Professional Documents
Culture Documents
15340 12848 พรรณไม้ในพุทธศาสนา
15340 12848 พรรณไม้ในพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนา
นายคมกฤษ จันทร ์เจียวใช้ รหัส
นักศึกษา 6015600239
นายธีระศ ักดิ ์ ภักตรนิ กร รหัส
นักศึกษา 6015600270
นายสุกษม แถมเกษม รหัส
นักศึกษา 6015600304
นางสาวอรพรรณ ร ัตนวิเศษศรี รหัส
นักศึกษา 6015600387
นายนัฐพงษ ์ภัทร กุลวรรณทอง รหัส
นักศึกษา 6015600489
เสนอ
อาจารย ์ชยันต ์ พิเชียรสุนทร
สาขาวิชาการแพทย ์แผนไทย
พระพุทธศานานันมี ้ หลายลักษณะ
้
นับตังแต่วรรณคดีพระศาสนา กวีได้
รจนากล่าวถึงไม้บนสวรรค ์ ไม้ชนิ ดนี ้
คนสามัญไม่เคยพบเห็น เป็ นไปได้วา ่
โลกแห่งจินตนาการอิงอยู ่บนความ
จริงทางวัตถุ ดังเช่น ธรรมชาติจริง
ของทองหลาง จึงถู กแต่งเสริมเป็ น
้
ปาริชาต รวมทังมณฑา ้ ภพ
บนพืนพิ
สู ม
่ ณฑารพบนสวรรค ์
ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัม
พุทธเจ้า ทรงวางพระวินย ั บัญญัต ิ
ใดมากกกว่ากน ั ในราวป่ าย่อมมากกว่า แต่
ใบไม้ในกามือตถาคตนัน ้ เหมือนธรรมทีทรง ่
แสดงแล้ว พิจารณาว่าจาเป็ นควรรู ้ หรือนา
่ งห้
สิงทั ้ าของไม้มาอุปมาสังสอนแก่
่ พระผู เ้ ข้า
มาบวชว่า
้ อเสี
1. ลาภสักการะรวมทังชื ่ ยง เหมือนกิงไม้
่
ใบไม้
2. ความถึงพร ้อมสมบู รณ์ดว้ ยศีล เหมือน
สะเก็ดไม้
้ั นในสมาธิ
3. ความตงมั ่ บริบูรณ์ เหมือน
เปลือกไม้
4. ญาณทัศนะหรือเกิดปั ญญา เหมือนกระพี ้
ไม้
่
บัว
วงศ ์ NYMPHAEACEAE
สรรพคุณ
• ดอกบัวสดสีขาวใช้ตม ้ กบั น้ าดืมติ
่ ดต่อก ัน จะมีสรรพคุณ
เป็ นยาบรรเทาอาการอ่อนเพลีย ทาให้สดชืนขึ ่ น ้ และช่วย
ลดอาการใจสัน ่ (ดอก, เกสร, กลีบดอก)
• ช่วยบารุงโลหิต (เม็ดบัว, ใบแก่)
• ช่วยลดความดันโลหิตสู งและลดไขมันในเส้นเลือด ด้วย
การใช้ใบสดหรือแห้งนามาหันเป็ ่ นฝอยต้มกบ ั น้ าพอท่วมจน
เดือดประมาณ 10-15 นาที ใช้ดมคร ื่ ้ั
งละ 1 แก้ว วันละ 3
ครง้ั โดยให้ดมติื่ ดต่อก ันอย่างน้อย 20 วัน และตรวจว ัดความ
ดันเป็ นระยะพร ้อมทังสั้ งเกตอาการ ได้แก่ อาการปวดศีรษะ
เวียนศีรษะ มึนงง ปวดท้ายทอย หากดืมแล้ ่ วความดันโลหิต
ลดลงก็ตอ ่
้ งหมันตรวจว ัดความดันอย่างน้อยเดือนละ 2-3
ครง้ั พร ้อมทังสั
้ งเกตอาการดังกล่าวไปด้วย ถ้าหากพบว่ามี
อาการผิดปกควรรีบไปพบแพทย ์ (ใบ) หรือจะใช้ดบ ี วั
ประมาณ 1.5-6 กร ัม นามาต้มเอาน้ าดืม ่ ก็มส ี รรพคุณช่วย
เสด็จจากสวรรค ์ชนดุ ้ั สต ่
ิ เพือเข้ าสู ่พระครรภ ์
พระมารดา วันทีเสด็ ่ จลงมาบังเกิดนัน ้ คืน
้ พระนางสิรม
นัน ิ หามายา พระมารดาทรงมี
พระสุบนิ นิ มติ ว่า พระนางได้เข้าไปอยู ่ในป่ า
หิมพานต ์ ได้มช ี า้ งเผือกเชือกหนึ่ง ลงมาจาก
