปติ ตํ กาตุ กตฺหิ กุสลํ จิรํ
สํวตฺตตีธ สตฺตานํ หิตาย จ สุขาย จ
โส มา ภิกขฺ เว ปุญฺ านํ ภายิตถฺ าติ อโวจป
โส สุขสฺเสตํ ภิกขฺ เว อิจฺจาทิกํ ปุนาห วา
อุปฺปาทยิตุมุสฺสาหํ ภิกฺขูนํ ปฺุญกุพฺพเน
ปฺุญํ วา กุสลํ วาติ อกฺขายมานเมกธา
ติทฺวาเรหิ กตํ โหติ ยํ กมฺมํ อถโข จิรํ
อโลภาทิสมุฏฐานํ ภเวยฺย ตํ หิตาวหํ
พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดูเปนพิเศษ / ๒๕๖๑
แตง ฉันทภาษามคธ
จงเก็บ ความ ตามแตจะเก็บ ไดใ นขอ ความขา งทา ยนี้ แลว ประพันธ ใหเ ปนฉันทลักษณะ
๓ อยางตามถนัด แตงฉันทอะไรแจงชื่อไวดวย ฯ
สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจาทรงพระปรีชาในอันจะพระราชทานพระราชปฏิสันถาร
แก ป ระชุ ม ชนทุ ก เหล า แม แ ต เ พี ย งได เ ข า เฝ า และรั บ พระราชดํ า รั ส ก็ ป ติ ชื่ น บานมี พ ระคุ ณ
เปนอัศจรรยตองกันกับอัจฉริยัพภูตธรรมของพระเจาจักรพรรดิราชดังแสดงไวในมหาปรินิพพานสูตร
มี ใ จความว า ราชบริ ษั ท ๔ เหล า คื อ กษั ต ริ ย พราหมณ คฤหบดี สมณะ เข า ไปเฝ า พระเจ า
จักรพรรดิราชแมแตเพียงเขาเฝาเทานั้นก็ยินดี ถาพระองคมีพระราชดํารัสดวยก็ยิ่งชื่นบานตองการ
จะใหตรัสตอไปอีก ยังไมทันอิ่มใจพระเจาจักรพรรดิก็ตองทรงนิ่งไปเองยิ่งไดรับพระบรมราชูปถัมภ
ก็ยิ่งแชมชื่นตั้งจิตจงรักภักดี. อนึ่งทรงบําเพ็ญสังคหวิธีทํานุบํารุ งประชาชนใหอยูเย็นเปนสุขและ
ปองกันใหปราศจากภยันตราย ชาวตางประเทศทั้งหลายพากันเขามาพึ่งพระบารมีประกอบการเลี้ยง
ชี พ ตามวิ สั ย ทํ า พระนครให ส มบู ร ณ ด ว ยสารพั ด สิ น ค า ต อ งด ว ยคํ า ชมเมื อ งท า ของโบราณว า
ปูฏเภทนํ เปนที่แกหอพัสดุจัดเปนองคคุณของบานเมืองประการหนึ่งในครั้งนั้น. พระเกียรติขจรไป
ในนานาประเทศโดยพระคุณพิเศษกลาวตามคําโบราณวา โอปานํ ตระกูลเปนที่สองเสพดุจชลาลัย
อันเปนที่ลงดื่มของสัตวทุกจําพวกฉะนั้น แขกเมืองผูสูงศักดิ์ ตั้งแตพระราชโอรสของพระเจาแผนดิน
ผูเปนรัชทายาทตลอดลงมาถึงเสวกามาตยในประเทศอันเปนราชสัมพันธมิตรเมื่อมาสูทิศนี้ก็ยินดี
เขารับพระราชปฏิสันถารและมีความชื่นบานกลับไปเพิ่มพูนพระเกียรติใหปรากฏในประเทศนั้น ๆ .
ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ หิมวนฺโต ว ปพฺพโต
สัปปุริสสาธุชน ยอมปรากฏไปไดในที่ไกล เหมือนเขาหิมพานต
อสนฺเตตฺถ น ทิสฺสนฺติ รตฺตึ ขิตฺตา ยถา สรา
ฝายอสัปบุรุษ ถึงอยูในทีใ่ กลก็ไมมีใครเห็น เหมือนลูกศรที่ยิงไปในราตรี ฯ พระคุณคือทรงพระปรีชา
ในพระราชปฏิสันถาร ชื่อวา ปฏิสนฺถารกุสลตา ทุติยมงคลวิเสส ฯ
พระราชจริยารัฏฐาภิปาลโนปายนั้นคือ พระราชกรณียกิจที่ทรงจัดขึ้นดวยพระบรมเดชานุภาพ
เพื่อเปนหิตานุหิตประโยชนแกพระราชอาณาจักรกับทั้งประชาชนขาขอบขัณฑสีมา ฯ
**ฝายพระราชอาณาจักรนอกจากยักยายขยายการที่ไดจัดไวกอนแลวให กวางขวางในทาง
พระเมตตาได ท รงตั้ ง พระราชบั ญ ญั ติ เ ลิ ก ลู ก ทาสเป ด ให เ ป น ไทไม ต อ งมี พิ กั ด เกษี ย ณอายุ
เหมือนในหนหลังผูที่ยังไมเคยเปนทาสหรือหลุดพนแลวก็หามไม ใหขายตัวเปนทาส ผูที่เปนทาส
อยูแ ลว ก็ไ มย อมให ขึ้น คา ตัว ทั้ งใหน ายเมตตาลดค าตั วใหเ ปน รายเดือ นเพื่อ เร งรั ดใหห มดทาส
ในแผนดิน ฯ
พระมงคลวิเสสกถา หนา ๕๔-๕๕.
ประโยค ป.ธ.๘ เรือ่ งทีค่ วรดูเปนพิเศษ / ๒๕๖๑
ตัวอยาง แตงฉันทภาษามคธ
สฺยามินทฺ ราชสฺส ราชปฏิสนฺถารกุสลตาคาถา
๑.ปฐยาวัตร ๒.วังสัฏฐะ
ปชาย ปฏิสนฺถาร- ทานสฺส โหติ โกวิโท สเจ หิ รฏฐปฺปติ จกฺกวตฺติ โส
สฺยามินฺทขตฺติโย ตสฺส อุปสงฺกมนาทิกํ กโรติ สลฺลาปกถํ สหตฺตนา
กิจฺจํ ลทฺธา ปชา ปติ- ปาโมชฺชปุณฺณมานสา ส ปุคฺคโล โหติ อุทคฺคุทคฺคโก
โหติ ตสฺมา คุโณ ตสฺส มหจฺฉริยภูตโก อติตฺตโก ปติคุเณน สพฺพโส
สห อพฺภูตธมฺเมหิ ราชิโน จกฺกวตฺติโน ๓.อินทรวิเชียร
สํสนฺทติ นรินฺโท จ พฺราหฺมโณ จ คหปฺปติ ตุณฺหี สยํ โหติ ส จกฺกวตฺติ
สมโณติ สุทํ ราช- ปริสาป จตุพฺพิธา โส เจ อุปตฺถมฺภนกิจฺจลทฺโธ
อตฺถิ เอตาสุ โยโกจิ ปุคฺคโล จกฺกวตฺตินํ โปโสป อุตฺตานมุโข สเปโม
เอตํ ปยิรุปาสนฺโต อุปสงฺกมนาทิกํ โหเต สภตฺตี จ สเมน สมฺมา
กิจฺจเมว ลภิตฺวาน โหติ หฏฐปฺปหฏฐโก
๔.ปฐยาวัตร
อโถ สฺยามินฺทราเชน ปชาย สุขิตาย จ ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ หิมวนฺโต ว ปพฺพโต
