Professional Documents
Culture Documents
ความรู้เรื่องโคลง
ความรู้เรื่องโคลง
โคลง
โคลง เป็ นคำประพันธ์ที่บังคับวรรณยุกต์ คือ เอก
โท และบังคับสัมผัส
ปรากฏเป็ นรูปแบบคำประพันธ์ขึ้นในสมัยอยุธยา ใน
ประกาศแช่งน้ำโคลงห้า
(ลิลิตโองการแช่งน้ำ) เป็ นเรื่องแรก
ต่อมาปรากฏรูปโคลงสี่ดั้นในลิลิตยวนพ่าย โคลงสุภาพ
(โคลงสอง โคลงสาม โคลงสี่) ในลิลิตพระลอ
ส่วนโคลงสองดั้นและโคลงสามดั้น เกิดขึ้น
ในสมัยรัตนโกสินทร์
โคลง
คำว่า “โคลง” อาจจะเลือนมาจาก “โครง”
คำอธิบายคือ แต่เดิมคำประพันธ์ชนิดนี้จะใช้แต่งข้อความ
สั้น ๆ หรือใช้สรุปความ
จึงวาง “โครง” ให้แต่งกัน ซึ่งก็คือ คำที่เป็ นกระทู้
ข้อบังคับหรือบัญญัติของ
โคลง มี ๖ อย่าง
๑. คณะ ๒. พยางค์
๓. สัมผัส ๔. เอกโท
๕. คำเป็ นคำตาย ๖. คำ
สร้อย
โคลง
โคลงแบ่งเป็ น ๔ ชนิด คือ โคลงสอง โคลง
สาม โคลงสี่ โคลงห้า
โคลง ๔ ชนิด ยังจำแนกออกเป็ น ๒ ประเภท
โคลงสุภาพ โคลงดั้น
โคลง
โคลงสุภาพ โคลงดั้น
แตกต่างกันที่จำนวนคำในวรรคสุดท้าย โคลงดั้นมี ๒ คำ
และโคลงสุภาพลงท้าย ๔ คำ
หากแต่งหลายบท นิยมเพิ่มสัมผัสระหว่างบท
จากท้ายบทแรกไปยังคำใดคำหนึ่งในวรรคแรกของบท
ต่อ ๆ ไป
ตาเหมือนตามฤคมาศ พิศคิ้วพระลอราช
ประดุจแก้วเกาทัณฑ์ ก่งนา ฯ
พิศกรรณงามเพริศแพร้ว กลกลีบบงกชแก้ว
อีกแก้มปรางทอง เทียบนา ฯ
(ลิลิตพระลอ)
โคลงสุภาพ
กวีผู้แต่งโคลงสองโดยไม่ส่งสัมผัสระหว่างบท ได้แก่ น.ม.ส. ใน
พระนิพนธ์ สามกรุง
โดยทรงอธิบายไว้ในภาคผนวกว่า
“การไม่ร้อยโคลงนี้ ผู้อ่านบางคนอาจเห็นเป็ นข้อบกพร่องและ
อาจยกขึ้นเป็ นตำหนิ
ภูธรอ่อนอุรไท้
แต่หนังสือนี้แต่งตามใจชอบของผู้แต่ง ตรัสทราบภาพ
ไม่ใช่ไม่รู้หรือไม่สามารถ
ตกใต้ แต่งตามแบบได้”
ต่ำต้อยร้อยปการ
หนักหน่วงหักจิตท้อ จักหย่อนยอม
อ่อนข้อ
ที่ข้องหมองใจ ไยแลฯ
โคลงดั้น
โคลงสองดั้น
โคลงสองเรียกอย่างดั้น โดยว่าวรรคท้ายนั้น
เปลี่ยนแปลง
แสดงแบบยลแยบให้ กุลบุตรจำไว้ใช้
แต่งตาม
โคลงดั้น
โคลงสองดั้น
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง
พระราชนิพนธ์โคลงสองดั้น โดยบังคับเอก ๓ โท
๒ ในลิลิตนารายณ์สิบปาง
ทูลคดีแด่ไท้ อีกขอพระจุ่ง
ได้
ดับเข็ญ
โคลงสุภาพ
โคลงสาม
สุภาพ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราช
นิพนธ์โคลงสามดั้น
โดยบังคับเอก ๓ โท ๒ ตำแหน่งเดียวกับโคลงสองดั้น ใน
ลิลิตนารายณ์สิบปาง
มุ่งตรงสู่สรยุ บรรลุถึงฝั่ งใต้
