Professional Documents
Culture Documents
การถ่ายละอองเรณู การปฏิสนธิlac
การถ่ายละอองเรณู การปฏิสนธิlac
การถ่ายละอองเรณู การปฏิสนธิlac
การถ่ายละอองเรณู
(POLLINATIN)
่ เต็มทีมาตกลงบนยอดเกสรต
การนาละอองเรณู ทีแก่ ่ ัวเมีย
ปั จจ ัยทีทาให้เกิดการถ่ายละอองเรณู (ผสมพันธุ ์):
• เกสรตัวผู พ ้ ร ้อมสาหร ับการผสมพันธุ ์ = ละอองเรณู แก่ (แตก
ออกจากอ ับเรณู )
• ยอดเกสรต ัวเมียพร ้อมสาหร ับการผสมพันธุ ์ = มีขนหรือ
น้ าหวาน ออกมาทียอด/ต่ ่ อมน้ าหวาน
วิธกี าร :
้
• เกิดขึนโดยมนุ ษย ์
• ผสมเพือให้ ่ เกิดการติดผล
• ผสมเพือปร ่ ับปรุงพันธุ ์
้
• เกิดขึนโดยธรรมชาติ
• แมลง/นกมาดู ดน้ าหวาน ซึงพาเกสรติ ่ ดมาด้วย
• ลมพัดละอองเกสรจะต้นหนึ่ งสู ่อก ี ต้นหนึ่ ง
• แรงดู ดของละอองเรณู เมืออ ่ ับเรณู แตก
การถ่ายละอองเรณู
(POLLINATIN)
ถ่ายละอองเรณู ภายในดอกเดียวกัน/ข้ามดอก
ในต้นเดียวกัน (Self pollination): ส่งผลให ้
ลักษณะทางพันธุกรรมของพืชรุน ่ ลูกเหมือนต ้นเดิม ใน
ธรรมชาติมวี ธิ ป
ี ้ องกันการผสมกันเองโดยทาให ้ละออง
เรณู และเซลล ์ไข่เจริญไม่พร ้อมกัน
ถ่ายละอองเรณู ข้ามต้นในพืชชนิ ดเดียวกัน
(Cross pollination): ส่งผลให ้ลักษณะทาง
พันธุกรรมของพืชรุน ่ ลูกแตกต่างไปจากพืชต ้นเดิม ทา
ให ้พืชมีลก
ั ษณะต่างๆ หลากหลายและอาจได ้พืชพันธุ ์
ใหม่เกิดขึน้
การปฏิสนธิของพืชดอก
(FERTILIZATION)
1.หลอดละอองเรณู งอกไปตามก้านเกสรตัวเมีย
ภายในบรรจุ
่ ดจากหลายร ังไข่ในดอกเดียว
ผลทีเกิ
1 ก ้านดอกมี 1 ดอก
ภายใน 1 ดอก มีหลายร ังไข่
ภายในร ังไข่มี 1 ออวุล ดอก
ผลเป็ นกลุ่มหรือกระจุกอยู ่
บนแกนกลางเดียวกัน
เนื่ องจากร ังไข่อด
ั แน่ น เช่น สต
รอเบอร ์รี จาปี จาปา การเวก
กระดังงา กุหลาบ บัวหลวง
น้อยหน่ า ลูกจาก หวาย ผล
ผลรวม (MULTIPLE FRUIT)
ผลทีเกิ่ ดจากดอกช่อก้านสัน(มากกว่
้ า1ดอก)
่
มาเชือมติ ดกันแน่ นจนเหมือนเป็ นผลเดียว ่
1 ก ้านดอกมี หลายดอกย่อย
ภายในดอกมี 1 ร ังไข่
ดอก
ภายในร ังไข่มี 1 หรือ หลายออวุล
้ ยวคล ้ายเป็ นผลเดียว
ผลย่อยรวมกันเป็ นเนื อเดี ่
เช่น ขนุ น สาเก ยอ มะเดือ่ สับปะรด หม่อน
ผล
จานวนร ังไข่ใน จานวนร ังไข่ท ี่ ชนิ ดของ
1 ดอก เจริญเป็ น 1 ผล
ผล
• ผลเดียว ่ ผลทีเจริ