ยอดเขาสู ง เข้ามาหาพระนางปฐมสมโพธิ
พรรณนาเหตุการณ์ตอนนี ไว้ ้ วา่
“มีเศวตหัตถีชา้ งหนึ่ง...ชูงวงอ ันจับปทุมชาติส ี
ขาว มีเสาวคนธ ์หอมฟุ้ งตรลบ แล้วร ้อง
โกญจนาทเข้ามาในกนกวิมาน แล้วกระทา
ประทักษิณพระองค ์อ ันบรรทมถ้วนครบสามรอบ
แล้ว เหมือนดุจเข้าไปในอุทรประเทศ ฝ่าย
ทักษิณปรเศว ์แห่งพระราชเทวี...”ในขณะนัน ้ ได้
เกิดบุพนิ มต ้ ๓๒ ประการ ประการทีเกี
ิ ขึน ่ ยวกับ
่
่ าชายสิทธ ัตถะประสู ตท
เมือเจ้ ี่
ิ สวน
ลุมพินี ทรงบ่ายพระพักตร ์ไปทาง
ทิศอุดร และย่างพระบาทไป 7 ก้าว
้
มีดอกบัวผุดขึนมารองร ับ 7 ดอก
่ าชายสิทธ ัตถะเจริญ
ต่อมาเมือเจ้
พระชนมายุได้ 7 พรรษา พระราช
บิดาโปรดให้ขด ุ สระโบกขรณี 3
สระสาหร ับพระราชโอรสทรงเล่นน้ า โดย
ปลู กอุบลบัวขาวสระหนึ่ ง ปลู กปทุมบัว
หลวงสระหนึ่ ง และปลู กบุณฑริกบัวขาว
อีกสระหนึ่ ง
ซาล , สาละ
วงศ ์ Dipterocarpaceae
่ าเนิ ด พบในประเทศเนปาล และพืนที
ถินก ้ ทาง
่
เหนื อของประเทศอินเดีย มักขึนเป็ ้ นกลุ่ม ในบริเวณที่
ค่อนข้างจะชุม ้ เป็ นไม้ทอยู
่ ชืน ี่ ่ในวงศ ์ยาง พบมากใน
ลุ่มน้ ายมุนา แถบแคว้นเบงกอลตะว ันตก และแคว้น
อ ัสสัม
้
สาละเป็ นไม้เนื อแข็ ่ ประโยชน์มาก ชาวอินเดีย
งทีมี
นามาสร ้างบ้านเรือน ต่อเรือ ทาเกวียน ทาไม้หมอน
รถไฟ ทาสะพาน รวมถึงทาเฟอร ์นิ เจอร ์เครืองใช้ ่ เช่น
โต๊ะ เก้าอี ้ เป็ นต้น ส่วนเมล็ดนามาใช้เป็ นอาหารสัตว ์
และน้ ามันทีได้ ่ จากเมล็ดนามาทาอาหาร เช่น ทาเนย
และใช้เป็ นน้ ามันตะเกียง รวมทังใช้ ้ ทาสบู ่ดว้ ย
สรรพคุณด้านสมุนไพรของต้นสาละ พบว่ายาง
สามารถใช้เป็ นยาสมานแผล ยาห้ามเลือด ใช้แก้โรค
สาละ และลู กปื นใหญ่ พันธุ ์ไม้ตา ่ งชนิ ดก ัน และมีถนก ิ่ าเนิ ด
พบกระจายอยู ่ห่างไกลต่างทวีปกน ่
ั แต่เข้ามาเกียวข้ องกัน
โดยบังเอิญ เนื่ องจากความเข้าใจผิดในชือเรี ่ ยกขาน
ปั จจุบน ั ความเข้าใจดังกล่าวได้แพร่กระจายออกไปไกล
ดังนัน ้ ผู ท ี่ ยวข้
้ เกี ่ ่
องในเรืองนี ้ าจะช่วยก ันเผยแพร่ความรู ้นี ้
น่
่
เพือความเข้ ่ กต้อง และตามว ัดต่างๆ ทีปลู
าใจทีถู ่ กต้นลู กปื น
ใหญ่ หรือทีเรี ่ ยกและรู ้จักในชือ ่ สาละลังกา เป็ นพันธุ ์ไม้ท ี่
มิได้เกียวข้่ องใดใดก ับพุทธประว ัติ อาจเปลียนป้ ่ ่
ายทีบรรยาย
ว่าเป็ นพันธุ ์ไม้จากทวีปอเมริกาใต้ มีชอพ้ ื่ องก ับสาละอินเดีย
่ นวิทยาทานแก่บุคคลทัวไป
เพือเป็ ่ หรืออาจเสาะหา สาละ
(Shorea robusta C.F. Gaertn.) มาปลู กเปรียบเทียบด้วย เพือ ่
ก่อให้เกิดความเข้าใจทีถู ่ กต้องแก่สาธารณชนผู พ ้ บเห็น
สุดท้ายนี ้ ท่านผู ใ้ ดทีมี ่ ตน ่
้ สาละ น่ าทีจะน าไปถวายว ัด
เพือปลู่ กเป็ นต้นไม้แห่งความรู ้ทีเป็ ่ นวิทยาทานทีถู ่ กต้อง
ต่อไป น่ าจะเป็ นกุศล และเป็ นประโยชน์ไม่น้อย