เดินเลียบฝั่ งนั่นไซร้ ไป่ นาน
โคลงสุภาพ
โคลงสี่สุภาพ
เหมือนโคลงสี่สุภาพ ต่างกันโดยให้เลื่อนสัมผัสในบาท
ที่ ๒ จากคำที่ ๕ มาเป็ นคำที่ ๔ และให้คำที่ ๒ กับ
คำที่ ๓ ของบาทที่ ๒ และที่ ๓ สัมผัสกันเท่านั้น
โคลงหนึ่งนามแจ้งจัด วาทัณ ฑีฤา
บังคับรับกันแสดง อย่างพร้อง
ขบวรแบบแยบยลผัน แผกชนิด อื่นเอย
ที่สี่บทสอดคล้อง ท่อนท้ายบทป
ถมฯ
โคลงสี่ดั้น
โคลงดั้นวิวิธ
มาลี
ลักษณะบังคับเหมือนโคลงวิวิธมาลี แต่ส่งสัมผัส
ระหว่างบท ๒ แห่ง
จากคำสุดท้ายของบาทที่ ๓ บทแรก ไปยังคำที่ ๔
บาทแรกของบทต่อไป
กับคำสุดท้ายบาทที่ ๔ บทแรกไปยังคำที่ ๕ บาทที่ ๒
ของบทต่อไป
โคลงกระทู้
โคลงสี่สุภาพ แต่ตั้งข้อความเป็ นกระทู้ไว้ข้างหน้าของบาท
ทั้ง ๔
แล้วแต่งถ้อยคำต่อไปให้มีเนื้อความอธิบายหรือขยายความ
ของกระทู้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือถ้าเป็ นกระทู้ที่ไม่มีความ
หมายในตัวเอง เช่น โก วา ปา เปิ ด ก็แต่งเสริมพยางค์หรือ
คำให้กระทู้นั้นมีความหมายขึ้น (กำชัย ทองหล่อ, 2550,
คำว่า “กระทู้” แปลว่า
น.401)หัวข้อหรือข้อความ
ตามปกติจะเป็ นหัวข้อหรือข้อความสั้น ๆ ที่มี
ความหมาย
ลักษณะโคลงกระทู้
๑. ลักษณะทุกอย่างเป็ นโคลงสี่สุภาพ
๒. ต้องเขียนกระทู้ข้างหน้าของบาททั้ง ๔ เรียงลงมา ไม่เขียน
เรียงลำดับคำเหมือนเขียนตามปกติ และต้องให้กระทู้ห่าง
จากคำอธิบายหรือคำขยายความ มีระยะพอที่จะสังเกตเห็น
ได้ว่าเป็ นกระทู้
๓. กระทู้ต้องมีความหมายในตัวเอง เว้นแต่บางกระทู้ที่ไม่มี
ความหมาย เช่น ทะ ลุ่ม ปุ่ม ปู , ปิ หา อา โก เป็ นต้น
คลงกระทู้ มี ๔ ชนิด
คลงกระทู้ มี ๔ ชนิด
นอกจากโคลงสุภาพและโคลงดั้นแล้ว ในตำรากวีนิพนธ์ยัง
ปรากฏลักษณะของโคลงโบราณอีกด้วย ในที่นี้จะขอกล่าว
โดยสังเขป โคลงโบราณมีลักษณะคล้ายโคลงดั้นวิวิธมาลี แต่
ไม่บังคับเอกโท มีบังคับเพียงสัมผัสเท่านั้น เป็ นโคลงซึ่งไทย
เราแปลงมาจากกาพย์ในภาษาบาลีชื่อว่า “คัมภีร์กาพสาร
วิลาสินี” ว่าด้วยวิธีแต่งกาพย์ต่าง ๆ ๑๕ กาพย์ด้วยกัน แต่มี
ลักษณะเป็ นโคลงแบบไทยอยู่ ๘ ชนิด เพราะเหตุที่ไม่มีบังคับ
เอกโท จึงเรียกว่า โคลงโบราณ นอกนั้นมีลักษณะเป็ นกาพย์
แท้ ประกอบด้วย โคลงวิชชุมาลี โคลงจิตรลดา โคลงมหา
จิตรลดา โคลงสินธุมาลี โคลงมหาสินธุมาลี โคลงนันททายี
โคลงมหานันททายี และมหาสินธุมาลีกาพย์
(กำชัย ทองหล่อ, 2550, น.408)
กิจกรรมท้ายบทเรียน
ศึกษาแต่งโคลงสี่สุภาพ จำนวน
หัวข้อ “อาหารไทย”