่ ญมาจากรงั ไข่ของดอก 1 ดอกที่
่
มีเ กสรเพศเมีย เพีย ง 1 อัน ซึงดอก 1 ดอกนั้ นจะเป็ น
่
ดอกเดียวหรื อดอกช่อ ทีร่ งั ไข่ของดอกย่อยแต่ละดอก
่
เจริญเป็ นผลเดียวก็ ได ้
• ผลกลุ่ ม ผลที่เจริญ มาจากร งั ไข่ ข องดอก 1
่ เกสรเพศเมียมากกว่า 1 อัน รงั ไข่แต่ละ
ดอกทีมี
อันเจริญเป็ นผลย่อย แต่ละผลย่อยติดอยู่บ นฐาน
ดอกเดียวกัน
่ ญมาจากร ังไข่ของดอกย่อยในดอกช่อ
• ผลรวม ทีเจริ
่ ญเป็ นผลนั้นร ังไข่ของดอกย่อยแต่ละดอก
โดยขณะทีเจริ
่
อาจเชือมเป็ ้ ยวกันหรือเบียดชิดกันมากจนมอง
นเนื อเดี
เมล็ด (SEED)
่
ส่วนทีเปลี ่
ยนแปลงมาจาก หลังจาก
เกิดการปฏิสนธิแล้ว
่ ่ของ embryo ซึงจะเจริ
เป็ นทีอยู ่ ญเป็ นพืชต้น
ใหม่
เมล็ดเป็ นส่วนสาค ัญต่อการดารงพันธุ ์ของพืช
ดอก
โครงสร ้างของเมล็ดประกอบด้วย
• เปลือกเมล็ด (Seed coat)
• เอ็มบริโอ (embryo)
• เอนโดสเปิ ร ์ม (endosperm)
เปลือกเมล็ด (SEED COAT)
่
เปลียนแปลงมาจาก ผนังออวุล (integument)
หน้าทีป้่ องกันอันตรายให ้เอ็มบริโอ
เมล็ดมีเปลือกหุ ้ม 2 ชน้ั
้ั
• ชนนอก ่
: เปลียนแปลงมาจากผนั ้ั
งชนนอกของ
ออวุล แข็ง และเหนี ยว = testa
• ชนใน ้ั ่
: เป็ นเยือบางสี ่
ขาว เปลียนแปลงมาจากผนั ง
้ั
ชนในของออวุ ล = tegmen
รอยแผลเป็ นเล็กๆ เกิดจากก ้านออวุลหลุดออก =
hilum มีเนื อเยื ้ ออวบสี
่ ้ ดอยู่ =
ขาวคล ้ายฟองนาติ
caruncle ช่วยอุ ้มน้าไว ้ใช ้ในการงอก
เปลือกหุ ้มเมล็ดของ กระเทียมเถา แคแสด และ
่
ทองอุไร เปลียนแปลงไปเป็ ่ วยให ้
นแผ่นบาง ทาหน้าทีช่
เอ็มบริโอ (EMBRYO)
เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างเซลล ์ ไข่กบั สเปิ ร ์ม
1.ใบเลียง ้ (cotyledon) : ป้ องกันอันตรายให ้กับยอด
อ่อนขณะงอก ย่อยและดูดซึมอาหารจากเอนโดสเปิ ร ์มมาเก็บ
่
ไว ้ทีใบเลี ้
ยง
2.คอลิเคิล (caulicle) : ลาต ้นอ่อนหรือเอ็มบริโอ
้ ปลายสุดเรียกว่า ยอดแรก
• Epicotyl : อยู่เหนื อใบเลียง
เกิด (plumule) เจริญเป็ นลาต้นยอด และใบแท้
้
เมล็ดพืชใบเลียงเดี ่
ยวมี ้ อพิ
เนื อเยื ่ เศษ เรียก coleoptile
ห่อหุ ้มปลายยอดแรกเกิด
• Hypocotyls : อยู่ใต ้ใบเลียง ้ ส่วนปลายเรียกว่า
radicle จะพัฒนาไปเป็ นรากอ่อน ในพืชใบเลียงเดี้ ่
ยว
่
• เมล็ดถัวเหลื อง = สะสมโปรตีน