วงศ ์ (พิมพ ์ ธมฺมธโร) วัดพระศรีมหาธาตุ วรมหาวิหาร
เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยปลู กไว้ทหน้ ี่ าพระ
อุโบสถ 2 ต้น กับได้น้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระ
่
เจ้าอยู ่หวั เมือวันที ่ 2 ธ ันวาคม 2510 อีก 2 ต้น ใน
จานวนนี ได้ ้ ทรงปลู กไว้ในพระตาหนักจิตรลดารโหฐาน
1 ต้น กับทรงมอบให้วท ิ ยาลัยเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ต.กระทิงลาย อ.บางละมุง จ.ชลบุร ี อีก 1 ต้น
อาจารย ์เคียน้ เอียดแก้ว และอาจารย ์เฉลิม
มหิทธิกล ุ ก็ได้นาต้นสาละใหญ่มาปลู กไว้ในบริเวณ
คณะวนศาสตร ์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ์ เขต
บางเขน กรุงเทพมหานคร และทีค่ ่ ายพักนิ สต ิ วน
ศาสตร ์ สวนสักแม่หวด อ.งาว จ.ลาปาง
พระพุทธทาสภิกขุ ก็ได้นามาปลู กไว้ทสวนโมก ี่
ขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฎร ์ธานี และนายสวัสดิ ์ นิ ช
ร ัตน์ ผู อ
้ านวยการกองบารุง ก็ได้นามาปลู กไว้ในสวน
่ ดเบญจมบพิตร เป็ นต้นทีในหลวง
ต้นสาละทีวั ่
ก่อนพุทธศ ักราช 80 ปี พระพุทธมารดาคือพระนางสิรม ิ หา
มายา ทรงครรภ ์ใกล้ครบกาหนดพระสู ตก ิ าร จึงเสด็จออก
่
จากกรุงกบิลพัสดุ ์ เพือไปมี พระสู ตก
ิ าร ณ กรุงเทวทหะ อ ัน
เป็ นเมืองต้นตระกูลของพระนาง ตามธรรมเนี ยมประเพณี
่
พราหมณ์ (ทีการคลอดบุ ตร ฝ่ายหญิงจะต้องกลับไปคลอด
่ านพ่อ-แม่ของฝ่ายหญิง) เมือขบวนเสด็
ทีบ้ ่ ่
จมาถึงครึงทาง
ระหว่างกรุงกบิลพัสดุ ์กับกรุงเทวทหะ ณ ทีตรงนั ่ ้
นเป็ นสวน
ื่ า "สวนลุมพินีว ัน" เป็ นสวนป่ าไม้ "สาละใหญ่"
มีชอว่
พระนางได้ทรงหยุดพักอิรย ิ าบท (ปั จจุบน
ั คือตาบล
"รุมมินเด" แขวงเปชวาร ์ ประเทศเนปาล) พระนางประ
้
ทับยืนชูพระหัตถ ์ขึนเหนี ่ ยวกิงสาละใหญ่
่ และขณะนัน ้
เองก็รู ้สึกประชวรพระครรภ ์ และได้ประสู ตพ ิ ระสิทธ ัตถะ
่
กุมาร ซึงตรงก ับว ันศุกร ์ ว ันเพ็ญเดือน 6 ปี จอ ก่อน
พุทธศ ักราช 80 ปี คาว่า "สิทธ ัตถะ" แปลว่า
"สมปรารถนา"
นิ พพาน
เมือมี่ พระชนมายุครบ 80 พรรษา พระพุทธเจ้า
พร ้อมด้วยพระภิกษุสงฆ ์สาวก ได้เสด็จถึงเขตเมือง
กุสน ิ าราของมัลละกษัตริย ์ ใกล้ฝ่ ั งแม่น้ าหิร ัญวดี
่
เป็ นเวลาใกล้คาของวันเพ็ ญเดือน 6 วันสุดท้าย
ก่อนการกาเนิ ดพุทธศ ักราช ได้ประทับในบริเวณ
สาลวโณทยาน พระองค ์ทรงเหน็ ดเหนื่อยมาก จึงมี
่ พระอานนท ์ซึงเป็
ร ับสังให้ ่ น
่
องค ์อุปัฏฐากปู ลาดพระทีบรรทม โดยหัน
พระเศียรไปทางทิศเหนื อ ระหว่างต้นสาละ
ใหญ่ 2 ต้น แล้วพระองค ์ก็ทรงเอนพระวรกาย
ลง ประทับไสยาสน์แบบสีหไสยาเป็ นอนุ ฏฐาน
ไสยา คือการนอนครงสุ ้ั ดท้าย โดยพระปร ัศว ์
้