อุปตฺถมฺภนสงฺขาโต ปชาย นิพฺภยาย จ อสนฺเตตฺถ น ทิสสฺ นฺติ รตฺตึ ขิตตฺ า ยถา สรา
ปฏิพาหนสงฺขาโต สงฺคโห ปริปูริโต อิติ คาถาป ญาตพฺพา ปฏิสนฺถารเมธิตา
ตสฺมา วิเทสิกา โปสา เอตํ นิสฺสาย ธมฺมิกํ ปฏิสนฺถารกุสลตา อิติ เอวํ ปวุจฺจติ
สมฺมาชีวํ ปยฺุชิตฺวา ภิยฺโย วณิชฺชกมฺมุนา รฏฐาภิปาลโนปาเย พฺยตฺโต สฺยามินฺทขตฺติโย
นครํ สพฺพภณฺเฑหิ สมฺปุณฺณกํ ปกุพฺพเร รฏฐสฺส รฏฐิกานฺจ หิตานุหิตสาธิกํ
สฺยามรฏฐฺจ โปราณ- ปฏฏนนฺนครสฺสป กิจฺจํ เตชานุภาเวน ปยฺุชติ ส เมตฺติโก**
อภิโถมนวาจาย สทฺธึ โข ปูฏเภทนํ ปุตฺตํ ทาสสฺส สพฺพตฺถ ภุชิสฺสํ ทาสภาวโต
สฺยามรฏฐนฺติ วุตฺตาย สํสนฺทติ สเมติ จ ปฏิมุจฺจาปนตฺถาย เนตึ ฐเปติ โย ชโน
ตสฺมา หิ กิตฺติ สฺยามินฺท- รฺโญ คุณวิเสสโต อภูตปุพฺพทาโส วา ทาสตฺตา อตฺตโมจิโต
นานารฏเฐสุ โอปานํ อิจฺเจวํ โหติ ปากฏา โหตาวิกฺกยิตุ อตฺต- กายํ ทาสํ ปกุพฺพิย
ชลาลโยว สพฺเพสํ โอปานฏฐานภูตโก ตํ นิวาเรติ โย ทาส- ภูโตคฺฆํ อตฺตกายิกํ
มิตฺตสมฺพนฺธิเก รฏเฐ มเหสกฺโข มหายโส อวฑฺฒาปยิตุ เอตํ นิวาเรติ จ สามิโก
ราชอาคนฺตโุ ก สมฺมา อาคจฺฉนฺโต อิมํ ทิสํ เมตฺตาเยยฺย สกํ ทาสํ โอหาราเปยฺย ตสฺส จ
ตุสิตฺวา ปฏิสนฺถารํ ปฏิคฺคณฺหาติ จุตฺตรึ อตฺตกายิกมคฺฆนฺติ อาณาเปติ จ สพฺพธิ
อุปฺปนฺนปติปาโมชฺโช ปฏิคฺคจฺฉติ เตน หิ โมจาเปตุ ปชํ ทาส- ภูตกํ ทาสภาวโตติ ฯ
กิตฺติ สฺยามินฺทราชสฺส ตํตํรฏเฐสุ ปากฏา พระมหาพิเชษฐ ปยภาณี ป.ธ.๙/แตง
+ จกฺกวตฺต,ิ จกฺกวตฺต(ี ปุง)-พระเจาจักรพรรดิ ฯ
ศัพทพเิ ศษทีน่ กั เรียนบาลีควรรู
สนฺต ( คนดี,สัตบุรษุ ) มีวธิ แี จกตามวิภตั ติ ทัง้ ๗ ดังนี้
ป. สํ สนฺโต สนฺโต สนฺตา
ทุ. สํ สนฺตํ สนฺเต
ต. สตา สนฺเตน สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ
จ. สโต สนฺตสฺส สตํ สตานํ สนฺตานํ
ปฺจ สตา สนฺตสฺมา สนฺตมฺหา สนฺตา สนฺเตหิ สนฺเตภิ สพฺภิ
ฉ. สโต สนฺตสฺส สตํ สตานํ สนฺตานํ
ส. สติ สนฺตสฺมึ สนฺตมฺหิ สนฺเต สนฺเตสุ
อา. สนฺต สนฺโต