• เมล็ดข ้าว ข ้าวโพด = สะสม ่ นนา+เนื
้
• เอนโดสเปิ ร ์มทีเป็ อ้ =
คาร ์โบไฮเดรต มะพร ้าว ตาล หมาก
เอ็มบริโอ (EMBRYO)
Pro embryo: ไซโก
ตแบ่งตัวออกเป็ น 2 เซลล ์
เซลล ์ด ้านล่างใหญ่ แบ่งตัวช ้า
กว่าจะฝังตัวในเอนโดสเปิ ร ์ม
Globular stage: เซลล ์
ข ้างบนแบ่งตัวต่อไปจนเป็ น
ก ้อนกลม
Heart-shaped stage:
เอ็มบริโอก ้อนกลมจะพัฒนา
ไปเป็ นกลุม่ เซลล ์รูปหัวใจ
Torpedo stage:
การงอกของเมล็ด (SEED
GERMINATION)
้
1. พืชดูดนาเข ้าสูเ่ มล็ด
2. ต ้นอ่อน (embryo) ผลิตฮอร ์โมนจิบเบอเรลลิน (GA)
ฮอร ์โมนจิบเบอเรลลินไปกระตุนเซลล
้ ์ให ้ผลิตเอนไซม ์
amylase
3. เอนไซม ์ amylase ย่อยแป้ งภายในเอนโดสเปิ ร ์มเป็ น
กลูโคส
4. กลูโคสเข ้าไปสูก
่ ระบวนการไกลโคไลซิส ได ้พลังงานใช ้ใน
การงอก
5. มีการพัฒนาของ รากแรกเกิด (radicle) เป็ นรากงอก
ลักษณะการงอก
่
การงอกทีใบเลี ้
ยงชู ึ้
ขนมาเหนื ้ น
อพืนดิ
(epigeal gemination):
ไฮโพคอทิลเจริญและยืดตัวเร็วมาก จึงดึงเอาใบ
้
เลียงและส่ วนของ
้
เอพิคอทิลออกจากเมล็ดและชูต ัวขึนมาเหนื อดิน
่ ยว มะขาม
เช่น ถัวเขี
ลักษณะการงอก
่
การงอกทีใบเลี ้
ยงจมอยู ่ใต้พนดิื ้ น (hypogeal
gemination):
• เอพิคอทิลเจริญเติบโตดีกว่าไฮโพคอทิล ด ังนัน ้
เอพิคอทิลและพลู มูลจะงอกขึนมาอยู ้ ่บนดิน
โดยมีโคลีออพไทด ์หุม ่ องกันอ ันตราย
้ อยู ่เพือป้
่
• ซึงโคลี
ออพไทล ์จะหยุดเจริญเมือได้ ่ ร ับแสง
่ ผลต่อการงอกของเมล็ด :
ปั จจัยทีมี
ปั จจัยภายนอก
ความชืน: ้ เปลือกหุ ้มเมล็ดอ่อนนุ่ ม ทาให ้ออกซิเจน
แพร่เข้า
ี่ ก ิรยิ า hydrolysis : amylase : แป้ ง
วัสดุทปฏิ
maltoseglucose , protease: proteinamino
acid
ลาเลียงสารจากการย่อยให ้ต ้นอ่อน
ออกซิเจน : จาเป็ นต่อการสลายสารอาหารระดับ
้
เซลล ์ พืชนางอกได ้แม้ O2 ตา่
อุณหภู ม ิ : พืชแต่ละชนิ ดต ้องการอุณหภูมท ี่
ิ เหมาะสมใน
่
การงอกทีแตกต่ างกัน
่ ผลต่อการงอกของเมล็ด :
ปั จจัยทีมี
ปั จจัยภายใน
สภาพพักตัวของเมล็ด (seed dormancy) เมล็ด
่
พืชทัวไปเมื ่ ้ร ับสิงแวดล
อได ่ ่
้อมทีเหมาะสมสภาพพั กตัวจะ
หมดไป ทาให ้เอ็มบริโอสามารถเจริญเติบโตได ้ บางชนิ ดมี
้
สภาพพักตัวสันมาก เช่น ขนุ น มะละกอ มะขามเทศ, บาง
ชนิ ดไม่มส