เบืองขวา (นอนตะแคงขวาพระบาทข้าสู ่
หว้า ต้นไม้แห่งปฐมฌานของ
เจ้าชายสิทธ ัตถะ
(L.) Skeels
อยู ่ในวงศ ์ Myrtaceae เป็ นไม้ยน
ื ต้นขนาดใหญ่ สู ง
ราว 10-30 เมตร ลาต้นเปลาตรง เปลือกต้นสีเทา
อ่อน เรือนยอดเป็ นทรงพุ่มกลมหนาทึบ ใบเป็ นใบ
่ รู ป รี ออกตรงข้าม ขอบใบเรียบ ผิวใบเป็ น
เดียว
่
มัน เมือใบอ่ อนจะมีสแ ่
ี ดงอ่อนๆ และเมือแก่ จะมีส ี
เขียวเข้ม
มี “นครโสเภณี ” (หญิงผู ย
้ งั พระนครให้งาม) หรือหญิงงาม
เมืองนางหนึ่ ง ชืออ
่ ัมพปาลี เมืองไพศาลี แคว้นวัชชี มีความ
่
เลือมใสในพระศาสนา ได้ถวายสวนมะม่วงของเธอให้เป็ นว ัด
่
ทีประทั ่ ่ของสงฆ ์ (นางเป็ นนครโสเภณี คนแรกที่
บและทีอยู
สร ้างว ัดถวายพระพุทธองค ์ บางทีว่่ านางถวายสวนในช่วง
ื่ ยกอีกชือว่
สวนมะม่วง อ ันเป็ นว ัดในพระศาสนามีชอเรี ่ า
“สวนอ ัมพวนาราม” หรือ “อ ัมพวัน” เนื่ องจากมีหลายผู ้
ื่ าของสวนไว้นาหน้า เช่น สวนมะม่วง
ถวาย จึงมักใส่ชอเจ้
ของหมอชีวก เรียก “ชีวกัมพวัน” สวนทีนางอ ่ ัมพปาลีถวาย
้
นันเรี
ยกว่า “สวนอ ัมพปาลีวน ั ”
้ั
อีกครงหนึ ่ งคือ ครงเมื
้ั อพระองค
่ ์อยู ่ในเมืองสาวีตถี แคว้น
โกศล ในวันเพ็ญกลางเดือน 8 ก่อนว ันเข้าพรรษาหนึ่ งว ัน
่
พวกเดียรถีย ์ท้าพระพุทธเจ้าแข่งปฏิหาริย ์ทีโคนต้ น
มะม่วง เดียรถีย ์ให้สาวกไปโค่นต้นมะม่วงเสีย แต่พระพุทธ
องค ์ก็ทรงแสดงปาฏิหาริย ์จนได้
ผลน้ าเต้านันเมื
้ ่
อแก่ ้
และขูดเนื อในออกหมดแล้
ว
ใช้กระโหลกน้ าเต้าเทียวบิ
่ ณฑบาต ชาวบ้านเพ่ง
โทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหมือนพวกเดียรถีย ์
่
เมือความทราบถึ งพระพุทธองค ์ จึงทรงตร ัสเพือ ่
บัญญัตเิ ป็ นพระวินย ่
ั เรืองบาตรส าหร ับภิกษุไว้ว่า
้ั
“ดู กรภิกษุทงหลาย ภิกษุไม่พงึ ใช้กระโหลกน้ าเต้า
่
เทียวบิณฑบาต รู ปใดใช้ ต้องอาบัตท ิ ุกกฏฯ”
่
เมือพระเจ้
าพิมพิสารได้สดบ
ั ข่าว จึงเสด็จพร ้อม
ภาษาบาลีวา ่ ‘ตาลปตฺต’ ซึงแปลว่าใบตาลนันเอง ซึง
ปั จจุบน
ั พระสงฆ ์บ้านเราไม่นิยมใช้ตาลปั ตรทีท ่ าจาก
ใบตาลแล้ว แต่พระสงฆ ์ในประเทศอืนที ่ นั
่ บถือ
พระพุทธศาสนา เช่น พม่า, ศรีลงั กา, ก ัมพู ชา และ
่ าจากใบตาลอยู ่ และถือ
ลาว ยังนิ ยมใช้ตาลปั ตรทีท
เป็ นพัดสารพัดประโยชน์ใช้พด ั วีโบกไล่แมลง รวมทัง้
ใช้บงั แดดด้วย
และด้วยลักษณะของต้นตาลซึงเมื ่ อต ่ ัดยอดไป
แล้วกลายเป็ น “ตาลยอดด้วน” ไม่สามารถ
เจริญเติบโตได้อก ่
ี ต่อไป ด ังคาทีพระพุ ทธองค ์ได้ตร ัสไว้
่
ในพระสู ตรต่างๆ ในพระไตรปิ ฎก ซึงขอยกมาบาง
ตอนด ังนี ้
่ รส โผฏฐ ัพพะ
“...สมบัต ิ คือ รู ป เสียง กลิน
ต้นไผ่ใหญ่ (ต้นมหาเวฬุ)
ว่า “เวฬุวน ่
ั ” ทีเรารู ้จักกันดีกแ ็ ปลว่า “ป่ าไผ่”
นั่นเอง พันธุ ์ไม้ไผ่ในโลกมีจานวน ถึง 1,250
