Professional Documents
Culture Documents
การอ่านตีความ 2
การอ่านตีความ 2
การอ่านตีความ 2
การอ่านตีความเป็ นการอ่านที่ต้องอาศัยประสบการณ์
ความสามารถ สติปัญญา เพื่อทำความเข้าใจกับข้อเขียนที่อ่าน
และพยายามเข้าถึง “สาร” ที่ผู้เขียนต้องการ “สื่อ” ให้ผู้อ่าน
ทราบ และหาคำตอบจากงานเขียนนั้น
โดยใช้หลักในการพิจารณาดังนี้
1. ถ้อยคำ ข้อความ น้ำเสียง
2. ข้อมูลที่เป็ นข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็น
3. ทัศนคติของผู้เขียน
*** การอ่านตีความเป็ นขั้นตอนต่อเนื่องจากการอ่านจับใจความ
ประโยชน์ของการอ่านตีความ
1. ทำให้เข้าใจงานเขียนได้หลายแง่มุม
2. ได้เห็นคุณค่าของวรรณกรรมที่หลากหลาย
3. ทำให้เป็ นคนรู้คิดและมีเหตุผล
4. ทำให้ผู้อ่านมีวิจารณญาณในการอ่าน
5. เป็ นการฝึ กการใช้เหตุผล ไตร่ตรอง
6. การตีความทำให้เข้าถึงวรรณคดีได้ลุ่มลึก
“พอคอเหวอะมีดเลอะเลือดตกเปรี้ยง ก็แว่วเสียงผัวเรียกสำเหนียกได้
แค้นก็แค้นรักก็รักสลักใจ เหลืออาลัยแล้วคลานซานออกมา
โลหิตไหลกายสั่นอยู่ริกๆ เหงื่อซิกๆซมซวนกำสรวลหา
หน้ามืดหวึงจวนจะถึงทวารา สาวเครือฟ้ าสิ้นชีวาตม์ขาดใจเอยฯ”
(สาวเครือฟ้ า : กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ )
จากบทร้องข้างต้นเป็ นบทร้องที่กล่าวถึงช่วงก่อนที่สาวเครือฟ้ า
จะขาดใจตาย สาวเครือฟ้ านั้นตัวสั่นแล้วก็พยายาม ไปเปิ ดประตูเพื่อพบ
หน้าสามีเป็ นครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่สำเร็จ เธอขาดใจตายเสียก่อน เป็ นต้น
a.
การใช้โวหารในเชิงเปรียบเทียบ
การเปรียบเทียบ เช่น
เศรษฐกิจบิดผันทุกวันนี้ กระดูกซี่โครงของชาติอาจผุ
แหว่ง
การปรับตัวไม่ทันการเปลี่ยนแปลง ของเจ๊กแพงของไทยถูกทุกประเด็น
๒. การเปรียบเทียบในเชิงอุปลักษณ์ เช่น
- ในน้ำมีปลาในนามีข้าว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์
- ลูกคือแก้วตาดวงใจของพ่อแม่
๓. การเปรียบเทียบนามนัย คือ การเปรียบเทียบโดยกล่าวถึงสิ่งหนึ่ง แต่
หมายถึงสิ่งหนึ่ง เช่น
- ไม่มีข่าวคราวจากรั้วแม่โดม
- ไม่มีปฏิกิริยาจากรั้วจามจุรี
๔. การเปรียบเทียบเชิงสมพจน์นัย คือ การกล่าวถึงส่วนใด
ส่วนหนึ่งของสิ่งที่จะต้องกล่าวถึงโดยหมายรวมถึงทั้งหมด
เช่น - “จะพลิกพลิ้วชิวหาเป็นอาวุธ”โวหารนี้ไม่ได้หมายถึงคำ
พูดเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงสติปัญญาด้วย
- “สงครามเย็น” , “ความหวานชื่นอันขมขื่น”
“ใกล้หัวใจแต่ไกลสุดฟ้ า”,“ในความมืดอันเวิ้งว้างสว่างไสว”
- “ไฟใต้น้ำ”
- “แค้นเสน่ห์หา”
การใช้คำตรงกันข้าม เป็ นวิธีการใช้ถ้อยคำที่มี
ความกลับกันเพื่อให้เกิดความน่าสนใจ ดังคำประพันธ์
ชีวิตก็เป็ นเช่นนี้
เดี๋ยวมีทุกข์ เดี๋ยวมี สุข โศกศัลย์
เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ รำพัน
เดี๋ยวแข็งขัน เดี๋ยวอ่อนแรงแกร่งกร้าน
(ชีวิต :ถนอม ไชยวงษ์แก้ว)
ในบทประพันธ์กล่าวถึงชีวิตของคนเราว่า ต้องพบกับ
ความทุกข์ เสียงร้องไห้ และเสียงหัวเราะ
อติพจน์ คือ โวหารกล่าวเกินจริง มักกล่าวเพื่อให้ได้คุณค่า
ทางด้านอารมณ์เป็ นสิ่งสำคัญจึงไม่เพ่งเล็งข้อเท็จจริงแต่ประการใด เช่น
กล่าวถึงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ของคนที่ต้อง“สูญเสียบุคคลผู้เป็ นที่รัก”
ด้วยโวหารเกินจริงว่า
- รักเธอชั่วนิรันดร์
- ร้องไห้จนน้ำตาท่วมโลก ก็ไม่มีวันที่เขาจะกลับมา
สัญลักษณ์ คือ การนำสิ่งที่เป็ นรูปธรรมมาแทนสิ่งที่เป็ นนามธรรม โดยต้องตีความ
หรือต้องนำสิ่งอื่นที่มีคุณสมบัติคล้ายคลึงหรือเหมือนกันมาเปรียบ เช่น
สีดำ แทน ความชั่วร้าย ความตาย , ลา แทน คนโง่
สีขาว แทน ความบริสุทธิ์ , แก้ว แทน ของมีค่า
รวงข้าว แทน ความอ่อนน้อม , หงส์ แทน คนชั้นสูง
เมฆหมอก แทน อุปสรรค, เพชร แทน แข็งแกร่งความเป็ นเลิศ
รุ่งอรุณ แทน การเริ่มต้น, สุนัขจิ้งจอก แทน คนเจ้าเล่ห์
ผึ้ง มด ปลวก แทน ความขยัน, ราชสีห์ แทน ผู้มีอำนาจ
ตราชู แทน ความยุติธรรม, นกพิราบ แทน สันติภาพ
“ทรงจับซึ่งใบรุกขชาติทั้งหลายในป่ า และใบไม้นั้นก็กลับกลายเป็ นทองไปสิ้น”
(พระปฐมสมโพธิกถา)