ี ภาพพักตัวเลย เช่น โกงกาง, บางชนิ ดมีสภาพ
พักตัวนานมาก แต่เมล็ดพืชบางชนิ ดแม้อยู่ใน
่
สภาพแวดล ้อมทีเหมาะสมก็ ยงั อยู่ในสภาพพักตัว
1. เปลือกเมล็ด บางชนิ ดหนาและแข็งมากทาให ้น้ าไม่
สามารถผ่านเข้าสู ่ภายในเมล็ดได้ ในธรรมชาติจะมี
การทาลายสภาพพักตัว เช่น ย่อยสลายโดยจุลน ิ ทรีย ์
ในดิน (มะม่วง, ปาล ์ม), ผ่านระบบย่อยอาหารของสัตว ์
้
เลียงลู กด้วยนมหรือนกแล้วถ่ายเป็ นมู ล (โพธิ ์ ไทร
ตะขบ), ถู กไฟเผา (หญ ้า ไผ่บางชนิ ด ตะเคียน สัก)
2. เปลือกเมล็ดมีสารซึงไม่ ่ ยอมให้น้ าซึมผ่าน เช่น
ไข คิวทิน ลิกนิ น ซูเบอริน แก้ไขโดยการแช่เมล็ดในน้ า
Embryo: เมล็ดไม่สามารถงอกได ้หากเอ็มบริโอ
เจริญไม่เต็มทีจะต ่ ้องรอเวลาช่วงหนึ่ งเมล็ดจึงจะงอกได ้
้ ให้เอ็มบริโอเจริญ
เช่น มะพร ้าว วิธแี ก ้คือ ต้องทิงไว้
่ ่ในผลเป็ นระยะเวลาหนึ่ง
เต็มทีอยู
Endosperm เมล็ดพืชบางชนิ ดมีนอ้ ยมาก เช่น
กล ้วยไม้ จึงทาให ้ไม่มอ ี าหารเพียงพอสาหร ับเลียง ้
เอ็มบริโอระหว่างการงอก วิธแี ก ้คือ ในธรรมชาติ
พบว่ามีไมคอร ์ไรซาบางชนิ ดเจริญร่วมกับเมล็ด
่ วยย่อยสลายสารอินทรีย ์, นาไปเลียงใน
เพือช่ ้
้
อาหารเพาะเลียงและใส่ สารกระตุน ้ การงอก
้
สารเคมี สารเคมีบางชนิ ดจะยับยังการงอกของเมล็ ด
เช่น กรดแอบไซซิกทีมี ่ สมบัตยิ บ ้
ั ยังการท างานของ
่ ยวข
เอนไซม ์ทีเกี ่ ้องกับการงอกเคลือบอยู่ วิธแี ก ้ไขคือ
่
ฝนทีตกหรื อนาเมล็ดมาล้างน้ า, ใช้สารเร่งการ
การตรวจสอบคุณภาพของเมล็ด
พันธุ ์
การตรวจสอบคุณภาพของเมล็ดพันธุ ์มีหลาย
ประการ เช่น ความสามารถในการงอกหรือความ
ิ , ความแข็งแรง, ความบริสุทธิ,์ ความชืน
มีชวี ต ้
ฯลฯ
การวัดดัชนี การงอกของเมล็ดพันธุ ์ ใช้
่ ความแข็งแรงมากย่อมจะ
หลักการว่า เมล็ดใดทีมี
งอกได้เร็วกว่า
นับจานวนเมล็ดงอกทุกวันแล้วบันทึกจนกว่าจะ
่ ก
ไม่มเี มล็ดงอกเพิมอี
เปรียบเทียบกับพืชชนิ ดเดียวกัน แต่จากหลาย
ตารางการงอกของต้นกล้าถัว่
เหลืองจาก 3 แหล่ง
่ั
1.ด ัชนี การงอกของถวเหลื
องในแหล่ง A B และ C เป็ นเท่าใด
ตามลาด ับ
การวัดการเจริญเติบโตของพืช
• การนาข ้อมูลมาเขียนกราฟระหว่างมวลกับเวลา
ิ่ ้าน นับจานวนใบ
• วัดความสูง วัดเส ้นรอบวง แผ่กงก
วัดมวล
มีลก
ั ษณะกราฟเป็ นรูปตัว S หรือ S-shaped cutve