ชนิ ด ไม้ไผ่เป็ นพวกพืชยืนต้น จัดอยู ่ในวงศ ์
Gramineae แต่เมือพิ่ จารณาจาก
พระไตรปิ ฎกดังกล่าว ต้นไผ่ใหญ่ ซึงในภาษา ่
บาลีเรียกว่า “ต้นมหาเวฬุ” น่ าจะอยู ่ในสกุล
Dendrocalamus เพราะไผ่สกุลนี มี ้ ขนาด
กลางถึงขนาดใหญ่ ไม่มห ้
ี นาม ลาตังตรง
กาบมีขนาดใหญ่ และมักหลุดร่วงเร็ว ใบยอด
่
กาบเป็ นรู ปสามเหลียมเรี ยว
ต้นไผ่เป็ นพืชทีมี ่ การใช้ประโยชน์อย่าง
กว้างขวาง ทังบริ้ โภค ทังเป็ ้ นวัตถุดบ ่
ิ เพือการ
อุตสาหกรรม เช่น ทาเยือกระดาษ ่ ทาเครือง่
่
หลังจากทีพระเจ้ าพิมพิสารได้ฟังธรรมที่
สวนตาลหนุ่ มแล้ว ได้ทูลอาราธนาพระพุทธ
องค ์พร ้อมพระสาวก ไปร ับพระกระยาหารเช้า
่
ทีพระราชนิ เวศน์ในว ันรุง่ ขึน ้ หลังจากทีพระ
่
พุทธองค ์เสวยเสร็จ พระเจ้าพิมพิสารได้ทูลว่า
่
ทีสวนตาลหนุ ้
่ มนันอยู ่นอกเมือง การเดินทาง
ลาบาก ทรงใคร่ถวายพระราชอุทยานสวนไม้ไผ่
่
ให้เป็ นทีประทั บของพระพุทธองค ์ และทีอยู่ ่
ของสงฆ ์
พระพุทธองค ์ทรงร ับด้วยพระอาการดุษณี
พระเจ้าพิมพิสารจึงหลังน ่ ้ าจากพระเต้าบนพระ
หัตถ ์พระพุทธองค ์ เพือเป็่ นการถวายสวนไผ่
ให้เป็ นวัดในพุทธศาสนาแห่งแรก
นอกจากนี ้ พระเจ้าพิมพิสารยังโปรดให้ขด ุ สระน้ ากา
ร ันธะขึน้ เพือให้
่ พระพุทธองค ์ได้สรงน้ าด้วย
เกด ต้นไม้สุดท้ายแห่งการเสวย
วิมุตติสุข
“ราชายตนะ”
ื่
มีชอทางวิ ทยาศาสตร ์ว่า
Manilkarahexandra (Roxb.) Dubard
อยู ่ในวงศ ์ Sapotaceae
มีถนกิ่ าเนิ ดในเอเซียตะวันออกเฉี ยง
ใต้
ี่ นเกดมีเนื อไม้
ด้วยเหตุทต้ ้ ท ี่
แข็งแรง ทนทาน และพบมากตาม
เกาะแก่งต่างๆ ชาวประมงจึงนิ ยม
นามาใช้ในการทาเรือ ปั จจุบน ั ต้น
หลุดพ้นจากกิเลสทังปวง)้ เป็ นสัปดาห ์สุดท้าย อยู ่ ณ ใต้
ต้นราชายตนะ (สัปดาห ์ที่ 5 ประทับทีต ่ ้นไทร และสัปดาห ์ที่ 6
่ ้นจิก) ซึงอยู
ประทับทีต ่ ่ทางทิศใต้ของต้นพระศรีมหาโพธิ ์
เป็ นเวลา 7 วัน
่
ในระหว่างทีประทั บอยูน่ ้ันได ้มีพ่อค ้า 2 คน ชือว่่ า “ตปุ ส
สะ” และ “ภัลลิกะ” นาเกวียน 500 เล่ม เดินทางจากอุกกลชนบท
ผ่านมา และได้พบก ับพระศาสดา จึงบังเกิดความเลือมใส ่ ทัง้
สองจึงพร ้อมใจกันนาข้าวสัตตุกอ ้ น สัตตุผง ถวายแด่พระ
พุทธองค ์ พระศาสดาได ้ทรงแสดงธรรมแก่ทงสอง ้ั ่
และเมือจบพระ
ธรรมเทศนาแล ้ว ทังตปุ ้ สสะและภัลลิกะ ก็เปล่งวาจาถึงพระพุทธเจ ้า
และพระธรรมเป็ นสรณะตลอดชีวต ้
ิ ทังสองจึ งเป็ น “เทฺววาจิก
อุบาสก” คืออุบาสกทีถึ ่ งร ัตนะทังสอง ้ (ขณะนันยั ้ งไม่ม ี
พระสงฆ ์) เป็ นคู แ
่ รกในพระพุทธศาสนา
่
และก่อนทีจะเดิ นทางต่อไป ทังตปุ ้ สสะและภัลลิกะได้ทูล
่
ขอสิงของเพื ่ นทีระลึ
อเป็ ่ กถึงพระพุทธองค ์ พระองค ์จึงทรง
ต้นเวฬุวะ หรือ ต้น
มะตู ม
ex Roxb.
่
ชือสามั ญ : Bael
วงศ ์ : Rutaceae
่ น
ชืออื ่ : มะปิ น (ภาคเหนื อ) กระทันตาเถร ตุม
่ เต้ง ตู ม
(ปั ตตานี )
่
มะปี ส่า (กะเหรียง-แม่ ฮ่องสอน)
การใช้ประโยชน์
มะตู ม มีคุณค่าทางโภชนาการคือ ประกอบด้วย สารเพคติน
(pectin)
่ รสฝาด
สารเมือก (mucilage) และสารแทนนิ นซึงให้
นอกจากนี ยั้ งมีสารขมต่าง ๆ ได้แก่ สารคู มาริน
(coumarin)
และมีสารฟลาโวนอยด ์ (flavonoids) อีกด้วย
้ั
ผลมะตู ม ใช้ร ับประทานได้ทงแบบสดและแบบแห้ ง
น้ าจากผลเมือน่ าไปกรองและเติมน้ าตาลจะได้เครืองดื
่ ม่
ใบอ่อนและยอดอ่อนใช้ร ับประทานเป็ นผักสลัด กินกับ
น้ าพริก ลาบ และข้าวยา
ผลแก่แต่เปลือกยังนิ่ ม นามาฝานแล้วทาเป็ นมะตู ม
เชือม่
่ าไปเป็ นส่วนผสมของขนมอืนอี
ซึงน ่ กหลยอย่าง
้
มะตู มสุก เนื อเละใช้ร ับประทานเป็ นผลไม้ และใช้เป็ น
ยาร ักษาอาการท้องร่วง
ท้องเดิน โรคลาไส้ ตาแห้งไข้หวัดธรรมดา และยังใช้
ร ักษาอาการท้องผู กเรือร ้ ังได้เป็ นอย่างดี
เปลือกของรากและลาต้นของมะตู ม สามารถลดไข้
และใช้เป็ นยาร ักษาไข้มาลาเรียในสมัยก่อน ขับลมใน
ลาไส้
ราก แก้พษ ิ ฝี พิษไข้ ร ักษาน้ าดี
ใบสด แก้ไอ ขับเสมหะ หากมีอาการหลอดลมอ ักเสบ
้ ัง
เรือร
มะตู ม ในพุทธประวัต ิ ตอนทีพระพุ่ ทธเจ้า
ประทับ ณ นิ โครธาราม เขตกบิลพัสดุ ์ เช้า
วันหนึ่งพระพุทธองค ์เสด็จเข้าสู พ ่ ระนคร
่ ณฑบาต เมือเสด็
กบิลพัสดุ ์ เพือบิ ่ จกลับ ได้
่
เสด็จเข้าไปยังป่ ามหาวันเพือทรงพั กผ่อนใน
เวลากลางวัน และทรงประทับ ณ โคนต้น
มะตู มหนุ่ ม
่
ชือของ ต้นเวฬุวะ หรือ ต้นมะตู ม นี ้
ปรากฏเป็ นชือหมู่ ่ า้ นแห่งหนึ่งในแคว้นวัช
บ
ชี เขตเมืองเวสาลี
คือ "เวฬุวคาม" หรือ "เพฬุวคาม"
่
มณฑารพ ดอกไม้ทพิ ย์
แห่งสวรรค ์
จาปี และยีหุ่ บ เป็ นไม้พ่ม
ุ สูงราว 3-10 เมตร เปลือกสีเทา ใบ
่
เป็ นใบเดียวเรียงสลับ มีขนาดใหญ่ รูป รี ปลายใบแหลม
้
ขอบใบเรียบ เนื อใบหนา ่
มักเป็ นคลืนหรือเป็ นลอน ดอกมี
ขนาดใหญ่ เป็ นดอกเดียว ่ ออกตามซอกใบ หรือส่วนยอด
ของลาต ้น มีสเี หลืองนวล
“ดอกมณฑารพ” ดอกไม้ทพ ิ ย ์แห่งสวรรค ์ ทีไม่
่
มีในโลกมนุ ษย ์
และจะปรากฏเฉพาะตอนทีมี ่ สงใดสิ
ิ่ ่
งหนึ ่งเกิดขึนกับ
้
พระพุทธเจ้า
เช่น ประสู ต,ิ ตร ัสรู ้, ปลงอายุสงั ขาร, ดับขันธป ริ
นิ พพาน,
่
วันจาตุรงคสันนิ บาต, วันทีทรงแสดงพระธ ัมมจัก
กัปปวัตนสู ตร
องค ์จะเสด็จดับขันธป รินิพพาน ได้ตร ัสกับพระอานนท ์ว่า
“ดู กรอานนท ์ ไม้สาละทังคู ้ ่ เผล็ดดอกบานสะพรงนอก่ั
ฤดู กาล ร่วงหล่นโปรยปราย ลงยังสรีระของตถาคตเพือบู ่ ชา
แม้ดอกมณฑารพอ ันเป็ นของทิพย ์ ก็ตกลงมาจากอากาศ
ดอกมณฑารพเหล่านัน ้ ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังสรีระของ
ตถาคตเพือบู ่ ชา แม้จุณแห่งจันทน์อ ันเป็ นของทิพย ์ ก็ตกลง
มาจากอากาศ จุณแห่งจันทน์เหล่านัน ้ ร่วงหล่นโปรยปราย
ลงยังสรีระของตถาคตเพือบู ่ ชา ดนตรีอ ันเป็ นทิพย ์เล่า ก็
ประโคมอยู ่ในอากาศ เพือบู ่ ชาตถาคต แม้สงั คีตอ ันเป็ นทิพย ์
ก็เป็ นไปในอากาศเพือบู ่ ชาตถาคต
ดู กรอานนท ์ ตถาคตจะชือว่ ่ าอ ันบริษท
ั สักการะ
เคารพ นับถือ บู ชา นอบน้อม ด้วยเครืองสั ่ กการะประมาณ
้
เท่านี หามิ ได้ ผู ใ้ ดแลจะเป็ นภิกษุ ภิกษุ ณี อุบาสก หรือ
อุบาสิกาก็ตาม เป็ นผู ป ้ ฏิบตั ธิ รรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบต ั ิ
ชอบ ปฏิบต ั ต
ิ ามธรรมอยู ่ ผู น ้ั อมชือว่
้ นย่ ่ าสักการะ เคารพ
นับถือ บู ชาตถาคต ด้วยการบู ชาอย่างยอด เพราะเหตุนน ้ั
ทุกหนแห่งในเมืองกุสน ิ าราเต็มไปด้วยดอกมณฑารพ “...
สมัยนัน้ เมืองกุสนิ าราเดียรดาษไปด้วยดอกมณฑารพโดย
ถ่องแถวประมาณแค่เข่า จนตลอดทีต่ ่ อแห่งเรือน บ่อของ
โสโครกและกองหยากเยือ ่ ครงนั
้ั นพวกเทวดาและพวกเจ้
้ า
มัลละเมืองกุสนิ ารา สักการะ เคารพ นับถือ บู ชาพระสรีระ
พระผู ม
้ พ
ี ระภาค ด้วยการฟ้อนรา ขับร ้อง ประโคมมาลัยและ
ของหอม ทังที้ เป็
่ นของทิพย ์ ทังที
้ เป็
่ นของมนุ ษย ์...”
ต้นกุม
่ (ต้นกักกุธะ)
และปิ ยทัสสีพุทธวงศ ์ กล่าวไว้วา
่
ต้นกุม
่ (ต้นกุม
่ บก) ในภาษาบาลีเรียกว่า “ต้นก ัก
กุธะ” หรือ “ต้นกกุธะ” เป็ นพันธ ์ไม้ในสกุล Crateva วงศ ์
Capparidaceae ชาวฮินดู เรียกกันว่า “มารินา” ตามพระ
พุทธประว ัติกล่าวว่า พระพุทธเจ้านาผ้าบังสกุลห่อศพ
มามณพาสี ในอามกสุสาน (ป่ าช้าผีดบ ่
ิ ) ไปทรงซ ัก เมือ
่ ผ้
ซ ักเสร็จแล้วก็มาทีที ่ าบังสกุลดังกล่าว พฤกษเทวาซึงสิ่ ง
Jacobs” และ ต้นกุม ่ น้ า มีชอวิ
ื่ ทยาศาสตร ์ว่า
“Crateva magna (Lour.) DC. และ Crateva
Religiosa Forst.f.”
คนไทยสมัยก่อนนิ ยมปลู กต้นกุม ่ ไว้เป็ น
อาหารและเป็ นยาร ักษาโรค โดยนาใบอ่อนและ
่
ดอกอ่อน ซึงออกในช่ วงฤดูฝน มาดองก่อนแล้วจึง
นาไปร ับประทาน
สาหร ับสรรพคุณด้านพืชสมุนไพรนัน ้
เปลือก ใช้ เป็ นยาขับลม แก้ปวดท้อง แก้ลงท้อง
คุมธาตุ ขับผายลม ขับน้ าดี ขับนิ่ว แก้บวม แก้
อาการสะอึก แก้อาเจียน บารุงไฟธาตุ กระตุน ้ ลาไส้
ให้ย่อยอาหาร บารุงหัวใจ แก้โรคผิวหนัง ใช้เป็ น
ยาระงับประสาท และยาบารุง แก่น ใช้แก้โรค
ริดสีดวงทวาร โรคนิ่ว บารุงเลือด ราก ใช้ขบ ั หนอง
้
ปาริชาต ต้นไม้สวรรค ์ชน ั
ดาวดึงส ์
พระไตรปิ ฎกบอกไว้วา ่ นปาริชาติใน
่ เมือต้
่ ว เทวดาชนดาวดึ
ดาวดึงส ์บานเต็มทีแล้ ้ั งส ์ต่าง
่
พาก ันดีใจ เอิบอิมพร ่ั
งพร ้อมด้วยกามคุณ ๕
บารุงบาเรออยู ่ตลอดระยะ ๕ เดือนทิพย ์ ณ ใต้ตน ้
่ อบานเต็
ปาริชาต ซึงเมื ่ ่ ว แผ่ร ัศมีไปได้ ๕๐
มทีแล้
โยชน์ ในบริเวณรอบๆ และจะส่งกลินไปได้ ่ ๑๐๐
โยชน์ตามลม
้ ต้นปาริชาตหรือปาริฉต
ด ังนัน ั ร เปรียนเปรย
ื ต้น ‘ทองหลาง’ นั่นเอง ชือวิ
ก็คอ ่ ทย ์ Erythrina
variegata Linn. อยู ่ในวงศ ์ Leguminosae เป็ นไม้
ยืนต้น สู งประมาณ 10-20 เมตร เรือนยอดเป็ นพุ่ม
กลม ตามกิงหรื่ อลาต้นอ่อนมีหนามแหลมคม แต่
จะค่อยๆ หลุดไป เมือต้่ นมีอายุมากขึน ้ ใบเป็ นใบ
ประกอบแบบขนนก มีใบย่อย 3 ใบ เรียงสลับ ใบ
หนา ดอกคล้ายดอกแคแต่มส ี แ
ี ดงเข้มออก
รวมกัน เป็ นช่อยาวประมาณ 30-40 ซม. จะออก
ดอกในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ ์ เวลาออกดอก
้
จะทิงใบหมดต้ น ส่วนผลเป็ นฝั กยาวโค้งเล็กน้อย
แก้ขอ ้ บวม
ราก ใช้แก้พยาธิในท้อง ตาฟาง ไข้หวัด พอก
บาดแผล แก้ปวดแสบปวดร ้อน นอกจากนี คนไทยยั ้ ง
นิ ยมนาใบอ่อนของทองหลางมาร ับประทานร่วมกับ
่
เมียงค ้ ้ าพริก เพราะใบทองหลางเป็ น
า หรือเป็ นผักจิมน
ผักทีมี่ ธาตุอาหารคือโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอร ัส
วิตามินเอ และวิตามินซีสูงมาก จึงเป็ นอาหารทีช่่ วย
บารุงสุขภาพ บารุงตา และบารุงกระดู ก
ในวรรณกรรมอิงพุทธประวัติและหลักธรรม
่ ‘กามนิ ต-วาสิฏฐี’ ได้บอกไว้วา
เรือง ่ ไปเกิด
่ กามนิ ตซึงได้
่ กลินหอมจากต้
ในสวรรค ์ เมือได้ ่ นปาริชาต ก็สามารถ
ระลึกชาติของตนครงที ้ั อยู
่ ่ในโลกมนุ ษย ์ได้
้
เดือนมกราคมนี ปาริ ่
ชาตเริมออกดอกแล้
ว แต่อย่า
สมอ
Terminalia
วงศ ์ Combretaceae เช่น สมอไทย, สมอพิเภก, สมอ
ื่ ยกทางภาษาบาลี
ดีงู, สมอจีน เป็ นต้น มีชอเรี
ว่า ‘หรีตกะ’
ประโยชน์ของสมอ อาทิเช่น เปลือกและ
ผลดิบมีสารฝาด จึงใช้ในการย้อมแห อวน หรือย้อม
้ า เนื อไม้
ผ้าให้เป็ นสีเขียวขีม้ ้ ใช้สร ้างบ้านเรือน ทา
่
เครืองเรื อน ทาเกวียน เป็ นต้น